51. จงปล่อยวางทั้งความเจ็บปวดและความเพลิน


51. จงปล่อยวางทั้งความเจ็บปวดและความเพลิน


ถาม  ผมเป็นชาวฝรั่งเศส ตั้งแต่สิบปีมาแล้ว ผมฝึกโยคะมาตลอด

ตอบ  สิบปีที่ผ่านมานี้ เธอได้เข้าใกล้เป้าหมายของเธอบ้างหรือเปล่า?

 

ถาม  ผมคิดว่าอาจจะเข้าใกล้ได้นิดหน่อย ท่านก็รู้ว่ามันต้องใช้เวลา

ตอบ  ตัวตนที่แท้นั้นอยู่ใกล้ชิดเธอมากๆ และการเข้าถึงตัวตนที่แท้ก็ง่ายมาก

ทั้งหมดที่เธอต้องทำก็คือ ไม่ทำอะไรเลย

 

ถาม  แต่ผมพบว่าการปฏิบัติของผมนั้นยากมาก

ตอบ  วิธีการปฏิบัติก็คือ “แค่เป็น” การทำโน่นทำนี่เกิดขึ้นตามเรื่องของมัน เธอแค่เฝ้ารู้เฝ้าดู

มันยากตรงไหนที่จะจำได้ว่าเธอแค่มีอยู่เป็นอยู่?

เธอมีอยู่เป็นอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

 

ถาม  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความรู้สึกว่ามีอยู่เป็นอยู่ อยู่ตรงนั้นของมันตลอดเวลา

แต่สนามของความสนใจมักจะถูกบุกรุกด้วยเหตุการณ์ทางใจหลากหลาย – อารมณ์ จินตนาการ แนวคิด

ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ของความมีอยู่เป็นอยู่มักจะถูกครอบคลุมด้วยสิ่งเหล่านั้น

ตอบ  เธอมีขั้นตอนอย่างไรในการเก็บกวาดสิ่งไม่จำเป็นออกไปจากใจ?

เธอใช้วิธีใด ใช้เครื่องมือใด ในการทำใจให้บริสุทธิ์?

 

ถาม  โดยทั่วไป คนเรามักกลัว ที่เขากลัวมากที่สุดคือกลัวตัวเอง

ผมรู้สึกว่าผมเป็นเหมือนคนที่ถือลูกระเบิดที่พร้อมจะระเบิดไว้ในมือ

ผมปลดชนวนระเบิดไม่ได้ ผมจะขว้างระเบิดทิ้งไปก็ไม่ได้

ผมตกใจกลัวอย่างยิ่ง แสวงหาทางออกอย่างร้อนรน แต่ผมก็หาไม่เจอ

สำหรับผม ความเป็นอิสระ คือการกำจัดลูกระเบิดนี้

ผมไม่มีความรู้เรื่องลูกระเบิด

ผมรู้แต่ว่ามันอยู่กับผมมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก

ผมรู้สึกเหมือนเด็กที่ตื่นกลัว พยายามทำตัวให้ดีเพราะกลัวว่าจะไม่มีใครรัก

เด็กไขว่คว้าหาความรัก และเพราะเขาไม่ได้รับความรัก เขาจึงกลัวและโกรธ

บางคั้งผมรู้สึกอยากฆ่าใครสักคน หรือแม้แต่ตัวเอง

ความต้องการนี้รุนแรงมากจนผมรู้สึกกลัวตลอดเวลา

และผมไม่รู้ว่าจะเป็นอิสระจากความกลัวได้อย่างไร

ท่านคงจะเข้าใจ ว่ามีความแตกต่างระหว่างใจของชาวฮินดูและใจของชาวยุโรป

ใจของชาวฮินดูนั้นเรียบง่าย

ชาวยุโรปเป็นกลุ่มคนที่มีความซับซ้อนมากกว่า

ชาวฮินดูเป็นอยู่อย่างสงบสันติ

เขาไม่เข้าใจความร้อนรนของชาวยุโรป แสวงหาอยู่ภายในอย่างไม่รู้จบ เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่เขาต้องการ คือความรู้ที่ยิ่งใหญ่

ตอบ  ความสามารถในการให้เหตุผลของเธอยิ่งใหญ่มาก เธอสามารถหาเหตุผลให้ตัวเองได้ทุกอย่าง ความอหังการของอัตตาตัวตนของเธอ เกิดจากความเชื่อมั่นและพึ่งพาตรรกะนี่แหละ

 

ถาม  แต่การคิด การให้เหตุผล คือสภาวะปกติของใจมิใช่หรือ

ใจไม่สามารถหยุดทำงานได้

ตอบ  มันอาจเป็นสภาวะตามความเคยชิน แต่ไม่ใช่สภาวะปกติเสมอไป

สภาวะปกติไม่ควรเจ็บปวด แต่สภาวะตามความเคยชินมักนำไปสู่ความเจ็บปวดเรื้อรัง

 

ถาม  ถ้ามันไม่ใช่สภาวะธรรมชาติ หรือสภาวะปกติของใจ แล้วเราจะหยุดมันได้อย่างไรฦ

มันน่าจะต้องมีวิธีทำให้ใจเงียบสงบ

บ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วนที่ผมต้องบอกตัวเอง: พอแล้ว หยุดเถอะ หยุดพูดซ้ำซากไม่รู้จบอยู่ในหัวฉันซะที

แต่ใจมันไม่ยอมหยุด

ผมรู้สึกว่าเราอาจทำให้มันหยุดได้ชั่วครู่ แต่ไม่นานมันก็เอาอีก

แม้ผู้ปฏิบัติหลายคน ก็ต้องใช้กลเม็ดในการทำให้ใจหยุดพูด

พวกเขาท่องบ่นคำภาวนา ร้องเพลง สวดมนต์ หายใจแบบต่างๆ เขย่าตัว หมุนตัว เพ่ง ทำสมาธิ เข้าฌาน สร้างกุศล – ทำสิ่งต่างๆตลอดเวลา เพื่อให้นำไปสู่การหยุดทำ หยุดไขว่คว้า หยุดเคลื่อนไหว

ถ้ามันไม่น่าเศร้า มันก็น่าขบขันมาก

ตอบ  ใจดำรงอยู่ในสองสภาวะ: เป็นเหมือนน้ำ และเป็นเหมือนน้ำผึ้ง

น้ำจะสั่นสะเทือนเมื่อมีการรบกวนแม้เพียงเล็กน้อย แต่น้ำผึ้ง เมื่อถูกรบกวน จะกลับคืนสู่ความนิ่งสงบได้อย่างรวดเร็ว

 

ถาม  ธรรมชาติของใจคือความไม่อยู่นิ่ง

มันอาจถูกทำให้สงบได้ แต่มันจะไม่สงบด้วยตัวของมันเอง

ตอบ  เธออาจมีไข้เรื้อรังและหนาวสั่นตลอดเวลา

ความต้องการและความกลัว คือสิ่งที่ทำให้ใจไม่อยู่นิ่ง

เมื่อมันเป็นอิสระจากอารมณ์เชิงลบทั้งสองนี้ มันก็จะเงียบสงบ

 

ถาม  ท่านไม่สามารถปกป้องเด็กเล็กๆจากอารมณ์เชิงลบ

ทันทีที่เด็กเกิดขึ้นมา เขาเรียนรู้ความเจ็บปวดและความกลัว

ความหิวเป็นนายที่โหดร้าย และสอนให้คนพึ่งพาผู้อื่นและรู้จักความเกลียด

เด็กรักแม่ เพราะแม่ให้อาหาร และเกลียดแม่ เพราะบางทีแม่ก็ให้อาหารช้า ไม่ทันใจ

จิตใต้สำนึกของเราเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ซึ่งล้นเข้ามาในจิตสำนึก

เรามีชีวิตเหมือนอยู่บนภูเขาไฟ มีอันตรายตลอดเวลา

ผมเห็นด้วยว่าการได้อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีจิตใจเต็มไปด้วยความสงบสันติ มีผลให้ผมสงบเย็นไปด้วย แต่ทันทีที่ผมออกจากกลุ่ม ปัญหาเดิมๆก็กลับมาอีก

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผมกลับมาอินเดียบ่อยๆ เพื่ออยู่ใกล้ครูบาอาจารย์

ตอบ  เธอคิดว่าเธอมาและเธอไป เธอผ่านสภาวะและความรู้สึกต่างๆ

ฉันเห็นว่าทุกสิ่งเป็นอย่างที่มันเป็น แค่เหตุการณ์ที่มีอยู่ชั่วคราว เกิดขึ้นต่อการรับรู้ของฉันเป็นกระแสการเกิดดับไหลเรื่อยอย่างรวดเร็ว การมีอยู่ของมันเกิดขึ้นเพราะฉันมีอยู่ แต่มันไม่ใช่ฉันและไม่ใช่ของฉัน

ท่ามกลางปรากฏการณ์เหล่านี้ ฉันไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ และฉันก็ไม่ใช่ผู้มีประสบการณ์

ฉันเป็นอิสระ เรียบง่าย และสมบูรณ์ จนกระทั่งใจของเธอ ซึ่งคุ้นเคยกับการคัดค้านและการปฏิเสธ ไม่สามารถจับยึดมันได้

ฉันหมายความตามที่พูด ฉันไม่ต่อต้าน หรือปฏิเสธ เพราะมันชัดเจนสำหรับฉัน ว่าฉันไม่สามารถคัดค้านหรือปฏิเสธสิ่งใดได้

ฉันเพียงแค่อยู่เหนือปรากฏการณ์ อยู่ในมิติที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

อย่ามองหาฉันในฐานะของสิ่งใด หรือในฐานะที่ตรงข้ามกับสิ่งใด: ฉันอยู่ในที่ซึ่งปราศจากความต้องการและความกลัว

เอาละ ประสบการณ์ของเธอเป็นอย่างไร?

เธอรู้สึกเหมือนกับฉันหรือเปล่า ว่าจุดยืนของเธออยู่เหนือปรากฏการณ์ที่เกิดดับเหล่านี้?

 

ถาม  รู้สึกเป็นบางครั้งครับ แต่เมื่อผมรู้สึกว่าอยู่ในอันตราย ผมรู้สึกโดดเดี่ยว อยู่นอกวงของความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ

ตรงนี้เป็นจุดที่มุมมองชีวิตของท่านกับของผมแตกต่างกัน

สำหรับชาวฮินดู อารมณ์มาทีหลังความคิด

ถ้าให้แนวคิดแก่คนฮินดู จะกระตุ้นอารมณ์ของเขาได้

สำหรับชาวตะวันตก จะตรงกันข้าม – ถ้าเขาถูกกระตุ้นอารมณ์ เขาจึงจะเกิดแนวคิด

ในด้านปัญญา แนวคิดของท่านน่าสนใจมาก แต่มันไม่สามารถกระตุ้นอารมณ์ของผมได้

ตอบ  จงเอาปัญญาของท่านวางไว้ก่อน อย่านำมันมาใช้ในเรื่องนี้

 

ถาม  คำแนะนำจะมีประโยชน์อะไร ถ้าผมไม่สามารถนำมันไปใช้ได้?

ทั้งหมดนี้คือแนวคิด และท่านต้องการให้ผมตอบสนองต่อแนวคิดเหล่านี้ด้วยอารมณ์ เพราะถ้าไม่มีอารมณ์นำ ก็จะไม่มีการลงมือทำ

ตอบ  ทำไมเธอจึงพูดเรื่องการลงมือทำ? เธอได้ทำจริงๆหรือเปล่า?

จริงๆแล้ว มันเป็นพลังอย่างหนึ่งที่ลงมือทำ และเธอนั่นแหละจินตนาการไปว่าเธอเป็นผู้ทำ

เธฮแค่เฝ้ามองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้น โดยไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายมันได้เลยไม่ว่าในทางใด

 

ถาม  ทำไมจึงมีแรงต้านมากมายในตัวผมที่ไม่ยอมรับว่าผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย?

ตอบ  แล้วเธอทำอะไรได้? เธอเป็นเหมือนคนไข้ที่ถูกวางยาสลบ และกำลังเข้ารับการผ่าตัด

เมื่อเธอตื่นขึ้น เธอก็พบว่าการผ่าตัดสิ้นสุดลงแล้ว เธอจะพูดได้ไหมว่าเธอได้ทำอะไรในช่วงนั้น?

 

ถาม  แต่ผมเป็นผู้เลือกที่จะเข้ารับการผ่าตัด

ตอบ  ไม่เลย สิ่งผลักดันด้านหนึ่งคือความเจ็บป่วยของเธอ อีกด้านหนึ่งคือความกดดันจากหมอและครอบครัวของเธอ ทำให้เธอตัดสินใจ

เธอไม่มีทางเลือก การคิดว่าเธอมีทางเลือก เป็นแค่มายาภาพ

 

ถาม  แต่ผมก็ยังรู้สึกว่า ผมไม่ได้ตกอยู่ในสภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เอาเสียเลย อย่างที่ท่านพูด

ผมรู้สึกว่าผมสามารถทำทุกอย่างที่ผมคิด แต่ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเท่านั้นเอง

ผมไม่ได้ไร้อำนาจ แต่ผมขาดความรู้

ตอบ  การไม่รู้วิธีการ ก็แย่พอๆกับการไม่มีอำนาจ

แต่ เราหยุดพูดเรื่องนี้กันสักครู่หนึ่งก่อน เพราะมันไม่สำคัญหรอก ที่ทำไมเราจึงรู้สึกช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตราบใดที่เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ตอนนี้ เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

ฉันอายุ 74 ปีแล้ว แต่ฉันยังรู้สึกเหมือนเป็นเด็กทารก

ฉันรู้สึกอย่างชัดเจนว่า ไม่ว่าร่างกายจะเปลี่ยนไปอย่างไร ฉันยังคงเป็นเด็ก

คุรุของฉันบอกฉันว่า เด็กน้อยคนนั้น ซึ่งก็คือเธอแม้ในขณะนี้ คือตัวตนที่แท้ของเธอ (swarupa)

จงกลับไปที่สภาวะมีอยู่เป็นอยู่อันบริสุทธิ์นั้น สภาวะซึ่ง “ฉันเป็น” ยังคงบริสุทธิ์ ก่อนที่มันจะถูกแปดเปื้อนด้วยความรู้สึกว่า “ฉันเป็นนี้” หรือ “ฉันเป็นนั้น”

ปัญหาที่เธอแบกไว้คือการยึดตัวตนจอมปลอม – จงทิ้งมันให้หมด

คุรุของฉันบอกว่า – “จงเชื่อใจฉัน ฉันบอกเธอ ว่าเธอคือธรรมชาติสูงสุด

จงรับมันไว้ในฐานะของความจริงสูงสุด

ความเบิกบานของเธอเป็นธรรมชาติสูงสุด ความทุกข์ทรมานของเธอเป็นธรรมชาติสูงสุดด้วยเช่นกัน

ทั้งหมดล้วนมาจากพระเจ้า

จงจำไว้ตลอดเวลา

เธอคือพระเจ้า ความตั้งใจของเธอเพียงอย่างเดียวจะสำเร็จประโยชน์ได้”

ฉันเชื่อในคุรุของฉัน และไม่นาน ฉันก็ตระหนักว่าคำสอนของท่านช่างถูกตรงและจริงแท้อะไรเช่นนั้น

ฉันไม่ได้สะกดจิตตัวเองโดยการคิดซ้ำๆว่า “ฉันคือพระเจ้า ฉันวิเศษสุด ฉันอยู่เหนือทุกสิ่ง”

ฉันเพียงแค่ทำตามคำแนะนำของคุรุ โดยโฟกัสที่ความรู้สึก “ฉันเป็น” ที่บริสุทธิ์ และหยุดอยู่ตรงนั้น

ฉันเคยนั่งเป็นชั่วโมงๆ โดยมีแค่ความรู้สึกว่า “ฉันเป็น” อยู่ในใจ ในเวลาไม่นาน ความสงบสันติและความเบิกบาน และความรักอย่างลึกซึ้งที่โอบล้อมทุกสิ่งกลายเป็นสภาวะปกติของฉัน

ภายในนั้น ทุกอย่างหายไปหมด – ตัวฉัน คุรุของฉัน ชีวิตของฉัน โลกที่อยู่รอบฉัน

มีเพียงสันติสุขที่เหลืออยู่ และความเงียบที่ลึกล้ำเกินหยั่ง

 

ถาม  ฟังดูมันช่างง่ายดายเหลือเกิน แต่สำหรับผม มันไม่เป็นอย่างนั้น

บางครั้ง สภาวะสันติสุขและเบิกบานอย่างมหัศจรรย์เกิดขึ้นภายในผม ผมได้แต่มองดูมันด้วยความพิศวง – ทำไมมันเกิดขึ้นง่ายดายเหลือเกิน ทำไมมันช่างใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกับเราเหลือเกิน ทำไมมันช่างเป็นของเราเหลือเกิน

แล้วความพยายามอย่างมากมายที่จำเป็นต้องทำเพื่อจะไปถึงยังสภาวะที่อยู่ชิดใกล้ขนาดนี้ อยู่ที่ไหนล่ะ?

ครั้งนี้ แน่นอนว่ามันเกิดขึ้น และไม่หายไป

แต่ในเวลาไม่นาน มันก็ละลายหายไป เหลือไว้แต่ความสงสัย – มันเป็นความจริง หรือมันเป็นแค่ผมคิดไปเอง

ถ้ามันคือความจริง ทำมันต้องหายไป?

บางทีผมอาจจำเป็นต้องมีประสบการณ์บางอย่างที่จะตรึงผมให้มั่นคงอยู่ในสภาวะใหม่นี้ จนกว่าสภาวะที่สำคัญจริงๆจะเกิดขึ้น เกมเล่นซ่อนหานี้จะต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

ตอบ  ความคาดหวังของเธอว่าจะต้องมีสภาวะที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ หรือมีการระเบิดของความรู้สึกบางอย่างที่มหัศจรรย์ ล้วนเป็นสิ่งที่บดบังและทำให้การตื่นรู้ของเธอล่าช้าออกไป

เธอไม่ต้องคาดหวังการระบิด เพราะการระเบิดได้เกิดขึ้นแล้ว – ในวินาทีที่เธอคลอด ในวินาทีที่เธอตระหนักว่าเธอที่แท้คือสภาวะหนึ่งซึ่งแค่มีอยู่เป็นอยู่ รู้อยู่ เห็นอยู่

มีความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวที่เธอทำ – เธอคิดว่าสภาวะภายในที่เป็นตัวเธอที่แท้ คือสิ่งที่อยู่ไกลออกไปภายนอก และเธอต้องทำสิ่งต่างๆเพื่อแสวงหา เสาะหา ไขว่คว้าหา และเธอคิดว่าสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวตนที่แท้ของเธอ คือร่างกาย ความคิด อารมณ์ความรู้สึก เป็นตัวเธอ เป็นของเธอ

เธอเชื่อว่าโลกคือสิ่งที่เป็น วัตถุวิสัย แต่จริงๆแล้ว มันคือภาพฉายของจิตใจของเธอ

นั่นคือความสับสนพื้นฐาน และไม่มีการระเบิดใดที่จะปรับให้มันถูกตรงได้

เธอต้องออกจากความสับสนนั้นให้ได้ ไม่มีวิธีอื่น

 

ถาม  ผมจะออกจากความสับสนได้อย่างไร ในเมื่อผมบังคับความคิดตัวเองไม่ได้ มันมาแล้วก็ไปของมันเอง

เสียงพูดของมันก้องอยู่ในหวของผมตลอดเวลา ทำให้ผมสับสนและเหนื่อยอ่อน

ตอบ  จงเฝ้ามองความคิดของเธอ เหมือนเธอนั่งมองรถที่วิ่งไปมาบนท้องถนน

ผู้คนมาแล้วก็ไป เธอแค่ดูโดยไม่มีการตอบสนอง

ตอนแรกมันอาจไม่ง่าย แต่เมื่อฝึกฝนไประยะหนึ่ง เธอจะพบว่า ใจของเธอสามารถทำงานได้ในหลายระดับในขณะเดียวกัน และเธอสามารถตระหนักถึงการทำงานเหล่านี้ได้ทั้งหมด

เมื่อเธอใส่ใจเฉพาะในระดับใดระดับหนึ่ง ความสนใจของเธอจะถูกล็อคอยู่ในนั้น และเธอจะดับการรับรู้การทำงานของใจในระดับอื่น

แม้อย่างนั้น การทำงานของใจในระดับที่ถูกปิดก็ยังดำเนินไป ภายนอกสนามแห่งความรู้ตัว

อย่าต่อสู้กับความทรงจำและความคิดของเธอ พยายามทำเพียงเพื่อขยายสนามความสนใจของเธอให้ครอบคลุมการทำงานของใจในระดับอื่นด้วย คำถามที่สำคัญมากคือ “ฉันคือใคร?” “ฉันเกิดมาได้อย่างไร?” “จักรวาลที่อยู่รอบตัวฉันมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” “อะไรที่มีอยู่จริง และอะไรที่เกิดดับ?”

ไม่มีความทรงจำใดที่คงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเธอไม่สนใจมันอีกต่อไป ความเชื่อมโยงทางอารมณ์เท่านั้น ที่ขับเคลื่อนความเชื่อมโยงที่เธอมีต่อมัน

เธอแสวงหาความพึงพอใจอยู่เสมอ หลีกหนีความเจ็บปวด ไขว่คว้าหาความสุขและความสงบสันติตลอดเวลา

เธอไม่เห็นหรือว่า ความพยายามแสวงหาของเธอนั่นแหละ ที่ทำให้เธอรู้สึกทุกข์?

ลองอีกวิธีหนึ่งดูไหม – ปล่อยวางทั้งความเจ็บปวดและความเพลิดเพลิน ไม่ร้องขอ ไม่ปฏิเสธ ให้ความสนใจทั้งหมดไปที่ระดับซึ่งสภาวะ “ฉันเป็น” ดำรงอยู่อย่างไร้การเกิดดับ ไร้กาลเวลา

ในไม่นาน เธอจะตระหนักว่าความสงบสันติและความสุข มีอยู่แล้วในธรรมชาติที่เป็นตัวเธอที่แท้จริง และมันถูกรบกวน ถูกบดบัง ด้วยความพยายามไขว่คว้าหามันโดยวิธีต่างๆ

จงหลีกเลี่ยงการก่อความรบกวนเหล่านี้ แค่นั้นเอง

ไม่จำเป็นต้องทำการแสวงหาใดๆ เพราะเธอมีสิ่งนั้นอยู่แล้ว

เธอนั่นแหละคือพระเจ้า คือความจริงสูงสุด

เริ่มต้นโดย เชื่อใจ ไว้ใจฉัน ไว้ใจคุรุของเธอ

มันจะช่วยให้เธอเริ่มก้าวแรก – แล้วต่อมา ความไว้ใจของเธอก็จะได้รับการพิสูจน์โดยประสบการณ์ตรงของเธอเอง

ในก้าวย่างแห่งชีวิต ความไว้วางใจเริ่มแรกนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าไม่มีความไว้วางใจ จะไม่สามารถสำเร็จผลได้

ทุกกิจกรรมที่ดำเนินไป คือการแสดงออกของความเชื่อและศรัทธา

แม้การกินขนมปังในแต่ละวัน ก็เกิดขึ้นเพราะความเชื่อและศรัทธา

จงจดจำสิ่งที่ฉันบอกเธอ แล้วเธอจะบรรลุถึงทุกสิ่ง

ฉันขอบอกเธออีกครั้ง – เธอคือความจริงแท้ที่แทรกซึมอยู่ในทุกสรรพสิ่ง และอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง

จงดำเนินพฤติกรรมในลักษณะนั้น – คิด รู้สึก และทำ ในวิถีที่สอดคล้องกับสรรพสิ่ง และประสบการณ์จริงในสิ่งที่ฉันพูดบอกจะเกิดขึ้นกับเธอในเวลาไม่นาน

ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย

แค่มีความศรัทธา เชื่อมั่น แล้วทำตามนั้น

ได้โปรดเข้าใจว่าฉันไม่ได้ต้องการสิ่งใดๆจากเธอ

ฉันบอกสอนนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของเธออย่างแท้จริง เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เธอรักตัวเอง เธอต้องการมีความมั่นคงและความสุข

อย่าละอายต่อความต้อการเหล่านั้น อย่าปฏิเสธมัน

การรักตัวเองเป็นเรื่องธรรมชาติ และป็นสิ่งที่ดี

เพียงแต่เธอควรรู้ว่า เธอกำลังรักอะไรอยู่

เธอไม่ได้รักร่างกาย แต่เธอกำลังรักชีวิต – การรับรู้ ความรู้สึก ความคิด การกระทำ ความรัก ความพยายาม ความสร้างสรรค์

นั่นคือชีวิตที่เธอรัก นั่นคือตัวเธอที่แท้จริง นั่นคือความเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่ง

จงตระหนักถึงความเป็นหนึ่งเดียวนี้ ความอยู่เหนือการแบ่งแยกและขีดจำกัดทั้งปวง แล้วความต้องการทั้งหมดของเธอจะหลอมรวมกับมัน เพราะสิ่งที่เล็กกว่า จะหลอมรวมกับสิ่งที่ใหญ่กว่าเสมอ

ดังนั้น หาตัวเธอเองให้พบ เพราะเมื่อเฮหาตัวเธอที่แท้จริงพบ เธอก็จะพบทุกอย่าง

ทุกคนยินดีที่มีชีวิตอยู่ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะตระหนักถึงความอิ่มเต็มของมัน

เธอจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้โดยการเฝ้าสังเกตภายใน เฝ้าสังเกตสภาวะ “ฉันเป็น” “ฉันร๔” “ฉันรัก” – ด้วยความตั้งใจที่จะเข้าถึงความหมายที่ลึกล้ำที่สุดของคำเหล่านี้

 

ถาม  ผมจะคิดว่า “ฉันคือพระเจ้า” ได้ไหม?

ตอบ  อย่าผูกมัดตัวเองเข้ากับแนวคิด

ถ้าเธอให้ความหมายของพระเจ้า ว่าคือสิ่งที่เธอไม่รู้ เธอก็แค่พูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าฉันคืออะไร”

ถ้าเธอรู้จักพระเจ้าในระดับเดียวกันกับที่เธอรู้จักตัวเอง เธอก็ไม่จำเป็นต้องพูดคำนี้อีกต่อไป

สิ่งดีที่สุดคือความรู้สึกง่ายๆว่า “ฉันเป็น”

ครุ่นคำนึงอยู่กับมันด้วยความอดทน

ในที่นี้ ความอดทนคือปัญญา อย่าคิดถึงความล้มเหลว

ในการดำเนินปัญญาแบบนี้ ไม่มีคำว่าล้มเหลว

 

ถาม  ความคิดของผมไม่ยอมให้ผมทำอย่างนั้น

ตอบ  อย่าไปสนใจมัน อย่าต่อต้านมัน

ไม่ต้องยุ่งกับมันด้วยวิธีใดๆ ปล่อยให้มันเป็นอย่างที่มันเป็น

การที่เธอพยายามต่อสู้กับมัน เป็นสิ่งที่ทำให้มันมีชีวิต กลายเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

แค่ไม่สนใจมัน มองผ่านทะลุมันไป

จำไว้เสมอว่า “อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น – เกิดขึ้นเพราะฉันเป็น”

ทั้งหมดนี้จะช่วยเตือนให้ตระหนักว่า เธอแค่มีอยู่เป็นอยู่

ฉกฉวยใช้ประโยชน์จจากข้อเท็จจริงที่ว่า การรับรู้ประสบการณ์ เกิดขึ้นเพราะเธอแค่มีอยู่เป็นอยู่

เธอไม่จำเป็นต้องพยายามหยุดคิด แค่หยุดสนใจความคิด

การหยุดสนใจนี้แหละที่ทำให้เธอเป็นอิสระ

อย่าหนี่ยวรั้ง อย่ายึดติด แค่นั้นเอง

โลกถูกสร้างขึ้นด้วยห่วงกลมมากมาย ตะขอทั้งหลายเป็นของเธอ

จงดัดตะขอของเธอให้ตรง แล้วจะไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยวเธอได้

จงออกจากการเสพคุ้นของเธอ ไม่มีอะไรอื่นที่เธอต้องเลิก

จงหยุดพฤติกรรมจากความละโมบที่เธอทำเป็นประจำ หยุดนิสัยการกระทำเพื่อหวังผล แล้วอิสรภาพแห่งจักรวาลจะเป็นของเธอ

จงหยุดใช้ความพยายามทั้งปวง

 

ถาม  ชีวิตคือความพยายาม มีอะไรที่ผมต้องทำอีกมากมาย

ตอบ  อะไรที่เธอต้องทำ ก็ทำไปสิ อย่าต้านมัน

สมดุลของเธอต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ โดยมีพื้นฐานอยู่บนการกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง ในแต่ละขณะ

อย่าเป็นเหมือนเด็กที่ไม่อยากโต

ความกระจองอแงไม่ช่วยอะไรเธอ

จงวางใจในการพึ่งพาสภาวะที่ปลอดจากความคิดของเธอ แรงบันดาลใจที่บริสุทธิ์ และการกระทำที่มีคุณธรรม

ทำเช่นนี้ เธอจะไม่มีวันผิดพลาดไปได้ จงไปให้สูงขึ้นและทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง

 

ถาม  แต่เราจะละทิ้งทุกอย่างได้ตลอดไปจริงหรือ?

ตอบ  เธอต้องการบางอย่างทีเป็นเหมือนความปิติยินดีที่คงอยู่ตลอดเวลา

ความปิติยินดีจำเป็นต้องเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะสมองของมนุษย์ไม่สามารถทนต่อความตึงเครียดได้เป็นเวลานาน

ความปิติยินดีที่ทรงอยู่นานๆ จะเผาไหม้สมองของเธอ ยกเว้นว่ามันละเอียดอ่อนอย่างที่สุด บริสุทธิ์อย่างที่สุด

ในธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่หยุดนิ่ง ทุกอย่างสั่นสะเทือนไหว เกิดขึ้นและดับไป

หัวใจ ลมหายใจ การย่อยอาหาร การหลับ การตื่น – การเกิด และการตาย ทุกอย่างเกิดดับในลักษณะของคลื่น

จังหวะ การเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ การสลับของจุดสูงสุดของคลื่นอย่างคงที่สม่ำเสมอ คือกฏการสั่นสะเทือน

ไม่มีประโยชน์ที่จะกบฏต่อรูปแบบแห่งชีวิตนี้

ถ้าเธอแสวงหาสิ่งที่ไม่เปลี่ยนรูป จงไปเหนือประสบการณ์ ไปให้พ้นจากสิ่งถูกรู้

เมื่อฉันพูดว่า – จดจำสภาวะ “ฉันเป็น” ไว้ตลอดเวลา ฉันหมายความว่า “กลับมาหามันครั้งแล้วครั้งเล่า”

ไม่มีความคิดใดที่จะเป็นสภาวะธรรมชาติของใจ มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่เป็นได้

ไม่ใช่ความคิดว่าเงียบ แต่เป็นตัวความเงียบเอง

เมื่อใจอยู่ในสภาวะธรรมชาติของมัน มันจะกลับคืนสู่ความเงียบทันทีหลังจากการก่อตัวขึ้นของทุกประสบการณ์หรือสิ่งถูกรู้ หรืออาจกล่าวว่า ประสบการณ์หรือสิ่งถูกรู้ก่อตัวขึ้นโดยมีความเงียบเป็นพื้นหลัง

สิ่งที่เธอได้เรียนรู้ที่นี่ เป็นเมล็ดพันธุ์ของเธอ

เธออาจลืมมันไปแล้ว – แต่มันจะคงอยู่และเมื่อถึงฤดูกาล มันก็จะเติบโตงอกงาม และออกดอกออกผล

ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นด้วยตัวมันเอง

เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพียงแต่อย่าขัดขวางการงอกงามของมัน เท่านั้นเอง

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 645899เขียนเมื่อ 22 มีนาคม 2018 19:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม 2018 19:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท