เรื่องที่ 2 มาตรฐานแรงงานกับการค้าระหว่างประเทศ
สหรัฐอเมริกา มีความความพยายามอย่างยิ่งในการนำเอาประเด็นแรงงาน(Labor Issues) เชื่อมโยงกับการค้าระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าการผลิตสินค้าและบริการออกสู่ตลาดโลกต้องคำนึงถึงสิทธิของผู้ใช้แรงงานด้วย มิใช่มุ่งเน้นแต่เพียงมูลค่าการส่งออกและรายได้ที่จะได้จากการผลิต ทั้งแรงงานถือเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญเช่นกัน แต่เป็นบุคคลที่มีชีวิตและจิตใจ จึงสมควรอย่างยิ่งที่เขาจะได้รับความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงาน อายุขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงานตามกรอบมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ และได้รับสวัสดิการรูปแบบต่างๆ จากนายจ้างของตนตามมาตรฐานขั้นต่ำที่เขาพึงได้รับ อีกทั้งประเทศผู้นำเข้าอย่างสหรัฐอเมริกาย่อมต้องคุ้มครองผลประโยชน์ของพลเมืองของประเทศตนโดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานภายในประเทศตนเช่นกัน เพื่อมิให้เกิดการแข่งขันกันลดมาตรฐานแรงงานภายในประเทศของตนให้ต่ำที่สุดเท่าที่จำได้เพื่อที่จะลดต้นทุนการผลิต(แรงงาน)ที่มีผลต่อการกำหนดราคาสินค้า จึงเรียกทฤษฎีนี้ว่า “race to the bottom[1]” และประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกายังเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนายังไม่มีมาตรฐานแรงงานอย่างเพียงพอที่จะคุ้มครองสิทธิแรงงานตามหลักสิทธิมนุษยชน เช่น การให้แรงงานเด็ก แรงงานไร้ฝีมือ(Unskilled Labor) ส่งผลให้ค่าจ้างแรงงานภายในประเทศราคาต่ำ[2]
อย่างไรก็ตามนานาประเทศโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาและประเทศด้อยพัฒนายังเคลือบแคลงและเกรงว่าการยกเอาประเด็นแรงงานเชื่อมโยงกับการค้าระหว่างประเทศนั้นเป็นความพยายามกีดกันทางการค้าแบบแอบแฝง(Disguised Protectionism) ต่อประเทศที่คุ้มครองสิทธิแรงงานในระดับต่ำอย่างกลุ่มประเทศของตน ด้วยเหตุที่มาตรฐานแรงงานต่ำนี้เองทำให้ประเทศกำลังพัฒนามีข้อได้เปรียบในการแข่งขันกับประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากค่าจ้างแรงงานซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนการผลิตประการหนึ่งมีราคาถูก ส่งผลให้การกำหนดราคาสินค้าถูกลงจึงทำให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถสามารถจำหน่ายสินค้าที่ส่งออกไปได้ในราคาถูกกว่าประเทศผู้นำเข้าสินค้า
ดังนั้นสหรัฐอเมริกาจึงพยายามผลักให้ Labor Standards เข้าไปอยู่ในกรอบความตกลงทางการค้าในประเภทต่างๆ ตั้งแต่ ความตกลงระดับพหุภาคี (Multilateral Agreement) คือร่างกฎบัตรฮาวานา(Havana Charter for an International Trade Organization 1948) ประเด็นมาตรฐานแรงงาน(Labor Standards)ปรากฏในเวทีเจรจาทางการค้าพหุภาคีครั้งแรกใน Article 7ได้วางหลักเกี่ยวกับพันธกรณีด้านแรงงานของประเทศสมาชิกว่ามาตรฐานแรงงานย่อมเชื่อมโยงกับการค้าระหว่างประเทศโดยตรงและประเทศสมาชิกยอมรับถึงสิทธิของผู้ใช้แรงงานและเห็นพ้องต้องกันว่ามาตรฐานแรงงานเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน(Common Interest)ที่อาจนำไปสู่ข้อพิพาททางการค้าได้ ดังนั้นเมื่อเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับมาตรฐานแรงงานย่อมขึ้นสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทของITO โดยความร่วมมือและการปรึกษาหารือร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศภายใต้ Havana Charter 1948
อย่างไรก็ตามการก่อตั้งITO ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากสหรัฐอเมริกาไม่ได้ให้สัตยาบันร่วมเป็นสมาชิก เนื่องจากสภาคองเกรสไม่เห็นชอบร่างกฎหมายในการจะเข้าเป็นสมาชิกในITO เมื่อไม่อาจก่อตั้งITOไม่ได้ ประเทศสมาชิกจึงเห็นพ้องต้องกันว่าให้ใช้ GATT เป็นข้อตกลงชั่วคราวเป็นกฎเกณฑ์ทางการค้าระหว่างประเทศไปพลางก่อน
ใน ค.ศ. 1953 สหรัฐอเมริกาพยายามที่จะนำ Article 7 ของ Havana Charter for an International Trade Organization 1948 (ITO) มารวมไว้อยู่ในข้อตกลง GATT(General Agreement on Tariffs and Trade) แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากไม่มีความตกลงใดให้อำนาจในการวางเงื่อนไขเรื่องแรงงานไม่เป็นธรรม(unfair labor conditions) แต่ยังมีความตกลงเกี่ยวกับประเด็นแรงงานในข้อยกเว้นทั่วไป(General Exception) ของ GATT Article XX (e) prison labor ซึ่งเป็นประเด็นเฉพาะเรื่องแรงงานนักโทษ
ต่อมาในการเจรจารอบอุรุกวัย (Uruguay Round 1986-1993) ในกรอบการเจรจา GATT ผู้แทนในการเจรจาของสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าประเทศหนึ่งได้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการกำหนดทิศทางทางสังคม(Social Dimensions)เข้าสู่การค้าระหว่างประเทศในฐานะข้อกำหนดทางสังคม(Social Clause)เนื่องจากประเทศคู่สัญญาได้ใช้วิธีการทุ่มตลาดทางสังคม[3](Social Dumping) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นมาตรฐานแรงงานให้เป็นข้อบทหนึ่งของการเจรจาGATTในรอบนี้ โดยอ้างเหตุผลสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะกำหนดมาตรฐานค่าแรงโลกหรือทำให้กลุ่มประเทศยากจนสูญเสียความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ
ในรอบการเจรจานี้เองประเทศภาคี GATT จำนวน 124 ประเทศ ได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองร่างกรรมาสารสุดท้าย(Final Act)ซึ่งเป็นระเบียบทางด้านการค้าที่เป็นผลจากการเจรจา[4]รอบอุรุกวัย และยอมรับให้มีการจัดตั้งองค์การการค้าโลก(World Trade Organization 1995 : WTO) และการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 1 ณ ประเทศสิงคโปร์ (The WTO Singapore Ministerial Conference in 1996) ประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เป็นต้น ได้พยายามผลักดันประเด็นการคุ้มครองสิทธิแรงงานกับการประชุมองค์การการค้าโลกระดับรัฐมนตรีในครั้งนี้เพื่อกำหนดให้มาตรฐานแรงงานเป็นข้อกำหนดหนึ่งทางการค้าที่ทำให้สามารถมีบทลงโทษทางการค้า(Trade Sanction)ผ่าน WTO โดยตรง แต่ผลสรุปจากการประชุมระดับรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกครั้งนี้[5] ที่ประชุมได้ตกลงว่าจะไม่มีการยกเอามาตรฐานแรงงานมาใช้เพื่อการกีดกันทางการค้า และตกลงว่าจะไม่มีการหยิบยกเรื่องข้อได้เปรียบเรื่องค่าจ้างแรงงานของประเทศสมาชิกโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่มีค่าจ้างแรงงานต่ำขึ้นมาเป็นประเด็นในการเจรจา และตกลงให้องค์การแรงงานระหว่างประเทศเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการเกี่ยวกับมาตรฐานแรงงาน และดูแลปัญหาด้านแรงงานโดย WTO มีอำนาจเพียงวางกรอบการค้าให้เท่าเทียมกันเท่านั้น และการก่อตั้ง WTO มิได้ให้ทางออกเรื่องสิทธิแรงงานกับการค้าระหว่างประเทศแต่อย่างใด ทั้งไม่ควรมีการนำเรื่องแรงงานเป็นเครื่องมือในการตอบโต้ทางการค้าระหว่างประเทศ ท่ามกลางความเห็นชอบของประเทศกำลังพัฒนาที่มองว่ามาตรฐานแรงงานเป็นการกีดกันทางการค้าแบบแอบแฝง
--ผลของการนำประเด็นแรงงานเชื่อมโยงกับการค้าจึงล้มเหลว
ความตกลงระดับภูมิภาค(Regional Agreement)
ความตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ(The North American Free Trade Agreement: NAFTA)ความร่วมมือด้านแรงงานในระดับภูมิภาคอเมริกาเหนือคือ NAALC และมี Labor Provisions เป็นพันธกรณีที่แยกต่างหากจากความตกลงเขตการค้าเสรีทวีปอเมริกาเหนือ (Side Agreement) กล่าวคือไม่ได้บังคับให้รัฐภาคีต้องผูกพันในฐานนะตัวบทที่บัญญัติใน NAFTA -ปัญหา—Trade Sanction การบังคับใช้และการระงับข้อพิพาทไม่ประสบผลสำเร็จในระหว่างประเทศสมาชิกเนื่องจาก Labor Provisions เป็นเพียง Side Agreement เท่านั้น
มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ(International Labor Standards) ภายใต้องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labor Organization: ILO)
มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศหรือมาตรฐานแรงงานสากลภายใต้ILO หมายถึง บรรดาบทบัญญัติและข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำงานต่างๆ ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศสมาชิกทั่วโลกขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ร่วมกันเจรจาและทำความตกลงกัน รับรองว่าว่าหลักเกณฑ์ใดบ้างเป็นมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของอนุสัญญา (Convention) และข้อเสนอแนะ (Recommendation)
แม้ ILO จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในฐานเป็นองค์การชำนาญพิเศษองค์การแรกของสหประชาชาติและเป็นองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล (Intergovernmental Organization) มีประเทศสมาชิกในองค์การมากกว่า 170 ประเทศจากทั่วโลก มีอนุสัญญา (Conventions) 185 ฉบับ และข้อเสนอแนะ(Recommendations) รวม 195 ฉบับ ซึ่งมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศในอนุสัญญาทั้ง 185 ฉบับนั้นประกอบไปด้วยมาตรฐานแรงงานหลัก(Core or Fundamental Labor Standards) และมาตรฐานแรงงานอื่นๆ
หากเป็นอนุสัญญาซึ่งเป็นความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกขององค์การฯเพื่อกำหนดมาตรฐานแรงงานที่มีความสำคัญแก่สิทธิแรงงาน(Worker’s Rights) เมื่อประเทศสมาชิกได้พิจารณาแล้วเลือกที่จะให้สัตยาบัน (Opt In) หรือเลือกที่จะไม่ให้สัตยาบัน (Opt Out) ก็ได้ อนุสัญญาฯฉบับนั้นก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์และผูกพันประเทศสมาชิกดังกล่าวมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาฉบับนั้นๆ อย่างครบถ้วน เช่น อนุวัติการการให้เป็นกฎหมายแรงงานภายประเทศ เพื่อบังคับใช้ในฐานะเป็นกฎหมายภายในของประเทศสมาชิก เป็นต้น
ส่วนข้อเสนอแนะ(Recommendation) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศนั้น เป็นเพียงข้อเสนอแนะขององค์การฯและเป็นการวางแนวทางในรายละเอียดเพื่อให้ประเทศสมาชิกนำไปปฏิบัติตาม โดยไม่มีความผูกพันทางกฎหมายต่อประเทศสมาชิกว่าต้องปฏิบัติตามความเห็นแนะนำดังกล่าวแต่อย่างใด
เมื่อปีค.ศ. 1998 ที่ประชุมใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศได้รับรองมาตรฐานแรงงานหลักตามปฏิญญาสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศว่าด้วยหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน ค.ศ. 1998 (ILO Declaration on Fundamental Principles and Rights at Work 1998 ) หรือเรียกว่า มาตรฐานแรงงานหลักหรือมาตรฐานแรงงานขั้นพื้นฐาน (Core or Fundamental Labor Standards) มี 4 ประการคือ
1. การห้ามใช้แรงงานบังคับ(Prohibition of forced labor) ตามอนุสัญญาแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 29 และ105
2. ประกันสิทธิในการสมาคมและสิทธิในการร่วมเจรจา(Guarantee of right to organize and bargain collectively) ตามอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 87 และ98
3. การขจัดการเลือกปฏิบัติในการจ้างงานและการประกอบอาชีพ(Elimination of discrimination against different categories of workers on basis gender ethnicity, etc.) ตามอนุสัญญาฯฉบับที่ 100 และ111
4. การห้ามใช้แรงงานเด็ก(Prohibition of child labor) ตามอนุสัญญาฯ ฉบับที่ 138และ182
ผู้เขียนได้เสนอแนะวิธีการที่เป็นบรรทัดฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับแรงงานกับการค้าในระหว่างที่ยังมีการโต้แย้งกันอยู่ในเวทีต่าง ได้แก่
1. การติดฉลากผลิตภัณฑ์(Product Labeling) เพื่อให้ผู้บริโภคทราบถึงต้นทุนการผลิตที่กำหนดราคาสินค้าแม้ว่าผู้บริโภคบางคนจะคำนึงถึงราคาของสินค้าก็ตาม แต่ก็มีผู้บริโภคไม่น้อยคำนึงถึงมาตรฐานแรงงานในสินค้าที่ผลิตด้วย โดยเฉพาะประเทศที่มีการยกระดับมาตรฐานแรงงานในประเทศให้สูง การสร้างทางปฏิบัติเช่นนี้แม้จะค่อยเป็นค่อยไป และใช้ได้กับผู้บริโภคบางกลุ่ม แต่ก็สามารถผลักดันเรื่องต้นทุนแรงงานของสินค้าส่งออกไปยังผู้บริโภคซึ่งเป็นการชดเชยต้นทุนของผู้ส่งออกในประเทศกำลังพัฒนาจากการกำหนดราคาสินค้าที่สูงขึ้น จึงไม่ทำให้ฝ่ายใดแย่ลง กล่าวคือ ผู้ส่งออกก็ไม่ขาดทุน ผู้บริโภคในประเทศที่พัฒนาแล้วก็ได้ทราบข้อเท็จจริงจากป้ายว่าสินค้านี้มีมาตรฐานแรงงาน ผู้ใช้แรงงานของประเทศผู้นำเข้าที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันก็ได้รับความคุ้มครองทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมในการกำหนดราคา ส่วนผู้ใช้แรงงานของประเทศผู้ส่งออกก็ได้รับความคุ้มครองและสวัสดิการที่ดีขึ้น นอกจากนี้การติดฉลากทำให้ประเทศผู้นำเข้าไม่อาจยกเป็นข้ออ้างเพื่อกีดกันสินค้าที่ติดฉลาก ทั้งวิธีการติดฉลากยังเกิดจากความสมัครใจของผู้ประกอบการเองรัฐจึงไม่ต้องใช้นโยบายเข้าแทรกแซง
อย่างไรก็ตามการติดฉลากก็ยังมีปัญหาว่าผู้ประกอบการในประเทศผู้ส่งออกนั้นได้ปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานโดยให้ความคุ้มครองแรงงานอย่างแท้จริงหรือไม่ และมาตรฐานกลางที่จะนำมากำหนดในการติดฉลากคืออะไร นอกจากนี้ ความซื่อสัตย์ของผู้ประกอบการผู้ส่งออกต่อผู้บริโภคในการระบุเกี่ยวกับมาตรฐานแรงงามีเพียงไร และพื้นที่ฉลากก็เล็กเกินกว่าที่จะระบุรายละเอียดทั้งหมดหรือไม่ เป็นสิ่งที่ดิฉันในฐานะผู้วิจารณ์เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่านำไปทบทวนต่อไป
2. การใช้มาตรการปกป้อง(Social Safeguards Clause)เป็นวิธีการที่ประเทศผู้นำเข้าใช้ตอบโต้สินค้าชนิดเดียวกัน เช่น มาตรฐานแรงงานในประเทศจีนต่ำ ส่งผลให้สินค้าที่ส่งออกจากประเทศจีนมีราคาถูกกว่าสินค้าที่จำหน่ายภายในประเทศผู้นำเข้า เป็นต้น นอกจากนี้มาตรการปกป้องเป็นมาตรการที่ WTO รับรองไว้ใน ความตกลงว่าด้วยการปกป้อง(Agreement of Safeguards)เพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดแก่ประเทศผู้นำเข้าและ เป็นกรณีที่ WTO ยอมให้ประเทศผู้นำเข้าใช้มาตรการใดๆ ซึ่งอาจขัดกับหลักการของ WTO ได้กับสินค้าที่นำเข้าที่มีปริมาณเพิ่มสูงมากจนก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อผู้ผลิตสินค้าภายในประเทศที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันในประเทศผู้นำเข้า มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่ใช้วิธีการอย่างไม่เลือกปฏิบัติ แต่ประเทศผู้ส่งออกที่ถูกใช้มาตรการสามารถตอบโต้ได้อย่างเลือกปฏิบัติ
นอกจากนั้นผู้เขียนเสนอแนะว่าควรสร้างการคุ้มครองทางสังคม(Social Safeguard) ดังนั้นจึงควรให้สังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างกฎเกณฑ์ในการปกป้องที่เป็นธรรมแก่ตลาดไปพร้อมๆกันด้วย โดยกำหนดว่าประเทศผู้นำเข้าจะใช้มาตรการปกป้องต่อเมือประเทศผู้ส่งออกกระทำการอันเป็นการขัดกับมาตรฐานทางจริยธรรมที่ของประเทศผู้นำเข้า และประเทศผู้นำเข้ามีหน้าที่ให้มาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศคู่ค้า ทั้งนี้ควรจะจัดตั้งองค์กรที่มีอำนาจที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องภายในประเทศผู้นำเข้าได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นหรือร่วมจัดตั้งคณะกรรมาธิการในองค์กรอังกล่าว เพื่อรับการร้องทุกข์และพิจารณาเพื่อระงับข้อพิพาทอันเกี่ยวกับการการทำผิดจริยธรรมทางสังคม โดยกำหนดมาตรฐานแรงงานที่เหมาะสมที่ประเทศผู้นำเข้าก็ต้องใช้มาตรฐานดังกล่าวภายในประเทศเช่นกัน และการพิจารณาเหตุในการเรียกร้องมาตรฐานแรงงานต้องได้รับการพิจารณาและวิเคราะห์จากบุคคลผู้มีส่วนได้เสียหลายๆ ฝ่าย เพื่อให้ได้เหตุเรียกร้องที่สมเหตุสมผล
ตามทัศนะของดิฉันเห็นว่า แม้มาตรการปกป้องจะเป็นมาตรการที่ WTO อนุญาตให้ประเทศสมาชิกสามารถใช้เพื่อตอบโต้ได้ แต่การให้มาตรการปกป้อง ขัดกับหลักการพื้นฐานของ WTO ที่ว่าเป็นการกีดกันทางการค้าและก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม เนื่องจากมาตรการของรัฐผู้นำเข้าออกมามีผลกระทบต่อผู้ส่งออกโดยตรงและยังมีปัญหาที่ค้างคาใจประเทศผู้ส่งออกโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนาว่ามาตรฐานแรงงานขั้นต่ำมีกินความเพียงใด ที่จะใช้มาตรการปกป้องประเทศผู้ส่งออกที่กระทำผิดต่อมาตรฐานจริยธรรม ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non Tariff Barriers)ได้เช่นกัน
บทวิจารณ์
ตามความเห็นของดิฉันเห็นว่าเป็นการกีดกันทางการค้าอย่างแอบแฝงปัจจัยหนึ่งมาจากการกีดการนำเข้าของประเทศคู่ค้า ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถสร้างข้อได้เปรียบโดยการทำให้ประเทศคู่ค้าเสียเปรียบในการส่งออกสินค้าประเภททุนต่ำเพื่อตีตลาดสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากภายนอกรายใหญ่ประเทศหนึ่ง เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระต่อผู้ประกอบการในประเทศ(โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาซึ่งไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ....)โดยเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตสินค้า อีกทั้งด้านสินค้าประเภทเทคโนโลยีประเทศกำลังพัฒนาก็มีความสามารถในการผลิตย่อมต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งหากว่าประเทศกำลังพัฒนาถูกลดอำนาจในการแข่งขันจากแรงงานซึ่งมีราคาถูกลง ประเทศกำลังพัฒนาย่อมเสียเปรียบประเทศที่พัฒนาแล้วมากยิ่งขึ้น
การออกมาตรการหรือนำมาตรการกีดกัน มาใช้อย่างเข้มงวดเกินไป จะทำให้ประเทศอื่นมองว่า เป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรม กลายเป็น "อุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี หรือ Non Tariff Barriers : NTBs เนื่องจากหลักสำคัญของการเปิดการค้าเสรีก็เพื่อให้สามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้เกิดการแข่งขันในสินค้าชนิดเดียวทั้งคุณภาพดีและราคาถูก อย่างไรก็ตามเมื่อมีการแข่งขันกันมากประเทศผู้นำเข้าจึงพยายามหามาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการนำเข้าสินค้า เช่น มีการติดฉลากว่าแรงงานภายในประเทศได้รับความคุ้มครองตามมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งสหรัฐเองเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับในการคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ และคุ้มครองแรงงานภายในประเทศด้วย ดังนั้นความพยายามของสหรัฐอเมริกาที่จะให้มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศมีผลบังคับใช้ในเวทีการเจรจาการค้าระหว่างประเทศหลายๆแห่งนั้น ควรจะต้องมาพิจารณาว่าแม้ว่าประเทศกำลังพัฒนาจะมีแรงงานราคาถูกส่งผลให้สินค้าที่ส่งออกราคาถูกตามไปด้วย แต่สหรัฐอเมริกาเองในฐานะประเทศผู้ส่งออกเทคโนโลยีที่ทันสมัยไปสู่ตลาดโลกได้กำไรมหาศาล ความได้เปรียบในเชิงเปรียบเทียบของประเทศทั้งสองกลุ่มก็คงสมเหตุสมผลพอที่จะไม่ต้องยกเอามาตรฐานแรงงานมาเกี่ยวข้องกับการค้า
แต่ควรยกระดับสิทธิแรงงานนั้นให้เป็นเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาคมระหว่างประเทศโดยน่าจะให้อำนาจองค์การแรงงานระหว่างประเทศองค์การเดียวที่จะมีอำนาจในการดูแลเรื่องมาตรฐานและการบังคับให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศเมื่อรัฐสมาชิกได้ให้สัตยาบันอนุสัญญาแล้ว ทั้งมีบทลงโทษทั้งทางเศรษฐกิจและค่าปรับพอสมควรจะรัฐสมาชิกที่ละเมิดพันธกรณี เมื่อมีองค์การที่เข้มแข็งในการบังคับใช้มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศที่เข้มแข็งแล้ว ย่อมไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่เป็นช่องทางในการกีดกันทางการค้าโดยอ้างว่ามาตรฐานแรงงานไม่ได้ถูกนำไปใช้ในประเทศคู่ค้า นอกจากนี้การใช้มาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศควรจะพิจารณาถึงความพร้อมและความสมัครใจของรัฐสมาชิกด้วย ที่จะปรับตัวและปรับนโยบายการบริหารงาน มิใช่บังคับให้รัฐสมาชิกโดยไม่มีอำนาจต่อรองใดเนื่องจากไม่มีอำนาจในการต่อรองการค้า เช่น กรณีสหรัฐอมริกาทำFTA กับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย
อย่างไรก็ตามหากพิจาณาอีกแง่หนึ่งโดยพิจาณาจากสิทธิขั้นพื้นฐานของตัวแรงงานซึ่งหมายถึงผู้ใช้แรงงาน ในฐานะผู้ถูกกระทำ จะเห็นว่าบุคคลดังกล่าวก็เป็นปัจเจกบุคคลเช่นเดียวกับบุคคลในอาชีพอื่น เพียงแต่อาจจะต่างตรงที่แรงงานนั้นเป็นบุคคลที่มีฐานะในทางเศรษฐกิจต่ำและมีอำนาจในการต่อรองไม่มากนักหากกระทำการเพียงคนเดียว จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะกฎเกณฑ์เข้ามากำหนดสิทธิหน้าที่ในนิติสัมพันธ์ในการจ้างงานโดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานคนเป็นวัตถุดิบหลักในการดำเนินกระบวนการผลิต