สำหรับผมถือว่านี่คือชีวิตที่สอง ชีวิตแรกนั้นคือชีวิตแห่งการทำงาน เต็มไปด้วยการผจญภัย อุปสรรค ความตื่นเต้น การเอาตัวรอด ความสำเร้จ ความผิดหวัง การเดินทางและการเรียนรู้ ชีวิตที่หนึ่งจบลงแล้ว เป็นเช่นที่เป้น เป็นประวัติศาสตรื ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้ มีแต่ความทรงจำ
ในขณะเดียวกัน ชีวิตที่สองเริ่มต้นทันทีเมื่อวันที่ 1 ตค. ของปีนั้น ช่วงเดือนแรก ปีแรก ผมรู้สึกถึงความสุขที่ได้เป็นอิสระจากงานประจำ อิสระจากการถูกกำหนดด้วยกฏเกณฑ์ต่างๆ ไม่อยากทำอะไรเลย ที่ไม่อยากทำ ทำแต่สิ่งที่อยากทำ อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกเกี่ยวกับชีวิตหลังเกษียณเปลี่ยนไปมาก ผมได้เรียนรู้ความจริงหลายเรื่องเกี่ยวกับชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งมีทั้งดีและน่าวิตก หรือจะใช้คำว่าน่ากลัวก็ได้ ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตที่สองนั้นสำคัญยิ่งนัก สำคัญมากกว่าที่คิด เป็นการผจญภัยครั้งใหม่ที่น่าตื่นเต้น
เห็นด้วยกับบทความของคุณพลเดชครับ ผมออกจากงานประจำ เมื่ออายุ 60 ปี แต่ไม่เรียกเกษียณ เนื่องจากผมสามารถทำงานต่อไปได้โดยไม่มีกำหนดให้ออก นอกจากผมจะออกเอง และเมื่อออกจากงานประจำแล้ว ก็ยังต้องทำงานอยู่แต่เป็นงานอิสระ ทำตามที่เราอยากจะทำ ตอนที่ออกจากงานประจำก็คิดว่าคงจะสบาย ทำงานเป็นที่ปรึกษา เป็นวิทยากร และเป็นผู้บริหารงานมูลนิธิฯ คงจะเป็นงานสบายๆไม่เหนื่อยและตืนสายได้ แต่จริงๆแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ต้องทำงานหนักกว่าเดิม ต้องค้นคว้าหาความรู้มากขึ้น และมีรายได้ไม่แน่นอน ความจริงผมเขียนบทความเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของผมลงใน gotoknow เช่นกัน เขียนไปได้หลายตอน แต่ยังไม่จบเนื่องจากยังไม่สามารถสรุปได้ว่าชีวิตหลังงานประจำจะเป็นอย่างไร ว่างๆจะหาเวลาเขียนต่อ
เพ่ิ่งได้อ่านชีวิตหลังเกษียณในบทความ ชีวิตที่สอง ที่ผ่านมาแล้ว 5 ปี ก็เดาว่าบัดนี้คงอายุ 65 แล้ว ผมก็คงมีอายุมากกว่านั้น 1 รอบปีนักษัตร และเห็นประโยขน์จากการให้ข้อคิดเห็นต่างๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่เกี่่ยวกับงานเขียนยึกยือที่บอกเล่าไว้ใน GotoKnow ขอให้ประสบความสำเร็จในทุกอย่างที่มุ่งหวัง โดยเฉพาะการนำประสบการณ์ และความรู้ทางสายธรรมออกเผยแพร่เรื่อยไป….วิโรจน์ ครับ