.
ปี 59 เป็นปีที่ผมโชคดีได้มาเป็นอาจารย์ มาทำในสิ่งที่รัก เลยโดนบังคับทางอ้อมให้อ่านหนังสือมากขึ้น
ซึ่งน่าจะเรียกว่าบังหลวมนะ เพราะเป็นการถูกบังคับที่สมยอม พร้อมใจสุดๆ มีความสุขที่โดน
เพราะปกติผมเป็นคนชอบหาความรู้ใส่สมองอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยจะตั้งเป้าการอ่านแบบเป็นรูปธรรมแบบมีตัวเลขชัดเจน
ปี 59 นี่ถูกบังหลวมให้อ่านหนังสือไป 10 กว่าเล่มได้ คือ เฉลี่ยเดือนละเล่ม
เมื่อก่อน อ่านแบบไม่มีเป้าหมายครับ ... มีแต่เป้าบิน ลอยไปลอยมา ปีนึงก็ไม่กี่เล่ม
ผมก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของจุดอ่อนระดับชาติเลย คนไทยอ่านหนังสือน้อยยยยยติดอันดับโลกด้านลบ
.
เอาละวะ ปี 60 นี่ตั้งเป้าเลยจะอ่านมันเลย 30 เล่ม
ไม่ได้ตั้งมั่วๆ นะครับ คือวิเคราะห์จากปีก่อน ว่าอ่านเฉลี่ยวันละ 10 หน้า
เห็นตัวเลขก็คำนวนว่าเราจะไปได้แค่ไหน ก็ตั้งเป้าไว้ประมาณ 3 เท่า บอกตัวเองวันละ 30 หน้านะ
คำนวนสะระตะแล้ว สิ้นปีต้องมี 30 เล่มตามเป้า
.
วิธีคือ ค่อยๆ ขยับครับ ขยับแบบมีวินัย ...ไม่โหมพรวดพลาด
ผมรู้ว่ากลไกสมองเราถ้าโหม มันจะไม่รับ ทำได้ไม่นานก็ล้ม เพราะ Capacity สมองมันมีจำกัด
ต้องสร้างความเคยชิน อ่าน 10 หน้าก่อน พอชินแล้วก็ค่อยๆ ขยับเป็น 15 หรือ 20
สำคัญที่มีวินัย ไม่ต้องมากแต่ทำประจำ จนเซลล์นิวรอนมันสานต่อแขนแอ้คซอนจนจับเป็นกลุ่มมากพอ
พอมันเกิด Capacity เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นนิสัยแล้ว ทีนี้ง่ายแล้วครับ จะรู้สึกมันส์ จะอ่านได้แบบก้าวกระโดดเลย
จากอ่านหนังสือได้ 10 นาที 15 นาที ... จนอ่านได้เป็น ชม.ๆ ... บางวันอ่านมันทั้งวัน
.
ปรากฏว่าเดือน กค. ปีที่แล้ว ผมมานับว่า อ่านไป 30 เล่มครับ ทะลุเป้าตั้งแต่กลางปี
สิ้นปีก็เลยไม่นับแล้วครับ มันกลายเป็นหนอนไปแล้ว ก่อนนอนวันไหนไม่อ่านจะรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไปด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้เฉลี่ยวันละ 50 หน้า แถมยังกลับมาทบทวนที่อ่านไปแล้วด้วย ...แหน่ะ
ผลลัพธ์ก็คือ เก่งขึ้นอย่างที่คนรอบข้างรู้สึกได้
การพูดจาก็ดีขึ้น ความคิดก็คมขึ้น มองอะไรด้วยตาที่สว่าง กว้างไกล หลายมุมมองยิ่งขึ้น
การสอนก็ได้ผลประเมินสูงขึ้น ...แน่นอน การเขียนก็ดีขึ้นเป็นเงาตามตัว....
เวลามีความรู้เพิ่มนี่ มันรู้สึกได้ว่ามีความสุขมากขึ้น ...ใครไม่เคยจะไม่รู้เลยครับ
ความรู้คือเชื้อเพลิงในการเร่งเครื่องพัฒนาศักยภาพ ทั้งเก่ง ดี และมีความสุข
.
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ก็ ก็คือ
- อ่านหนังสือดี 1 เล่ม ดีกว่าอ่านหนังสือทั่วไป 10 เล่ม ... ผมจะคัดจัดเกรด ไม่อ่านมั่ว
- อ่านแล้วได้อะไร อันนี้ต้องจดไว้ ไม่งั้นก็ลืม ถ้าจดแล้วเอาวิเคราะห์ ปรับมาใช้จริง อันนี้ถือว่าอ่านแล้วคุ้มที่สุด
- แง่การลงทุน ผมถือว่าการลงทุนกับหนังสือ นี่คุ้มค่าสุดๆ ครับ
ผมเคยอ่านหนังสือดีเล่มเดียว ลงทุน 200 บาท แล้วเอาไปสอนได้ค่าสอนทันที 5,000 กำไร 25 เท่า
และยังเอาไปปรับสอนต่อได้อีกหลายคอร์ส
.
และที่สำคัญที่เรามองข้าม ความรู้อันวิเศษสุด อยู่ที่พุทธศาสตร์ครับ
เรามักจะนับถือศาสนาด้วยความเป็นของสูง คือเอาไว้บูชา
อ่านพุทธประวัติ พระพุทธเจ้าปราบองคุลีมาร ก็สาธุๆๆ ท่านทรงมีปาฏิหารย์เหลือเกิน
อันนี้คือ ไม่ได้อ่านด้วยใจที่ต้องการเรียนรู้
.
ส่วนผมฉุกคิดว่า เอ๊ะ ท่านสมณะโคดม ทำอย่างไร เปลี่ยนใจจอมฆาตกรในตำนานที่กำลังจะมาฆ่าท่าน จนยอมหยุด
..และฟัง ..และกลับใจ .. และทิ้งดาบ..และขอติดตามเป็นสาวก ..และได้อย่างรวดเร็วสุดๆ ...และเกิดปาฏิหารย์...ฯลฯ
ธรรมดาไม่ต้องคนมาฆ่าหรอก เอาแค่คนมาด่าเรา อย่างดีเราก็แค่ไม่โกรธเขานี่ก็บุญหัวที่สุดแล้ว
นี่ท่านต้องมีกุศโลบายและยุทธการอันยอดเยี่ยม เราต้องมาวิเคราะห์ ถอด ประมวล และสังเคราะห์มาใช้ซิ
.
อ้อ ...ความเครียดโกรธแค้น ถ้าเหนื่อยมากแล้วจิตมันจะทิ้งอารมณ์ได้
พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงพาองคุลีมารวิ่งซะก่อน โยชน์นึง 16 กิโล...
ผมไปสอนคนอกหัก ว่าอย่าอยู่เฉยๆ จมความทุกข์ ให้ออกกำลังกายเยอะๆ นี่จะช่วยเยียวยาได้เร็วขึ้น
ดีกว่ามานั่งปลอบอกปลอบใจ จิตไม่รับฟังหรอกครับ ใครเคยอกหักก็รู้ ...
เหนือยเมื่อไหร่ มันหายเอง นี่เป็นความลับของธรรมชาติ ที่บรมครูสอนไว้แล้ว
ถ้าพิสูจน์มาเป็นหลักวิทยาศาสตร์จะพบเองว่าสมองมันทำงานอย่างไรในการบริหารอารมณ์
ซึ่งผมก็ขี้เกียจเขียน มันจะยาว และคนอ่านก็อาจไม่เชื่อ พิสูจน์กันเองดีกว่าเยอะ...
เวลาเครียด โกรธ จิตตก ลองขยับเขย่าตัว โดด เตะ ต่อย เยอะๆ ซิครับ ...แล้วจะรู้เอง
.
ผมบอกได้แค่ว่า องค์ความรู้สุดยอดอยู่ที่เมืองไทยนี่แหละครับ
หนังสือดีจึงหาง่ายมากๆๆๆๆๆ ง่ายแค่ไหน ง่ายแค่ขนตา ง่ายจนเรามองข้ามไง
ใครไม่อ่าน ผมอ่าน... จบนะครับ อิอิ
....(ู^_*)...
สวัสดีปีใหม่ครับ คนรักการอ่านอย่างไรก็ไม่ขาดทุนแน่นอนครับ