ธ สถิตในดวงใจไทย ตราบนิจนิรันดร์/ เตือนใจ เจริญพงษ์​


                                 ธ  สถิตในดวงใจไทย  ตราบนิจนิรันดร์/ เตือนใจ เจริญพงษ์

                                                                                                                    

            พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 

รัชกาลที่ 9 เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดขึ้นเพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 25–29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 หมายกำหนดการให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นวันถวายพระเพลิง  พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ เริ่มเตรียมการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เรื่อยมา มีการสร้างพระเมรุมาศ และอาคารประกอบ การบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาพิชัยราชรถ ราชยาน และเครื่องประกอบพระราชพิธี รวมถึงจัดงานมหรสพในงานออกพระเมรุ

               พระเมรุมาศครั้งนี้ ยึดหลักราชประเพณีโบราณตามสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยศึกษารูปแบบพระเมรุมาศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่8 อีกทั้งได้ยึดหลักไตรภูมิตามคัมภีร์พระพุทธศาสนา และความเชื่อว่าพระมหากษัตริย์ คือ สมมติเทพ ตามระบบเทวนิยม ที่มีแนวคิดว่าพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เป็นดั่งสมมติเทพอวตารลงมายังโลกมนุษย์เพื่อคุ้มครองให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อสวรรคตก็เสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ จากธรรมเนียมปฎิบัติตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีการจัดพระราชพิธีพระบรมศพอย่างยิ่งใหญ่ หลายขั้นตอนตั้งแต่การสรงน้ำพระบรมศพ การประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล สวดพระอภิธรรม โดยพระพิธีธรรมเป็นทำนองหลวง มีการทำพิธีกงเต็กหลวงเพื่อถวายพระราชกุศลแด่ดวงพระวิญญาณของพระมหากษัตริย์ กระทั่งถึงขั้นตอนการจัดงานพระบรมศพ พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ เริ่มตั้งแต่การก่อสร้างพระเมรุมาศ และ เครื่องประกอบต่างๆ อาทิ พระโกศจันท์นการบูรณปฎิสังขรณ์ราชรถ ราชยาน เป็นต้น

             พระเมรุมาศในรัชกาลที่9 ถือเป็นงานศิลปกรรมชั้นสูงที่มีการผสมผสานศิลปะชั้นสูงแขนงต่างๆมาประยุกต์เข้ากับโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการได้อย่างกลมกลืน และถ่ายทอดพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านไว้อย่างงดงาม และเป็นรูปธรรม

                  ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวของพระเมรุมาศ ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งศาสตร์และศิลป์ทุกแขนงในการถวายพระเกียรติยศแด่พระเจ้าแผ่นดินหลังจากเสด็จสวรรคต รายละเอียดน่าสนใจอย่างยิ่ง จึงขอรวมยกมาเป็น 9 เกร็ดพึงรู้ กล่าวคือ การก่อสร้างพระเมรุมาศครั้งนี้ ยังคงแก่นความสำคัญสะท้อนความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทยที่มีต่อพระองค์ท่าน ผ่านส่วนประกอบต่างๆ ที่ทำให้พระเมรุมาศสมพระเกียรติที่สุด นับจากนี้ คือ 9 ใจความสำคัญของพระเมรุมาศ ที่เรียบเรียงมานำเสนอ  

 

  • พระเมรุมาศ เปรียบเหมือน เขาพระสุเมรุ ใจกลางหลักจักรวาล ตั้งอยู่เหนือน้ำ 84,000 โยชน์ มีภูเขารองรับ 3 ลูก โดยส่วนฐาน คือ ตรีกูฏ (สามเส้าหรือสามยอด) มีภูเขาล้อมรอบ 7 ทิว เรียกว่า สัตตบริภัณฑคีรี ประกอบไปด้วยทิวเขา ยุคนธร กรวิก อิสินธร สุทัศ เนมินธร วินตก และอัสกัณ มีเทวดาจตุมหาราชิก และบริวารสถิตอยู่ ซึ่งทิวเขาเหล่านั้นก็คือ อาคารประกอบ ได้แก่ประดุจโบสถ์ วิหาร มีระเบียงล้อมรอบ ซึ่งเรียกว่าทับเกษตร หรือที่พัก
  • ลักษณะพระเมรุมาศที่ปรากฏมาแต่โบราณมีทั้ง พระเมรุทรงปราสาท และ พระเมรุทรงบุษบก
  • สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงสันนิษฐานเกี่ยวกับ คติการสร้าง “พระเมรุ” ว่าได้ชื่อมา แต่การปลูกสร้างปราสาทอันสูงใหญ่ ท่ามกลางปราสาทน้อย มีลักษณะดุจเขาพระสุเมรุตั้งอยู่ท่ามกลางเขาสัตตบริภัณฑ์ล้อมรอบ จึงเรียกว่าพระเมรุ 
  • ความสำคัญของการจัดพระราชพิธีพระบรมศพนั้น นอกจากจะถือเป็นการถวายพระเกียรติยศ แสดงความเคารพอย่างสูงสำหรับพระมหากษัตริย์แล้ว ในสมัยโบราณ พระราชพิธีนี้ ยังถือเป็นการประกาศความมั่นคงของบ้านเมือง เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคาบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแผ่นดินสืบสันตติวงศ์ต่อไป
  • ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นิยมปลูกสร้างเป็นรูปพระเมรุขนาดใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการสร้างพระเมรุมาศให้มีขนาด “ย่อมลง” อันเป็นไปตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงต้องการให้จัดงานแต่เหมาะสม มิให้สูงถึง 2 เส้นดังแต่กาลก่อน โดยยกพระเมรุชั้นนอกทรงปราสาทออกเสีย สร้างแต่องค์ใน คือ พระเมรุทองหรือพระเมรุมาศ ภายในตั้งพระจิตกาธานสำหรับประดิษฐานพระโกศพระบรมศพ
  • นอกจากขนาดของพระเมรุมาศแล้ว ในสมัยงานพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังมีพระบรมราชโองการแสดงพระราชประสงค์ให้รวบรัดหมายกำหนดการให้น้อยลง เพื่อประหยัดตามกาลสมัย โดยพระราชพินัยกรรมระบุถึงการจัดงานพระบรมศพให้งดราชประเพณีเก่า ๆ หลายอย่าง อาทิ การงดการโยงโปรย ยกเลิกนางร้องไห้ ซึ่งรบกวนพระราชหฤทัยตั้งแต่งานพระบรมศพพระราชบิดา เป็นเหตุให้ประเพณีดังกล่าวงดตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา การยกเลิกการถวายพระเพลิงพระบุพโพกลางแจ้งด้วยวิธีการเคี่ยว เป็นต้น 
  • ในอดีต การถวายพระเพลิงพระศพแต่โบราณ มีรายละเอียดมาก กําหนดเป็นงานใหญ่ในช่วงฤดูกาลที่ไม่มีฝนอย่างเดือนเมษายน ใช้เวลาประมาณ 14 วัน 14 คืน เป็นเกณฑ์ มักจะเริ่มงาน ตั้งแต่ขึ้น 5 ค่ำ หรือ 6 ค่ำ ไปจนถึงแรม 4 ค่ำ ที่เป็นแบบนั้น ก็เพราะในสมัยโบราณ จําเป็นต้องอาศัยแสงจันทร์ช่วยให้ความสว่างด้วยนั่นเอง
  • สำหรับรายละเอียดในงานออกพระเมรุ จะเริ่มด้วยการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกสู่พระเมรุพระราชาคณะสวดพระพุทธมนต์ในวันแรก แล้วค่อยจัดสมโภชพระบรมสารีริกธาตุด้วยการจุดดอกไม้ไฟในค่ำวันที่ 2 ก่อนจะอัญเชิญพระบรมอัฐิออกสู่พระเมรุ สมโภช 1 วันกับ 1 คืน แล้วจึงอัญเชิญกลับ
  • พระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ประกอบด้วยอาคารทรงบุษบก จำนวน 9 องค์ ตั้งอยู่บนฐานชาลารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส 3 ชั้น มีบันไดทางขึ้น ทั้ง 4 ทิศ ทิศตะวันตกหันหน้าเข้าพระที่นั่งทรงธรรม ทิศตะวันออกติดตั้งลิฟต์ และทิศเหนือติดตั้งสะพานเกรินสำหรับเชิญพระบรมโกศจากราชรถปืนใหญ่ขึ้นบนพระเมรุมาศบนยอดเขาพระสุเมรุ คือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งยอดบนสูงสุดของพระเมรุมาศ มีการจารึกพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย และเศวตฉัตร

การสร้างพระเมรุมาศในแต่ละครั้งถือเป็นงานใหญ่ มีหลักฐานปรากฏมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สืบทอดเป็นแบบแผนให้กับงานพระราชพิธีจนมาถึงปัจจุบัน ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมชั้นสูงที่ต้องเรียนรู้การสร้างอาคารหมู่ และอาคารหลังเดี่ยวทั้งเล็กและใหญ่ รู้กระบวนการช่างไทยทุกสาขา ทั้งด้านศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมรวมกันทุกแขนง

พระเมรุทรงปราสาท คือ อาคารพระเมรุมีรูปลักษณะอย่างปราสาท สร้างเรือนบุษบกบัลลังก์ คือ พระเมรุทองซ้อนอยู่ภายใน พระเมรุทองประดิษฐานบนเบญจา พระจิตกาธานรองรับพระโกศพระศพ ปิดทองล่องชาด พระเมรุทรงปราสาทนี้ยังแยกได้อีก 2 ลักษณะ คือ พระเมรุทรงปราสาทยอดปรางค์ และ พระเมรุทรงปราสาทยอดมณฑป ซึ่งปรากฏในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

พระเมรุทรงบุษบก คือ พระเมรุที่สร้างบนพื้นที่ราบ โดยดัดแปลงอาคารปราสาทเป็นเรือนบุษบกขยายพระเมรุทองในปราสาทที่เป็นเรือนบุษบกบัลลังก์แต่เดิมให้ใหญ่ขึ้น เพื่อการถวายพระเพลิง ตั้งเบญจาพระจิตกาธานรับพระโกศพระบรมศพ ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในงานถวาย พระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 

ภายหลัง เมื่อทำย่อลง ไม่มีอะไรล้อม เหลือแต่ยอดแหลมๆ ก็ยังคงเรียกเมรุ ด้วยคนไทยมีความเชื่อ และยึดถือ เรื่องไตรภูมิตามคติทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงภาพจักรวาล มีเขาพระสุเมรุเป็นศูนย์กลางของภูมิทั้งสาม รายล้อมด้วยสรรพสิ่งนานา อันเป็นวิมานของท้าวจตุโลกบาล และเขาสัตตบริภัณฑ์ ดังนั้น จึงนําคติความเชื่อจากไตรภูมิมาเป็นแนวทางในการจัดพิธีถวายพระเพลิง เพื่อได้ถึงภพแห่งความดีงามอันมีแดนอยู่ที่เขาพระสุเมรุ สิ่งก้อสร้างในพระราชพิธีถวายพระเพลิง จะจําลองให้ละม้ายกับดินแดนเขาพระสุเมรุด้วย

ส่วนหนึ่ง ดูจากการสร้างพระเมรุมาศประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพว่า สามารถทำได้ยิ่งใหญ่เพียงใด เพราะส่วนที่บ่งบอกถึงฐานะ และอำนาจของพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ได้อย่างดีประการหนึ่ง จึงถือได้ว่า งานพระเมรุเป็นศักดิ์ศรีและเป็นเกียรติยศที่ปรากฏแผ่ไพศาลตั้งแต่ต้นแผ่นดิน ครั้นถึงรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชบันทึกตัดทอนการปลูกสร้างพระเมรุมาศ และการบำเพ็ญพระราชกุศลของพระองค์ลงอีกหลายประการ งานพระเมรุจึงลดขนาดลงนับตั้งแต่นั้นมา

จากนั้นจึงอัญเชิญพระบรมศพออกจากพระมหาปราสาทไปสมโภช ณ พระเมรุมาศ 7 วัน 7 คืน โดยหลังจากถวายพระเพลิงเสร็จแล้ว ก็จะสมโภชพระบรมอัฐิ อีก 3 วัน 3 คืน รวม 14 วัน 14 คืน

     ปัจจุบัน มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียด และตัดทอนพิธีกรรมหลายๆ อย่างลง เช่น งดการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระบรมอัฐิออก สมโภชก่อนงานพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมศพ พระศพ ทําให้ตัดทอนพิธีอื่นๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น การจุดดอกไม้ไฟสมโภช หรือ ลดการสมโภชพระศพเมื่อประดิษฐานบนพระเมรุแล้ว เป็นต้น

ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช งานภูมิสถาปัตยกรรมเชื่อมโยงกับตัวอาคาร เข้ากับสิ่งที่แสดงถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 อันมีความเกี่ยวพันกับโครงการพระราชดำริ ในพื้นที่ด้านทิศเหนือ เป็นทางเข้าหลักสู่พระเมรุมาศ มีการสร้างสระน้ำบริเวณ 4 มุม การจำลองนาขั้นบันได หญ้าแฝก แก้มลิง และกังหันน้ำชัยพัฒนา รวมทั้งพันธุ์ข้าวจากภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ พันธุ์ปทุมธานี 1 เป็นตัวแทนของข้าวภาคกลาง พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นตัวแทนของข้าวในภาคอีสานและเหนือที่นิยมปลูกข้าวพันธุ์นี้ พันธุ์ข้าว กข 31 หรือพันธุ์ปทุมธานี 80 ที่ตั้งชื่อเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา โดยออกแบบแปลงนาเชิงสัญลักษณ์ให้เป็นเลขเก้าไทยสีดินทอง เป็นสัญลักษณ์สื่อว่าพระเมรุมาศนี้สร้างขึ้นเพื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 กษัตริย์นักพัฒนา

โดยโครงสร้างพระเมรุมาศ ประกอบด้วย ลานอุตราวรรต หรือ พื้นรอบฐานพระเมรุมาศ มีสระอโนดาดทั้งสี่ทิศ และเขามอจำลอง มีประติมากรรมสัตว์หิมพานต์ ได้แก่ ช้าง โค สิงห์ ม้า และสัตว์หิมพานต์ตระกูลต่างๆ ประดับโดยรอบ

ฐานชาลาชั้นที่ มีฐานสิงห์เป็นรั้วราชวัตร ฉัตร แสดงอาณาเขตพระเมรุมาศ และมีเทวดานั่งคุกเข่าถือบังแทรก

ฐานชาลาชั้นที่ มีหอเปลื้องทรงบุษบกรูปแบบเดียวกันตั้งอยู่ที่มุมทั้งสี่ ใช้สำหรับจัดเก็บพระโกศทองใหญ่และพระโกศไม้จันทน์ รวมถึงอุปกรณ์สำหรับงานพระราชพิธี

ฐานชาลาชั้นที่ ฐานบุษบกประธานประดับประติมากรรมเทพชุมนุม จำนวน 132 องค์โดยรอบ รองรับด้วยฐานสิงห์ซึ่งประดับประติมากรรมครุฑยุดนาคโดยรอบอีกชั้นหนึ่ง มุมทั้งสี่ของฐานชั้นที่ 3 นี้ เป็นที่ตั้งของซ่างทรงบุษบกยอดมณฑปชั้นเชิงกลอน 5 ชั้น 

จุดกึ่งกลางชั้นบนสุดมีบุษบกองค์ประธานตั้งอยู่ เป็นอาคารทรงบุษบกยอดมณฑปชั้นเชิงกลอน 7 ชั้น ภายในมีพระจิตกาธาน เป็นที่ประดิษฐานพระบรมโกศ ผนังโดยรอบเปิดโล่ง ติดตั้งพระวิสูตร (ม่าน) และฉากบังเพลิงเขียนภาพพระนารายณ์อวตารตอนบน และภาพโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริตอนล่าง ที่ยอดบนสุด ประดิษฐานนพปฎลมหาเศวตฉัตร

        บรรยากาศครั้งนี้ แม้รัฐบาลได้จัดเตรียมพระเมรุมาศจำลองไว้ทุกทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนก็ตาม แต่ปรากฎว่ามีประชาชนนับแสนคนยังคงหลั่งไหลจากทั่วประเทศเดินทางมาร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยทยอยผ่านจุดคัดกรอง 9 จุด คือแยกสะพานมอญ, ท่าช้าง, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พระแม่ธรณีบีบมวยผม, ถนนกัลญาณไมตรี, แยกสะพานช้างโรงสี, แยกพระเชตุพน, แยกท่าพระจันทร์ และใต้สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะปิดจุดคัดกรองในเวลา 06.00 น. โดยมีประชาชนเข้าพื้นที่ กว่า 110,000 คน

ส่วนบรรยากาศที่บริเวณถนนราชดำเนินกลาง ประชาชนยังคงทยอยเดินทางเข้ามาในพื้นที่สนามหลวงอย่างเนืองแน่น เพื่อจับจองพื้นที่ที่ใกล้ที่สุดแม้จะเข้าไปในส่วนพระราชพิธีไม่ได้ก็ตาม โดยส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงในการเดินเข้ามาพื้นที่ด้านใน แม้จะไม่สามารถหาที่นั่งได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่ย่อท้อ โดยระบุว่าขอพยายามเดินเข้าไปให้ใกล้สนามหลวงมากที่สุด

           สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงร่วมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศอัญเชิญพระบรมศพไปยังพระเมรุมาศ พสกนิกรชาวไทยต่างร่ำไห้ ด้วยความอาลัยอย่างหาที่สุดมิได้

 เมื่อริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศเคลื่อนผ่าน มีประชาชนมาเฝ้าชมตลอด 2 ข้างฝั่งบริเวณฟุตปาธเป็นจำนวนมาก ทั้งถนนมหาราช ถนนท้ายวัง ถนนสนามไชย หน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ถนนสนามไชย เข้าสู่ถนนราชดำเนินใน โดยประชาชนทุกต่างใส่เสื้อสีดำสุภาพ อยู่ในอาการสำรวม มีใบหน้าที่เศร้าหมอง ต่างมีกำลังใจที่มุ่งมั่นเพื่อจะเข้าร่วมในพิธีประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมา แม้แดดจะร้อนแต่ก็ไม่ย้อท้อ ขอเพียงให้ได้อยู่ใกล้ชิดริ้วขบวน และเมื่อริ้วขบวนเคลื่อนผ่านหรือใกล้เข้ามาต่างชูภาพพระบรมฉายาลักษณ์ไว้เหนือศีรษะ บ้างถือไว้แนบอก บางคนก้มกราบแนบพื้นน้ำตาคลอ และยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพประวัติศาสตร์ที่ทุกคนจะไม่มีวันลืมเลือน

     อนึ่ง งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ครั้งนี้ ปรากฎว่ามีสมาชิกราชวงศ์และบุคคลสำคัญจาก42 ประเทศ ประกอบด้วย พระประมุข ประมุข และพระราชวงศ์ รวม 24 ประเทศ อาทิ สมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน, สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งภูฏาน, จ้าชายอะกิชิโนะ และพระชายา แห่งญี่ปุ่น, แกรนด์ดยุก กีโยม ฌอง โจเซฟ มารี รัชทายาทแห่งลักเซมเบิร์ก เป็นต้น และรองประมุข หัวหน้ารัฐบาล และผู้แทนพิเศษ รวม 18 ประเทศ เช่น นายเจมส์ แม็ตติส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา, นายจาง เกาลี่ รองนายกรัฐมนตรีจีน, นายฌอง-มาร์ก อายโรลต์ อดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส และภริยา เป็นต้น ได้เดินทางเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อน้อมรำลึกถึงองค์พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างราชอาณาจักรไทยและนานาประเทศ พร้อมกับถวายดอกไม้จันทน์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2560 ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กรุงเทพมหานคร 

………………………………………………………………………………………………………………

ที่มาข้อมูล: วารสารนนทรี  สมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์(ส.มก.)

                  ฉบับที่3 ปี 2560-2561  เดือนตุลาคม – มกราคม

          

 

                     

 

 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท