i am that 42


42. ความจริงแท้เป็นสิ่งเหนือคำบรรยาย


ถาม  ผมได้สังเกตเห็นว่ามีตัวตนใหม่เกิดขึ้นในตัวผม เป็นอิสระจากตัวตนเดิม

ทั้งสองส่วนนี้อยู่ด้วยกัน

ตัวตนเดิมดำเนินไปตามนิสัยที่เคยเป็นมา ตัวตนใหม่ปล่อยให้ตัวตนเดิมดำเนินไป แต่ไม่เข้าไปพัวพันด้วย

ตอบ  แล้วตัวตนใหม่กับตัวตนเก่าต่างกันตรงไหน?

 

ถาม  ตัวตนเก่าต้องการให้มีคำจำกัดความและคำอธิบายในทุกสิ่ง

มันต้องการให้สิ่งต่างๆเข้ากันอย่างเหมาะสมด้วยคำพูด

แต่ตัวตนใหม่ไม่สนใจคำอธิบาย – มันยอมรับสิ่งต่างๆอย่างที่เป็น และไม่แสวงหาที่จะสร้างความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในความทรงจำ

ตอบ  แล้วเธอตระหนักอย่างเต็มเปี่ยมตลอดเวลาหรือเปล่าถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นความเคยชินและสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณ

ทัศนคติของตัวตนเก่ากับตัวตนใหม่เป็นอย่างไร?

 

ถาม  ตัวตนใหม่แค่มองดูตัวตนเก่าด้วยความเฉยๆ ไม่เป็นเพื่อนแต่ก็ไม่เป็นศัตรู

มันแค่ยอมรับตัวตนเก่าเช่นเดียวกับที่มันยอมรับทุกสิ่ง

มันไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่เป็นอยู่ของมัน แต่มันก็ไม่ยอมรับคุณค่าและความถูกต้องของมัน

ตอบ  ตัวตนใหม่คือการปฏิเสธตัวตนเก่าอย่างสิ้นเชิง

ตัวตนใหม่ที่ยอมรับทุกสิ่งไม่ใหม่จริง

มันเป็นแค่ทัศนคติใหม่ของตัวตนเก่า

ตัวตนใหม่ที่แท้จะลบล้างตัวตนเก่าโดยสิ้นเชิง

สองตัวตนไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้

มันมีกระบวนการปลดเปลื้องตัวเอง การปฏิเสธอย่างต่อเนื่องที่จะยอมรับแนวคิดและคุณค่าเก่า หรือมันเป็นแค่ความอดกลั้นต่อกัน?

ความสัมพันธ์ของตัวตนทั้งสองเป็นแบบไหน?

 

ถาม  มันไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ชัดเจน แค่มีอยู่ร่วมกัน

ตอบ  เมื่อเธอพูดเกี่ยวกับตัวตนเก่าและใหม่ เธอมีใครอยู่ในใจ?

เมื่อมีความต่อเนื่องในความทรงจำระหว่างสองตัวตน แต่ละตัวตนจดจำกันได้ แล้วเธอพูดถึงทั้งสองตัวตนได้อย่างไร?

 

ถาม  ตัวตนหนึ่งเป็นทาสของนิสัยเดิม อีกตัวตนหนึ่งไม่เป็น

ตัวตนหนึ่งสร้างแนวความคิด อีกตัวตนหนึ่งเป็นอิสระจากทุกแนวคิด

ตอบ  ทำไมจึงมีสองตัวตน?

ระหว่างตัวตนที่อยู่กับความยึดมั่น และตัวตนที่เป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ซึ่งกัน

การที่มันมีอยู่ร่วมกันได้ เป็นข้อพิสูจน์วามันมีพื้นฐานเดียวกัน

ตัวตนมีแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น – มันเป็น “เดี๋ยวนี้” เสมอ

สิ่งที่เธอเรียกว่าอีกตัวตนหนึ่ง – ไม่ว่าจะใหม่หรือเก่า – เป็นแค่ตัวช่วย เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของตัวตน

ตัวตนเป็นหนึ่งเดียว

เธอคือตัวตนนั้น และเธอมีแนวคิดว่าเธอเคยเป็นอะไรในอดีต และจะเป็นอะไรในอนาคต

แต่แนวคิดไม่ใช่ตัวตน

ขณะนี้ เมื่อเธอนั่งอยู่ต่อหน้าฉัน เธอเป็นตัวตนอันไหน? เก่าหรือใหม่?

 

ถาม  ตัวตนเก่าและใหม่ขัดแย้งกัน

ตอบ  ระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่และสิ่งที่ไม่เป็นอยู่ จะมีความขัดแย้งกันได้อย่างไร?

ความขัดแย้งคือลักษณะเฉพาะของตัวตนเก่า

เมื่อตัวตนใหม่อุบัติขึ้นและตัวตนเก่าไม่มีอยู่อีกต่อไป

เธอจะไม่สามารถพูดถึงตัวตนใหม่ละความขัดแย้งในขณะเดียวกัน

แม้ความพยายามที่จะฝ่าฟันเพื่อตัวตนใหม่ ก็คือตัวตนเก่า

ที่ใดมีความขัดแย้ง ความพยายาม ความฝ่าฟัน การรอคอยความเปลี่ยนแปลง นั่นไม่ใช่ตัวตนใหม่

เธอเป็นอิสระแค่ไหนจากแนวโน้มตามความเคยชิน ที่จะสร้างและยืดเวลาให้ความขัดแย้ง?

 

ถาม  ผมไม่สามารถพูดว่าขณะนี้ผมเป็นคนใหม่ที่แตกต่างจากเดิม

แต่ผมได้ค้นพบสิ่งใหม่เกี่ยวกับตัวผม สภาวะซึ่งผมไม่เคยประสบมาก่อน และมันแปลกใหม่พอที่จะทำให้ผมเรียกมันว่า ตัวตนใหม่

ตอบ  ตัวตนเก่าคือตัวตนของเธอ

สภาวะซึ่งอุบัติขึ้นโดยฉับพลันทันที และไร้สาเหตุ ไร้รอยเปื้อนของตัวตน เธออาจเรียกมันว่า “พระเจ้า”

สิ่งซึ่งไร้เมล็ดพันธุ์และไร้ราก สิ่งซึ่งไม่แตกหน่อและเติบโต ออกดอกและให้ผล สิ่งซึ่งเกิดขึ้นโดยฉับพลันและมีความรุ่งโรจน์อย่างเต็มที่ อย่างลึกลับและอย่างน่าพิศวง เธออาจเรียกสิ่งนั้นว่า “พระเจ้า”

มันเป็นสิ่งไม่คาดฝันอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เป็นสิ่งที่คุ้นเคยอย่างอนันต์แต่ก็น่าประหลาดใจอย่างที่สุด อยู่เหนือความหวังทั้งปวงแต่มีความแน่นอนอย่างสมบูรณ์

เนื่องจากมันไม่มีสาเหตุ มันจึงไม่มีอุปสรรค

มันเป็นไปตามกฏข้อเดียวเท่านั้น นั่นคือกฏแห่งอิสรภาพ

สิ่งใดก็ตามที่หมายถึงความต่อเนื่อง ลำดับ การผ่านจากเวทีหนึ่งสู่เวทีหนึ่ง ไม่สามารถที่จะเป็นความจริงแท้

ในความจริงแท้ไม่มีความก้าวหน้า มันเป็นความสิ้นสุด สมบูรณ์แบบ ไม่สัมพันธ์กับสิ่งใด

 

ถาม  ผมจะทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

ตอบ  เธอไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้มันเกิดขึ้น แต่เธอสามารถหลีกเลี่ยงการก่อให้เกิดอุปสรรค

จงเฝ้ามองใจของเธอ มันก่อตัวขึ้นอย่างไร มันทำงานอย่างไร

ขณะที่เธอเฝ้ามองใจ เธอค้นพบตัวตนของเธอในลักษณะของผู้เฝ้าดู

เมื่อเธอไม่เคลื่อนไหว แค่เฝ้าดู เธอค้นพบตัวเธอในลักษณะของแสงสว่างเบื้องหลังผู้เฝ้าดู

ต้นตอของแสงสว่างคือความมืด ต้นตอของความรู้คือความไม่รู้

ต้นตอนั้นแหละ “เป็น”

กลับไปที่ต้นตอ และพักพิงอยู่ที่นั่น

มันไม่ได้อยู่ในท้องฟ้า หรืออยู่ในอีเธอร์ที่แทรกซึมในทุกสิ่ง

พระเจ้าคือทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ ฉันไม่ได้เป็นสิ่งใด ไม่มีสิ่งใด ไม่สามารถทำสิ่งใด

แต่ทุกสิ่งออกมาจากฉัน – ต้นตอคือฉัน ราก แหล่งกำเนิด คือฉัน

เมื่อความจริงแท้ระเบิดอยู่ภายในเธอ เธออาจเรียกมันว่าเธอได้รับรู้ประสบการณ์ของพระเจ้า

หรือที่ถูกก็คือ มันคือพระเจ้าที่ได้รับรู้ประสบการณ์ความเป็นเธอ

พระเจ้ารู้จักเธอเมื่อเธอรู้จักตัวเอง

ความจริงแท้ไม่ใช่ผลของกระบวนการ มันคือการระเบิด

มันอยู่เหนือใจโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งหมดที่เธอทำได้คือ การรู้จักใจของเธออย่างดี

ไม่ใช่ว่าใจจะช่วยเธอ แต่เมื่อเธอรู้จักใจของเธอ เธออาจหลีกเลี่ยงการที่ใจทำให้เธอสูญเสียสมรรถภาพ

เธอต้องตื่นตัวอย่างยิ่ง มิฉะนั้นใจจะหลอกลวงเธอ

เหมือนการเฝ้าระวังโจร – ไม่ใช่ว่าเธอจะหวังอะไรจากโจร แต่เธอไม่ต้องการถูกปล้น

ในลักษณะเดียวกัน เธอให้ความสนใจอย่างมากต่อใจ โดยไม่คาดหวังอะไรจากมัน

หรือ ลองฟังอีกตัวอย่างหนึ่ง

เราตื่นและเราหลับ

หลังจากทำงานมาทั้งวัน การหลับเกิดขึ้น

ทีนี้ ฉันไปสู่การหลับ หรือความไม่สนใจ – ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสภาวะหลับ – มาหาฉัน?

อีกนัยหนึ่ง – เราตื่นเพราะเราหลับ

เราไม่ได้ตื่นขึ้นสู่สภาวะแห่งการตื่นอย่างแท้จริง

ในสภาวะตื่น โลกอุบัติขึ้นเนื่องจากความโง่เขลา และนำบุคคลไปสู่สภาวะ ตื่น-ฝัน

ทั้งการหลับและการตื่นเป็นการใช้คำที่ผิด

เราแค่ฝัน

การตื่นที่แท้และการหลับที่แท้ เป็นสิ่งที่ท่านผู้รู้ (jnana) เท่านั้นจะรู้ได้

เราฝันว่าเราตื่น เราฝันว่าเราหลับ

ทั้งสามสภาวะเป็นเพียงความหลากหลายของสภาวะฝัน

การบอกว่าทุกสิ่งเป็นแค่ความฝัน จะทำให้บุคคลเป็นอิสระ

ตราบใดที่เธอให้ความเป็นจริงแก่ความฝัน เธอก็ยังคงเป็นทาสของมัน

โดยการสร้างจินตนาการว่าเธอเกิดมาเป็นคนนั้นคนนี้ เธอกลายเป็นทาสของความเป็นคนนั้นคนนี้

แก่นแท้ของความเป็นทาส คือการจินตนาการว่าตัวเธอเป็นกระบวนการ มีอดีตและมีอนาคต มีประวัติ

อันที่จริง เราไม่มีประวัติ เราไม่ใช่กระบวนการ เราไม่ได้พัฒนาหรือไม่เสื่อมสลาย เห็นทุกสิ่งเป็นแค่ความฝัน และอย่าเข้าไปยุ่งกับมัน

 

ถาม  การที่ผมมาฟังท่าน จะเกิดประโยชน์อะไรบ้าง?

ตอบ  ฉันกำลังเรียกให้เธอกลับมาหาตัวเอง

ทั้งหมดที่ฉันขอจากเธอคือ ให้เธอมองดูตัวเอง เข้าไปหาตัวเอง เข้าไปภายในตัวเธอเอง

 

ถาม  เพื่ออะไร?

ตอบ  เธอมีชีวิตอยู่ เธอรู้สึก เธอคิด

เมื่อเธอให้ความสนใจแก่การมีชีวิต ความรู้สึก และความคิดของเธอ เธอปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากชีวิต ความรู้สึก ความคิด และไปเหนือสิ่งเหล่านั้น

บุคลิกภาพของเธอจะละลายไป เหลือเพียงผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู

จากนั้น เธอไปเหนือผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู

อย่าถามว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร

แค่ค้นหาภายในตัวเธอเอง

 

ถาม  อะไรทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างอัตตาตัวตนและผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู?

ตอบ  ทั้งคู่ต่างก็เป็นโหมดของความรู้ตัว

ในโหมดของอัตตาตัวตน เธอมีความต้องการและความกลัว ในโหมดผู้เฝ้ารู้เฝ้าดู เธอไม่ถูกกระทบโดยความเพลิดเพลินและความเจ็บปวด ไม่สะทกสะเทือนโดยเหตุการณ์ต่างๆ

เธอปล่อยให้มันมาแล้วก็ไป

 

ถาม  บุคคลจะเข้าถึงสภาวะที่สูงขึ้น – สภาวะของการเฝ้ารู้เฝ้าดูที่บริสุทธิ์ ได้อย่างไร?

ตอบ  ความรู้ตัวไม่ได้ส่องสว่างด้วยตัวมันเอง

มันส่องสว่างด้วยแสงที่อยู่เหนือมัน

เมื่อเธอได้เห็นคุณภาพที่เหมือนความฝันของความรู้ตัวแล้ว ให้มองหาแสงที่ความรู้ตัวนี้เกิดขึ้นภายใน แสงซึ่งทำให้มันมีอยู่เป็นอยู่

มันมีเนื้อหาของความรู้ตัว และการตระหนักถึงความรู้ตัวด้วย

 

ถาม  ผมรู้ และผมรู้ว่าผมรู้

ตอบ  ใช่ และการรู้อันที่สองนั้นเป็นการรู้ที่ไร้เงื่อนไขและไร้กาลเวลา

ไม่ต้องสนใจสิ่งที่ถูกรู้ แต่จดจำไว้ว่าเธอคือผู้รู้

อย่าหมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์ของเธอตลอดเวลา

จำไว้ว่าเธออยู่เหนือประสบการณ์ เธอไม่มีทั้งความเกิดและความตาย

ในการจดจำนี้ คุณภาพของความรู้ที่บริสุทธิ์จะเผยตัวออกมา เป็นแสงสว่างแห่งความตระหนักที่ไร้เงื่อนไข

 

ถาม  เราจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับความจริงแท้ได้ตอนไหน?

ตอบ  ประสบการณ์เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงเกิดดับ มันมาแล้วก็ไป

ความจริงแท้ไม่ใช่เหตุการณ์ เธอจึงมีประสบการณ์เกี่ยวกับมันไม่ได้

เธอไม่สามารถรับรู้มันในลักษณะเดียวกันกับที่เธอรับรู้เหตุการณ์ต่างๆ

ถ้าเธอรอคอยให้เหตุการณ์เกิดขึ้น เพื่อเป็นการเข้าถึงความจริงแท้ เธอต้องรอไปชั่วนิรันดร์ เพราะความจริงแท้ไม่มีการมาหรือมีการไป

เราสามารถรับรู้ถึงความจริงแท้ แต่ไม่สามารถรอคอยและคาดหวัง

เราไม่สามารถเตรียมตัวเพื่อเข้าถึงความจริงแท้ หรือคาดการณ์ว่ามันจะเกิดขึ้น

แต่การรอคอย และการค้นหาความจริงแท้ คือการเคลื่อนไหว การดำเนินงาน การกระทำ ของความจริงแท้

ทั้งหมดที่เธอสามารถทำได้คือการเข้าใจแก่นกลางของมัน ว่าความจริงแท้ไม่ใช่เหตุการณ์ และไม่ได้เกิดขึ้น และสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น สิ่งใดก็ตามที่มาแล้วก็ไป ล้วนไม่ใช่ความจริงแท้

จงเห็นเหตุการณ์ว่าเป็นแค่เหตุการณ์ สิ่งชัวคราวเป็นแค่สิ่งชัวคราว ประสบการณ์เป็นแค่ประสบการณ์ เพียงแค่นั้นก็นับว่าเธอได้ทำทุกอย่างที่สามารถทำได้แล้ว

เมื่อนั้น เธอได้โอนอ่อนต่อความจริงแท้ เธอไม่สร้างเกราะหุ้มตัวเองจากความจริงแท้อึกต่อไป การสร้างเกราะนี้เกิดขึ้นเมื่อเธอคิดว่าเหตุการณ์และประสบการณ์มีอยู่จริง

แต่ทันใดที่มีความชอบหรือไม่ชอบ เธอได้วาดฉากกำบังขึ้นมาอีก

 

ถาม  ท่านคิดว่าความจริงแท้แสดงตัวออกมาผ่านทางการกระทำมากกว่าทางความรู้หรือไม่?

หรือมันเป็นแค่ความรู้สึก?

ตอบ  การกระทำ ความรู้สึก ความคิด ล้วนไม่ใช่สิ่งที่แสดงถึงความจริงแท้

มันไม่มีสิ่วที่เรียกว่าการแสดงออกของความจริงแท้

เธอกำลังพูดถึงธรรมคู่ในที่ซึ่งไร้ธรรมคู่

เพียงความจริงแท้เท่านั้นที่มีอยู่เป็นอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นอีก

สภาวะตื่น สภาวะหลับ และสภาวะฝัน ล้วนไม่ใช่ฉัน และฉันไม่ได้อยู่ในสภาวะเหล่านั้น

เมื่อฉันตาย โลกจะพูดว่า “โอ ท่านมหาราชตายแล้ว”

แต่สำหรับฉัน นั่นเป็นคำพูดที่ไม่มีเนื้อหาอะไรเลย มันไม่มีความหมาย

เมื่อมีการบูชาต่อหน้าภาพของคุรุ ทั้งหมดเกิดขึ้นเหมือนกับท่านตื่น อาบน้ำ และกิน และพักผ่อน และออกไปเดินเล่น แล้วกลับมา แผ่เมตตาให้ทุกสิ่ง แล้วเข้านอน

ทั้งหมดมีการใส่ใจลงไปในรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด แต่มันก็ยังมีความรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องไม่จริง

กรณีเช่นนั้นก็เหมือนกับฉัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความจำเป็นต้องเกิด แต่ก็ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเกิดขึ้น

ฉันทำสิ่งที่ดูเหมือนว่าจำเป็น แต่ในขณะเดียวกัน ฉันรู้ว่าไม่มีอะไรจำเป็น ฉันรู้ว่าชีวิตเป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น

 

ถาม  ถ้าอย่างนั้น เราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม?

ทำไมทุกสิ่งจึงมาและไป ตื่นและหลับ กินและย่อย โดยไม่มีความจำเป็นใดๆเลย?

ตอบ  ไม่มีอะไรที่ทำโดยฉัน ทุกสิ่งแค่เกิดขึ้น และฉันไม่ได้คาดหวัง ฉันไม่ได้วางแผน ฉันแค่เฝ้ามองเหตุการณ์เกิดขึ้น รู้ว่ามันล้วนไม่จริง

 

ถาม  ท่านเป็นอย่างนี้เสมอตั้งแต่นาทีแรกของการบรรลุธรรมหรือ?

ตอบ  สภาวะต่างๆหมุนเวียนไปตามปกติ – การตื่น การหลับ และตื่นขึ้นมาอีก แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับฉัน

มันแค่เกิดขึ้น

สำหรับฉัน ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

มันมีบางสิ่งซึ่งไร้การเปลี่ยนแปลง ไร้การเคลื่อนที่ ไม่สามารถเคลื่อนที่ เหมือนก้อนหินใหญ่ ทำร้ายไม่ได้ เป็นมวลแข็งที่บริสุทธิ์ของความสุข-ความรู้ตัว-ความมีอยู่เป็นอยู่

ฉันไม่เคยเคลื่อนออกจากมัน

ไม่มีอะไรทำให้ฉันเคลื่อนออกจากมันได้ ไม่มีความทรมาน ไม่มีเภทภัย

 

ถาม  แต่ท่านก็รู้ตัว

ตอบ  ใช่และไม่ใช่

มันมีความสงบ – ลึก เวิ้งว้าง ไม่สั่นคลอน

เหตุการณ์ถูกบันทึกไว้ได้ในความทรงจำ แต่มันไม่มีความสำคัญ

ฉันแทบจะไม่ตระหนักถึงมันเลย

 

ถาม  ถ้าผมเข้าใจท่านได้ถูกต้อง สภาวะนี้ไม่ได้มาด้วยการบ่มเพาะ

ตอบ  มันไม่มีการมา

มันอยู่ตรงนั้นเสมอ

มันมีการค้นพบ และมันเกิดขึ้นในฉับพลันทันที

เหมือนกับตอนที่เธอเกิด เธอได้ค้นพบโลกในฉับพลันทันที ฉันค้นพบการมีอยู่เป็นอยู่ที่แท้ของฉันในลักษณะเดียวกัน

 

ถาม  มันมีเมฆหมอกปกคลุมและการปฏิบัติของท่านทำให้เมฆหมอกนั้นสลายไป อย่างนั้นหรือเปล่า?

เมื่อสภาวะที่แท้ของท่านแจ่มชัดสำหรับท่าน มันยังคงแจ่มชัดเช่นนั้นตลอดไปไหม หรือมันกลับไปเลือนลางอีก?

สภาพของท่านถาวรหรือชั่วคราว?

ตอบ  มันคงที่อย่างยิ่ง ไม่ว่าฉันจะทำอะไร มันมั่นคงเหมือนก้อนหิน – ไร้การเคลื่อนที่

เมื่อใดที่เธอตื่นขึ้นสู่ความจริงแท้ เธอจะอยู่ในนั้นตลอดเวลา

เด็กทารกที่คลอดออกมาแล้วย่อมไม่กลับเข้าไปอยู่ในท้องอีก

มันเป็นสภาวะที่เรียบง่าย เล็กยิ่งกว่าสิ่งเล็กที่สุด ใหญ่กว่าสิ่งใหญ่ที่สุด

มันแจ่มชัดในตัวมันเอง แต่ก็อยู่เหนือคำบรรยายทั้งปวง

 

ถาม  มีหนทางที่จะไปถึงมันไหม?

ตอบ  ทุกสิ่งสามารถเป็นหนทางได้ ถ้าเธอสนใจ

เพียงแค่นำคำพูดของฉันไปใคร่ครวญดู และพยายามจับฉวยความหมายที่ท้ของมัน นั่นคือการปฏิบัติที่เพียงพอสำหรับทะลายกำแพง

ไม่มีอะไรรบกวนฉัน

ฉันไม่ต่อต้านปัญหา – ดังนั้นปัญหาจึงไม่อยู่กับฉัน

ในด้านของเธอ มันมีปัญหามากมาย

ในด้านของฉัน ไม่มีปัญหาอะไรเลย

มาอยู่ที่ด้านของฉันสิ

เธอพร้อมที่จะมีปัญหาตลอดเวลา ส่วนฉันมีภูมิคุ้มกันต่อปัญหา

อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ – สิ่งจำเป็นคือความสนใจอย่างจริงใจ

ความมุ่งมั่นจะทำหน้าที่ของมัน

 

ถาม  ผมจะทำได้ไหม?

ตอบ  ได้สิ เธอมีความสามารถพอที่จะข้ามมาหาฉัน

ขอแค่ความจริงใจเท่านั้นเอง

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 643641เขียนเมื่อ 28 ธันวาคม 2017 19:40 น. ()แก้ไขเมื่อ 28 ธันวาคม 2017 19:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท