หะดีษซอเฮี๊ยห์เล่มที่ 1


 

ภาค  อิสลาม[1] และอิหม่าน[2]

มีเจ็ดบท

บทที่หนึ่ง

รายละเอียดของอิสลาม และอิหม่าน

เล่าจาก อับดิลลาห์ บิน อุมัร ร.ฎ.[3] ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ศาสนาอิสลามตั้งอยู่บนหลักการทั้งห้า คือ การให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจาก อัลลอฮ์ และมุฮัมมัด เป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ และคือการดำรงละหมาด การจ่ายซะกาต[4] การประกอบพิธีฮัจญ์ และถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน

   รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุมัร บิน อัลค็อตตอบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในวันหนื่งขณะที่พวกเราอยู่กับท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.[5]  ได้มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งโผล่เข้ามาที่พวกเรา เขาสวมใส่ด้วยเสื้อผ้าสี่ขาวเอี่ยม ผมดำจัด ไม่ปรากฏร่องรอยของการเดินทางให้เห็น และไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเรารุ้จักเขา จนกระทั้งเขาได้ทรุดตัวลงนั่งใกล้ ๆ ท่านนบี ซ.ล.   โดยเอาหัวเข่าทั้งสองข้างของเขาเกยกับหัวเข่าทั้งสองข้างของท่านนบี และได้วางฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา ลงบนขาอ่อนทั้งสองข้างของท่านนบี แล้วกล่าวขึ้นว่า โอ้มุฮัมมัด จงบอก “อิสลาม” แก่ข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวตอบว่า อิสลามคือ การที่ท่านต้องให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรให้การเคารพสักภาระ นอกจากอัลลอฮ์ และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ คือการที่ท่านต้องดำรงละหมาด ต้องจ่ายซะกาต ต้องถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน และต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ถ้าหากท่านมีความสามารถ ชายแปลกหน้าได้กล่าวว่า ถูกต้องแล้ว ผู้เล่า (คืออุมัร) ได้กล่าวว่า พวกเรารู้สึกแปลกใจในตัวชายผู้นี้ที่เขาตั้งคำถาม แล้วบอกว่าถูกต้อง[6] ชายแปลกหน้าได้กล่าวอีกว่า ท่านจงบอก “อีหม่าน” แก่ข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า คือการที่ท่านต้องศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาต่อมะลาอิกะห์ของพระองค์ ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ ศรัทธาต่อบรรดา ศาสนทูตของพระองค์ ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก และศรัทธาต่อกำหนดดีชั่วของพระองค์ ชายแปลกหน้าได้กล่าวว่า ถูกต้องแล้ว และกล่าวต่อไปอีกว่า ท่านจงบอก “เอียะห์ซาน” แก่ ข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตอบว่า คือการที่ท่านแสดงความจงรักภักดีต่ออัลลอฮ์ ดุจดังท่านแลเห็นพระองค์ แม้ว่าท่านจะไม่แลเห็นพระองค์แต่พระองค์แลเห็นท่าน แล้วชายแปลกหน้าผู้นั้นได้กล่าวต่อไปอีกว่า ท่านจงบอกวาระของวันสิ้นโลกที่จะมาถึงแก่ข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตอบว่า ผู้ถูกถามมิได้รู้ดีกว่าผู้ถาม ชายแปลกหน้ากล่าวว่า (ถ้าอย่างนั้น) ท่านจงบอกเครื่องหมายของมันแก่ข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า เครื่องหมายของมันคือ ทาสหญิงจะคลอดถูกเป็นนาย[7] ท่านจะเห็นคนเปลือยเท้า เปลือยกาย คนยากจน คนเลี้ยงแพะ แข่งขันกันสร้างอาคารสูง  ผู้เล่า (คืออุมัร) ได้กล่าวว่า หลังจากนั้นชายแปลกหน้าได้อำลาจากไป ส่วนตัวข้าพเจ้าไม่ได้พบกับท่านเราะซูลุลลอฮ์เป็นเวลาหลายวัน(เมื่อพบกัน) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้อุมัร ท่านทราบไหมว่าชายแปลกหน้าที่มาถามนั้นเป็นใคร ข้าพเจ้าตอบว่า ผู้ที่ทราบดีคือ อัลลอฮ์ และเราะซูลของพระองค์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้กล่าวว่า เขานั้นแหละคือ ญิบรีล[8] ได้มาหาพวกท่าน สอนพวกท่านให้รู้จักศาสนา

   รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และได้มีเพิ่มเติมในบางรายงานว่า มีห้าประการ ที่ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากอัลลอฮ์ หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.   ได้อ่านโองการ หนึ่งจาก อัลกุรอาน (ซึ่งมีความหมาย) ว่า (แท้จริงอัลลอฮ์ ณ พระองค์มีความรู้ในวาระของวันสิ้นโลก) ได้อ่านจนหมดโองการ หลังจากนั้นชายแปลกหน้าได้หันหลังกลับไป ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า พวกท่านจงไปตามตัวเขากลับมาแต่พวกเขาไม่พบสิ่งใดเลย ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึง กล่าวว่า นั้นหละคือญิบรีล ได้มาสอนศาสนาให้แก่มวลมนุษย์

บทที่สอง 2

ลักษณะของอีหม่านที่สมบูรณ์

เล่าจากอะนัส บินมาลิก ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ใครก็ตามจากพวกท่านจะ ยังไม่มีอีหม่าน (ที่สมบูรณ์) จนกว่าข้าพเจ้าจะเป็นที่รักของเขายิ่งกว่าผู้บังเกิดเกล้าของเขายิ่งกว่า ลูกของเขา และยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งมวล

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ใครก็ตามจากพวกท่านจะยังไม่มีอีหม่าน (ที่สมบูรณ์) จนกว่าเขาจะมีความปรารถนาให้พี่น้อง (ร่วมศาสนา) ของเขา ได้รับในสิ่งที่เขามีความปรารถนาให้ตัวเขาเองได้รับ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า สามประการนี้ ผู้ใดครอบครองไว้ได้ เขาจะพบกับความหวานของอีหม่าน คือ อัลลอฮ์และเราะซูลของอัลลอฮ์ เป็นที่รักของเขายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เขามีความรัก ในคนๆ หนึ่ง เขาจะไม่รักคนๆ นั้นเลย นอกจากรักเพราะอัลลอฮ์ตาอาลา เขาเกลียดที่จะกลับ ไปสู่สภาพอง (กุฟุรฺ) การไม่มีอีหม่านเหมือนเกลียดการที่เขาจะถูกจับโยนลงสู่ขุมนรก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เครื่องหมายของอีหม่าน คือ รักพวกอันศอร[9] และเครื่องหมายของการ (เป็นคน) กลับกลอก คือ ชิงชังพวก อันศอร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งให้เมล็ดพืชผลิออกและเจริญงอกงาม และผู้ซึ่งให้กำเนิดชีวิตว่ามันเป็นสัญญาที่ท่านนบี ซ.ล.   ได้ให้ไว้แก่ข้าพเจ้าว่า จะไม่มีใครรักข้าพเจ้านอกจากผู้มีอีหม่าน และจะไม่มีใครชิงชังข้าพเจ้านอกจากคนกลับกลอก

รายงานโดย บุคอรี ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมุสลิมนั้นคือ ผู้ที่มุสลิมทั้งหลายปลอดภัยจากลิ้นของเขาและมือของtขา และผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้อพยพนั้น คือ ผู้ที่อพยพจากสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงห้าม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ท่านติรมีซีและนะซาอีได้รายงานเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ได้ชื่อว่ามี อิหม่านนั้น คือผู้ที่มวลมนุษย์ได้รับความปลอดภัยจากเขาในเลือดเนื้อและทรัพย์สิน ของพวกเขา

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) ว่า แท้จริงชายผู้หนึ่งได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล.   ว่า ข้อปฏิบัติอะไรที่ดียิ่งในศาสนาอิสลาม ท่านนบีได้ตอบว่า คือการที่ท่านให้อาหารเป็นทาน และการที่ท่านทักทายด้วยการกล่าวสลาม (อัสสะลามุ อะลัยกุม) ทั้งแก่บุคคลที่ท่านรู้จักและไม่รู้จัก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อีหม่านนั้นมีมากกว่าเจ็ดสิบ หรือมากกว่าหกสิบ[10] ระดับที่ดีเยี่ยมที่สุดคือ กล่าวว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระ นอกจากอัลลอฮ์ ที่ต่ำที่สุดคือ การขจัดอันตรายให้พ้นไปจากทางสัญจร และความอายนั้น ก็เป็นระดับหนึ่งของอีหม่าน

เล่าจากตะมีม อัดตารียืน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า หลักสำคัญของศาสนาคือ การแนะนำด้วยความจริงใจ พวกเราได้ถามว่า การแนะน้ำนั้นเพื่อใคร ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ ตอบว่าเพื่ออัลลอฮ์[11] เพื่อคัมภีร์ของพระองค์[12] เพื่อเราะซูลของพระองค์[13] เพื่อผู้นำมุสลิม[14] และเพื่อมุสลิมทั้งมวล[15]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอัลอับบาส บินอับดิล มุตตอลิบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ถือว่าได้ลิ้มรสของอิหม่านแล้ว ผู้ที่พอใจยึดเอา อัลลอฮ์เป็นพระเจ้า ยึดเอาอิสลามเป็นศาสนา และยึดเอามุฮัมมัดเป็นศาสนทูต

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี และตามรายงานของอะบูดาวูดว่า ผู้ใดรัก เพราะอัลลอฮ์ โกรธเพราะอัลลอฮ์ ให้เพราะอัลลอฮ์และหวงเพราะอัลลอฮ์ก็ถือได้ว่า เขามีอีหม่านที่สมบูรณ์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เหล่าศรัทธาชนที่มี อิหม่านสมบูรณ์ยิ่งนั้นคือ ผู้ที่มีนิสัยดี และคนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน คือคนที่มีความสุภาพ อ่อนโยนต่อภรรยาของเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า นับเป็นคุณงามความดี ประการหนึ่งของผู้ที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม คือการที่เขาละทิ้งสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์แก่เขา

รายงานโดย ติรมิซี ในเรื่อง "สละโลกีย์" และอิบนุมายะห์

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านเห็นชายคนหนึ่งมา มัสญิดประจำ ท่านทั้งหลายจงเป็นพยานยืนยันให้เขาด้วยว่า เขาเป็นผู้มีอีหม่าน เพราะแท้จริง อัลลอฮ์ตาอาลากล่าวว่า ความจริงผู้ที่จะทำนุบำรุงมัสญิดของอัลลอฮ์นั้น คือผู้มีศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก คือ ผู้ที่ดำรงละหมาดและจ่ายซะกาต-อ่านจนจบโองการ

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

อีหม่านจะเพิ่มขึ้นและลดลง จิตใจไขว้เขวไม่เป็นภัยต่ออีหม่าน

อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวว่า แท้จริงบรรดา ผู้มีอิหม่านนั้น คือ ผู้ซึ่งเมื่อนามของอัลลอฮ์ถูกกล่าวขึ้น หัวใจของพวกเขาจะหวาดหวั่น และเมื่อโองการต่างๆ จากคัมภีร์ของพระองค์ถูกอ่านขึ้น ได้ทำให้อีหม่านของพวกเขาเพิ่มขึ้น และแก่อัลลอฮ์ของพวกเขาเท่านั้นที่ พวกเขาจะมอบหมาย

เล่าจากอะบีสะอีด อัลคุดรี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดพบเห็นสิ่งที่เป็นความชั่วร้าย ให้เขาจงหยุดยั้งมันด้วยมือของเขา ถ้าหากเขาไม่สามารถให้เขาจงหยุดยั้งมันด้วยลิ้นของเขา ถ้าหากเขาไม่สามารถให้เขาจงหยุดยั้งมันรวยจิตใจของเขา และนั้นคือ ผู้มีอิหม่านอ่อนแอ[16]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนุ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า โอ้พวกผู้หญิงทั้งหลาย พวกเธอจง บริจาคเถิดและจงขออภัยโทษให้มากๆ เพราะความจริงข้าพเจ้าพบว่าพวกเธอส่วนมากเป็นชาวนรก ได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งมีคำพูดฉะฉานจากพวกผู้หญิงเหล่านั้น ได้กล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ เพราะเหตุใดพวกเราส่วนมากจึงเป็นชาวนรก ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตอบว่า เพราะพวกเธอทั้งหลายชอบการแช่งด่า และพวกเธอไม่เชื่อฟังสามี และข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นผู้ที่มีความบกพร่องทั้งด้านสติปัญญาและศาสนา จะสามารถข่มและเอาชนะ (ผู้ชาย) ผู้ที่มีสติปัญญาครบ สมบูรณ์ได้ ยิ่งกว่าพวกเธอ ผู้หญิงคนเดิมได้ถามขึ้นอีกว่า โอ้ท่านศาสดา อะไรคือความ บกพร่องทางด้านสติปัญญาและทางด้านศาสนา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตอบว่า ความบกพร่องทางด้านสติปัญญาก็คือ ผู้หญิงสองคนเป็นพยานได้เท่ากับผู้ชายคนเดียว นี้แหละคือความบกพร่อง ทางด้านสติปัญญาและพวกผู้หญิงจะหยุดอยู่เฉยๆ เป็นเวลาหลายๆ วันโดยไม่ได้ละหมาดและไม่ได้ถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน(เนื่องจากมีเลือดประจำเดือน) และนี้แหละคือความ บกพร่องทางด้านศาสนา ตามสำนวนจากการรายงานของบุคอรีว่า เมื่อผู้หญิงมีเลือดประจำเดือนไม่ต้องละหมาด และไม่ต้องถือศีลอดมิใช่หรือ พวกหล่อนตอบว่า ใช่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงกล่าวว่า นี้แหละ คือความบกพร่องทางด้านศาสนาของหล่อน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ชัยฏอน (มารร้าย) จะมาหาใคร คนหนึ่งจากพวกท่าน แล้วมันจะทิ้งคำถามว่า ใครเป็นผู้สร้างสิ่งนั้น ใครเป็นผู้สร้างสิ่งนี้ จนกระทั่งในที่สุดมันจะถามว่าใครเป็นผู้สร้างอัลลอฮ์ของท่าน และเมื่อถามถึงคำถามนี้ให้เขา จงขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์จากชัยฏอน  และให้เขาจงยุติ (การตอล้อต่อเถียงกับมัน)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ชัยฏอน (มารร้าย) จะมาหาใครคนหนึ่งคนใดจากพวกท่าน แล้วมันจะทั้งคำถามว่า ใครสร้างฟ้า ใครสร้างแผ่นดิน เขาผู้นั้นจะตอบว่า อัลลอฮ์เป็นผู้สร้าง ดังนั้นผู้ใดพบสิ่งหนึ่งสิ่งใด จากความไขว้เขวที่เกิดขึ้นในใจ เนื่องจากการโต้ตอบกับชัยฏอนนั้น ให้เขาจงกล่าวว่า ข้าพเจ้าอิหม่านต่ออัลลอฮ์และบรรดา ศาสนทูตของพระองค์

เล่าจากอะนัส บินมาลิก จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้กล่าวว่า แท้จริงประชากรของท่านจะยังคงพากันถามอย่างนั้นอย่างนี้ จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาจะกล่าวว่า นี่คือ อัลลอฮ์ ผู้สร้างสรรพสิ่งต่างๆ แล้วใครเป็นผู้สร้างอัลลอฮ์

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีผู้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงอาการไขว้เขวที่เกิดขึ้นภายในใจ ท่านเราะซูลตอบว่า นั้นแหละคืออีหม่านแท้ๆ[17]                                                                     

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

บทที่สาม คุณค่าของศาสนา

อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวว่า “และเราพอใจ ให้อิสลามเป็นศาลนำแก่พวกเจ้าทั้งหลาย”

เล่าจากอุบาดะห์ บิน อัซซอมิด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากอัลลอฮุงค์เดียว โดยไม่มีคู่ หุ้นส่วน (ในการเป็นพระเจ้า-เรียกว่าเป็นชิริก[18]ต่ออัลลอฮ์) และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นศาสนทูตของพระองค์ และให้สัตย์ปฏิญาณว่า แท้จริงนบีอีชาเป็นบ่าวของอัลลอฮ์เป็นศาสนทูตของพระองค์ เป็นคำพูดของพระองค์[19] ที่มอบให้แก่ท่านหญิงมัรยัม และเป็นวิญญาณจากพระองค์ และให้สัตย์ปฏิญาณ ว่าสวรรค์มีจริงและนรกมีจริง อัลลอฮ์จะให้เขาผู้นั้นได้เข้าสวรรค์ โดยพิจารณาจากการกระทำ ของเขา[20]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะบีซัรร อัลฆิฟารี จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ญิบรีล อ.ล.[21] ได้มาหา ข้าพเจ้าและบอกข่าวดีแก่ข้าพเจ้าว่า ใครก็ตามจากประชากรของเรา ที่เขาตายไปโดยมิได้นำเอา สิ่งใดไปหุ้นส่วนกับอัลลอฮ์ (ในการเคารพบูชา) เขาจะได้เข้าสวรรค์ ข้าพเจ้า (อะบีซัรร) ได้กล่าวว่า แม้ว่าเขาจะได้เคยละเมิดประเวณี (ซินา) และเคยลักขโมยอย่างนั้นหรือ ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ใช่แล้ว แม้ว่าเขาจะเคยละเมิดประเวณีและเคยลักขโมย ข้าพเจ้า (อะบีซัรร) ได้กล่าวอีกว่า แม้ว่าเขาจะได้เคยละเมิดประเวณีและเคยลักขโมยอย่างนั้นหรือ ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ได้ตอบว่า ใช่แล้ว แม้ว่าเขาจะเคยละเมิดประเวณีและเคยลักขโมย หลังจากนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวในครั้งที่สี่ว่า แม้ว่าอะบีซัรรฺ จะไม่พอใจก็ตาม[22]

รายงานโดย บุคอรี ติรมิซี

เล่าจากมุอาซ บินญะบัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่าไม่มีใครที่ให้สัตย์ ปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากอัลลอฮ์และแท้จริงมุฮัมมัดเป็น ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ด้วยความจริงใจ เว้นแต่ อัลลอฮ์จะป้องกันเขาให้พ้นจากไฟนรก[23] มุอาซได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะไม่นำข่าวนี้ไปแจ้งให้ประชาชนทั่วๆ ไปทราบหรือ เพื่อพวกเขาจะได้เกิดความปลาบปลื้มยินดี ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า อย่ากระนั้นเลย พวกเขาจะพากันนอนใจ (อยู่กับสิ่งนี้และละเลยการประกอบความดีอย่างอื่น)แต่มุอาซได้นำข่าวนี้ไปบอกแก่ประชาชนในบั้นปลายของชีวิตเพราะกลัวบาป (ในแง่ปกปิดความรู้) 

และเล่าจากเขา (มุอาซ) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยนั่งซ้อนท้ายอยู่ข้างหลังท่านนบี ซ.ล.   บนหลังลาตัวหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า อุฟัยร์ ท่านเราะซูลได้กล่าวขึ้นว่า โอ้มุอาซ ท่านทราบไหมว่า อะไรคือสิทธิ์ของอัลลอฮ์ที่มีอยู่เหนือบ่าวของพระองค์ และอะไรคือสิทธิ์ของบ่าวที่มีอยู่เหนืออัลลอฮ์ผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ากล่าวว่า ผู้ที่ทราบดีคือ อัลลอฮ์ และศาสนทูตของพระองค์ ท่านเราะซูลได้กล่าวว่า แน่แท้สิทธิ์ของอัลลอฮ์ที่มีอยู่เหนือบ่าวของพระองค์คือ การที่บรรดาบ่าวทั้งหลายจะต้องเคารพสักภาระต่ออัลลอฮ์ โดยมินำพาเอาสิ่งใดๆ มาหุ้นส่วนกับพระองค์ และสิทธิ์ของบ่าวที่มีอยู่เหนืออัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่และเกรียงไกรนั้นคือ การที่อัลลอฮ์จะไม่ลงโทษผู้ที่ไม่นำพาเอาสิ่งใด มาหุ้นส่วนกับพระองค์ (ในการเคารพสักภาระ) ข้าพเจ้า (มุอาซ) ได้กล่าวว่า โอ้ท่านศาสตา ข้าพเจ้าจะไม่นำข่าวนี้ไปบอกให้ประชาชนได้ปลื้มปีติยินดีหรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า อย่าบอกพวกเขาให้ปลื้มปีติยินดีเลย เพราะพวกเขาจะนอนใจ (อยู่กับสิ่งนี้และจะละเลยจากการทำความดีอย่างอื่น) 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถูกถามว่า การกระทำอย่างไหนดีที่สุด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า คือ อีหม่านต่ออัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ (ดีที่สุด) ถูกถามอีกว่า ถัดจากนั้นคืออะไร ท่านศาสดาตอบว่า คือ การสู้รบในวิถีทางของอัลลอฮ์ แล้วถูกถามอีกว่า ถัดจากนั้นคืออะไร ท่านศาสดาตอบว่า คือการทำฮัจญ์โดยไม่มีความชั่วเข้า มาปะปน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง จากพวกท่าน ได้ปรับปรุงการเป็นอิสลามของเขาจนอยู่ในชั้นดีแล้ว ดังนั้นทุกๆ ความดีที่เขา กระทำจะถูกบันทึกเป็นกุศลของเขาสิบเท่าถึงเจ็ดร้อยเท่า และทุกๆ ความชั่วที่เขากระทำจะถูกบันทึกเป็นความชั่วของเขาเพียงเท่าเดียว และในบางรายงานว่า เว้นแต่ที่อัลลอฮุภัยให้จากความชั่วนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม[24]

เล่าจากอะนัส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า จะได้ออกจากขุมนรก ผู้ที่ได้กล่าวคำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่,ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากอัลลอฮ์ โดยที่ภายในหัวใจของเขายังมีอีหม่านหลงเหลืออยู่เพียงเท่ากับนำหนักของข้าวบาเล่ย์หนึ่งเมล็ด และจะได้ออกจากขุมนรก ผู้ที่ได้กล่าวคำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพบูชานอกจากอัลลอฮ์ โดยที่ภายในหัวใจของเขายังมีอิหม่านหลงเหลืออยู่เพียงเท่ากับนำหนักของข้าวสาลีหนึ่งเมล็ด และจะได้ออกจากขุมนรก ผู้ที่ได้กล่าวคำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพบูชานอกจากอัลลอฮ์ โดยที่ภายในหัวใจของเขายังมีอีหม่านหลงเหลืออยู่เพียงเท่ากับนำหนักของผงธุลี ท่านอะบู สะอีด ได้กล่าวว่า ผู้ใดสงสัย[25] ให้เขาอ่านโองการหนึ่งที่มีความหมายว่า แน่แท้ อัลลอฮ์จะไม่ทุจริตแม้เพียงนํ้าหนักเท่าผงธุลี

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ว่า แท้จริงมีชายคนหนึ่งจากชาวยิวได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้ผู้นำของปวงชนผู้มีศรัทธา มีอยู่โองการหนึ่งในคัมภีร์ของพวกท่าน (อัลกุรอาน) ซึ่งพวกท่านกำลังอ่านกันอยู่ ถ้าหากโองการนั้นได้ถูกประทานลงมาให้แก่พวกเราชาวยิวแล้ว แน่นอนพวกเราจะถือเอาวันนั้นเป็นวันเฉลิมฉลอง อุมัรได้กล่าวว่า โองการใด (ที่ท่านกล่าวถึงนี้) ชาวยิวผู้นั้นตอบว่า คือโองการที่ว่า ในวันนี้เราได้ให้ศาสนาของพวกท่านครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว          และเราได้มอบความเมตตาแก่พวกท่านอย่างเต็มที่ และเราพอใจให้อิสลามเป็นศาสนาของพวกท่าน อุมัรได้ กล่าวว่า ความจริงพวกเราจำวันนั้นได้ และสถานที่ที่ (โองการนั้น) ได้ถูกประทานลงมาให้แก่ ท่านนบี ซ.ล.   ก็จำได้ คือ ในขณะที่,ท่านนบีอยู่ ณ ทุ่งอะรอฟาต ในวันศุกร์     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี 

เล่าจากยาบีรได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.   แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ สองประการ ที่มีผลบังคับตายตัวนั้น ได้แก่อะไร[26] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวตอบว่า ผู้ใดตายไปโดยเขามิได้นำสิ่งใดๆ มาเป็นหุ้นส่วนกับอัลลอฮ์ (ในการเคารพสักภาระ) เขาได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดตายไป โดยนำสิ่งใด ๆ มาเป็นหุ้นส่วนกับอัลลอฮ์ เขาได้เข้านรก

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ยอมผ่อนผัน ให้แก่ประชากรของข้าพเจ้า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความนึกคิดที่มีอยู่ในจิตใจของพวกเขา (คือคิดจะทำความชั่ว) ตราบใด เมื่อพวกเขายังไม่ได้พูดหรือกระทำ (ตามความคิดนั้น) 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

และรายงานของบุคอรีเป็นหะดีษที่ไม่ได้กล่าวสายรายงาน (หะดีษมุอัลลัก) จากท่านนบี ซ.ล.   ว่า ศาสนาที่อัลลอฮ์โปรดปรานมากที่สุด คือ ศาสนาที่มีความเที่ยงธรรม มีความ กว้างขวาง และสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติ (นั้นคือศาสนาอิสลาม)

เล่าจากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ไม่เอาความผิดจากประชากรของข้าพเจ้า ในกรณีที่เกิดจากความผิดพลาด หลงลืมหรือถูกบังคับ 

รายงานโดย อิบนุมายะห์

ศาสนาอิสลามเท่านั้นที่อัลลอฮ์รับรอง

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “ผู้ใดแสวงหาอื่นใดจากอิสลามมาเป็นศาสนา เขาจะไม่ถูกรับรอง และในวันอาคิเราะห์ เขาจะเป็นคนหนึ่งจากผู้ที่ขาดทุน”

เล่าจากอิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกบัญชาให้ทำสงครามกับประชาชนจนกว่าพวกเขาจะให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอก จากอัลลอฮ์ และจนกว่าพวกเขาจะดำรงละหมาด จ่ายซะกาต ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ปฏิบัติ ดังได้กล่าวมา ก็จะได้รับการคุ้มครองจากข้าพเจ้าในเลือดเนื้อและทรัพย์สินของพวกเขา นอกจากในส่วนที่เป็นสิทธิ์ของศาสนาอิสลาม[27] และเป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์ที่จะสอบสวนพวกเขา[28]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากญาบิรจากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มีห้าประการที่ถูกมอบให้แก่ข้าพเจ้าโดยมิได้เคยมอบแก่ผู้ใดมาก่อนเลยคือ มอบชัยชนะให้แก่ข้าพเจ้า โดยให้เกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรงขึ้น (ในใจข้องฝ่ายศัตรู) เท่ากับระยะเดินทางหนึ่งเดือน มอบให้พื้นโลกทั้งหมดเป็น มัสญิดแก่ข้าพเจ้า และให้ดินเป็นสิ่งที่ใช้ทำความสะอาด (แทนนำ) ดังนั้นประชากรของข้าพเจ้าคนใดก็ตาม เมื่อเข้าเวลาละหมาดให้เขาจงละหมาด (ที่ไหนก็ได้)[29] เป็นที่อนุญาตแก่ข้าพเจ้าให้ยึดเอาทรัพย์สมบัติของฝ่ายศัตรูหลังการสู้รบ ซึ่งทรัพย์สมบัติดังกล่าวนี้ไม่เคยอนุญาตแก่ผู้ใด ให้สิทธิ์ในการช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้า (ในวันอาคิเราะห์) และปรากฏว่านบีองค์อื่นๆ ได้ถูกส่งมาเผยแพร่ศาสนายังพวกพ้องของตนเท่านั้นแต่ข้าพเจ้าถูกส่งมาเผยแพร่ศาสนายังมนุษย์ทั้งมวล

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัด อยู่ในอุ้งมือของพระองค์ว่า ไม่มีใครจากประชากรของข้าพเจ้าทั้งที่เป็นยะฮูดี และนัสรอนีที่ไม่ เอาใจใส่ต่อ (คำสอนของ) ข้าพเจ้า หลังจากนั้นเขาตายไปโดยไม่ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งมาเพื่อ (เผยแพร่) สิ่งนั้น นอกจากเขาเป็นชาวนรก 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม 

บทที่สี่ 10

การศรัทธาต่อการกำหนดของอัลลอฮ์ (اَلْقَدَرٍ)

อัลลอฮ์ตะอาลาได้กล่าวว่า “แน่แท้ทุกสิ่งที่เราได้สร้างขึ้นมา เป็นไปตามกำหนดการ[30]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮ์ได้สร้างสรรพสิ่ง ต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้จารึก[31]ลงในแผ่นบันทึก ซึ่งอยู่ที่พระองค์ ณ เบื้องบน บัลลังก็ (อะรัช) ว่า แน่แท้ความโปรดปรานของเราอยู่เหนือความกริ้วโกรธของเรา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีเด็กคนใดที่ถูก คลอดออกมา นอกจากถูกคลอดออกมาด้วยธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ดังนั้นพ่อแม่จะเป็นผู้ที่นำเขา ไปเป็นยะฮูดี (ยิว) หรือนัสรอนี (คริสเตียน) หรือมะยูสิ (พวกบูชาไฟ- مجوسيه)เหมือนสัตว์ที่มันให้กำเนิดลูกของมันที่มีร่างกายครบสมบูรณ์ พวกท่านจะมีความรู้สึกไหมว่ามันเป็นสัตว์พิการ หลังจากนั้น อะบูฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านทั้งหลายมีความต้องการ จงอ่านโองการนี้ “เป็นศาสนาของอัลลอฮ์ ซึ่งพระองค์ได้บันดาลให้มนุษย์ชาติยึดมั่น ย่อมไม่มีการเปลี่ยนแปลง แก่สิ่งที่อัลลอฮ์บันดาล นั้นคือศาสนาอันมั่นคง” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า นบีอาดัม อ.ล. และนบีมูซา อ.ล. ได้โต้เถียงกันด้วยเหตุผล ณ อัลลอฮ์ของเขาทั้งสอง แต่นบีอาดัมมีหลักฐาน เหนือกว่านบีมูซา โดยนบีมูซาได้กล่าวว่า อาดัมท่านเป็นผู้ที่อัลลอฮ์ได้สร้างขึ้นด้วยมือของ พระองค์และได้เป่าวิญญาณจากพระองค์เข้าไปในตัวท่าน และได้บัญชาให้มวลมะลาอิกะห์ ก้มกราบต่อท่าน และได้ให้ท่านพำนักอยู่ในสวนสวรรค์ของพระองค์ หลังจากนั้นท่านได้เป็น สาเหตุทำให้มวลมนุษย์ต้องลงมาสู่โลกนี้ เพราะความผิดที่ท่านก่อนขึ้น นบีอาดัมได้โต้ว่า มูซา ท่านนั้นเป็นผู้ที่อัลลอฮ์คัดเลือกแล้วให้เป็นทูตประกาศศาสนาของพระองค์ เป็นผู้ที่พระองค์สนทนาด้วย และพระองค์ได้มอบแผ่นหิน ซึ่งจารึกทุกๆ สิ่งอย่างชัดเจนให้แก่ท่าน และได้ให้ท่านเข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิด ดังนั้นเป็นเวลาเท่าใดที่ท่านพบว่าอัลลอฮ์ได้เขียนคัมภีร์เตารอต ก่อนที่ข้าพเจ้าจะถูกสร้างขึ้น นบีมูซาตอบว่า สี่สิบปี นบีอาดัมกล่าวว่า ท่านได้พบใน คัมภีร์เตารอตหรือไม่ว่า อาดัมได้ทำความผิดต่อพระเจ้าของเขาและหลงผิด นบีมูซาตอบว่า ใช่ (ข้าพเจ้าพบ) นบีอาดัมจึงกล่าวว่า แล้วท่านยังจะประณามข้าพเจ้าอีกหรือ ที่ข้าพเจ้าได้กระทำ การอย่างหนึ่ง ซึ่งอัลลอฮ์ได้กำหนดแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า จะต้องกระทำก่อนที่พระองค์จะสร้างข้าพเจ้าถึงสี่สิบปี ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวว่า เหตุผลของนบีอาดัมเหนือกว่านบีมูซา

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน มัสอูด ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ซึ่งเป็นผู้มีสัจจะ และถูกรับรองว่ามีสัจจะได้เล่าให้พวกเราฟังว่า แท้จริงใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านนั้น ชิ้นส่วนต่างๆ ของเขาจะถูกนำมารวมอยู่ในครรภ์ของมารตา ในสภาพเป็นนำอสุจิเป็นเวลาสี่สิบวัน หลังจากนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นเลือดก้อนในเวลาสี่สิบวัน ต่อจากนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นเนื้อก้อนในเวลาสี่สิบวัน หลังจากนั้นวิญญาณจะถูกเป่าเข้าไป และจะถูกใช้ให้บันทึกกิจการสี่อย่าง นั้นคือ บันทึกปัจจัยยังชีพ (ริสกี) บันทึกอายุขัย บันทึกการกระทำ และบันทึกว่าเป็นคนชั่ว หรือคนดี ดังนั้นขอยืนยันด้วยอัลลอฮ์ ผู้ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากพระองค์ว่า แท้จริงใครก็ตามจากพวกท่าน เขาจะกระทำ (ความดี)เหมือนการกระทำของชาวสวรรค์ จนกระทั่งเขากับสวรรค์อยู่ห่างกันแค่คอกแต่ด้วยกำหนดที่ได้ถูกบันทึกไว้ก่อน (เมื่อครั้งยังอยู่ในครรภ์) เขาจึงได้ไปกระทำ (ความชั่ว)เหมือนการกระทำของชาวนรก จนในที่สุด เขาต้องเข้านรก และแท้จริงใครก็ตามจากพวกท่าน เขาจะกระทำ (ความชั่ว)เหมือนการกระทำ ของชาวนรก จนกระทั่งเขากับนรกห่างกันแค่คอกแต่ด้วยกำหนดที่ได้ถูกบันทึกไว้ก่อน (เมื่อครั้งยังอยู่ในครรภ์) เขาจึงได้ไปกระทำ (ความดี)เหมือนการกระทำของชาวสวรรค์ จนในที่สุดเขาได้เข้าสวรรค์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ทุกๆ สิ่งดำเนินไปตามกำหนดของ อัลลอฮ์ แม้กระทั่งความอ่อนแอและความเฉลียวฉลาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และมาลิก

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ได้มีพวกมุชริกูน (พวกที่เคารพสักภาระสิ่งอื่นควบคู่ ”ชิริก”กับอัลลอฮ์) จากเผ่ากุเรช มาโต้เถียงกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในเรื่องกำหนดการของพระเจ้า โองการนี้จึงได้ถูกประทานลงมา “ในวันซึ่งพวกเขาถูกฉุดกระซากให้คว่ำหน้าลงสู่ขุมนรก พวกเจ้าจงลิ้มรสสัมผัสของไฟนรก แท้จริงทุกๆ สิ่งนั้นเราได้สร้างขึ้นตามกำหนดการที่แน่นอน”

เล่าจากอิบนิ อัมรฺ บินอัลอาส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้กำหนด การอย่างแน่นอนแก่สรรพสิ่งทั้งปวง ก่อนที่พระองค์จะสร้างฟ้าและแผ่นดินถึงห้าหมื่นปี 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิมรอน บินอุซอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่า จะสามารถแยกชาวสวรรค์จากชาวนรกได้หรือไม่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่าสามารถแยกได้ แล้วมีผู้ถามขึ้นอีกว่า ถ้าอย่างนั้นผู้ที่กระทำจะกระทำในสิ่งใด[32] ท่านเราะซูลตอบว่า ทุกผู้ทุกนามล้วนได้รับความสะดวกสำหรับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขา[33]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะนัส จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สามประการนี้เป็นรากฐานของอีหม่าน ประการแรกคือการไม่ล่วงเกิน ผู้ที่ให้คำสัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรเคารพสักภาระ นอกจากอัลลอฮ์และเราจะไม่ถือว่าเขาเป็นผู้ทรยศ (กาฟิร) ด้วยการทำบาปใดๆ และเราจะไม่ขับเขาออกจากอิสลามด้วยการกระทำการใดๆ  ประการที่สอง คือ การทำสงคราม (เพื่อยกฐานะศาสนาของอัลลอฮ์ให้สูงขึ้น) เป็นภารกิจที่จำเป็น นับตั้งแต่อัลลอฮ์ได้ส่งข้าพเจ้า มาเป็นศาสนทูต จนกว่าคนสุดท้ายของประชากรนี้[34] จะสังหาร “อัดดัจญาล[35]”ลง การ ทุจริตของผู้ทุจริตและความยุติธรรมของผู้มีความยุติธรรม จะไม่ทำให้เขา (คนสุดท้ายของประชากรนี้) เสียหาย และประการที่สามคือการศรัทธาต่อกำหนดการของอัลลอฮ์ 

รายงานโดย อะบูดาวูด

อุบาดะห์ บิน อัซซอมิต ได้กล่าวแก่บินของเขาว่า โอ้ถูกรัก เจ้าจะไม่ได้ลิ้มรสของอีหม่านอย่างแท้จริงจนกว่าเจ้าจะต้องรับรู้ว่า แท้จริงสิ่งใดที่ได้มาประสบกับตัวเจ้านั้นมินจะไม่แคล้วคลาดไปจากตัวเจ้า และสิ่งใดที่ได้แคล้วคลาดไปจากตัวเจ้านั้นมินจะไม่ประสบกับตัวเจ้า พ่อได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริง สิ่งแรกที่อัลลอฮ์สร้างขึ้นมานั้นได้แก่ ปากกา แล้วพระองค์ก็กล่าวแก่มันว่า เจ้าจงเขียน ปากกากล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเขียนอะไร อัลลอฮ์ก็กล่าวว่า เจ้าจงเขียนกำหนดความเป็นไปของทุกๆ สิ่งจนถึงวันสิ้นโลก โอ้ถูกรัก แท้จริง ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ผู้ใดตายไปโดยมิได้อีหม่านต่อสิ่งนี้[36] เขาไม่ใช่เป็นประชากรของข้าพเจ้า 

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า จะยังไม่ถือว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมีอีหม่าน จนกว่าเขาจะมีศรัทธาต่ออะลีประการนี้ คือ ต้องให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงข้าพเจ้าเป็นทูตประกาศศาสนาของอัลฺลอฮ์ ที่พระองค์ได้ส่งมาพร้อมด้วยสัจธรรม ต้องศรัทธาต่อความตาย ต้องศรัทธาต่อการเกิดขึ้นใหม่ หลังจากตายไปแล้ว และศรัทธาต่อกำหนดการของอัลลอฮ์

เล่าจากอะบี อัซซะห์ จากท่านนป็ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮ์ได้กำหนดไว้แล้วว่า บุคคลผู้หนึ่งจะต้องตายในแผ่นดินแห่งหนึ่งแห่งใด พระองค์จะดลบันดาลให้เขามีธุระเดินทางไปที่นั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี 

ลุ่มชนนอกศาสนา เช่น กอดรียะห์[37] และมุรญิอะห์[38]

เล่าจากอิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า พวกกอดรียะห์ คือ พวกบูชาตะวัน (หรือไฟ) ของประชากรนี้ ถ้าหากพวกเขาป่วยพวกท่านอย่าไปเยี่ยม และถ้าหากพวกเขาตาย พวกท่านอย่าไปร่วมงานศพ

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่านั่งร่วมวงกับ พวกปฏิเสธกำหนดการของอัลลอฮ์เจ้า และอย่าเริ่มทักทายพวกเขาก่อน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

และได้มีผู้ถามอิบนิ อุมัรว่า แท้จริงมีบุคคลกลุ่มหนึ่ง ได้แสดงออกต่อหน้าพวกเราด้วยการอ่านคัมภีร์ อัลกุรอาน และศึกษาหาความรู้ และเขา (ผู้เล่าคือ ยะห์ยา บิน ยะอฺมัร) ได้ กล่าวถึงความดีงามต่างๆ ของพวกเขาเหล่านั้น แต่พวกเขาเหล่านั้นเชื่อมั่นว่า ไม่มีการกำหนด ความเป็นไปให้แก่สิ่งต่าง ๆ จากอัลลอฮ์เจ้า กิจการทั้งปวงนั้นเริ่มต้นใหม่ทั้งสิ้น (โดยไม่มีกำหนดการไว้ล่วงหน้า) ท่านอิบนุ อุมัร กล่าวว่า เมื่อท่านพบคนเหล่านั้น จงบอกพวกเขาด้วยว่า แท้จริงข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า และขอยืนยันต่อผู้นั่งอับดุลเลาะห์ บิน อุมัร สาบานว่าถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งจากพวกเขามีภูเขาอุฮุดเป็นที่องคำอยู่ในกรรมสิทธิ์แล้ว เขาได้บริจาคมันไปทั้งหมด อัลลอฮ์จะไม่รับ (การบริจาคของเขา) จน กว่าเขาจะศรัทธาต่อกำหนดการของอัลลอฮ์เสียก่อน 

รายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ในประชากรนี้ หรือในประชากรของข้าพเจ้า มีธรณีสูบ มีการสาปให้เป็นสัตว์ และมีการถล่มจากเบื้องบน เฉพาะในกลุ่มชนที่ปฏิเสธกำหนดการของอัลลอฮ์เจ้า

เล่าจากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มีสองพวกจากประชากรของข้าพเจ้า ที่ไม่มีส่วนดีแก่พวกเขาเลยในอิสลาม นั้นคือ พวกมุรญิอะห์ และพวกกอดรียะห์

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์จะไม่ยอมรับ การกระทำความดีของพวกนอกศาสนาจนกว่าจะสุนัตความเชื่อมั่นผิดๆ ทิ้งไปเสียก่อน 

รายงานโดย อิบนุมายะห์

บทที่ห้า 14

การให้คำมั่นสัญญา

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “แท้จริงบรรดาบุคคลที่ให้คำมั่นสัญญากับท่านเท่ากับพวกเขา ให้คำมั่นสัญญากับอัลลอฮ์ มือ (อำนาจ) ของอัลลอฮุยู่เหนือมือของพวกเขา”

เล่าจากอุบาดะห์ บิน อัซซอมัดว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวขณะที่มีอัครสาวกกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมอยู่ว่า ท่านทั้งหลายจงให้คำมั่นสัญญาแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านทั้งหลายจะไม่นำสิ่งใดๆ มาหุ้นส่วน(เป็นชิริก) กับอัลลอฮ์ในการเคารพสักภาระ จะไม่ลักขโมย จะไม่ละเมิดผิดทางประเวณี (ซินา) จะไม่ฆ่าลูกของพวกท่าน (เพราะกลัวความยากจนและเสื่อมเสีย) จะไม่โป้ปดมดเท็จที่พวกท่านอุปโลกน์มันขึ้นมา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง และจะไม่ขัดขืนในสิ่งที่เป็น คุณงามความดี ผู้ใดจากพวกท่านได้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แล้วนี้ ผลบุญของเขาอยู่ ณ อัลลอฮ์และผู้ใดได้พบกับความชั่วอย่างหนึ่งอย่างใดที่กล่าวมา ต่อมาเขาถูกลงโทษในโลกนี้ (ตามกำหนดแห่งความชั่วนั้น) นั้นเป็นการไถ่บาปของเขา และผู้ใดได้พบกับความชั่วอย่างหนึ่งอย่างใดที่กล่าวมา แต่อัลลอฮ์ได้ปกปิด (ความชั่วของ) เขาไว้ (โดยมิให้ถูกลงโทษในโลกนี้) ดังนั้นเขาขึ้นตรงต่ออัลลอฮ์ ถ้าหากพระองค์ต้องการ พระองค์จะยกโทษให้เขา และถ้าหาก พระองค์ต้องการ พระองค์จะลงโทษเขา พวกเราได้ให้คำมั่นสัญญาแก่ท่านเราะซูลตามที่กล่าวนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และในรายงานของบุคอรีและมุสลิมว่า พวกเราได้ให้คำมั่นสัญญาแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ทั้งในยามทุกข์และยามสุข ทั้งในยามกระตือรือร้น และเกียจคร้าน จะเห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าตัวเราเอง จะไม่ขัดขืนคำสั่งของผู้มีอำนาจอันชอบธรรม จะพูดแต่ความจริงไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพการณ์อย่างไร และพวกเราจะไม่กลัวข้อครหาของผู้ใดในหนทางของอัลลอฮ์

และในรายงานอื่นว่า และพวกเราะจะไม่ขัดขืนคำสั่งของผู้มีอำนาจ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า นอกจากพวกท่านจะพบเห็นการทรยศ (กุฟุร) อย่างโจ่งแจ้ง พวกท่านก็มีข้ออ้างจากอัลลอฮ์(ในการขัดคำสั่ง) 

เล่าจากยะรีร บินอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่า จะดำรงละหมาด จ่ายซะกาต และแนะนำตักเตือนแก่มุสลิมทุกคน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อุมัรได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเราได้ให้คำมั่นสัญญาแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่าจะเชื่อฟังและปฏิบัติตาม ท่านได้กล่าวแก่พวกเราว่า ในสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายมีความสามารถ

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้เคยให้ทำมั่นสัญญาแก่ พวกผู้หญิง ด้วยคำพูดที่ปรากฏอยู่ในโองการที่ว่า “พวกนางจะไม่ตั้งสิ่งใดขึ้นเป็นภาคีกับอัลลอฮ์[39]” ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า มือของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จะไม่สัมผัสกับมือของผู้หญิงคนใด นอกจากผู้หญิงที่ท่านมีกรรมสิทธิ์อยู่ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

บทที่หก 15

การยึดมั่นต่อ อัลกิตาบ และซุนนะห์[40]15

อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงยึดมั่นต่อเชือก (ศาสนา) ของอัลลอฮ์ โดยพร้อมเพรียิ่งกันเถิด และท่านทั้งหลายอย่าแตกแยกกัน” และพระองค์ได้กล่าวว่า “สิ่งใดที่ศาสนทูตนำมาสู่ท่านทั้งหลาย พวกท่านจงยึดมาปฏิบัติ และสิ่งใดที่ศาสนทูตห้ามพวกท่าน พวกท่านจงยับยั้ง และพระองค์ได้กล่าวอีกว่า “โอ้มุฮัมมัดจงประกาศ ถ้าหากท่านทั้งหลายรักอัลลอฮ์ จงตามข้าพเจ้า แล้วอัลลอฮ์จะรักพวกท่าน และยกโทษบาปต่างให้พวกท่าน”

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล ) ได้กล่าวว่า ความจริงถ้าจะเปรียบตัวข้าพเจ้า กับสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ส่งข้าพเจ้ามาเพราะสิ่งนั้น[41] ก็เหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งที่มาหาพวกพ้อง ของเขาแล้วกล่าวว่า โอ้พวกพ้องของข้าพเจ้า ความจริงข้าพเจ้าได้เห็นกองทหาร[42] ด้วยตาทั้งสองข้างของข้าพเจ้า และแท้จริงตัวข้าพเจ้าเป็นผู้มาเตือนที่ยอมเปลือยกาย (โดยเอาเครื่องนุ่งห่มมาโบกให้สัญญาณ) ดังนั้นท่านทั้งหลายจงเลือกเอาทางปลอดภัยไว้ก่อน มีคนบางกลุ่มเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้มาเตือน แล้วพวกเขารีบเดินทางหลบหนีไป พวกเขาก็เดินทางไปด้วยความปลอดภัย และมีคนบางกลุ่มที่กล่าวหา (ผู้มาเตือน) ว่าโกหก จึงอยู่กับที่ (ไม่ได้หลบหนีไป) ดังนั้นในตอนเช้ากองทหารจึงบุกเข้ามา และทำลายล้างพวกเขาจนหมดสิ้น นี้แหละมันเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่ข้าพเจ้านำมา และเป็นอุทาหรณ์แก่ผู้ไม่เชื่อฟัง และกล่าวหาสัจธรรมที่ข้าพเจ้านำมาว่าโกหก 

เล่าจากอะบี สะอีด จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ขอยืนยันว่าพวกท่านจะต้องตามแนวทางและประเพณีของคนรุ่นก่อน คืบต่อคืบ ศอกต่อศอก แม้กระทั้งถ้าหากพวกเขามุดเข้าไปในรูแย้ พวกท่านก็ต้องมุดตามเข้าไป พวกเรากล่าวว่า พวกนั้นคือ พวกยะฮูดี และนะซอรอ ใช่ไหม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ตอบว่า จะมีใครเสียอีก และในบางรายงานว่า มีผู้ถามว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  เช่นพวกเปอร์เซียและโรมันใช่ไหม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า จะมีใคร นอกจากพวกนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดทำแหวกแนวขึ้นมาในศาสนาของเรานี้ สิ่งที่ไม่มีต้นตอ ออกมาจากศาสนาถือว่าสิ่งนั้นถูกปฏิเสธ และในบางราย งานว่า ผู้ใดทำงานชิ้นหนึ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศาสนาของเรา งานชิ้นนั้นถูกปฏิเสธ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงคำพูดที่น่าเชื่อถือมากที่สุด คือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ (เพราะเป็นคำพูดของพระองค์) ทางนำที่ดีงามที่สุด คือทางนำของมุฮัมมัด กิจการงานที่ชั่วช้าที่สุด คือ กิจการงานที่แหวกแนวออกนอกสู่นอกทางของศาสนา ทุกๆ กิจการที่ออกนอกสู่นอกทางของศาสนาถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ (ที่ไม่มีต้นตอจากศาสนา) และทุกๆ สิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ถือเป็นความหลงผิด และทุกๆ ความหลงผิดจะนำพาเข้าสู่ขุมนรก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี ส่วนตัวบทของหะดีษนี้เป็นของนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า สิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ห้ามพวกท่าน ท่านทั้งหลายจงออกให้ห่างสิ่งนั้น และสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ใช้พวกท่าน ท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตาม เท่าที่ความสามารถของพวกท่านจะอำนวยให้ ความจริงการถามอย่างจู้จี้และการขัดขืนคำสั่งของบรรดานบีนั้น ได้สร้างความพินาศให้เกิดขึ้นกับประชากรในยุคก่อนจากพวกท่านมาแล้ว  16

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ความจริง ถ้าจะเปรียบตัวข้าพเจ้ากับประชากรของข้าพเจ้า ก็เหมือนกับผู้ชายคนหนึ่งที่จุดไฟขึ้น (ในเวลากลางคืน) แมลงต่างๆ และผีเสื้อกลางคืน (แมลงเม่า) จะพากันบินเข้าไปในไฟนั้น ดังนั้นข้าพเจ้าจะเป็นผู้คอยฉุครั้งเอวของพวกท่านไว้แต่พวกท่านก็พยายามกระเสือกกระสนพาตัวเองเข้าสู่ไฟนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ประชากรของข้าพเจ้าทุกคนจะได้เข้าสวรรค์นอกจากผู้ที่ฝ่าฝืน พวกเขาถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ใครคือ ผู้ที่ฝ่าฝืน ท่านตอบว่า ใครเชื่อฟังและปฏิบัติตามข้าพเจ้าเขาได้เข้าสวรรค์ ใครไม่เชื่อฟังและไม่ปฏิบัติตามข้าพเจ้า ดังนั้นเขาเป็นผู้ที่ฝ่าฝืน 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากญาบิรกล่าวว่า มีมะลาอิกะห์จำนวนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.   ในขณะที่ท่านหลับ มะลาอิกะห์ส่วนหนึ่งกล่าวว่า ความจริงเขานอนหลับแต่มะลาอิกะห์อีกส่วนหนึ่งกล่าวว่า แท้จริงดวงตานั้นหลับสนิท แต่จิตใจยังคงตื่นอยู่ ดังนั้นบรรดามะลาอิกะห์จึงกล่าวว่า แท้จริงมีอุทาหรณ์หนึ่งสำหรับเพื่อนของพวกท่านคนนี้ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงยกอุทาหรณ์ให้เขาฟังด้วยเถิด มะลาอิกะห์ส่วนหนึ่งได้กล่าวว่า ความจริงเขานอนหลับแต่อีกบางส่วนก็กล่าวว่า ความจริงตาหลับแต่ใจไม่หลับ ดังนั้นบรรดามะลาอิกะห์จึงกล่าวว่า ถ้าจะเปรียบเขา (คืออัลลอฮ์กับบ่าวของพระองค์) ก็เหมือนกับชายคนหนึ่งที่ได้สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่ง และได้จัดสำรับอาหาร ไว้ในบ้านหลังนั้น แล้วส่งคนออกไปเชื้อเชิญ ดังนั้นผู้ใดได้ตอบรับคำเชิญเขาก็ได้เข้าบ้าน และได้รับประทานอาหารจากสำรับนั้น และผู้ใดไม่ตอบรับคำเชิญ เขาก็จะไม่ได้เข้าไปในบ้าน และไม่ได้รับประทานอาหารจากสำรับนั้น บรรดามะลาอิกะห์ได้กล่าวว่า พวกท่านจงแก้อุทาหรณ์ ให้เขาเข้าใจ มะลาอิกะห์บางส่วนได้กล่าวว่า ความจริงเขานอนหลับแต่อีกบางส่วนกล่าวว่า ความจริงตาหลับแต่ใจไม่หลับหรอก พวกมะลาอิกะห์จึงกล่าวว่า บ้านนั้นคือสวรรค์ ผู้เชื้อเชิญคือ มุฮัมมัด ซ.ล.  ผู้ใดเชื่อฟังมุฮัมมัดก็เท่ากับเขาเชื่อฟังอัลลอฮ์ และผู้ใดไม่เชื่อฟัง มุฮัมมัดก็เท่ากับเขาไม่เชื่อฟังอัลลอฮ์และมุฮัมมัด ซ.ล.  นั้นคือ ผู้แยกมนุษยชาติ[43]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี  17

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มาที่สุสานแห่งหนึ่งแล้วกล่าวว่า ขอความสันติสุขจงประสบแก่พวกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้มีศรัทธาที่อาศัย อยู่ ณ บ้านแห่งนี้ และแน่แท้พวกเรานั้น ถ้าหากอัลลอฮ์ต้องการ ก็จะติดตามพวกท่านไป และข้าพเจ้ามีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้พวกเราได้พบเห็นพวกพี่น้องของเราที่ดีและมีเกียรติ พวกเขากล่าวว่า แล้วพวกเรามิใช่เป็นพี่น้องของท่านหรอกหรือโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า พวกท่านเป็นสาวกของข้าพเจ้า ส่วนพี่น้องของเรานั้น พวกเขายังไม่มา (แต่จะมาในภายหลัง) พวกเขากล่าวว่า ท่านจะรู้จักผู้ที่มาในภายหลังจากเหล่าประชากรของ ท่านได้อย่างไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงบอกข้าพเจ้าซิว่า ถ้าหากชายคนหนึ่ง เขามีม้าตัวหนึ่งที่มีแด่นขาวที่หน้าและเท้าทั้งสี่ข้าง อยู่ท่ามกลางม้าสี่ดำ เขาจะรู้จักม้าของเขาหรือไม่  พวกเขากล่าวว่า แน่นอนเขาต้องรู้จักม้าของเขา โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แล้วท่านได้กล่าวว่า ความจริงพวกเขา (พี่น้องของพวกเรา) จะมา[44] ในสภาพที่ใบหน้า แขน และขาของพวกเขามีรัศมี เนื่องจากการอาบน้ำละหมาด ส่วนข้าพเจ้าจะคอยเขาอยู่ที่บ่อนํ้า โปรดรับทราบด้วยว่า มีคนจำนวนมากที่ถูกขัดขวางมิให้เข้ามาใกล้บ่อน้ำของข้าพเจ้า เหมือนอูฐหลงฝูงที่ถูกกีดกันมิให้เข้าร่วมกับฝูงอื่น ข้าพเจ้าจะร้องเรียกพวกเขาว่า มาทางนี้ และจะมีผู้กล่าวขึ้นว่า พวกเขาเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว หลังจากท่าน (ได้จากไป) ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า จงพินาศ จงพินาศ[45]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี และตัวบทบางตอนของหะดีษนี้เป็นรายงานของบุคอรี

เล่าจากอัลอิรบาด บินซาริยะห์ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ทำการอบรม สั่งสอนพวกเราในวันหนึ่งหลังละหมาดซุบฮ์ เป็นการอบรมที่กินใจและลึกซึ้งจนทำให้นำตาไหล และจิตใจไหวหวั่น ถึงขนาดที่ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า แน่แท้มันเป็นคำสั่งสอนของผู้ที่กำลังจะจากไป ดังนั้นมีสิ่งใดบ้างที่ท่านจะใช้พวกเรา โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าสั่งเสียให้ท่านทั้งหลายเกรงกลัว (ตักวา) ต่ออัลลอฮ์ ให้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม (ผู้นำ) แม้ (ผู้นำ) จะเป็นเพียงทาสผิวดำ (ชาวอบิสิเนี้ย) เพราะพวกท่านที่มีชีวิตอยู่จะได้พบเห็นการแตกแยกอย่างกว้างขวาง และพวกท่านจงระวังสิ่งที่แหวกแนว ออกนอกกรอบของศาสนา เพราะนั้นคือความงมงาย ดังนั้นผู้ใดได้พบกับกิจการดังกล่าวให้เขาจงยึดตามแนวทางของข้าพเจ้าและแนวทางของบรรดาเคาะลิฟะห์ ซึ่งเป็นผู้ให้การแนะนำและเป็นผู้ได้รับทางนำ ท่านทั้งหลายจงก็ด (ยึด)มินให้แน่นด้วยฟันกราม[46]

เล่าจากอะบีรอเฟียะอ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่เป็นการบังควรที่ข้าพเจ้า จะพบใครคนหนึ่งคนใดจากพวกท่าน นั่งเอกเขนกอยู่บนเตียงที่สวยงาม (เมื่อ) มีคำสั่งของข้าพเจ้ามาถึงเขา จากคำสั่งใช้และห้าม เขาจะกล่าวว่า พวกเขาไม่รู้ สิ่งใดที่พวกเราพบ (จากคำสั่งใช้และห้าม) อยู่ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) พวกเราก็ปฏิบัติตามนั้น[47]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า พวกยะฮูดี (ยิว) ได้แตกแยก ออกไป 71 หรือ 72 พวก และพวกน่าซอรอได้แตกแยกออกไป 71 หรือ 72 พวก ส่วนประชากร ของข้าพเจ้าได้แตกแยกออกไป 73 พวก ได้มีเพิ่มเติมในบางรายงานว่า 72 พวกนั้นอยู่ในขุมนรก และพวกเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสวรรค์พวกนั้นคือคนส่วนใหญ่ (ที่ปฏิบัติตามแนวทางของท่านนบี และบรรดาเคาะลิฟะห์ 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และเล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ทิ้งสองสิ่งไว้กับพวกท่าน ซึ่งพวกท่านจะไม่หลงผิดและงมงาย ตราบใดเมื่อพวกท่านยังยึดมั่นอยู่กับสองสิ่งนี้ นั้นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์(อัลกุรอาน) และแนวทาง (ซุนนะห์) ของเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  

รายงานโดย อิหม่ามมาลิก

เล่าจากซัยด์ บินอัรกอม ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าได้ทิ้งไว้กับพวกท่าน สิ่งถ้าหากพวกท่านยึดมั่นกับมันแล้ว พวกท่านจะไม่หลงผิดหลังจากข้าพเจ้า (ได้จากไป)[48] สิ่งแรกสำคัญกว่าสิ่งหลัง (สิ่งแรก) นั้นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) เป็นเชือกที่โรยลงมาจากฟากฟ้าสู่พื้นแผ่นดิน[49] และ (สิ่งหลังนั้นคือ) ผู้ที่สืบตระกูลจากข้าพเจ้า คือ ผู้ที่อยู่ในครอบครัวของข้าพเจ้า[50] ทั้งสองนั้นจะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองสิ่งนั้นจะได้ มาหาข้าพเจ้าที่บ่อน้ำ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า ท่านทั้งหลายได้เจริญรอยตามข้าพเจ้า อย่างไรบ้างในสิ่งทั้งสองนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัสได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า โอ้ถูกรัก[51] ถ้าหากเจ้าสามารถที่จะตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าจนถึงเวลาเย็น โดยที่เจ้าไม่คิดร้ายต่อผู้ใด เจ้าจงกระทำเถิด หลังจากนั้นท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าอีกว่า โอ้ลูกรัก และนั้นแหละเป็นแนวทางของฉัน ผู้ใดฟื้นฟูแนวทางของฉัน แสดงว่าเขารักฉัน  และผู้ใดรักฉัน เขาได้อยู่กับฉันในสวรรค์ 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

บทที่เจ็ 19

การเดินสายกลางและการกระทำเป็นเนืองนิจ ในการประกอบความดีเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์โปรดปรานยิ่ง

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้เข้ามาหานาง และได้พบผู้หญิง คนหนึ่งอยู่กับนาง ท่านนบีได้กล่าวว่า ผู้หญิงคนเป็นใคร ท่านหญิงอาอิชะห์ตอบว่า ผู้หญิง คนนี้คือ (พร้อมกับระบุนาม) แล้วเล่าให้ท่านนบีฟังถึงการทำละหมาดของหล่อน[52] ท่านนบี กล่าวว่า พอแล้ว[53] ท่านทั้งหลายจงกระทำในสิ่งที่มีความสามารถ สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า อัลลอฮ์จะไม่เบื่อ[54] จนกว่าท่านทั้งหลายจะเบื่อหน่าย (จากการทำความดี) และปรากฏว่ากิจกรรม ของศาสนาที่อัลลอฮ์รักยิ่งคือ กิจกรรมที่ผู้ปฏิบัติเป็นนิจสิน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะนัส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า โปรดรับทราบและขอยืนยันด้วยอัลลอฮ์ว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีความยำเกรงในอัลลอฮ์ยิ่งกว่าพวกท่าน และเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามพระองค์ยิ่งกว่าพวกท่านแต่ข้าพเจ้าก็ยังถือศีลอด (เป็นบางวัน) และละศีลอด (ในบางวัน) ข้าพเจ้าทำละหมาดแต่ก็ยังต้องนอน (เพื่อการพักผ่อน) และข้าพเจ้าแต่งงานกับพวกผู้หญิง ดังนั้นผู้ใดไม่ชอบแนวทางอย่างนี้ของข้าพเจ้า เขาย่อมไม่ใช่เป็นประชากรของข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าได้รับข่าวมิใช่หรือว่า ท่านนั้นอดหลับอดนอนในเวลากลางคืน เพื่อทำละหมาด และท่านยังได้ถือศีลอดอีกในเวลากลางวัน ข้าพเจ้า (อับดิลลาห์) ตอบว่า ข้าพเจ้าได้กระทำอย่างนั้นจริง ท่านนบีได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านทำอย่างนั้น ดวงตาของท่านจะลึกและกลวงโบ๋ และรางกายของ ท่านจะเหนื่อยหน่ายและเมื่อยล้า และแท้จริงตัวของท่านนั้นมีสิทธิ์ที่จะได้รับ (การพักผ่อน) และครอบครัวของท่านนั้นก็มีสิทธิ์จะได้รับ (ค่าเลี้ยงดูและความสุขจากท่าน) ตั้งนั้นท่านจงถือศีลอด (เป็นบางวัน) และละศีลอด (ในบางวัน) ท่านจงลุกขึ้นทำละหมาด (เป็นบางคืน) และ นอนพักผ่อน (เป็นบางคืน) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงศาสนา (อิสลาม) นั้นมีความสะดวกและง่ายดาย และจะไม่มีใครที่จะทุ่มเทให้แก่ศาสนา นอกจากจะต้องพ่ายแพ้แก่มัน (ศาสนา)[55] ดังนั้นท่านทั้งหลายจงทำในสิ่งที่ถูกต้อง และจงทำในสิ่งที่ใกล้เคียง กับสิ่งที่ดีที่สุด[56] และท่านทั้งหลายจงประกาศข่าวดี[57] และท่านทั้งหลายจงขอความช่วยเหลือ (จากอัลลอฮ์ในการทำดี) ทั้งในยามเช้า ยามเย็น และในช่วงหัวค่ำ (หรือย่ำรุ่ง)

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อได้ใช้ พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) จะใช้พวกเขาเหล่านั้นด้วยการกระทำต่างๆ เท่าที่พวกเขามีความสามารถ เหล่าสาวกได้กล่าวว่า แท้จริงพวกเราไม่เหมือนกับสภาพของท่าน โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์[58] (เพราะ) แท้จริงอัลลอฮ์ได้อภัยให้แก่ท่านแล้ว ทั้งบาปของท่านที่แล้วมาและบาปที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้แสดงอาการไม่พอใจ (ในคำพูดดังกล่าว) ออกมาจน สังเกตได้ทางสีหน้าของท่าน หลังจากนั้นท่านกล่าวว่า แท้จริงผู้ที่ยำเกรงอัลลอฮ์มากที่สุดในหมู่พวกท่าน และผู้ที่รู้จัก อัลลอฮ์ได้ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือตัวข้าพเจ้า[59] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

และได้มีผู้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ทำความดีเป็นพิเศษในวันใดบ้าง หรือเปล่า ท่านหญิงตอบว่า เปล่าเลย งานของท่านเป็นงานที่ทำอย่างสม่ำเสมอ มีใครบ้างไหม ในหมู่พวกท่านที่มีความสามารถเหมือนอย่างที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มีความสามารถ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจาก อาอิชะห์ ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถูกถามว่า อะไร คือการกระทำที่ที่อัลลอฮ์โปรดปรานมากที่สุด ท่านตอบว่า คืองานที่ทำอย่างสม่ำเสมอ แม้จะเล็กน้อยก็ตาม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี 
 

 

ภาค การตั้งเจตนา (นียัต- اَلْنِيَّةٌ) 22

และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮ์ (อิคลาส- اَلْإخْلَاصُ)

มีสามบท

บทที่หนึ่ง

การตั้งเจตนา (นียัต) และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮ์ (อิคลาส) และคุณค่าของทั้งสองประการนั้น[60]

อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ได้กล่าวว่า “ดังนั้นท่านจงก้มกราบอัลลอฮ์ด้วยความบริสุทธิ์ใจใน การก้มกราบเพื่อพระองค์ พึงสังวรเถิด ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงรับเฉพาะการก้มกราบที่บริสุทธิ์ใจต่อพระองค์เท่านั้น”

และได้กล่าวว่า “และพวกเขามิได้ถูกบัญชามา (เพื่อการอื่นใด) นอกจากเพื่อให้พวกเขา ก้มกราบต่ออัลลอฮุย่างบริสุทธิ์ใจ ในการก้มกราบเพื่อพระองค์อย่างเที่ยงธรรม”

เล่าจากอุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ความจริง การกระทำต่างๆ ขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา และความจริงคนทุกคน จะได้รับผลตามการตั้งเจตนาของเขา ดังนั้นผู้ใดที่ตั้งเจตนาว่าการอพยพของเขาเป็นไปเพื่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ ก็ปรากฏว่าผลจากการอพยพของเขาเป็นไปเพื่ออัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์ และผู้ใดที่ตั้งเจตนาว่า การอพยพของเขาเป็นไปเพื่อโลกนี้ (ดุนยา) เขาจะได้ประสบกับมัน หรือ (ตั้งเจตนาว่าการอพยพของเขาเป็นไป) เพื่อผู้หญิง เขาก็จะได้แต่งงานกับหล่อน ดังนั้นผลจากการอพยพของเขาจึงเป็นไปตาม (การตั้งเจตนา) ในสิ่งที่เขาอพยพไป 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.   ในสิ่งที่ท่านได้รายงานมาจากอัลลอฮ์ ผู้สูงเกียรติโดย อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้บันทึกความดีและความชั่วทั้งหลาย จากนั้นได้แยกแยะได้ดังนี้ว่า ผู้ใดได้ตั้งใจทำความดีแต่เขายังไม่ได้กระทำ (ความดีตามที่ตั้งใจไว้) อัลลอฮ์ได้บันทึก ณ พระองค์ให้แก่เขาผู้นั้นหนึ่งความดีที่สมบูรณ์ (แม้ว่าเขายังไม่ได้ลงมือกระทำเลยก็ตาม) และถ้าหากเขาตั้งใจทำความดีและได้ลงมือกระทำตามความตั้งใจนั้น อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้บันทึก ณ พระองค์ให้แก่เขาผู้นั้นสิบความดีถึงเจ็ดร้อยเท่า (ของความดี) จนที่วีคูณขึ้นอีกมากมาย และถ้าหากผู้ใดตั้งใจทำความชั่วแต่ไม่ได้ลงมือกระทำ ตามความตั้งใจนั้น อัลลอฮ์ได้บันทึก ณ พระองค์ให้แก่เขาผู้นั้นหนึ่งความดีที่สมบูรณ์ และถ้าหากผู้ใดตั้งใจทำความชั่ว และได้ลงมือกระทำตามที่ตั้งใจได้ อัลลอฮ์ได้บันทึกให้กับเขา หนึ่งความชั่วเท่านั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ในขณะที่ผู้ชายสามคนกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางฝนได้เทกระหน่ำลงมา พวกเขาทั้งสามจึงหลบฝนเข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำที่ภูเขาถูกหนึ่ง ต่อมาได้มีหินใหญ่ก้อนหนึ่งจากภูเขาถูกนั้น ทะลายลงมาปิดปากถ้ำได้ พวกเขาทั้งสามได้กล่าว แก่กันว่า จงหวนกลับไปที่บทวนดูการกระทำต่างๆ ที่พวกท่านได้เคยกระทำได้โดยบริสุทธิ์ใจ เพื่ออัลลอฮ์จากความดีต่างๆ (เมื่อที่บทวนพบแล้ว) ให้พวกท่านจงวิงวอนจากอัลลอฮ์โดย อาศัยความดีนั้น แน่นอนพระองค์ย่อมจะช่วยให้ก้อนหินนั้นหลุดพ้นออกไป ชายผู้หนึ่งได้กล่าว ขึ้นว่า ข้าพเจ้ามีบิดามารตาที่แก่และชราภาพ และมีถูกเล็กๆ อีกหลายคน ข้าพเจ้าเป็นผู้ทำหน้าที่ให้ การเลี้ยงดูบุคคลเหล่านั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับมา (จากทำงาน) ได้มารีดนม (แพะ) และได้ให้บิดากับมารตาของข้าพเจ้าดื่ม (นม) ก่อนถูกๆ ของข้าพเจ้า และมีอยู่วันหนึ่งที่ข้าพเจ้ากลับมาช้ากว่า ปกติ คือกลับมาถึงเมื่อตกคำแล้ว ข้าพเจ้าได้พบว่าท่านทั้งสองนอนหลับไปแล้ว ข้าพเจ้าได้รีด นมเหมือนอย่างเคย แล้วได้มายืนอยู่ทางด้านศีรษะของท่านทั้งสอง ข้าพเจ้าไม่ต้องการรบกวน การนอนของท่านทั้งสอง และไม่ต้องการให้ถูกๆ ดื่มนมก่อนท่านทั้งสอง ทั้งๆ ที่เด็กๆ ก็ส่งเสียงร้องเพราะความหิวอยู่ที่ปลายเท้าของข้าพเจ้า จนรุ่งอรุณของวันใหม่ (โอ้พระองค์อัลลอฮ์) หากท่านทราบว่าที่ข้าพเจ้าได้กระทำไปนั้น เป็นการกระทำเพื่อท่านโดยแท้ จงเปิดช่องให้พวก เราได้มองเห็นฟ้าบ้างเถิด แล้วอัลลอฮ์ก็ได้เปิดช่องให้ พวกเขาได้มองเห็นฟ้า อีกคนหนึ่งกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ความจริงเรื่องของข้าพเจ้ามีว่า ข้าพเจ้ามีลูกของลุงคนหนึ่งเป็นหญิงซึ่งข้าพเจ้ารักหล่อนมากที่สุดเหมือนอย่างพวกผู้ชายที่รักผู้หญิงมากที่สุด ข้าพเจ้าได้ขอ (ร่วมรัก) กับหล่อนแต่หล่อนไม่ยินยอม จนในที่สุดข้าพเจ้าได้ทุ่มเทเงินให้หล่อนถึงหนึ่งร้อยเหรียญที่อง ต่อมาข้าพเจ้าได้ใช้ความพยายามจนได้อยู่กับหล่อนตามลำพัง และแล้วในขณะที่ข้าพเจ้าตกอยู่ระหว่างสองขาของหล่อน หล่อนได้กล่าวว่า โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ จงเกรงกลัวอัลลอฮ์ ท่าน อย่าสวมแหวน[61] นอกจากจะมีสิทธิ์ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นและผละออก[62] (โอ้พระองค์อัลลอฮ์) หากท่านทราบว่าที่ข้าพเจ้าได้กระทำไปนั้น เป็นการกระทำเพื่อท่านโดยแท้ จงเปิดช่องให้พวกเราสักหนึ่งช่องเถิด แล้วอัลลอฮ์ก็ได้เปิดช่องให้ ชายคนที่สามได้กล่าวว่า โอ้พระองค์ อัลลอฮ์ความจริงข้าพเจ้าได้จ้างลูกจ้างไว้คนหนึ่ง ด้วยค่าจ้างเป็นข้าวจำนวนหนึ่ง[63] เมื่อเขาทำงานเสร็จได้กล่าวว่า จงจ่ายค่าจ้างให้ข้าพเจ้า(ถูกจ้าง) ข้าพเจ้า(ท้ายจ้าง)จึงได้นำมามอบให้เขาแต่เขาไม่พอใจที่จะรับมัน ข้าพเจ้าจึงได้นำข้าวจำนวนนั้นไปเพาะปลูกเรื่อยมา จนสามารถรวบรวมฝูงวัวพร้อม ด้วยคนดูแลได้จำนวนหนึ่ง (ซึ่งเกิดขึ้นจากรายได้ของข้าวนั้น) แล้วต่อมาเขาก็ได้กลับมาหาข้าพเจ้า (หลังจากหายหน้าไปนาน) และกล่าวว่า ท่านจงเกรงกลัวอัลลอฮ์ (และจงจ่ายค่าจ้างให้ข้าพเจ้า”ลูกจ้าง”) ข้าพเจ้า(นายจ้าง)จึงกล่าวแก่เขาว่า วัวและคนดูแลนั้นแหละคือค่าจ้างของท่าน จงไปเอาเถิด เขากล่าวว่า ท่านจงเกรงกลัวอัลลอฮ์และอย่าพูดล้อเล่นกับข้าพเจ้า(ถูกจ้าง) ข้าพเจ้า(นายจ้าง)จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ล้อเล่นท่านเลย จงไปเอาเถิด เขาจึงได้เอา (ฝูงวัวพร้อมด้วยคนดูแล) ไป โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ถ้าหากท่านทราบว่าที่ข้าพเจ้าทำไปนั้น เป็นการกระทำเพื่อท่านโดยแท้จงให้หินที่เหลืออยู่หลุดพ้นไปด้วยเถิด อัลลอฮ์ได้ให้หลุดพ้นไป และในบางรายงานว่า พวกเขาได้ออกจากถ้ำเดินทาง ต่อไป 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ว่าเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ใครคือผู้ที่มีความสุขที่สุด ด้วยการช่วยเหลือของท่านในวันกิยามะห์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โอ้อะบู ฮุรอยเราะห์ ความจริงข้าพเจ้าคิดว่า คงไม่มีใครถามข้าพเจ้าถึงเรื่องนี้ก่อนท่าน เพราะข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า ท่านเป็นคนที่มีความโลภที่จะรับฟังหะดีษ คนที่มีความสุขที่สุดด้วยการช่วยเหลือของข้าพเจ้าในวันกิยามะห์ คือ ผู้ที่กล่าวว่า ลาอิลาหะ อิลลัลลอฮ์ (ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากอัลลอฮ์) ออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ หรือ[64] จิตใจของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

บทที่สอง 24

ผลบุญขึ้นอยู่ที่การตั้งเจตนาเท่านั้น

เล่าจากมะอฺนี้ บินยาซีดได้กล่าวว่า ปรากฏว่าบิดาของข้าพเจ้าคือยาซีด ได้นำเหรียญที่องจำนวนหนึ่งออกไปเพื่อทำทาน โดยได้นำเหรียญที่องจำนวนนั้นไปวางไวใกล้ๆ กับชายคนหนึ่ง ในมัสญิด[65] ข้าพเจ้าได้มาพบและหยิบเอาเหรียญที่องจำนวนนั้นไป ต่อมาข้าพเจ้าได้มาพบกับ บิดาของข้าพเจ้าพร้อมด้วยเหรียญที่องจำนวนนั้น แล้วท่านได้กล่าวว่า สาบานด้วยอัลลอฮ์ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจให้ท่าน                        ข้าพเจ้าได้โต้เถียงกับบิดาของข้าพเจ้าจนได้ไปร้องเรียนต่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านรอซูลได้กล่าวว่า โอ้ยะซีด สิ่งที่ท่านตั้งใจไว้นั้นเป็นของท่านแล้ว[66] และสิ่งที่ท่าน(มะอฺนี)หยิบเอาไปก็เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านแล้ว[67] โอ้มะอฺนี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ในเรื่องซะกาต

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่มองดู รูปร่างของพวกท่าน และทรัพย์สมบัติของพวกท่านแต่พระองค์จะมองลึกลงไปที่หัวใจ และการกระทำของพวกท่าน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอิบนุมายะห์

เล่าจากสะหฺล บินอุนัยฟ์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดขอจากอัลลอฮ์ให้ตาย ในสงครามศักดิ์สิทธิ์[68]ด้วยความจริงใจ อัลลอฮ์ก็จะยกตำแหน่งของเขาให้สูงเท่ากับตำแหน่งของนักรบที่ตายในสงครามศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้เขาจะตายอยู่บนเตียงนอนก็ตาม 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของติรมีซีว่า ผู้ใดขอจากอัลลอฮ์ให้ตายในวิถีทางของพระองค์ด้วยความจริงใจ อัลลอฮ์จะประทานผลบุญให้แก่เขาเท่ากับนักรบทตายในสงครามศักดิ์สิทธิ์

เล่าจากอาอิชะห์ จากท่านบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีผู้ใดที่เขาเคยละหมาด (ตะฮัจญุด) ในเวลากลางคืน แล้วเขาเกิดง่วงนอน (ในคืนวันหนึ่ง) จนไม่ได้ละหมาด นอกจากผลบุญของการละหมาดนั้น ได้ถูกบันทึกให้แก่เขา และการนอนนั้นก็เป็นทาน (صَدَقَةٌ) แก่เขา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจากอะบี กับซะห์ อัลอันมารี จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า สามประการที่ข้าพเจ้ากล้ายืนยันก็คือ ทรัพย์สินของบ่าวคนหนึ่งคนใดจะไม่บกพร่องด้วยการบริจาคทาน ไม่มีบ่าวคนใดที่ ถูกทุจริตแล้วเขามีความอดทน นอกจากอัลลอฮ์จะเพิ่มอำนาจให้เขา และไม่มีบ่าวคนใดที่เปิดประตูการขอนอกจากอัลลอฮ์จะเปิดประตูความยากจนให้ประสบกับเขา หรือ[69] คำพูดที่คล้ายกันนี้ และข้าพเจ้าจะบอกเรื่องหนึ่งให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วจงจดจำไว้ ท่านนบีได้กล่าวว่า แท้จริงโลกนี้เป็นของคนสี่คน คนหนึ่งอัลลอฮ์ได้ประทานทรัพย์สมบัติและวิชาความรู้ให้แก่เขา แล้วเขามีความเกรงกลัวพระเจ้าของเขา ในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้นั้น[70] และเขาติดต่อเชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติของเขา และรู้หน้าที่อันพึงปฏิบัติต่อเครือญาติเพื่ออัลลอฮ์ คนนี้มีตำแหน่งสูงที่สุด (ณ พระองค์อัลลอฮ์) คนหนึ่งอัลลอฮ์ประทานวิชาความรู้ให้แก่เขา โดยมิได้ประทาน ทรัพย์สมบัติให้แต่เขามีความตั้งใจจริง เขาจะกล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้ามีทรัพย์สมบัติ ข้าพเจ้าจะกระทำเหมือนอย่างคนนั้นคนนี้[71] ดังนั้นเขาจะได้ (รับผลบุญ) ตามความตั้งใจของเขา และผลบุญของเขาทั้งสองเท่ากัน[72] คนหนึ่งอัลลอฮ์ได้ประทานทรัพย์สมบัติให้โดยมิได้ประทานวิชาความรู้ให้ เขาเข้าไปให้จ่ายทรัพย์สมบัติโดยปราศจากความรู้ โดยเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้าของเขาในสิ่งที่พระองค์ได้ประทานให้ เขาไม่ได้ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์กับวงศ์ญาติ และไม่รู้หน้าที่อันพึงปฏิบัติแก่เครือญาติเพื่ออัลลอฮ์ คนนี้จัดว่าอยู่ในดำแหน่งที่เลวที่สุด และอีกคนหนึ่งอัลลอฮ์ไม่ได้ประทานทั้งทรัพย์สมบัติและวิชาความรู้ให้แก่เขา แล้วเขาจะกล่าวว่า ถ้าหาก ข้าพเจ้ามีทรัพย์สมบัติ ข้าพเจ้าจะกระทำเหมือนอย่างคนนั้นคนนี้[73] ดังนั้นเขาจะได้ (รับบาป) ตามเจตนาของเขา และบาปของคนทั้งสองเท่ากัน[74] 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

บทที่สาม 26

เตือนให้ออกห่างจากการทำบุญเอาหน้า

อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวว่า “ผู้ใดปรารถนาพบกับอัลลอฮ์ของเขา ให้เขาจงทำคุณงามความดีโดยไม่น่าเอาสิ่งใดๆ มาตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ของเขา ในการทำความดี”

เล่าจากยุนดุบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดทำความดีเพื่ออวดให้ผู้คนได้ยิน อัลลอฮ์จะทำให้เขากับอายต่อหน้าผู้คนในวันกิยามะห์ และผู้ใดทำความดีที่อวดให้คนเห็น อัลลอฮ์จะทำให้เขากับอายต่อหน้าผู้คนในวันกิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงยิ่งได้กล่าวว่า เราไม่พึงต้องการผู้ร่วมภาคี (ในการทำความดีใดๆ แก่เรา) ผู้ใดได้กระทำ ความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยนำผู้อื่นมาเคารพบูชาร่วมกับเรา เราจะปล่อยเขาไว้กับผู้ที่เขานำมาร่วมเคารพนั้น[75] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และเล่าจาก อะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงมนุษย์คน แรกที่ถูกตัดสินในวันกิยามะห์คือ ผู้ที่ถูกฆ่าตายในสงครามศักดิ์สิทธิ์เขาถูกนำตัวมา และได้รับคำแนะนำ ให้รู้จักกับความโปรดปรานต่างๆ ที่เขาเคยได้รับจนเขายอมรับ แล้วอัลลอฮ์ได้กล่าวว่า ท่านได้ทำอะไรบ้างในความโปรดปรานเหล่านั้น  เขาตอบว่า ข้าพเจ้าได้สู้รบเพื่อท่าน จนถูกฆ่าตาย พระองค์ (อัลลอฮ์) ได้กล่าวว่า ท่านโกหกแต่ความจริงท่านทำการสู้รบเพื่อให้ได้ ชื่อว่าเป็นผู้กล้าหาญ ความจริงเขาก็ได้ชื่ออย่างนั้นแล้ว จากนั้นพระองค์ได้ออกคำสั่ง เขาจึงถูกฉุดกระชากจนหน้าคะมำแล้วถูกโยนเข้าสู่ขุมนรก และชายคนหนึ่งที่ได้ศึกษาหาความรู้ และได้สั่งสอนตามความรู้นั้น และเขาได้อ่านอัลกุรอาน เขาได้ถูกนำตัวมา และได้รับคำแนะนำให้รู้จัก กับความโปรดปรานต่างๆ ที่เขาเคยได้รับ จนเขายอมรับ แล้วอัลลอฮ์ที่ได้กล่าวว่า ท่านได้ทำอะไรบ้างในความโปรดปรานเหล่านั้น เขาตอบว่า ข้าพเจ้าได้ศึกษาหาความรู้และได้สอนตามความรู้นั้น และได้อ่านอัลกุรอานเพื่อท่านพระองค์ได้กล่าวว่า ท่านโกหกแต่ที่ท่านศึกษาหาความ รู้นั้นก็เพื่อให้ได้ชื่อว่า “เป็นผู้รู้” และที่ท่านอ่านอัลกุรอานก็เพื่อที่ได้ชื่อว่า “เป็นนักอ่าน” ความจริงเขาก็ได้ชื่ออย่างนั้นแล้ว จากนั้นพระองค์ได้ออกคำสั่ง เขาจึงฉุดกระชากจนหน้าคะมำแล้วถูกโยนเข้าสู่ขุมนรก และชายคนหนึ่งที่อัลลอฮ์ที่ได้ให้ความร่ำรวยแก่เขา และได้ประทานทรัพย์สินประเภทต่างๆ ให้แก่เขาอย่างมากมาย เขาถูกนำตัวมา และได้รับการแนะนำให้รู้จักกับความโปรดปรานต่างๆ ที่เขาเคยได้รับ จนเขายอมรับ แล้วพระองค์อัลลอฮ์ที่ได้กล่าวว่า ท่านได้ทำ อะไรบ้างในความโปรดปรานเหล่านั้น เขาตอบว่าข้าพเจ้าไม่เคยละเว้นหนทางที่ท่านชอบให้มี การบริจาค นอกจากข้าพเจ้าจะบริจาคไปในหนทางเหล่านั้น เพื่อท่าน พระองค์กล่าวว่า ท่าน โกหกแต่ที่ท่านได้กระทำไปนั้นก็เพื่อให้ได้ชื่อว่า “เป็นคนใจบุญ” ความจริงเขาก็ได้ชื่ออย่างนั้นแล้ว จากนั้นพระองค์ได้ออกคำสั่ง เขาจึงถูกฉุดกระชากจนหน้าคะมำ แล้วถูกโยนเข้าสู่ขุมนรก 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ยุนดุบ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์ให้ห่างไกลจากหุบเหวแห่งความเศร้าหมอง พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ได้กล่าว ว่าหุบเหวแห่งความเศร้าหมองคืออะไร ท่านรอซูลตอบว่า คือหุบเหวแห่งหนึ่งในขุมนรก ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลขุมนรกขอป้องกันให้พ้นจากมันทุกวัน วันละหนึ่งร้อยครั้ง พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ใครคือผู้ที่จะเข้าสู่หุบเหวแห่งนั้น ท่านรอซูลได้ตอบว่า คือพวกนักอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ตั้งใจอวดผลงานของพวกเขา

และเล่าจาก ยุนดุบ ได้กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ชายผู้หนึ่งเขาทำความดีและปิดบังมันไว้แต่เมื่อมัน (ความดี) ได้ถูกเปิดเผยขึ้นมามันก็ทำให้เขาพอใจ (จะมีผลเป็นอย่างไรบ้าง) ท่านรอซูลตอบว่า เขาได้รับสองผลบุญ คือผลบุญที่เขาทำความดีโดยปิดบังไว้ และผลบุญที่เขาทำความดีโดยลักษณะของมันต้องถูกเปิดเผย (ดังนั้นเขา จึงได้สองผลบุญ) 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด บินอะบี ฟะดอละห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮ์ได้ รวมมนุษย์ชาติในวันกิยามะห์ ซึ่งเป็นวันที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ  ได้มีผู้ประกาศขึ้นว่า ผู้ใดได้นำสิ่งหนึ่งมาตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ที่ในการกระทำใดๆ ก็ตาม ให้เขาจงไปทวงเอาผลบุญของเขาจากผู้อื่น นอกจากอัลลอฮ์ เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ไม่พึงต้องการผู้ร่วมภาคี (ในการกระทำต่างๆ เพื่อพระองค์) 

ราบงานโดย ติรมิซี

 

ภาค วิชาการ

มีสามบท และบทสุดท้าย

บทที่หนึ่ง

คุณค่าของวิชาการและผู้มีความรู้

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “ที่จะเกรงกลัวอัลลอฮ์จากบ่าวทั้งหลายของพระองค์คือ เหล่าผู้มีความรู้” และพระองค์ได้กล่าวว่า “จะเท่าเทียมกันไหม ผู้มีความรู้และผู้ไม่มีความรู้ (ไม่เท่าเทียมกันหรอก)” และพระองค์ได้กล่าวว่า “และตัวอย่างเหล่านั้น เราหยิบยกขึ้นมาเพื่อ ประโยชน์ของมวลมนุษย์แต่ไม่มีใครเข้าใจนอกจากพวกผู้มีความรู้”

เล่าจากมุอาวิยะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดที่อัลลอฮ์ปรารถนาความดีให้แก่เขา จะทรงประทานให้เขาเกิดความรู้ความเข้าใจใน (กิจการต่างๆ) ของศาสนาและความจริง ข้าพเจ้าเป็นผู้ขยายความ และอัลลอฮ์จะให้ (ความเข้าใจ) และประชากรนี้จะคงยืนหยัด ต่อสู้เพื่อศาสนาของอัลลอฮ์ โดยที่ฝ่ายปรปักษ์จะไม่สามารถทำอันตรายพวกเขาได้ จนกว่า คำบัญชาของอัลลอฮ์จะมีมา[76] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะบี วากิด อัลลัยซีว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในมัสญิด ห้อมล้อมอยู่ด้วยเหล่าสาวก ได้มีผู้ชายสามคนเข้ามา สองคนตรงเข้ามาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อีกคนหนึ่งเดินเลยไป เขาทั้งสองมาหยุดอยู่ที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  คนหนึ่ง (ในสอง) เห็นมีที่ว่างในวงล้อมนั้น จึงได้นั่งลง อีกคนหนึ่งอ้อมไปนั่งลงด้านหลัง ส่วนคนที่สาม ได้หันหลังกลับไป เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์เสร็จ (กิจที่ทำอยู่) จึงได้กล่าวขึ้นว่า โปรดทราบ ข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังถึงสภาพของชายทั้งสามคนนั้น คนหนึ่งเขาพึ่งอัลลอฮ์ ให้ที่พำนักแก่เขา อีกคนหนึ่งอาย[77]อัลลอฮ์จึงอายเขา[78] ส่วนคนสุดท้ายหันหนี อัลลอฮ์จึงหันหนีเขา[79] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดช่วยขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนจากบรรดาความเดือดร้อนต่างๆ ในโลกนี้ให้พ้นไปจากผู้มีศรัทธา (มุอ์มีน) คนใด อัลลอฮ์จะปัดเป่าความเดือดร้อน   จากบรรดาความเดือดร้อนต่างๆ ในวันกิยามะห์ให้พ้นไปจากเขา และผู้ใดได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ตกยากคนใด อัลลอฮ์จะอำนวยความสะดวกให้แก่เขาทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และผู้ใดปกปิด (ความกับของ) มุสลิมคนใด อัลลอฮ์จะปกปิด (ความกับของ) เขาทั้งโลกนี้และโลกหน้า อัลลอฮ์ฮฺพร้อมที่จะช่วยเหลือบ่าวผู้นั้น ตราบใดที่บ่าวผู้นั้นพร้อมจะช่วยเหลือพี่น้องของเขา และผู้ใดเดินทางเพื่อแสวงหาวิชาความรู้ อัลลอฮ์จะเปิดทางสะดวกแก่เขาสู่สวรรค์ ไม่มีกลุ่มชนใดที่ชุมนุมกันในบ้านหลังใดของอัลลอฮ์[80] (เพื่อ) อ่านคัมภีร์ของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) และนำเอาคัมภีร์มาทบทวนกันในหมู่พวกเขา เว้นแต่ความสงบแห่งจิตใจ จะเกิดแก่พวกเขา ความเมตตา (ของอัลลอฮ์) จะปกคลุมพวกเขา มวลมะลาอิกะห์ก็จะเข้าห้อมล้อมพวกเขา และอัลลอฮ์จะนำเอา (ความดีของ) พวกเขาไปอวด แก่มวลมะลาอิกะห์ที่อยู่กับพระองค์ และผู้ใดที่การกระทำ (ที่ชั่วช้า) ของเขา ทำให้ล่าช้า (จากการทำความดี) วงศ์ตระกูลที่ประเสริฐของเขาจะไม่สามารถช่วยให้เขา (ทำความดี) เร็วขึ้นได้เลย 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี 29

เล่าจากอะบี อัดดัรดาอฺ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดมุ่งเข้าสู่หนทางการศึกษาหาความรู้ อัลลอฮ์จะเปิดทางสะดวกให้แก่เขาสู่สวรรค์ และแท้จริงมวลมะลาอิกะห์จะหุบปีก เพราะพึงพอใจในผู้ศึกษาหาความรู้ และแท้จริงผู้มีความรู้นั้น ผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า[81] และผู้ที่อยู่บนหน้าแผ่นดิน[82] แม้แต่ปลาที่อยู่ในนำจะขออภัยโทษให้แก่เขา และความประเสริฐของผู้มีความรู้นั้นเหนือกว่าผู้ที่ทำความดีอย่างแก่กล้า ประดุจดังดวงจันทร์ ที่มีแสงสว่างเหนือดวงตาวทั้งหลาย แท้จริงเหล่าผู้มีความรู้นั้น คือทายาทของบรรดานบี แท้จริงนบีนั้นไม่ได้ทิ้งเหรียญทองและเหรียญเงินไว้เป็นมรดกแต่ความจริงบรรดานบีนั้นได้ทิ้งวิชาการไว้เป็นมรดก ดังนั้นผู้ใดได้รับเอา (มรดกทางวิชาการไว้) เขาได้รับโชคดีอันใหญ่หลวง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี ส่วนตัวบทนั้นเป็นของติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ความรู้มีสามประเภท นอกจากนั้นเป็นส่วนเกิน (ประเภทที่หนึ่ง) คือ โองการจากคัมภีร์อัลกุรอานที่มีความหมายชัดเจน และยังมีผลใช้บังคับอยู่ (ประเภทที่สอง) หรือแนวทางที่ปรากฏแน่ชัด (ว่ามาจากท่านนบี ซ.ล.   ซึ่งยังมีผลบังคับอยู่ (ประเภทที่สาม)หรือข้อกำหนดที่ยุติธรรม (ในการแบ่งมรดก)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์ 

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มีสองประการที่จะไม่รวม อยู่กับคนหน้าไหว้หลังหลอก (มุนำฟิก) คือ แบบอย่างที่ดีงาม และความเข้าใจในศาสนา 

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า คำถามที่มีประโยชน์ในเรื่องของศาสนา[83] คือความปรารถนาของผู้มีศรัทธา ดังนั้นที่ใดที่เขาพบมัน เขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะได้รับยิ่งกว่าผู้อื่น และในบางรายงานว่า ผู้ใดขวนขวายหาวิชาความรู้ ปรากฏว่านั้นแหละมินเป็นการไถ่บาปที่ผ่านพ้นมาแล้ว

เล่าจากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้มีความรู้เพียงคนเดียวเป็นอันตรายแก่ชัยฏอน ยิ่งกว่าผู้ทำความดีอย่างแก่กล้าถึงหนึ่งพันคน

เล่าจากอะบีอุมามะห์ อัลบาฮิสี่ ได้กล่าวว่า มีผู้เอ่ยถึงผู้ชายสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ทำ ความดีอย่างแก่กล้า อีกคนหนึ่งเป็นผู้มีความรู้ให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ยิน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ความประเสริฐของผู้มีความรู้เหนือกว่าผู้ทำความดีอย่างแก่กล้า ประดุจดังความประเสริฐของตัวข้าพเจ้าที่เหนือกว่าคนที่ต้อยตํ่าที่สุดในหมู่พวกท่าน หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  แท้จริงอัลลอฮ์ มวลมะลาอิกะห์ ชาวฟ้า ชาวดิน แม้แต่มดในรู และปลาในนํ้า จะขอพรให้แก่ครูผู้สอนความดี[84] ให้แก่มวลมนุษย์

เล่าจากอะบีสะซีด อัลคุดรี จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้มีศรัทธา (มุอฺมิน) จะ ไม่รู้จักอิ่มความดี[85] ที่เขาได้ยิน จนกว่าจะบรรลุถึงเป่าหมายของเขาคือสวรรค์ 

รายงานหะดีษทั้งห้าโดย ติรมิซี

เล่าจากอุสมาน จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า บุคคลทั้งสามกลุ่มนี้มีสิทธิ์จะให้การช่วยเหลือ (ผู้อื่น) ได้ในวันกิยามะห์ คือ บรรดานบี บรรดาผู้มีความรู้ และบรรดานักรบทถูกฆ่าตายในสงครามศักดิ์สิทธิ์

รายงานโดย อิบนุมายะห์

บทที่สอง 30

จำเป็นต้องเผยแพร่ความรู้ และคุณค่าของการเผยแพร่

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “(จงระลึกเถิดโอ้มุฮัมมัด) ขณะที่อัลลอฮ์ได้เอาสัญญากับบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ว่า พวกเจ้าจะต้องอธิบาย (ข้อความใน) คัมภีร์นั้น ให้แก่มนุษย์ชาติ และพวกเจ้าอย่าปิดบัง (ข้อความใน) คัมภีร์นั้น”

เล่าจากอะบี บักเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ที่มาอยู่ ณ ที่นี้[86] จะต้องไปบอกแก่ผู้ที่ไม่ได้มา[87] เพราะแท้จริงผู้ที่มานั้น เขาอาจนำ (คำพูดของข้าพเจ้า) ไปบอกแก่ผู้ที่มีความเอาใจใส่ (ในคำพูดของข้าพเจ้า) ยิ่งกว่าเขาเองก็ได้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงนำไปเผยแพร่แทนข้าพเจ้า แม้เพียงหนึ่งอายะห์ (โองการ) และท่านทั้งหลายจงเล่ากล่าวจากพวกบนีอิสรออีล โดยไม่มีบาป[88] และผู้ใดป้ายสิข้าพเจ้าโดยเจตนา[89] จงให้เขาเตรียมที่อยู่ของเขาไวในขุมนรก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดถูกถามเกี่ยวกับหลักวิชาการ แล้วเขาปกปิดไว้ (โดยไม่ยอมบอก) อัลลอฮ์จะสวมห่วงที่ปากของเขา ด้วยห่วงที่ทำมาจากไฟนรก ในวันกิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี มูซา จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อุทาหรณ์ของสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ส่งข้าพเจ้ามาจากทางนำและวิชาการเหมือนนำฝนจำนวนมากที่โปรยปรายลงมายังพื้นดิน พื้นแผ่นดินบางแห่งเป็นดินดีร่วนซุย อุ้มนํ้า ให้กำเนิดแก่พืชพันธุ์ต่างๆ เจริญงอกงาม พื้นแผ่นดินบางแห่งเป็นดินแข็งไม่ร่วนซุย กักนํ้าไว้ได้แต่ไม่ทำให้พืชพันธุ์ต่างๆ เจริญงอกงาม อัลลอฮ์ให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากพื้นแผ่นดินแปลงนี้ โดยใช้เป็นแหล่งน้ำดื่ม นํ้ารดต้นไม้ และนํ้าสำหรับทำกสิกรรม และพื้นแผ่นดินบางแห่งเป็นพื้นแข็งและราบเรียบ ไม่สามารถกักนํ้าไว้ได้ และไม่ทำให้พืชพันธุ์ต่างๆ เจริญงอกงาม การที่พื้นแผ่นดินมีหลายชนิดมินเหมือนกับผู้ที่มีความ เข้าใจในศาสนาของอัลลอฮ์ และสิ่งที่อัลลอฮ์ส่งข้าพเจ้ามาเพื่อการนั้น ได้เกิดประโยชน์แก่เขา เขามีความรู้และนำไปสั่งสอน และเหมือนกับคนที่ไม่ยอมเงยหัวขึ้นรับรู้ และไม่ยอมรับแนวทางของอัลลอฮ์ซึ่งข้าพเจ้าถูกส่งมาเพื่อการนั้น[90] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากสะห์ลิ บินสะอัด จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์การที่อัลลอฮ์จะให้ทางนำแก่ชายผู้หนึ่ง ด้วยการชักจูงของท่านนั้น เป็นของมีค่าสำหรับท่านยิ่งกว่า อูฐแดง[91] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ มัสอูด จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีความทะเยอทะยาน (ที่ศาสนาอนุญาต)[92] เว้นแต่ในสองสิ่งนี้ ชายผู้หนึ่งอัลลอฮ์ได้ประทานทรัพย์สมบัติให้เขา และให้เขาใช่จ่ายมันไปในแนวทางที่ถูกต้อง และชายอีกคนหนึ่งที่อัลลอฮ์ได้ประทานวิทยปัญญาให้เขา แล้วเขาได้ปฏิบัติตามนั้น และยังได้สั่งสอนผู้อื่น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อิบนิ มัสอูด) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้ประทานความมีสง่าราคี่ให้แก่บุคคลที่ได้ยินสิ่งใด[93] จากเราแล้วเขาได้นำออกเผยแพร่ตามที่ได้ยินมา เพราะบางที่ผู้ที่รับคำเผยแพร่นั้น อาจเป็นผู้ที่เอาใจใส่ดีกว่าผู้ได้ยินมาก็ได้ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และปรากฏในบางรายงานว่า อัลลอฮ์ได้ประทานความมีสง่าราศีให้แก่บุคคลที่ได้ยิน หะดีษบทหนึ่งจากเรา (ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.) แล้วเขาจดจำไว้ จนกระทั่งได้นำออกเผยแพร่ เพราะบางที่ผู้รับความเข้าใจ[94] ไว้นั้น อาจนำไปถ่ายที่อดให้แก่บุคคลที่มีความเข้าใจยิ่งกว่าเขาก็ได้ และบางที่ผู้รับความเข้าใจไว้นั้น อาจไม่ใช่ผู้มีความเข้าใจ

เล่าจากอะบีมัสอูด อัลบัดรีว่า แท้จริงมีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.   เพื่อมาขอให้ท่านนบีจัดหาพาหนะเดินทางให้ โดยเขากล่าวว่า แท้จริงพาหนะของข้าพเจ้าได้ตายไป ระหว่างการเดินทาง ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้ กล่าวว่า ท่านจงไปหาชายคนนั้น (พร้อมกับเอ่ยชื่อ) เขาได้ไปหาชายผู้นั้น แล้วชายผู้นั้นได้ให้ พาหนะแก่เขา จากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดชี้นำไปสู่ความดี เขาจะได้รับผลบุญเหมือนกับผู้ที่ทำความดีนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

บทย่อย 32

บันทึกวิชาการไว้เพื่อมิให้สูญหาย

เล่าจากอะบี ยุฮัยฟะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อะลีว่า พวกท่าน[95] มีคัมภีร์เป็น พิเศษไหม อะลีตอบว่า ไม่มี นอกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ (อัลกุรอาน) หรือนอกจากความเข้าใจ (จากคัมภีร์) ที่ได้ถูกมอบให้แก่ชายมุสลิม หรือนอกจากสิ่งที่อยู่ในเอกสารฉบับนี้ ข้าพเจ้า (จากอะบี ยุฮัยฟะห์) ได้กล่าวว่า  ในเอกสารฉบับนั้นมือะไร อะลีตอบว่า มีข้อกำหนดเกี่ยวกับค่าปรับที่ต้องจ่ายให้แก่ทายาทของผู้ที่ถูกฆ่าตาย มีข้อความเกี่ยวกับการปล่อยเชลยศึก และมีข้อความว่าคนมุสลิมจะไม่ต้องถูกฆ่า (ประหาร) เพราะฆ่าคนกาฟิร(ผู้ปฏิเสธอัลลอฮ์)

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวในปีที่พิชิตนครมักกะห์ ตามหะดีษที่มีข้อความยาวเหยียดว่า[96] ท่านทั่งหลายจงบันทึกให้แก่อะบีซาห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และเล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ไม่มีใครในหมู่อัครสาวกของท่านนบี ซ.ล.   จะรายงานหะดีษจากท่านนบีมากกว่าข้าพเจ้า นอกจากสิ่งที่อยู่กับอับดิลลาห์ บินอัมร์ เพราะเขาจดบันทึกไว้ ส่วนข้าพเจ้าไม่ได้จดบันทึก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้จดบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้า ได้ยินจากท่านนบี ซ.ล.   ที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะจดจำได้แต่พวกกุเรซได้ห้ามปรามข้าพเจ้าโดยพวก เขาอ้างว่า ท่านจะจดบันทึกทุกสิ่งที่ท่านใดยิน ทั้งๆ ที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เป็นมนุษย์ ที่พูดทั้งยามที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว และเยามือารมณ์ดี (อย่างนั้นหรือ) ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเลิก บันทึก แล้วต่อมาข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ฟัง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้ชี้นิ้วที่ปาก แล้วกล่าวว่า ท่านจงจดบันทึกเถิด สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในเงื้อมมือของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดที่หลุดออกจากมัน (ปากข้าพเจ้า) นอกจากเป็นสัจธรรม 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

บทที่สาม 33

หน้าที่ที่ควรปฏิบัติต่อวิชาก

เล่าจากอะนัส จากท่านนบี ซ.ล.   ว่า ความจริงท่านนบีนั้น เมื่อได้พูดออกไปคำหนึ่ง[97] จะกล่าวยํ้าถึงสามครั้ง จนกว่าจะเป็นที่เข้าใจ และเมื่อท่านได้ผ่านกลุ่มชนหนึ่ง ท่านจะกล่าวสลามแก่พวกเขา[98] และจะกล่าวสลามแก่พวกเขาถึงสามครั้ง[99] 

ราบงานโดย มุคอรี และอะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงทำให้ง่าย อย่าทำให้ยุ่งยาก จงนำข่าวดีออกเผยแพร่ และอย่าทำให้เตลิด[100] 

ราบงานโดย มุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะบี วาอิล ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าอับดุลเลาะห์ บินมัสอูด ได้เคยให้การอบรมสั่งสอนประชาชนทุกวันพฤหัสบดี ต่อมาได้มีชายผู้หนึ่งกล่าวแก่เขาว่า โอ้บิดาของ อับดิรเราะห์มาน[101] ความจริงข้าพเจ้ามีความปรารถนาให้ท่านอบรมสั่งสอนพวกเราทุกๆ วัน ท่านกับดุลเลาะห์ได้กล่าวว่า โปรดรับทราบความจริงข้าพเจ้าไม่อาจทำอย่างนั้นได้ เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการให้พวกท่านเกิดความเบื่อหน่าย และความจริงข้าพเจ้าได้แบ่งเวลาที่ใช้ในการ อบรมเป็นบางเวลา ก็เพราะท่านนบี ซ.ล.   ได้เคยแบ่งเวลาให้การอบรมแก่พวกเรา เป็นบางเวลา เพราะกลัวพวกเราจะเบื่อ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

อะนัสได้กล่าวว่า ความจริงที่ข้าพเจ้าไม่ยอมเล่าหะดีษให้พวกท่านทั้งหลายฟังมากๆ ก็เพราะแท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดเจตนาป้ายสี่ข้าพเจ้า[102] ให้เขาจงเตรียมที่อยู่ของเขาไว้ในขุมนรก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และจากรายงานของมุสลิมว่า แท้จริงการป้ายสี่ข้าพเจ้า ไม่เหมือนการป้ายสี่ผู้อื่น[103] เพราะผู้ใดป้ายสี่ข้าพเจ้าโดยเจตนา ให้เขาจงเตรียมที่อยู่ของเขาไว้ในขุมนรก

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรง เก็บวิชาความรู้ ด้วยการถอดออกจากบ่าวที่มีความรู้ แต่พระองค์จะทรงเก็บวิชาความรู้ด้วยการ เก็บผู้ที่มีความรู้ จนกว่าจะไม่มีผู้ที่มีความรู้เหลืออยู่ ประชาชนจะตั้งคนโง่ขึ้นเป็นหัวหน้าเมื่อ ถูกถาม (ปัญหาใดๆ) พวกหัวหน้าที่ไม่มีความรู้ จะให้คำตอบโดยขาดความรู้ พวกเขาหลงผิด แล้วยังทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในความหลงผิดอีกด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้รับคำอธิบาย (ในปัญหาทางศาสนา) โดยผู้ให้คำอธิบายไม่มีความรู้ ปรากฏว่าโทษที่เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้นั้นตกอยู่กับผู้ให้คำอธิบาย และผู้ใดได้ให้คำแนะนำแก่พี่น้องของเขาในเรื่องใดๆ โดยเขารู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องนั้นมิได้เป็นไปตามที่เขาแนะนำ เท่ากับเขาได้ทำการทุจริตต่อพี่น้องของเขา[104] 

รายงานโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจากเอาฟ์ บิน มาลิก จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า จะไม่ทำหน้าที่เผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน นอกจากผู้ปกครอง (ฮากิม) หรือผู้ที่ได้รับคำสั่งจากผู้ปกครอง[105] หรือคนอวด เก่ง 

รายงานโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอะบีฮารูณ อัลกับดี ได้กล่าวว่า พวกเราได้เคยมาหา อะบา สะอีด แล้วเขากล่าวว่า ยินดีต้อนรับบุคคลที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้สั่งเสียไว้ แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงประชาชนจะปฏิบัติตามพวกท่าน (โอ้ชาวนครมดีนะห์ ทั้งด้านวิชาการ และศาสนา) และความจริงจะมีผู้คนมากมายเดินทางจากทุกมุมโลกมาหาพวกท่านเพื่อหา ความเข้าใจในศาสนาดังนั้นเมื่อพวกเขาได้มาหาพวกท่าน พวกท่านจงสั่งเสียพวกเขาด้วยความดี 

รายงานโดย ติรมิซี และอิบนุมายะห์

บทย่อย 35

วิชาการนั้นจะต้องดำเนินไปเพื่ออัลลอฮ์ตาอาลา

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ศึกษาหาความรู้ในวิชาการแขึ้นั่งใด จากวิชาการที่ดำเนินไปเพื่ออัลลอฮ์ (เช่นวิชาอัลกุรอานหรือหะดีษ)แต่เขามิได้ แสวงหาวิชาการนั้น นอกจากเพื่อหวังทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เขาจะไม่ได้พบกลิ่นสวรรค์ในวัน กิยามะห์ 

รายงานโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจากลับนี้ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ศึกษาหาความรู้ โดยมิได้เป็นไปเพื่ออัลลอฮ์หรือเขาปรารถนาสิ่งอื่นจากอัลลอฮ์ด้วยความรู้นั้น ให้เขาจงเตรียมที่อยู่ของเขาไว้ในขุมนรก

เล่าจากกะอุบ บินมาลิก จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดแสวงหาความรู้เพื่อ โอ้อวดภูมิปัญญาแก่ผู้มีความรู้ หรือเพื่อโต้เถียงเอาชนะกับคนไม่มีความรู้ หรือเพื่อต้องการเป็นจุดเด่นให้ผู้คนสนใจ อัลลอฮ์ให้เขาเข้าสู่ขุมนรก 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี และอิบนุมายะห์

บทสุดท้าย 35

ผลของวิชาการจะสถิตย์อยู่ตลอดไป

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดเรียกร้องไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง เขาจะได้รับผลบุญเหมือนกับผลบุญของผู้ที่ปฏิบัติตามเขา โดยไม่ลดหย่อนเลยแม้เพียงนิดเดียว และผู้ใดเรียกร้องไปสู่ความหลงผิด เขาจะได้รับบาปเหมือนกับบาปของผู้ที่ปฏิบัติตามเขา โดยไม่ลดหย่อนแม้เพียงนิดเดียว 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อ(มนุษย์ที่เป็น)ถูกหลานของอาดัมได้ตายลง (ผลบุญจาก) การกระทำต่างๆ ของเขาจะขาดตอนลง นอกจากผลบุญจากสามอย่างนี้ (ที่ไม่ขาดตอน) คือ ถาวรวัตถุที่อุทิศเพื่ออัลลอฮ์(การวะก็ฟ) หรือวิชาการที่มีคุณประโยชน์ หรือบินที่ดีขอพรให้แก่เขา 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งที่จะติดตามผู้มีศรัทธาไป จาก (ผลบุญ) แห่งการกระทำ และคุณงามความดีต่างๆ ของเขา หลังจากเขาได้ตายไปแล้ว ก็คือ วิชาความรู้ที่เขาได้สอนสั่งและเผยแพร่ไว้ หรือบินที่ดีที่เขาทิ้งไว้ หรือ คัมภีร์ (อัลกรอาน) ที่เขาได้ทิ้งไว้เป็นมรดก หรือมัสญิดที่เขาได้สร้างไว้ หรือบ้านที่เขาสร้างไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง หรือร่องนำที่เขาได้ขุดเจาะไว้ หรือการทำทานที่เขาได้นำออกมาจากทรัพย์สมบัติของเขาในยามที่เขามีสุขภาพสมบูรณ์ และมีชีวิตอยู่ (ผลบุญของ)มินจะติดตามเขา ไปหลังจากเขาตายไปแล้ว 

รายงานหะดีษโดย อิบนุมายะห์ และบัยหะก็

เล่าจากยะรีร บินอับดิลลาห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดได้วางแนวทางที่ดี ไว้ในศาสนาอิสลาม และมีผู้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นในภายหลัง ผลบุญจะถูกบันทึกเป็นของเขา เท่ากับผลบุญของผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางนั้น โดยไม่ลดหย่อนแม้แต่น้อย และผู้ใดได้วางแนวทางที่ชั่วไว้ในศาสนาอิสลาม และมีผู้ปฏิบัติตามแนวทางนั้นในภายหลัง บาปจะถูกบันทึกเป็นของเขา เท่ากับบาปของผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางนั้น โดยไม่ลดหย่อนแม้แต่น้อย 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากเอาฟ์ อัลมุซะนี้ ว่าแท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวแก่บิลาล บินอัลฮาริษว่า จงรับทราบ (โอ้บิลาล) บิลาลได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะต้องรับทราบอะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า โอ้บิลาล จงรับทราบ บิลาลได้กล่าวตอบว่า ข้าพเจ้าจะต้องรับทราบอะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า พึงรับทราบเถิดว่า ผู้ใด ได้ฟื้นฟูแนวทางหนึ่งจากบรรดาแนวทางของข้าพเจ้า ที่มันได้ดับสูญไปแล้ว หลังจากข้าพเจ้า ได้สิ้นไป เขาจะได้รับผลบุญ เท่ากับผู้ปฏิบัติตามแนวทางนั้น โดยไม่ได้ลดหย่อนลงแม้แต่น้อย และผู้ใดได้สร้างแนวทางขึ้นใหม่ อันเป็นแนวทางที่หลงผิด ไม่ได้นำความชื่นชอบมาสู่อัลลอฮ์ และรอซูลของพระองค์เขาจะได้รับบาปเท่ากับบาปของผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางนั้น โดยไม่ลด หย่อนแม้แต่น้อย 

รายงานโดย ติรมิซ

ภาค ความสะอาด 37

มี 8 บท

บทที่หนึ่ง

คุณค่าของความสะอาด

อัลลอฮ์ผู้ทรงความเกรียงไกรได้กล่าวว่า “ในมัน (มัสญิดกุบาอุ) มีผู้ชายหลายคน (จากชาวอัลอันศอร) ที่พวกเขารักจะทำความสะอาด และอัลลอฮ์ทรงรักผู้มีความสะอาด”

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงประชากรของข้าพเจ้า จะถูกเรียก (มาตัดสิน) ในวันกิยามะห์ ในสภาพที่ใบหน้า มือและเท้า เปล่งรัศมี (ที่เกิดขึ้น) จากร่องรอยของการอาบน้ำละหมาด ดังนั้นผู้ใดมีความสามารถที่จะล้างให้เกินจากขอบเขตของใบหน้า มือและเท้า ให้เขาจงกระทำเถิด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะชี้นำ ให้พวกท่าน (กระทำ) สิ่งหนึ่งที่จะลบล้างความผิด และยกตำแหน่งให้สูงขึ้น เอาไหม พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ตอบว่า ได้โปรดชี้นำเถิด โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านจึงได้กล่าวว่า คือการอาบนํ้าละหมาดอย่างสมบูรณ์[106] แม้ในยามเดือดร้อน[107] และการก้าวเท้ามากๆ ไปยังมัสญิด[108] และการรอคอย (เวลา) ละหมาด หลังจากละหมาด[109]เสร็จ นี่แหละท่านทั้งหลาย คือการยืนหยัดต่อสู้อย่างสมบูรณ์[110] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อบ่าวที่เป็นมุสลิมหรือที่เป็นมุอ์มีน[111] ได้อาบน้ำละหมาด โดยเขาได้ล้างใบหน้าของเขา ความผิดทุกอย่าง ที่เขาได้มองด้วยตาทั้งสองข้างของเขา จะหลุดออกจากใบหน้าของเขาตามนำไป หรือหลุดไปพร้อมกับน้ำหยดสุดท้าย เมื่อเขาได้ล้างมือ (ถึงข้อศอก) ทั้งสองข้างของเขา ความผิดทุกอย่างที่ มือทั้งสองข้างของเขาได้หยิบฉวย จะหลุดออกจากมือทั้งสองข้างของเขาตามนำไป หรือหลุด ไปพร้อมกับน้ำหยดสุดท้าย และเมื่อเขาได้ล้างเท้าทั้งสองข้างของเขา (ถึงตาตุ่ม) ความผิดทุก อย่างที่เท้าทั้งสองข้างของเขาได้เดินไป[112] จะหลุดไปตามนํ้า หรือหลุดไปพร้อมกับน้ำหยดสุดท้าย จนกระทั่งเขาจะหลุดพ้นจากความผิด (บาป) ทั้งปวง เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์)     ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินคนรักของข้าพเจ้า ซ.ล.  กล่าวว่า เครื่องประดับ (ในสวรรค์) ของมุอ์มินนั้น จะไปถึงที่ที่น้ำละหมาดไปถึง[113] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอะบี มาลิก อัลอัซอะรี จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ความสะอาดเป็นครึ่งหนึ่งของศรัทธา[114] การกล่าวคำว่า “อัลฮัมดุลิลลาห์” (ผลบุญ) จะเต็มตาชั่ง[115] และการกล่าวคำว่า “ซุบฮานัลลอห์ และอัลฮัมดุลิลลาห์” (ผลบุญ) ทั้งสองจะเต็ม หรือ[116] ผลบุญแห่งการกล่าวคำนั้น จะเต็มสิ่งที่อยู่ระหว่างฟ้ากับแผ่นดิน ละหมาดเป็นศรีสง่า[117] การทำทาน (เศาะดะเกาะห์) เป็นหลักฐาน[118] ความอดทนคือแสงสว่างในตัวเอง คัมภีร์อัลกุรอานเป็นหลักฐานให้ท่าน[119] หรือหลัก ฐานปรักปรำท่าน[120] มนุษย์ทุกคนที่ตื่นเช้าขึ้นมา (บางคน) เป็นคนขายตัว[121] เป็นคนปลดปล่อยตัวเอง[122] หรือเป็นคนทำลายตัวเอง[123] 

รายงานโดย มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุสมาน จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดอาบน้ำละหมาด โดยบรรจงทำ อย่างดี ความผิดต่างๆ ของเขาจะหลุดออกจากร่าง แม้แต่ความผิดที่อยู่ใต้เล็บ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีใครจากพวกท่านที่เขาอาบน้ำละหมาด และได้บรรจงทำอย่างดี หลังจากอาบน้ำละหมาดเสร็จแล้วเขากล่าว (มีความเป็นภาษาไทย) ว่า “ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์ โดยไม่มีผู้ใดเป็นภาคีของพระองค์ และข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวของพระองค์และเป็นศาสนทูตของพระองค์” 

اَشْهَدُ اَنْ لَا إِلَهَ إِللهُ وَحْدَهُ لَا شَرِيْكَ لَهُ وَاَشْهَدُ اَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ  

เว้นแต่ประตูสวรรค์จะถูกเปิดเพื่อต้อนรับเขา โดยจะเข้าทางประตู ใดได้ตามต้องการ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และท่านติรมีซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์จงได้ดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งจากผู้ที่รู้สำนึกตัว และจงได้ดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งจากบรรดาผู้สะอาด ปราศจากมลทิน

เล่าจากอิบนิ อุมัรจากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดอาบน้ำละหมาดทั้งๆ ที่เขามีนำละหมาดอยู่แล้ว สิบความดีได้ถูกบันทึกให้แก่เขา[124]   

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

บทที่สอง 38 ข้อกำหนดในการใช้น้ำ

อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวว่า “และพระองค์ (อัลลอฮ์) จะให้นำตกลงมาจากฟากฟ้าเพื่อให้พวกเจ้าให้มันทำความสะอาด”

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า มีชายผู้หนึ่งถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  โดยกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงพวกเราโดยสารไปในทะเล และพวกเราพานำติดตัวไปได้เพียงเล็กน้อย ถ้าหากเราใช้น้ำนั้นอาบนํ้าละหมาด พวกเราต้องอดน้ำ พวกเราจะอาบน้ำละหมาดโดยให้น้ำทะเลได้หรือไม่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า น้ำทะเลสะอาดและใช้ทำความสะอาดได้ และซากสัตว์ทะเลที่ตายอนุญาตให้ใช้เป็นอาหารได้ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี สะอีด อัลคุดรี ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวในขณะที่มีผู้ถามท่านว่า ความจริงเขาได้นานำมาให้ท่านใช้และดื่ม จากบ่อน้ำ “บุดออะห์”[125]มันเป็นบ่อที่เขาโยนเนื้อสุนัข ผ้าที่ซับเลือดประจำเดือน และอุจจาระของคนลงไป[126] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงนำ (ในบ่อบุดออะห์) นั้นสะอาด จะไม่มีสิ่งใดทำให้มินโสโครกได้ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอะบูดาวูดได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้วัดบ่อน้ำ “บุดออะห์” โดยให้ผ้าห่มพาดบนปาก บ่อ แล้วข้าพเจ้าได้วัดด้วยศอก ปรากฏว่ามันมีความกว้าง หกคอก และข้าพเจ้าได้ยินท่าน กุตัยบะห์ บินสะอีด ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามผู้ดูแลบ่อน้ำ บุดออะห์ ถึงความลึกของมัน เขา (ผู้ดูแล) ตอบว่า เวลาที่น้ำมากที่สุดนั้น จะสูงถึงขึ้นใต้ร่มผ้า ข้าพเจ้า (กุตัยบะห์) ถามว่า  เมื่อมันลด เขา(ผู้ดูแลบ่อ) ตอบว่า ต่ำกว่าหัวเข่า และข้าพเจ้า (อะบูดาวูด) ได้ถามเจ้าของสวน ซึ่งเป็นที่เจ้าของบ่อน้ำ บุดออะห์ ว่า บ่อนี้ได้มีการก่อนสร้างเปลี่ยนแปลงไป จากสมัยของท่านนบี ซ.ล.   หรือเปล่า เขา (เจ้าของสวน) ตอบว่า เปล่า

เล่าจากอิบนิ อุมัรได้กล่าวว่า ได้มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล.   ถึงแหส่งนำที่อยู่กลางทุ่งกว้างและมีสิ่งสาราสัตว์วนเวียนกันมาดื่มกินและลงเล่นนำพร้อมทั้งถ่ายมูลลงในแหล่งนํ้านั้น) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวตอบว่า เมื่อน้ำนั้นมีจำนวนถึงสอง กุลละห์[127](قُلَّتَيْنِ) จะไม่ เปลี่ยนเป็นนำโสโครก (นะยิส)[128] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัสว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้เรียกให้นำเอาภาชนะที่บรรจุนำมาให้ท่าน ได้มีผู้นำเอาภาชนะใบหนึ่งปากกว้างแต่ตื้น ในนั้นมีนำอยู่จำนวนหนึ่ง ท่านได้เอานิ้วจุ่มลงไปในภาชนะนั้น อะนัสได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เริ่มมองเห็นน้ำพุ่งออกมาจากซอกนิ้วของท่านนบี อะนัสได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กะดู ผู้ที่ได้อาบน้ำละหมาด (จากภาชนะนั้น) ว่ามีจำนวนระหว่าง เจ็ดสิบถึงแปดสิบคน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอะบี รุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ใครก็ตามจากพวกท่านอย่า ปัสสาวะ[129] ลงในนำที่ไม่ไหล หลังจากนั้นก็ลงอาบในน้ำนั้น และในบางรายงานว่าและหลังจากนั้น ได้ลงไปอาบน้ำละหมาดจากน้ำนั้น

และในบางรายงานว่า (ท่านนบี) ได้ห้าม (หะรอม) ปัสสาวะลงในนำนิ่ง

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อาบน้ำร่วมกับท่านนบี ซ.ล.   จากภาชนะเดียวกันเป็นเหยือกชนิดที่เรียกว่า “ฟะร๊อก” (จุนำประมาณ16 ชั่ง[130]) และในบางรายงานว่า เราทั้งสองมีญูนุบ(หรือเรียกรวมๆว่า “ญะนาบะห์”)[131](جُنُبٌ) (جُنُبَانِ -มีญูนุบทั้งสองคน) (جَنَابَةٌ – พหูพจน์)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิ อุมัรได้กล่าวว่า พวกผู้ชายและผู้หญิง ในสมัยท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เคยอาบน้ำละหมาดร่วมกันทั้งหมด[132] จากภาชนะเดียวกัน โดยใช้มือของพวกเราจุ่มลงไป เพื่อวักขึ้นมา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาสได้กล่าวว่า มีภรรยาบางคนของท่านนบี ซ.ล.   ได้อาบน้ำในอ่างใบใหญ่ หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.   ได้มา เพื่อจะอาบน้ำละหมาดจากอ่างใบนั้นหรือเพื่ออาบน้ำ ภรรยาคนนั้นของท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงข้าพเจ้ามียูนุบ (และได้อาบน้ำในอ่างนั้นแล้ว) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จึงได้กล่าวว่า แท้จริงน้ำนั้นจะไม่เป็นญูนุบ[133] (หรือเรียกรวมๆว่า “ญะนาบะห์”)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี อาบน้ำในนำนี่ง

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ใครก็ตามจากพวกท่านอย่า อาบน้ำในนำนิ่ง[134] ในสภาพที่เขาเป็นคนมีญูนุบ เขา (อะบู อัซซาอิบ) ได้กล่าวว่า แล้วจะให้เขาทำอย่างไร โอ้ อะบู ฮุรอยเราะห์ อะบุ ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า  ให้เขาวักนำออกมาอาบ (ด้วยมือของเขา) 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม.

เล่าจากลับชะห์ บุตรสาวของกะอฺบ ได้กล่าวว่า ท่านอะบูกอตาดะห์[135] ได้เข้ามา ข้าพเจ้าได้เทน้ำให้เขาอาบน้ำละหมาด บังเอิญมีแมวตัวหนึ่งเดินเข้ามา และทำท่าต้องการดื่มน้ำ เขาได้เอียงภาชนะเพื่อให้แมวดื่มน้ำ เมื่อมันดื่มเสร็จ เขาเห็นว่าข้าพเจ้ากำลังจ้องมองอยู่ จึงพูดขึ้นว่า เธอแปลกใจมากหรือ โอ้ถูกสะใภ้ของข้าฯ ข้าพเจ้าตอบว่า ใช่ เขากล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวไว้ว่า ความจริงมัน(แมว) ไม่ใช่เป็นสิ่งโสโครก(นะยิส) ความจริงมันเป็นสัตว์ประเภทที่ชอบป้วนเปียนอยู่กับพวกท่าน(ในบ้าน) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากญาบิรได้กล่าวว่า  ได้มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล.   ว่า พวกเราจะอาบน้ำละหมาด ด้วยน้ำที่เหลือจากลาดื่มได้หรือไม่ ท่านตอบว่า ได้ และด้วยน้ำที่เหลือจากสิงสาราสัตว์ต่างๆ ได้ดื่ม[136] 

รายงานหะดีษโดย ชาฟิอี บัยฮะก็

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มาเยี่ยมข้าพเจ้าใน ขณะที่ข้าพเจ้าป่วยจนไม่ได้สติ หลังจากนั้นท่านได้อาบน้ำละหมาด และได้รดข้าพเจ้าด้วยน้ำที่ใช้อาบน้ำละหมาดนั้น ต่อมาข้าพเจ้าได้สติจึงได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ใครบ้างที่จะได้รับมรดก ความจริงที่จะได้รับมรดกจากข้าพเจ้านั้นคือ พวกพี่น้องผู้หญิง[137] ต่อมาโองการ ที่ว่าด้วยเรื่องมรดกจึงได้ประทานลงมา[138] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

บทที่สาม 41

การขจัดสิ่งโสโครก (นะยิส)

มีสองตอน

ตอนที่หนึ่ง

การทำหนังของซากตาย[139] ให้สะอาด และการขจัดสิ่งโสโครก (นะยิส) ที่เกี่ยวกับหมาและหมู

เล่าจากอิบนิ อับบาส แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้พบซากแกะตัวหนึ่งที่มีผู้มอบให้เป็นทานแก่ทาสผู้หญิงของท่านหญิงมัยมูนะห์ ดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จึงได้กล่าวว่า ทำไมพวกท่านจึงไม่เอาหนังของมันไปใช้ประโยชน์ พวกเขา (เหล่าอัครลาวก) ได้กล่าวว่า  ความจริงมันเป็นซากตาย ดังนั้นท่านจึงกล่าวว่า ความจริงการบริโภคมันเท่านั้นเป็นสิ่งต้องห้าม[140] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อับบาส) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า เมื่อหนังดิบ[141] เมื่อถูกฟอกมันก็สะอาด และในบางรายงานว่า หนังดิบผืนใดถูกฟอกแล้วมันก็สะอาด 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบน วะอ์ละห์ อัสสะบาอี ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านอิบนุ อับบาส โดยข้าพเจ้ากล่าวว่า ความจริงพวกเราเคยอาศัยอยู่ที่ประเทศมัฆริบ(โมร็อกโค) จะมีพวก “มะญูส(مَجُوْسِى)” (พวกบูชาไฟ) มาหาพวกเรา พร้อมด้วยภาชนะใส่นํ้าที่ทำมาจากหนัง ในนั้นบรรจุน้ำและไขมันสัตว์ ท่านอิบนิ อับบาสได้กล่าวว่า จงดื่มเถิด (จากภาชนะดังกล่าว) ข้าพเจ้าจึงได้ถามอีกว่ามินเป็นความเห็นของท่านหรือ ท่านอิบนิ อับบาสได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า การฟอก[142] คือการทำให้มัน (หนังดิบ) สะอาด 

รายงานโดย  มุสลิม

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์   จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อหมาได้เสียเข้าไปในภาชนะของใครคนหนึ่งจากพวกท่าน ให้เขาเทมันทิ้ง (สิ่งที่เหลืออยู่ภายใน ภาชนะนั้น) ออกไป หลังจากนั้น ให้ล้างเจ็ดครั้ง ในบางรายงานว่า ครั้งแรกหรือครั้งหนึ่งจากจำนวนเจ็ดครั้ง (ให้ล้าง) ด้วยน้ำปนดิน (ซึ่งวิจัยโดยวิที่ยาศาสตร์แล้วว่า ดินมีฤทธิ์เป็นด่าง ใช้แทนท้ายาล้างจาน หรือสบู่ได้) และในรายงานอื่นว่า ครั้งที่เจ็ด (ให้ล้าง) ด้วยน้ำปนดิน[143] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่สอง

การทำความสะอาดเลือด ปัสสาวะ นำหล่อลื่นจากอวัยวะเพศ (มะซี- المَزِى) และอื่น ๆ

เล่าจากอัสมาอฺ (บุตรสาวของอะบีบักร์) ได้กล่าวว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.   แล้วกล่าวว่า มีพวกเราคนหนึ่งที่ผ้าของหล่อนเปื้อนด้วยเลือดประจำเดือน หล่อนจะทำอย่างไร กับผ้านั้น (จึงจะสะอาด) ท่านนบีได้กล่าวว่า ให้หล่อนขูด (เลือด) ออกด้วยนิ้ว แล้วขยี้ (รอยที่เปื้อนเลือด) ด้วยน้ำ แล้วล้างออกด้วยน้ำ หลังจากนั้นให้หล่อนละหมาดโดยใช้ผ้าผืนนั้น

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า มีชาวอาหรับชนบทผู้หนึ่งได้ลุกขึ้นยืน และปัสสาวะลงในมัสญิด ผู้คนพากันส่งเสียงร้องห้าม ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า จงปล่อยเขา (ปัสสาวะให้เสร็จ) แล้วพวกท่านจงไปนำน้ำมาหนึ่งกระป๋อง ราดลงไปบนปัสสาวะของเขา[144] ความจริงท่านทั้งหลายถูกบังเกิดขึ้นมาให้ได้กระทำในสิ่งที่สะดวก มิได้ถูกบังเกิดขึ้นมาให้ได้ทำในสิ่งที่ยากลำบาก

เล่าจากอิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า  ท่านนบี ซ.ล.   ได้เดินผ่านหลุมฝังศพสองหลุม ท่านได้กล่าวว่า ความจริงผู้ที่อยู่ในหลุมฝังศพทั้งสองนี้กำลังถูกลงโทษ เขาทั้งสองมิได้ถูกลงโทษเพราะทำบาปใหญ่[145] คนหนึ่งนั้นมิได้ระมัดระวังในการปัสสาวะ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น เที่ยวได้เดินยุแหย่ให้ผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกัน หลังจากนั้นท่านได้หยิบเอากิ่งอินทผลัมสดมาหนึ่งกิ่ง แล้วฉีกออกเป็นสองซีก แล้วปักลงบนหลุมศพหลุมละหนึ่งซีกพวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้ ท่านได้กล่าวว่า หวังว่ามัน (กิ่งอินทผลัม) จะช่วยทำให้โทษของเขาทั้งสองเบาบางลง ตราบใดที่กิ่งอินทผลัมทั้งสองซีกนี้ยังไม่แท้ง

เล่าจากอุมมุ กอยส์ บุตรสาวเมียะห์ซอน ว่า ความจริงหล่อนได้พาบุตรชายของหล่อนที่ ยังเป็นทารกอยู่ ยังไม่ได้กินอาหาร[146] ไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านได้อุ้มเด็กคนนั้นไว้บนตักของท่าน และต่อมาเด็กคนนั้นได้ปัสสาวะรดลงบนผ้าของท่าน ท่านได้เรียกให้ห้านำมา และท่านได้พรมนำลงบนรอยปัสสาวะของเด็กนั้น โดยท่านมิได้ล้าง และในบางรายงานว่า และท่านไม่ได้ทำเกินกว่าการพรมน้ำ

รายงานหะดีษทั้งสี่โดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ได้มีผู้นำเด็กทารกที่อยู่ในวัยดื่มนมมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้วเด็กนั้นได้ปัสสาวะรดลงในตักของท่าน แล้วท่านได้เรียกให้นานำมา และท่านได้เทน้ำลงบนรอยปัสสาวะของเด็กนั้น[147] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากลุบาบะห์ บุตรสาว อัลฮาริษ ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านฮุซัยน์[148] ได้อยู่บนตักของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้วได้ปัสสาวะรดในตักของท่าน ข้าพเจ้า (ลุบาบะห์) จึงได้กล่าวว่า (โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์) จงเปลี่ยนผ้าผืนใหม่ แล้วเอาผ้านุ่งของท่านให้ข้าพเจ้า นำไปซักล้าง ท่านได้กล่าวว่า ความจริงที่จะต้องนำไปซักล้างนั้นคือผ้าที่เปื้อนปัสสาวะของเด็กผู้หญิง ส่วนผ้าที่เปื้อนปัสสาวะของเด็กผู้ชายนั้นให้พรม[149] (น้ำลงบนรอยเปื้อนนั้น) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด อะห์มัด และฮากีม

เล่าจากอะบี อัสสัมหิ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ให้ใช้วิธีล้างเมื่อเปื้อนปัสสาวะของเด็กผู้หญิง และให้ใช้วิธีพรมเมื่อเปื้อนปัสสาวะของเด็กผู้ชาย(ที่ยังดื่มเฉพาะนม ไม่ได้กินอย่างอื่นเสริม) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะลีได้กล่าวว่า ให้ล้างปัสสาวะของเด็กผู้หญิง และให้พรมนํ้าปัสสาวะของเด็กผู้ชายที่ยังไม่ได้กินอาหาร (อื่นนอกจากน้ำนม) อะบูดาวูดได้รายงานอย่างนี้ (คือรายงานว่า อะลีเป็นผู้พูด) ส่วนท่านติรมีซีได้รายงานว่า ท่านนบีเป็นผู้พูด

และได้เล่าจากเขา (อะลี) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นคนที่มีน้ำหล่อลื่น ออกมาก(ผิดปกติ) และข้าพเจ้ากระตากที่จะไปเรียนถามท่านนบี ซ.ล.   โดยตรง เพื่อรักษาเกียรติบุตรสาวของท่าน[150] ข้าพเจ้าจึงได้ใช้ท่านมิกตาร บินอัลอัสวัด ให้ไปเรียนถามท่านนบี ท่านนบีได้ตอบ มาว่า  ให้เขาล้างอวัยวะเพศของเขา[151] และให้เขาอาบน้ำละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากสะหฺลฺ บินหุในฟ์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบกับความยากลำบากอย่างสี่สุด เนื่องจากนํ้าหล่อลื่นที่ออกมา และข้าพเจ้าต้องอาบนํ้าบ่อยๆ เพราะมัน ข้าพเจ้าจึงได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงเรื่องนื่ ท่านได้กล่าวตอบว่า  ความจริงท่านเพียงแต่อาบนํ้าละหมาดก็พอแล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า  โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แล้วจะทำอย่างไรกับน้ำล่อลื่นที่มันเปื้อนผ้าของข้าพเจ้า ท่านได้ตอบว่า ท่านเพียงแต่เอาน้ำมาวักมือหนึ่ง แล้วล้างผ้าของท่าน โดยท่านจะต้องเห็นว่าน้ำนั้นถูกรอยที่น้ำหล่อลื่นเปื้อนก็พอแล้ว 

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ถ่ายอุจจาระ และได้ใช้ข้าพเจ้าให้นำก้อนหินไปให้ท่านสามก้อน[152] ข้าพเจ้าหาหินได้สองก้อน และหาก้อนที่สามไม่พบ ข้าพเจ้าจึงได้เอา มูลสัตว์ไปให้ท่าน ท่านรับเอาหินสองก้อน และขว้างมูลสัตว์แท้งทิ้งไป พร้อมกับกล่าวว่า  นี้เป็นสิ่งโสโครก (นะยิส) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ล้างคราบอสุจิออกจากผ้าของท่านนบี ซ.ล. หลังจากนั้นท่านได้ออกไปละหมาค โดยบีรอยเปียกของผ้ายังติคอยู่ที่ผ้าผืนนั้น [153]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากอาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าพบตัวเองว่าได้ขูดคราบอสุจิ ออกจากผ้าของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ด้วยมือของข้าพเจ้าจนหลุดออกหมด แล้วท่านถึง ละหมาดโดยสวมผ้าผืนนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากท่านหญิงมัยมุนะห์ว่า  แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้ถูกถามถึงหนูที่ตกลงไปตายในเนยแข็ง(سَمْنٍ) ท่านได้ตอบว่า จงโยนหนูและบริเวณโดยรอบทมันตกลงไปตายนั้นทิ้งไป และจงกินเนยของพวกท่าน (ที่เหลืออยู่)

และในบางรายงานว่า เมื่อหนูได้ตกลงไปในเนย (ให้พิจารณาดูก่อน) ถ้าหากมันแข็ง ให้พวกท่านจงจับหนูโยนทิ้งไปพร้อมด้วยบริเวณโดยรอบ (ที่มันตกลงไปตายนั้น)แต่ถ้าหากมัน เหลวพวกท่านอย่าเข้าใกล้มันอีกเลย[154]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อแมลงวันได้ตกลงไปในภาชนะของใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ให้เขาจงกดมันให้จมหมดทั้งตัว หลังจากนั้นให้โยนมันทิ้งไป เพราะความจริงที่ปีกข้างหนึ่งของมันเป็นยา ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นโรค 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

ส่วนอะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า ความจริง (การที่มันตกลงไปนั้น)มินจะป้องกันตัวเองด้วยปีกของมันข้างที่มีโรค[155]

และได้มีผู้หญิงคนหนึ่งมาถามท่านอุมมุ ซะละมะห์ ภรรยาของท่านนบี ซ.ล.   โดยได้ กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงที่ปล่อยชายผ้าลงกรอมกับพื้น และเดินไปในที่ที่สกปรก (มีนะยิส) ท่านหญิงอุมมุ ซาละมะห์ ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พื้นดินที่อยู่ถัดจากนั้นจะทำให้มัน (ชายผ้า) สะอาด[156] 

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และมาลิก

ผู้หญิงคนหนึ่งจากตระกูลบะนีอับดิ้ล อัชฮั้ล ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริง หนทางที่พวกเราใช้เดินไปมัสญิดนั้นมีของเน่าเสีย พวกเราจะทำอย่างไรเมื่อมีฝนตกลงมา ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ถัดจากบริเวณนั้นไปเป็นทางที่ดีกว่านั้นมิใช่หรือ ข้าพเจ้าตอบว่า ใช่ ท่านได้กล่าวว่า ดังนั้นแผ่นดินที่โสโครกนั้น จะสะอาดด้วยแผ่นดินที่สะอาดนี้[157]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจาก พวกท่านได้เหยียบลงไปบนสิ่งโสโครกด้วยรองเท้าของเขา ความจริงดินนั้นแหละเป็นสิ่งที่จะทำให้มันสะอาด[158] และในบางรายงานว่า เมื่อเขาได้เหยียบลงไปบนนะยิส ด้วยรองเท้าหุ้มข้อทั้งสองข้างของเขา ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้มันทั้งสองข้างสะอาดก็คือดิน

เล่าจากอะบี สะอีด จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ได้มายังมัสญิด ให้เขาจงมองดู ถ้าหากเขาพบว่ามีนะยิส หรือสิ่งโสโครกติดอยู่บีรองเท้าทั้งสองข้างของเขา ให้เขาจงเช็ดมันกับพื้นดิน[159] และให้เขาจงละหมาดโดยที่ยังสวมมันอยู่ทั้งสองข้าง

รายงานหะดีษทั้งสามโดย อะบูดาวูด

บทที่สี่ 47

การชำระอุจจาระและปัสสาวะ มีสองตอน

ตอนที่หนึ่ง

ระเบียบปฏิบัติในการถ่ายทุกข์

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ บินชัวะอฺบะห์ ว่า  ความจริงท่านนบี ซ.ล.   นั้น เมื่อได้ออกไป (ถ่ายทุกข์) จะออกไปไกล (จนพ้นสายตาผู้คน) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตามรายงานของอะบูดาวูดว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   นั้น เมื่อต้องการจะถ่ายอุจจาระ จะเดินออกไปจนไม่มีใครมองเห็น[160]

เล่าจากอับดิลลาห์ บินยะอ์ฟัร ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ให้ข้าพเจ้านั่งซ้อนอยู่ ข้างหลังของท่าน (บนหลังสัตว์พาหนะ) ในวันหนึ่ง แล้วท่านได้กระซิบความกับแก่ข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าจะนำไปแพร่งพรายให้ใครรู้ไม่ได้ และปรากฏว่าสิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ชอบใช้ปิดบัง เพื่อทำการถ่ายทุกข์ก็คือเนินดิน หรือกำแพงที่ล้อมสวนอินทผลัม 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจากอะนัสได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อได้เข้าไปในที่ที่ใช้ถ่ายทุกข์ ได้ ถอดแหวนของท่านออก[161] 

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี โดยท่านติรมิซี ติรมิซี ถือว่าเป็นหะดีษที่หะซัน

และเล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   เมื่อจะเข้าไปในสถานที่ที่ใช้ถ่ายทุกข์ ท่านจะกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ ความจริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่านจากสิ่งที่เลวที่รามทั้งหมด และจากมารร้ายทั้งตัวผู้และตัวเมีย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะลีว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า สิ่งที่ปิดกันระหว่างสายตาของ “ยิน” กับอวัยวะที่ต้องสงวนของมนุษย์ชาติ เมื่อใครคนใดคนหนึ่งได้เข้าไปในที่ถ่ายทุกข์ คือการที่เขากล่าวว่า “ด้วยพระนามของอัลลอฮ์” 

รายงานโดย ติรมิซี  และอะห์มัด โดยท่านอะห์มัด ถือว่าเป็น หะดีษหะซัน

เล่าจากอิบนิ อุมัรได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   นั้น เมื่อต้องการจะถ่ายทุกข์ ท่านจะ ไม่ถลกผ้าขึ้น จนกระทั่งมันเรี่ยกับพื้น (จนพ้นอวัยวะเพศ ท่านจะปล่อยให้เรี่ยๆ กับพื้น)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะบี สะอีด จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ชายสองคนจะไม่ออกไปถ่ายทุกข์ (ทุ่ง) โดยเปิดเผยอวัยวะที่ต้องสงวน (ระหว่างสะดือกับหัวเหน่า) แล้วพูดคุยกัน เพราะแท้จริง อัลลอฮ์ชิงชังการกระทำอย่างนั้น[162] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อุมัรได้กล่าวว่า มีชายผู้หนึ่งได้เดินผ่านท่านนบี ซ.ล.   ในขณะที่ท่านกำลังถ่ายปัสสาวะ เขาได้ให้สลามแก่ท่านนบีแต่ท่านไม่ตอบรับสลามของเขา[163]

เล่าจากอะบีไอยุบ อัลอันศอรี จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง จากพวกท่านได้มาถ่ายทุกข์ ไม่ให้เขาหันหน้าไปทาง “กิบละห์” และไม่ให้หันหลังไปทางนั้นอีกด้วย

เล่าจากอิบนิ อุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ขึ้นไปบนบ้านของท่านหญิงฮัฟเซาะห์(เป็นพี่สาวของอิบนิอุมัร และเป็นภรรยาคนหนึ่งของท่านนบี) เพื่อทำธุระบางอย่างของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าได้พบท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กำลังถ่ายทุกข์ โดยหันหลัง ไปทาง “กิบละห์” หันหน้าไปทางเมือง “ชาม”[164]

และในบางรายงานว่า โดยนั่งอยู่บนอิฐดิบสองก้อน[165]

เล่าจากหุซัยฟะห์ ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้มาถึงยังสถานที่ทิ้งขยะของหมู่บ้าน แล้วท่านได้ยืนถ่ายปัสสาวะ[166] หลังจากนั้นท่านได้เรียกเอานำ ข้าพเจ้าจงได้นำนำมาให้ท่าน แล้วท่านได้อาบนํ้าละหมาด

เล่าจากอะบี กอตาดะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ได้ถ่ายปัสสาวะ ดังนั้นเขาอย่าจับลึงค์ (อวัยวะเพศชาย) ของเขาด้วยมือขวา[167] และอย่าชำระ(ล้าง)โดยใช้มือขวา[168]  และเขาอย่าหายใจในภาชนะ (ที่ใช้ดื่มน้ำ)[169] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี โดยหนังสือที่เป็นแม่บททั้งห้า

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงระวัง งานสองชิ้นที่เพื่อนมนุษย์จะพากันสาปแช่ง พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ได้กล่าวว่า งานสองชิ้นนั้นคืออะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านได้ตอบว่า คือ ผู้ที่ถ่ายทุกข์ไว้ตามทางสัญจรของมนุษย์ และในที่อาศัยร่มเงาของพวกเขา 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากมุอาซ บินญะบัล จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงระวัง สาเหตุที่จะทำให้ถูกสาปแช่งทั้งสาม คือ การถ่ายอุจจาระตามแหล่งนํ้า ตามทางสัญจร และตามที่พักในร่มเงา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอับดิลลาห์ บินสัรยิสว่า ความจริงท่านนบี ซ.ล.   ได้ห้ามถ่ายปัสสาวะลงในรู เหล่าอัครสาวกได้ถามท่านกอตาดะห์ว่า มีเหตุผลอะไรจึงห้ามถ่ายปัสสาวะลงในรู ท่านกอตาดะห์ ได้กล่าวว่าเคยมีผู้กล่าวว่า ความจริงรูต่างๆ นั้นเป็นที่อาศัยของยิน[170] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และตามรายงานของอะบูดาวูดว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านต้องการจะถ่ายปัสสาวะให้เขาหาที่ที่เหมาะ เพื่อถ่ายปัสสาวะ[171]

เล่าจากอุมัยมะห์ บุตรสาวรุกอยเกาะห์ ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   นั้น มีโถอยู่ใบหนึ่งทำด้วยไม้วางอยู่ใต้เตียงนอนของท่าน ท่านจะถ่ายปัสสาวะลงไปในโถนั้นในเวลากลางคืน[172] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อออกจากที่ถ่ายทุกข์ได้กล่าวว่า,‘ขอการอภัยจากท่าน”[173] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่สอง

การชำระ (อุจจาระและปัสสาวะ)

เล่าจากอะนัสกล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อได้ออกไปถ่ายทุกข์ ตัวข้าพเจ้า เองและเด็กรับใช้อีกคนหนึ่ง จะออกตามไปพร้อมด้วยถุง (หนัง) ใบเล็กๆ บรรจุนํ้าจนเต็ม หมายความว่าท่านจะชำระด้วยนํ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ส่วนตัวบทหะดีษที่เป็นรายงานของมุสลิมมีว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ เคยเข้าไปยังที่ถ่ายทุกข์ ตัวข้าพเจ้าเอง (อะนัส) และเด็กรับใช้อีกคนหนึ่งรุ่นเดียวกับข้าพเจ้า จะถือถุง (หนัง) ใส่นํ้าและหอกสั้น (ตามไป) แล้วท่านจะชำระด้วยนํ้า

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ติดตาม นบี ซ.ล.   ในขณะที่ท่านออกไป เพื่อถ่ายทุกข์ และปรากฏว่าท่านไม่หันมามอง ข้าพเจ้าจึงได้เข้าไปใกล้ๆ ท่าน แล้วท่านได้กล่าวว่า ท่านจงไปหาก้อนหินมาให้ข้าพเจ้าจำนวนหนึ่ง ข้าพเจ้าจะใช้มันชำระด้วยการเช็ด หรือพูด คล้ายๆ อย่างนี้ และท่านอย่านำกระดูกและมูลสัตว์แท้งมาให้ข้าพเจ้า ต่อมาข้าพเจ้า (อะบู ฮุรอยเราะห์) จึงได้นำก้อนหินจำนวนหนึ่งไปให้ท่าน โดยห่อไว้ที่ชายผ้า แล้วข้าพเจ้าได้นำก้อนหินเหล่านั้น ไปวางไว้ใกล้ๆ กับท่าน และข้าพเจ้าก็กลับออกมา เมื่อท่านได้ถ่ายทุกข์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่าน จึงเช็ด (รูทวาร) ด้วยก้อนหินเหล่านั้น 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากซัลมาน ได้มีผู้กล่าวแก่เขาว่า[174] ความจริงนบีของพวกท่าน ซ.ล.  ได้สอนพวกท่าน หมดทุกอย่างแม้แต่ระเบียบในการนั่งถ่ายทุกข์อย่างนั้นหรือ ท่านซัลมานได้กล่าวตอบว่า ใช่แล้ว ความจริงท่านได้ห้ามเราหันหน้าไปทางที่ “กิบละห์” ในขณะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะหรือ (ห้ามพวกเรา) ทำการชำระด้วยมือขวา หรือ (ห้ามพวกเรา) ทำการชำระด้วยหินต่ำกว่าสามก้อน หรือ (ห้ามพวกเรา) ทำการชำระด้วยมูลสัตว์หรือกระดูก 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ส่วนตัวบทหะดีษตามรายงานของติรมีชิ ว่า ท่านทั้งหลายอย่าชำระด้วยมูลสัตว์และกระดูก เพราะความจริงมัน (กระดูก) เป็นอาหารของพวกยิน พี่น้องของท่านทั้งหลาย

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อาบนํ้าละหมาดให้เขา จงสั่งนํ้าที่สูดเข้าไปในจมูกออกมา[175]  และผู้ใดได้ทำการชำระโดยใช้ก้อนหินเช็ด ให้เขาเช็ดมันเป็นจำนวนคี่[176] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

และตามรายงานของอะบูดาวูดว่า ผู้ใดใช้ฝุ่นหินสี่ดำทาเปลือกตาให้เขาจงทาด้วยจำนวนคี่[177] ผู้ใดได้กระทำ (อย่างนี้) นับว่าเขาได้กระทำความดี และผู้ใดไม่ได้กระทำอย่างนี้ก็ไม่มีบาป และผู้ใดได้กินอาหาร ดังนั้นเศษอาหารที่ติดอยู่ตามไรฟัน เมื่อถูกแคะออกมาให้เขาจงบ้วนทิ้งไป และเศษอาหารที่เขาใช้ลิ้นดุนออกมาจากไรฟันให้เขาจงกลืนลงไป[178] ผู้ใดได้กระทำ (อย่างนี้) นับว่าเขาได้กระทำความดี และผู้ใดไม่ได้กระทำอย่างนี้ก็ไม่มีบาป และผู้ใดได้มายังที่ถ่ายทุกข์ ให้เขาจงปกปิดอย่างมิดชิด ถ้าหากเขาไม่มีสิ่งที่จะใช้ปกปิด นอกจากเขาจะต้องกองทรายขึ้นเป็นเนินเล็กๆ แล้วให้เขาหันหลังให้เนินทรายนั้น เพราะความจริงชัยฏอนนั้นมันจะเล่นก้นของมนุษย์[179] ผู้ใดได้กระทำ (อย่างนี้) นับว่าเขาได้กระทำความดี และผู้ใดไม่ได้กระทำอย่างนี้ก็ไม่มีบาป

บทที่ห้า 51

การอาบนํ้าละหมาด (วุฎุอ์)

มีสามตอน

ตอนที่หนึ่ง

สาเหตุที่ทำให้เกิดความจำเป็นต้องชำระร่างกายด้วยการ อาบน้ำทั่วทั้งตัว หรือด้วยการอาบน้ำละหมาด

อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวว่า “หรือใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้มาหลังจากถ่ายทุกข์ หรือพวกท่านได้กระทบผู้หญิง[180]

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดของผู้ที่มีมลทินนั้น[181] จะไม่ถูกรับรอง จนกว่าเขาจะอาบน้ำละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และท่านบุคอรีได้รายงานเพิ่มเติมว่า มีชายผู้หนึ่งจากเมืองฮัฎรอเมาต์ได้กล่าวว่า มลทินที่ว่านั้นคืออะไร โอ้อะบูฮุรอยเราะห์ อะบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า คือการเผยลม (ทั้งที่มีเสียง และไม่มีเสียง) และในบางรายงานว่า การละหมาดโดยไม่หมดมลทิน[182] นั้นจะไม่ถูกรับรอง และ การทำทานจากทรัพย์ที่ได้มาในทางทุจริตนั้นก็จะไม่ถูกรับรอง

เล่าจากอับบาด บินตะมีม จากลุงของเขา (คืออับดุลเลาะห์ บินซัยด์) ว่า มีผู้นำเรื่องของชายผู้หนึ่งไปร้องทุกข์ต่อท่านนบี ซ.ล.   ว่า เขาเป็นคนที่มีอุปทานว่า มีสิ่งหนึ่ง เกิดขึ้นกับเขาขณะที่กำลังละหมาด ท่านนบีได้กล่าวว่า อย่าให้เขาเลิกละหมาด จนกว่าจะ (มั่นใจด้วยการ) ได้ยินเสียงหรือได้กลิ่น 

และในบางรายงานว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน พบว่ามีสิ่งหนึ่ง (เช่นเสียงโครกครากดัง) อยู่ในห้องของเขา และทำให้เกิดสิ่งลัยว่าจะมีสิ่งหนึ่ง ออกมาจากห้องหรือไม่ ดังนั้นเขาจะต้องไม่ออกจากมัสญิดจนกว่าเขาจะ (มั่นใจด้วยการ) ได้ยิน เสียงหรือได้กลิ่น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะลี จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เชือกผูกปากทวาร (หนัก) นั้น คือดวงตา ทั้งสองข้าง ดังนั้นผู้ใดนอนหลับให้เขาจงอาบน้ำละหมาด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจากอะนัสได้กล่าวว่า ปรากฏว่าบรรดาอัครสาวกของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยนอนหลับ แล้วลุกขึ้นมาทำละหมาด โดยพวกเขาไม่ได้อาบน้ำละหมาด[183] 

รายงานโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ความจริงการอาบน้ำละหมาดไม่เป็น (วายิบ) นอกจากผู้นอนหลับในท่านอนตะแคง[184]เพราะความจริงเมื่อเขานอนตะแคงนั้น รอยประกบต่างๆ ในร่างกายของเขาจะคลายออก[185]

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากบุสเราะห์ บุตรสาวซอฟวาน จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้สัมผัสกับอวัยวะเพศของเขา (ด้วยฝ่ามือ) ดังนั้นเขาอย่าละหมาด[186] จนกว่าจะได้อาบน้ำละหมาดเสียก่อน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดเอามือของเขาไปโดนทวารของเขา (ทั้งทวารหนักและทวารเบา) โดยไม่มีของกั้นระหว่างทั้งสอง (มือกับทวาร) ให้ เขาจงอาบน้ำละหมาด[187] 

รายงานหะดีษโดย ชาฟิอี ฮากีม และอะห์มัด

เล่าจากตอลก็ บินอะลี ได้กล่าวว่า พวกเราได้เข้าพบท่านนบี ซ.ล.   บังเอิญได้มีชาย ผู้หนึ่งคล้ายกับเป็นชาวชนบทได้เข้ามาแล้วกล่าวว่า โอ้ท่านนบีของอัลลอฮ์ ท่านเห็นเป็นอย่างไรที่ผู้ชายคนหนึ่งได้สัมผัสกับอวัยวะเพศของเชา (ด้วยฝ่ามือ) หลังจากเขาได้อาบน้ำละหมาดแล้ว ท่านนบีได้กล่าวว่ามัน (อวัยวะเพศของเขา) ไม่ได้มือะไรมากไปกว่าเนื้อก้อนหนึ่งจากร่างของเขา หรือเป็นอวัยวะหนึ่งจากตัวเขา[188] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้จูบภรรยาคนหนึ่งจากบรรดา ภรรยาของท่านแล้วได้ออกไปละหมาดโดยไม่ได้อาบน้ำละหมาด อุรวะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ กล่าวแก่ท่านหญิงอาอิชะห์ว่า ภรรยาคนนั้นไม่ใช่ใครหรอก ที่แท้ก็คือเธอนั้นเอง ท่านหญิง อาอิชะห์ได้หัวเราะ 

รายงานโดย อะบูตาลวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี อัดดัรดาอฺว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้อาเจียน แล้วได้อาบน้ำละหมาด[189] ต่อมาข้าพเจ้า (อะบีอัดดัรตาอุ) ได้พบกับเซาบาน (อัครสาวกผู้หนึ่ง) ในมัสญิดแห่งกรุงดามัสกัส และข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง เขาได้กล่าวว่า เป็นความจริงตามที่ท่านพูด ด้วยข้าพเจ้า (เซาบาน) เองเป็นผู้รดนํ้าให้ท่านนบีได้อาบนํ้าละหมาด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอัลบะรออ์ ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงเรื่องการอาบน้ำละหมาดเนื่องจากการกินเนื้ออูฐ ท่านได้ตอบว่า ท่านทั้งหลายจงอาบนํ้าละหมาด เนื่องจากกิน เนื้ออูฐ[190] และได้มีผู้ถามถึงการกินเนื้อแพะ ท่านได้ตอบว่า ท่านทั้งหลายจงอย่าอาบน้ำละหมาด เนื่องจากกินเนื้อแพะ

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากซัยด์ บินซามิต จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การอาบน้ำละหมาดนั้นจำเป็น (วายิบ) เนื่องจากบริโภคสิ่งที่กระทบไฟ[191] (เช่น ต้ม ทอด ปิ้ง) 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาสว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กินขาหน้าแพะ หลังจากนั้นท่านได้ละหมาดโดยไม่ได้อาบนํ้าละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากยาบีรได้กล่าวว่า งานชิ้นล่าสุดจากงานสองชิ้นที่มาจากท่านรอซูลุลเลาะฮฺ ซ.ล.  คือ การไม่อาบน้ำละหมาด เนื่องจากการบริโภคสิ่งที่กระทบไฟ[192] 

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ตอนที่สอง 54

ระเบียบของการอาบน้ำละหมาด (วุดูอุ)

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง จากพวกท่านตื่นนอน เขาอย่าเอามือจุ่มลงในภาชนะ[193] จนกว่าจะล้างมันเสียก่อนสามครั้ง ความจริง ไม่มีใครรู้หรอกว่า มือของเขานอน (ซุก) อยู่ที่ใด หรือป้วนเปียนอยู่แถวไหน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่นับว่าเป็นละหมาด (ที่ใช้ได้) แก่ผู้ (ที่ละหมาดโดย) ไม่มีนํ้าละหมาด และไม่นับว่าเป็นนํ้าละหมาด (ที่สมบูรณ์) สำหรับผู้ (ที่อาบน้ำละหมาดโดย) ไม่ได้กล่าวนามของอัลลอฮ์[194] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจาก (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ถ้าแม้นข้าพเจ้าไม่กลัวจะเป็นภาระที่หนักหน่วงแก่ประชากรของข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะใช้ (กำหนดเป็นหน้าที่ที่จำเป็น) พวกเขาให้แปรงฟันพร้อมกับอาบน้ำละหมาดทุกครั้ง[195]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมาลิก

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การแปรงพันทำให้ปาก สะอาด และเป็นการทำความพอใจแก่พระเจ้า 

รายงานโดย บุคอรี นะซาอี และชาฟิอี

และเล่าจากเขา (ท่านหญิงอาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่านบี ซ.ล.   ของอัลลอฮ์ต้องการจะแปรงฟัน จึงได้ยื่น (แปรงสี่ฟัน) กิ่งไม้(มิสวาก) ที่ใช้แปรงฟันให้ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าล้าง ข้าพเจ้าจึงได้ล้างและใช้มันแปรงฟันข้าพเจ้า เมื่อเสร็จแล้วข้าพเจ้าได้ล้าง แล้วส่งคืนให้ท่านนบี 

รายงานโดย อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า สิบประการที่ถือว่า เป็นธรรมชาติติดตัวของมนุษย์ทุกคน[196] คือ การขลิบหนวด[197] การไว้หรือเลี้ยงเครา การแปรงพัน การทำความสะอาดโดยรงจมูกด้วยการสูดนำเข้าแล้วสั่งออก การตัดเล็บ การล้างรอยพับทข้อนิ้วอย่างทั่วถึง การถอนขึ้นรักแร้ การโกนขึ้นใต้ร่มผ้า และการชำระ (หลังการถ่ายทุกข์) ด้วยนํ้า ท่านมุสอับได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าลืมประการที่สิบ ที่แท้มันคือ การบ้วนปาก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัสกล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยอาบน้ำ (วายิบ) ด้วยนํ้าเพียงสี่มุด(ลิตร) ถึงห้ามุด (ลิตร) และอาบน้ำละหมาดโดยใช้เพียงหนึ่งมุด (ลิตร) 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากเขา (อะนัส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยอาบน้ำละหมาดด้วยภาชนะที่บรรจุนํ้าได้ (ประมาณ) สองชั่ง และอาบน้ำ (วายิบ) ด้วยนํ้าเพียงสี่มุด (ลิตร) 

รายงานโดย อะบูดาวูด

และท่าน อะบูดาวูดได้กล่าวว่า อะห์มัด บินฮัมบั้ล ได้กล่าวว่า (นำ) สี่มุด(ลิตร) นั้น มีนํ้าหนักประมาณสามชั่งกับอีกเศษหนึ่งส่วนสามชั่ง (3 1/3ชั่ง, หนึ่งมุดกับ 1/5 มุด(1.20) (ลิตร)เท่ากับ 1 ชั่ง)

และท่านอับดุลเลาะห์ บินมุฆอฟฟัล ได้ยินบินของเขากล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าจะขอพระราชทานปราสาทสี่ขาวที่อยู่ทางด้านขวาของสวรรค์ จากพระองค์ท่าน เมื่อข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าสวรรค์ ท่านกับดุลเลาะห์ได้กล่าวว่า  โอ้ถูกรัก เจ้าจงขอสวรรค์จากอัลลอฮ์ และจงขอป้องกันจากขุมนรกด้วย เพราะความจริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ความจริงจะเกิดมีขึ้นในหมู่ประชากรของข้าพเจ้านี้ พวกที่เลยเถิดในการทำความสะอาด และเลยเถิดในการขอดุอาอ์ [198]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจากอัลหะกัมหรือบินอัลหะกัม จากบิดาของเขาว่า ความจริงท่านนบิ ซ.ล.  ได้ ถ่ายปัสสาวะ แล้วได้อาบน้ำละหมาด และได้เอานำรดที่อวัยวะเพศของท่าน[199]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุบัยย์ บินกะอฺบิ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ความจริงในการอาบน้ำละหมาดนั้น มีชัยฏอนประจำอยู่มินมีข้อเรียกว่า อัลวัลฮาน[200] ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง ความสงสัยที่จะเกิดขึ้นจากการใช้น้ำ[201] 

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   มีผ้าผืนหนึ่ง จะใช้ซับนำหลังจากอาบน้ำละหมาด 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย  ติรมิซ

ตอนที่สาม 56

รายละเอียดของการอาบนํ้าละหมาด (วุฎุอ์)[202]

และ เวลาที่น้ำละหมาดยังคงมีอยู่[203]

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “โอ้ผู้มีศรัทธาแล้วทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายจะไปละหมาด ให้พวกท่านจงล้าง[204] ใบหน้าของพวกท่าน มือของพวกท่าน จนถึงข้อศอก และท่านทั้งหลาย จงเช็ดศีรษะของพวกท่าน[205] และ (จงล้าง) เท้าของพวกท่านจนถึงตาตุ่ม”

เล่าจากอุมรอน ทาสของอุสมานได้กล่าวว่า  แท้จริงอุสมานได้เรียกหานำ เพื่ออาบน้ำละหมาด และต่อมาเขาได้อาบน้ำละหมาด โดยได้ล้างมือทั้งสองข้างของเขาสามครั้ง หลังจากนั้นได้บ้วนปาก และสั่งนํ้าออกจากจมูก (หลังจากได้สูดเข้าไป) จากนั้นได้ล้างใบหน้าสามครั้ง) แล้วล้างมือข้างขวาจนถึงข้อศอกสามครั้ง จากนั้นได้ล้างมือข้างซ้ายเหมือนอย่างนั้น (จนถึงข้อศอกสามครั้ง) เสร็จแล้ว เช็ดศีรษะแล้วตามด้วยล้างเท้าข้างขวาจนถึงตาตุ่มทั้งสองข้างสามครั้ง หลังจากนั้นล้าง เท้าข้างซ้ายเหมือนอย่างนั้น (จนถึงตาตุ่มทั้งสองข้างสามครั้ง) เสร็จแล้วเขา (อุสมาน) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อาบนํ้าละหมาดเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าได้อาบนํ้าละหมาดนี้ หลังจากนั้นได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อาบนํ้าละหมาดเหมือนการอาบนํ้าละหมาดของข้าพเจ้า เสร็จแล้วเขาได้ขึ้นทำละหมาดสองรอกะอัต โดยไม่นึกถึงสิ่งใด ในทางโลก็ย์ในขณะทำละหมาดทั้งสองเราะกะอัต[206]นั้น เขาจะได้รับการอภัยในบาปกรรมที่เขาได้ทำมาแล้ว และในบางรายงาน[207] ว่า และเขาได้บ้วนปาก และได้สูดนำเข้าจมูก แล้วสั่งออกสามครั้งด้วยนํ้าสามวัก และในอีกรายงานหนึ่งว่า แล้วเขาได้เช็ดศีรษะสามครั้ง และในบางรายงานว่า แล้วเขาได้เช็ดศีรษะ โดยใช้มือทั้งสองข้างลูบไปข้างหลังแล้วย้อนกลับมาด้านหน้า คือเริ่มตั้งแต่หน้าผากที่ผมด้านหน้า แล้วลูบไปจนจรดต้นคอแล้วให้เอามือทั้งสองข้างลูบย้อนกลับมาที่เดิม (คือตีนผมด้านหน้า) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอับดิลลาห์ บินซัยดิว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้อาบนํ้าละหมาด (ด้วยการล้างและเช็ค) อย่างละสองครั้ง สองครั้ง

เล่าจากอิบนิ อับบาส ได้กล่าวว่า ท่านนบีได้อาบน้ำละหมาด (ด้วยการล้างและเช็ด) อย่างละหนึ่งครั้ง หนึ่งครั้ง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี 

และได้มีชาวอาหรับชนบีที่ผู้หนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วถามถึงการอาบน้ำละหมาด ท่านนบีได้สาธิตวิธีการอาบน้ำละหมาดให้เขาดู ด้วยการล้างอย่างละสามย่างละสาม หลังจากนั้นท่านนบีได้กล่าวว่า อย่างนี้แหละคือการอาบน้ำละหมาด ผู้ใดทำเกินกว่านี้ เขาเสียมารยาที่ เขาละเมิด[208] และทุจริต[209] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และอะห์มัด

และตัวบทของอะบูดาวูดมีว่า ผู้ใดทำเกินกว่านี้หรือหย่อนไปกว่านี้ เท่ากับเขาได้เสียมารยาที่และทุจริต

เล่าจากอะนัสว่า แท้จริงปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่ออาบน้ำละหมาดได้เอานำมาหนึ่ง ฝ่ามือ แล้วใส่เข้าไปใต้เคราทางด้านหน้า และล้างมันด้วยนํ้านั้นให้เปียกจนทั่วเครา เสร็จแล้วได้กล่าวว่า อย่างนี้แหละที่อัลลอฮ์ได้ใช้ข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

และตามรายงานของค์รมิซีว่า เมื่อท่านได้อาบน้ำละหมาด จงล้างนิ้วมือ[210] และนิ้วเท้าทั้งสองข้างชองท่าน

เล่าจากมุสเตาริด ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล.   เมื่ออาบน้ำละหมาดจะล้าง นิ้วเท้าทั้งสองข้างด้วยนิ้วก้อย[211]  

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้เช็ดศีรษะของท่าน และหูทั้งสอง ข้างของท่าน ทั้งภายืนอกและภายใน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอัลมุฆีรุเราะห์ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้อาบนํ้าละหมาด และเช็ดหัวขม่อมของท่าน และเช็ดบนผ้าโพกศีรษะ[212] และเช็ดบนรองเท้าหุ้มข้อทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และอะบูฮุรอยเราะห์ ได้เห็นคนพวกหนึ่งอาบนํ้าละหมาด จากสถานที่ที่อาบน้ำละหมาด ท่านอะบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงอาบนํ้าละหมาดให้ทั่วถึงสมบูรณ์ รวมถึงรอยแตกระแหงของฝ่าเท้าด้วย เพราะ ความจริงข้าพเจ้าได้ยิน อะบากอเซ็ม (ฉายาของท่านนบี) ซ.ล.  กล่าวว่า ความพินาศจากไฟนรกจะประสบกับผู้ที่ไม่เอาใจใสในการล้างรอยแตกที่ส้นเท้า

และในบางรายงานว่า ความพินาศจากไฟนรกจะประสบกับผู้ที่ไม่เอาใจใสในการล้างส้นเท้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอุมัรว่า ความจริงมีชายคนหนึ่งได้อาบนํ้าละหมาด และได้ทิ้งคราบสกปรกไว้ บนหลังเท้าของเขา (โดยล้างไม่ทั่ว) ต่อมาท่านนบี ซ.ล.   เห็นจึงได้กล่าวว่า ท่านจงกลับไป อาบนํ้าละหมาด (ให้สมบูรณ์) เขาได้กลับไป[213] แล้วละหมาด 

และตามรายงานของมุสลิมว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงอาบน้ำละหมาดให้ทั่วถึงสมบูรณ์และจงสางนิ้ว และสูดนำเข้าจมูกลึกๆ นอกจากท่านจะเป็นผู้ถือศีลอด

เล่าจากอะนัสได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้อาบนํ้าละหมาด (ใหม่) ทุกครั้งที่ละหมาด[214] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า แล้วพวกท่านทำกันอย่างไร ท่านนบีได้กล่าวว่า นํ้าละหมาดยังมีผลใช้ได้ตราบใด เมื่อยังไม่เกิดหะดัษ (มลทิน) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากสุลัยมาน บินบุรอยดะห์ จากบิดาของเขาว่า ความจริงท่านนบี ซ.ล.   ได้ ละหมาดหลายครั้งในวันเข้ายึดนครมักกะห์ด้วยน้ำละหมาดเดียว และได้เช็ดบนรองเท้าหุ้มข้อ ทั้งสองข้างของท่าน ท่านอุมัรได้กล่าวแก่ท่านนบีว่า ความจริงในวันนี้ท่านได้กระทำสิ่งหนึ่ง ซึ่งท่านไม่เคยกระทำมาก่อนเลยท่านนบีตอบว่า ข้าพเจ้าได้กระทำมันโดยเจตนา โอ้อุมัร 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

การเช็ดรองเท้าหุ้มข้อ[215]

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ บินชัวะอ์บะห์ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ออกไป เพื่อถ่ายทุกข์ และอัลมุฆีเราะห์ไปด้วยพร้อมด้วยถุงหนังบรรจุนํ้า แล้วเขาได้เทน้ำให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์อาบนํ้าละหมาด หลังจากท่านได้ถ่ายทุกข์เรียบร้อยแล้ว ท่านได้อาบน้ำละหมาด และได้เช็ดบนรองเท้าทั้งสองข้าง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อัลมุฆีเราะห์) ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล. ได้เช็ดรองเท้าทั้งสองข้าง แล้วข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านลืมหรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า  ข้าพเจ้าไม่ลืมหรอกแต่ท่านนั้นแหละลืมสิ่งนี้ที่อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจและเกรียงไกรได้ใช้ข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากบุรอยดะห์ว่า แท้จริงกษัตริย์นัจยาซี ได้ส่งรองเท้าหุ้มข้อสีดำสนิทคู่หนึ่ง มาเป็นของขวัญ (อะตียะห์) แก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านได้สวมมันทั้งสองข้าง หลังจากนั้น ท่านได้อาบน้ำละหมาดและเช็ดบนมันทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่กับท่านนบี ซ.ล.   ในการเดินทางครั้งหนึ่ง และข้าพเจ้าได้ก้มลงเพื่อถอดรองเท้าทั้งสองข้างของท่าน ท่านจึงได้กล่าวว่า ปล่อยมันเถิด เพราะความจริงข้าพเจ้าได้สวมมันทั้งสองในสภาพที่สะอาด[216] ท่านนบีจึงได้เช็ดบนมันทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (มุฆีเราะห์) ว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   เคยปรากฏว่าท่านได้เช็ดบน หลังรองเท้าทั้งสองข้าง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และตามรายงานของอะบูดาวูดจากอะลีได้กล่าวว่า ถ้าหาก (เรื่องของ) ศาสนาเป็นไปตามความเห็นแล้วพื้นรองเท้าสมควรจะได้รับการเช็ดมากกว่าค้านบน[217] และความจริงข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เช็ดบนหลังรองเท้าทั้งสองข้างของท่าน

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ว่า  ความจริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อาบนํ้าละหมาดและได้เช็ดบนถุงเท้า[218] ทั้งlองข้าง และรองเท้าทั้งสองข้างพร้อมกัน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ด้วยสายรายงานที่ เศาะฮีหะห์

และอะบูดาวูดได้กล่าวว่า และผู้ที่เช็ดถุงเท้าทั้งlองข้าง (ในการอาบนํ้าละหมาด แทนจากการล้างเท้า) ได้แก่ ท่านอะลี อิบนุ มัสอูด บะรออฺ อะนัส อะบูอุมามะห์ และสะห์ลิ บินสะอัด และท่านติรมีซีได้กล่าวว่า ท่านอัลเซารี อิบนุล มุบาร๊อก ชาฟิอี อะห์มัด และ อิสหาก ก็มีความเห็นอย่างนั้น โดยพวกเขาได้กล่าวว่า ให้เช็ดถุงเท้าถึงแม้ว่าจะไม่มีรองเท้าหุ้ม ถ้าหากถุงเท้าทั้งสองข้างนั้นมีความหนา

เล่าจากซุรอยฮ์ บินฮานิอ์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ถึงการเช็ด บนรองเท้าทั้งสองข้าง[219] ท่านหญิงอาอิชะห์ตอบว่า ท่านต้องไปถาม (อะลี) บินอะบีตอลิบ เพราะความจริงเขาเคยเดินทางร่วมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ดังนั้นพวกเราจึงได้ไปถามเขา แล้วเขา (อะลี) ได้ตอบว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กำหนดเวลาไว้สามวันสามคืนสำหรับ ผู้เดินทาง และหนึ่งวันหนึ่งคืนสำหรับผู้ไม่ได้เดินทาง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากคุซัยมะห์ บินซาบิต จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การเช็ดรองเท้าทั้งสอง ข้างสำหรับนักเดินทางมีกำหนดสามวัน และสำหรับผู้ไม่ได้เดินทางมีกำหนดหนึ่งวันหนึ่งคืน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากซอฟวาน บินอัสสาล ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) เคยใช้พวกเรา ขณะที่พวกเราอยู่ในสภาพของคนเดินทาง ให้พวกเราเช็ดรองเท้า (แทนการล้างเท้าในการอาบนํ้าละหมาด) โดยไม่ให้ถอดออกเป็นเวลาสามวัน แม้ว่า (ในระหว่างนั้น) จะมีการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ และนอนหลับ (ก็ตาม) เว้นแต่มีญูนุบ (หรือเรียกรวมๆว่า “ญะนาบะห์”) (มีมลทินด้วยการหลั่งอสุจิหรือร่วมประเวณี จึงจะใช้ให้ถอดออก) 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

บทที่หก 60

การอาบน้ำชำระทั่วทั้งร่างกาย มีสามตอน

ตอนที่หนึ่ง

สาเหตุที่ทำให้จำเป็น (วาญิบ) ต้องอาบน้ำชำระทั่วทั้งร่างกาย

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “ถ้าแม้ว่าพวกท่านมีมลทิน[220] ก็จงทำให้สะอาดเสียก่อน[221] “ และพระองค์ได้กล่าวอีกว่า “และไม่อนุญาตให้ผู้มีมลทิน[222] นอกจากผู้เดินผ่านเข้าไปในมัสญิดโดยไม่เดินย้อนกลับออกมา จนกว่าพวกท่านจะชำระร่างกายเสียก่อน 

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อเขา (ผู้ชายคนหนึ่ง) ได้ เข้านั่งระหว่างสองมือสองขาของหล่อน หลังจากนั้นเขาได้ออกแรง (ร่วมประเวณี) ดังนั้นจำเป็นต้องอาบนํ้าชำระ (มลทิน เรียกว่าหะดัษใหญ่) และในบางรายงานว่า ถึงแม้อสุจิจะไม่หลั่งออกก็ตาม และอีกรายงาน หนึ่งว่า และรอยตัด(ของอวัยวะเพศชาย) ได้สัมผัสกับรอยตัด (ของอวัยวะเพศหญิง)[223] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ความจริงได้มีชายคนหนึ่งเรียนถามท่านนบี ซ.ล.   ถึงเรี่องของผู้ชายคนหนึ่ง ได้ร่วมประเวณีกับภรรยาของเขาโดยนำอสุจิไม่หลั่ง เขาทั้งสอง (สามีภรรยาคู่นั้น) จำเป็น (วาญิบ) ต้องอาบนํ้าชำระหรือไม่ โดยมีท่านหญิงอาอิชะห์นั่งอยู่ด้วย ดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้าได้กระทำอย่างนั้นกับคนนี้ แล้วเราก็อาบน้ำกัน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า เมื่ฮุรอยตัด (อวัยวะเพศของฝ่ายชาย) เลยผ่านรอยตัด (อวัยวะเพศของฝ่ายหญิง) เข้าไป ดังนั้นจำเป็นต้องอาบน้ำ ข้าพเจ้า (อาอิชะห์) ได้ ทำอย่างนั้นกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้วเราก็ได้อาบนํ้ากัน 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอุบัยย์ บินกะอ์บิได้กล่าวว่า ความจริงคำอธิบายที่พวกเขา (เหล่าอัครสาวก)เคยให้การอธิบายคือ แท้จริงการอาบนํ้า เนื่องจากนำอสุจิ เคยเป็นข้อผ่อนผันที่ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ผ่อนผันให้ในยุคต้นของอิสลาม หลังจากนั้นท่านได้ใช้ให้อาบนํ้า[224] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอุมมุซาลามะห์ ได้กล่าวว่า อุมมุสุลัยม์ (มารตาของอะนัส บินมาลิก) ได้มาหา ท่านนบี ซ.ล.   แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริงอัลลอฮ์ไม่อายที่จะพูดความจริง ผู้หญิงจำเป็นต้องอาบน้ำหรือไม่เมื่อหล่อนฝัน[225] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า จำเป็นต้องอาบเมื่อหล่อนเห็นนำ[226] อุมมชาถามะห์ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ผู้หญิงมี ฝันเปียกด้วยหรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า นี้เธอ แล้วอะไรเล่าทำให้ลูกของหล่อนเหมือนกันกับหล่อน[227] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และมุสลิมได้รายงานเพิ่มเติมว่า แท้จริงนํ้าอสุจิของผู้ชายนั้นขุ่นข้นมีสีขาว ส่วนนำอสุจิของผู้หญิง(ทางวิทยาศาสตร์ไม่มี มีแต่น้ำหล่อลื่น) นั้นมีสีเหลือง นํ้า (อสุจิ) ของใครอยู่ข้างบนหรือหลั่งหลัง บินที่เกิดมาจะเหมือนเขา และมีรายงานของมุสลิมอีกว่า  เมื่อนำ (อสุจิ) ของหล่อนอยู่บนนำผู้ชาย (หลั่งหลังผู้ชาย)เด็กที่จะเกิดมาจะเหมือนกับญาติทางฝ่ายภรรยา และเมื่อนํ้าผู้ชายอยู่บน นํ้าผู้หญิง เด็กที่เกิดขึ้นมาจะเหมือนกับญาติฝ่ายสามี และในบางรายงานว่า เมื่อสองสามีภรรยาได้ร่วมประเวณีกัน แล้วปรากฏว่านำอสุจิของฝ่ายชายอยู่ข้างบน นำอสุจิของฝ่ายหญิงเด็กที่เกิดมาจะเป็นผู้ชาย ด้วยการยินยอมของอัลลอฮ์แต่เมื่อนํ้าอสุจิของฝ่ายหญิงอยู่ข้างบนนำอสุจิของฝ่ายชาย เด็กที่เกิดมา จะเป็นผู้หญิง ด้วยการยินยอมของอัลลอฮ์

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  มีผู้ถามท่านนบี ซ.ล.   ถึงเรื่องชายคนหนึ่งที่พบรอยเปียก[228]แต่นึกไม่ออกว่าเขาฝัน ท่านนบีตอบว่า  เขาต้องอาบนํ้าชำระมลทินหะดัษใหญ่ และถามถึงชาย อีกคนหนึ่งที่รู้ตัวว่าเขาฝันแต่ไม่พบรอยเปียก ท่านนบีตอบว่า  เขาไม่ต้องอาบน้ำ ดังนั้นอุมมุสุลัยม์ ได้ถามขึ้นว่า  ผู้หญิงที่พบอย่างนั้น[229] หล่อนต้องอาบนํ้าชำระหรือไม่ ท่านนบีตอบว่า ใช่ ต้องอาบนํ้าชำระ เพราะความจริงผู้หญิงก็เหมือนกับผู้ชาย[230] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี 

และเล่าจากเขา (ท่านหญิงอาอิชะห์) ว่า  แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   ได้เคยอาบน้ำเนื่องจาก เหตุสี่ประการ คือ เนื่องจากมีมลทิน (ญูนุบ) (หรือเรียกรวมๆว่า “ญะนาบะห์”)[231] อาบน้ำเพื่อไปวันศุกร์ อาบนํ้าเนื่องจากกรอกเลือด อาบน้ำเนื่องจากได้ไปอาบน้ำคนตาย 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากกอยส์ บินอาชิมว่า ตัวเขาเองได้เข้านับถือศาสนาอิสลาม แล้วท่านนบี ซ.ล.   ได้ใช้เขาให้อาบน้ำด้วยน้ำผสมใบพุที่รา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่สอง 62

ระเบียบในการอาบนํ้า และข้อกำหนดของการอาบนํ้าในห้องนํ้าสาธารณะ 

เล่าจากอุมมุฮานี้อ์ บุตรสาว อะบีตอลิบ กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในปีที่เข้ายึดมักกะห์ ข้าพเจ้าได้พบท่านกำลังอาบนํ้า โดยมีท่านหญิงฟาติมะห์ เอาผ้ากั้นไว้ ท่านได้ถามว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าคือ อุมมุ ฮานิอ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงมัยมูนะห์ ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้ตักนำ แล้วนำมาตั้งไว้ให้ท่านนบี ซ.ล.   และข้าพเจ้าได้ (เอาผ้ามา) กั้น ต่อจากนั้นท่านนบีได้อาบน้ำ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าและท่านนบี ซ.ล.   ได้เคยอาบน้ำจากภาชนะเดียวกัน[232] และในบางรายงานว่า จากภาชนะใส่นำที่เรียกว่า “ฟะรอก (الفَرَقُ)” โดยที่มีอของ เราทั้งสองสวนกันในภาชนะนั้นและในบางรายงานมีเพิ่มเติมว่า  เนื่องจากมีมลทิน (ญูนุบ) (หรือเรียกรวมๆว่า “ญะนาบะห์”)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะบีสะอีด จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า ผู้ชายจะต้องไม่มองอวัยวะที่ต้องสงวนของผู้ชาย และผู้หญิงจะต้องไม่มองอวัยวะที่ต้องสงวนของผู้หญิง และผู้ชายจะต้องไม่เบียดร่างกับผู้ชายอยู่ในผ้าผืนเดียวกัน และผู้หญิงก็จะต้องไม่เบียดร่างกับผู้หญิงอยู่ในผ้าผืนเดียวกัน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากบะห์ซิ บินหะกัม จากบิดาของเขา จากปู่ของเขา ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าว ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ อวัยวะที่พึ่งสงวนของเรานั้นมีมาก มีที่ใดบ้างที่เราต้องปกปิดอย่าง มิดชิด และมีที่ใดบ้างที่เราไม่ต้องปกปิด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตอบว่า จงรักษาอวัยวะที่ต้อง สงวนของท่าน (ให้พ้นจากสายตาทุกคน) นอกจากภรรยาของท่าน หรือบุคคลที่มีอขวาของท่านปกครอง อยู่ คือทาส ข้าพเจ้าได้กล่าวอีกว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์เมื่อได้ปะปนกันเล่า ท่านได้ ตอบว่า ถ้าหากท่านมีความสามารถที่จะไม่ให้ใครแลเห็นมัน (อวัยวะที่พึงสงวน) อย่างจริงจัง แล้วก็อย่าให้ใครได้แลเห็นมันเลย ข้าพเจ้าได้กล่าวอีกว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์เมื่อใครคนหนึ่งอยู่ตามลำพังเล่า  ท่านได้ตอบว่า  ควรจะอายอัลลอฮ์ยิ่งกว่าอายมนุษย์ด้วยกัน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอีแต่ตัวบทเป็นรายงานของบุคอรี

เล่าจากยัรฮัด ซึ่งเป็นคนหนึ่งจากพวกที่อาศัยอยู่ตามมัสญิดได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้นั่งอยู่กับพวกเรา โดยที่ขาอ่อนของข้าพเจ้าเปลือยอยู่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ท่านไม่ทราบหรือว่า ขาอ่อนนั้นเป็นอวัยวะที่พึงสงวน (เป็นเอาร็อต)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากยะอ์ลาว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้แลเห็นชายคนหนึ่งอาบนํ้าอยู่กลางทุ่ง โดยไม่มีสิ่งใดปิดร่างกาย ต่อมาท่านได้ขึ้นบนแท่นธรรมเทศนา (มิมบัร) แล้วได้ กล่าวคำสรรเสริญอัลลอฮ์ และกล่าวคำยกยอเกียรติพระองค์ หลังจากนั้นได้กล่าววา ความจริงอัลลอฮ์ขี้อาย[233] และชอบปกปิด[234] พระองค์จึงรักความอายและการปกปิด ดังนั้นเมื่อใครคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกท่านได้อาบนํ้าให้เขาจงปกปิด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ห้ามทุกคน เข้าห้องนำสาธารณะ[235]แต่ภายหลังได้ยอมผ่อนผันให้แก่พวกผู้ชายที่มีผ้านุ่งที่ปกปิดย่างมิดชิด

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าววา ไม่มีผู้หญิงคนใดที่เปลื้องผ้าในบ้านคนอื่น เว้นแต่หล่อนได้ทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับอัลลอฮ์เสียแล้ว 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมรุ ว่าความจริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริง พื้นแผ่นดินของชนต่างชาติ (ที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ) จะตกเป็นของพวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะพบ ว่าในบ้านเมืองของคนเหล่านั้น มีโรงเรือนที่เรียกว่า โรงอาบน้ำ (ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของโรมัน) ดังนั้นพวกผู้ชายจงอย่าเข้าไป นอกจากจะต้องมีผ้านุ่ง และท่านทั้งหลายจงห้ามพวกผู้หญิงเข้าไป นอกจากผู้หญิงที่ป่วย หรือมีนํ้าคาวปลา (นี้ฟาส - نِفَاسٌ - هلابة)[236] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

ตอนที่สาม

อธิบายวิธีการอาบน้ำชำระและข้อกำหนดของคนมีมลทิน (ญูนุบหรือ”ญะนาบะห์)

เล่าจากท่านหญิงมัยมุนะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งนํ้าไว้ให้ท่านนบี ซ.ล.   เพื่อใช้อาบ ต่อมาท่านนบี ซ.ล.   ได้ล้างมือสองหรือสามครั้ง หลังจากนั้นได้เทน้ำรดทางด้านซีกข้างซ้ายของร่างกาย แล้วได้ล้างอวัยวะเพศ (พร้อมด้วยบริเวณโดยรอบ) หลังจากนั้นได้ถูมือกับพื้น[237] ต่อจากนั้น ได้บ้วนปาก สูดนำเข้าจมูกแล้วสั่งออก เสร็จแล้วได้ล้างหน้า และมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นได้เทนำรดจนทั่วร่างกาย ภายหลังได้หันออกจากที่เดิม แล้วล้างเท้าทั้งสองข้าง และในบางราย งานว่า หลังจากนั้นท่านได้รดนํ้าที่ศีรษะสามครั้ง[238] และในบางรายงานว่า ข้าพเจ้า (มัยมูนะห์) ได้หาผ้าฝืนหนึ่ง มาให้ท่านนบีแต่ท่านไม่ต้องการมัน ท่านจึงได้ใช้มือสะบัดนํ้า (ออกจาก ร่างกาย)

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ปรากฏท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อาบน้ำเนื่องจาก มีมลทิน (ญูนุบ) จะเริ่มต้นด้วยการล้างมือทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจะเทน้ำรดซีกข้างซ้ายของร่างกาย ด้วยมือขวา เสร็จแล้วชำระล้างอวัยวะเพศของท่าน ต่อจากนั้นจะอาบนํ้าละหมาดเหมือนอาบนํ้า ละหมาดเพื่อทำละหมาด หลังจากนั้น จะวักนำขึ้นมาแล้วเอานิ้วสอดเข้าไปที่โคนผม[239] จนแน่ใจว่า ทั่วถึงแล้ว[240] จึงจะวักนํ้าใส่ศีรษะสามวัก ต่อจากนั้นจึงจะเอานํ้าเทราดร่างกายจนทั่วถึง เสร็จแล้วได้ล้างเท้าทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุมมุซาลามะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ความจริง ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงที่มีผมบิดเป็นเกลียวอย่างเหนียวแน่น ข้าพเจ้าจะต้องแก้มันออกหรือไม่ เพื่ออาบนํ้าชำระมลทิน (ญูนุบ) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า ไม่ต้องแก้มันออกหรอก ความจริงพอเพียงแล้วที่เธอจะวักนำใส่ศีรษะด้วยมือสองข้างสามวัก หลังจากนั้นให้เธอรดนํ้าบนร่างของเธอ ให้ทั่วถึง ก็นับว่าเป็นผู้สะอาด (หมดมลทิน) แล้ว 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ความจริงปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  รักการเริ่มค้นด้วยข้างขวาก่อนในการทำความสะอาด ขณะเมื่อท่านได้ทำความสะอาด และในการหวีผมเมื่อท่านได้หวีผม และในการสวมรองเท้า เมื่อท่านได้สวมรองเท้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงภายได้ขนทุกเส้นนั้นมีมลทิน ดังนั้นท่านทั้งหลายจงล้างขนทุกเส้น และจงทำความสะอาดผิวหนังให้ทั่วถึง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และในบางรายงานว่า ผู้ใดได้ละเลยรอยขนาดเส้นผม เนื่องจากมีมลทิน(ญูนุบ) โดยที่ เขาไม่ได้ล้างมันให้ทั่วถึง เขาจะต้องถูกกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ในขุมนรกท่านอะลีได้กล่าวว่า เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเป็นศัตรูกับศีรษะของข้าพเจ้า (ได้กล่าวอย่างนี้) สามครั้ง และปรากฏ ว่าอะลีได้ตัดผมของเขาออก

และท่านอิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า ได้เคยปรากฏว่าละหมาดนั้นมีห้าสิบเวลา การอาบน้ำเพราะมีมลทิน (ญูนุบ) ต้องอาบเจ็ดครั้ง การล้างปัสสาวะที่เปื้อนเสื้อผ้าต้องล้างเจ็ดครั้ง ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ขอลดอยู่หลายครั้ง จนกระทั้งละหมาดเหลือห้าเวลา การอาบน้ำเพราะมีมลทน (ญูนุบ) เหลือหนึ่งครั้ง และการล้างปัสสาวะที่เปื้อนเสื้อผ้าเหลือหนึ่งครั้ง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้พบกับข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ตามทางเดินของนครมะดีนะห์ ในสภาพที่ข้าพเจ้ามีมลทิน (ญูนุบ) ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเลี่ยงไปเสีย และในบางรายงานว่า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเดินช้าๆ อยู่ข้างหลังโดยไม่ให้ท่านนบีรู้ หลังจากนั้นข้าพเจ้า ได้ไปอาบนํ้าชำระมลทิน เสร็จแล้วข้าพเจ้าจึงได้มา (พบกับท่านนบี) ท่านได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านไปอยู่ที่ไหน โอ้อะบูฮุรอยเราะห์ ข้าพเจ้าตอบว่า ความจริงข้าพเจ้ามีมลทิน (ญูนุบ) ข้าพเจ้าไม่ปรารถนานั่งร่วมวงกับท่านในสภาพที่(ข้าพเจ้า) ไม่สะอาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้อุทานว่า  ซุบฮานัลลอฮ์ (อนิจจา) ความจริงร่างของมุสลิมนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งโสโครก (นะยิส)

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อมีมลทิน (ญูนุบ) แล้ว ต้องการจะกินหรือนอน ท่านจะอาบนํ้าละหมาดเสียก่อนเหมือนการอาบนํ้าละหมาดเพื่อทำละหมาด 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยทำอย่างไรในขณะมีมลทิน (ญูนุบ) ท่านเคยอาบนํ้าชำระมลทินก่อนนอน หรือนอนก่อนอาบนํ้า ข้าพเจ้าตอบว่า ทั้งหมดนั้นท่านได้เคยกระทำทั้งสิ้น บางครั้งท่านได้อาบนํ้าชำระมลทินแล้วนอน และบางครั้งท่านได้อาบนํ้าละหมาดแล้วนอน ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า อัลฮัมดุลิลลาฮิ (มวลการสรรเสริญถวาย แด่อัลลอฮ์) ผู้ซึ่งประทานความสะดวกในเรื่องนี้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัสว่า ความจริงท่านนบี ซ.ล.   เคยหมุนเวียนไปตามภรรยาของท่านทุกคน ภายในคืนเดียว ( และในขณะนั้นท่านมีภรรยาอยู่เก้าคน และในบางรายงานว่า ท่านได้เคยหมุนเวียนไปตามภรรยาของท่านทุกคน ด้วยการอาบน้ำชำระเพียงครั้งเดียว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีสะอีด จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ได้มาสู่ภรรยาของเขา แล้วเขาต้องการซ้ำ(ร่วมประเวณีกับคนใหม่)อีกครั้งหนึ่ง ให้เขาจงอาบนํ้าละหมาดคั่นระหว่าง การร่วมประเวณีทั้งสองครั้งนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี รอเฟียะอ์ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้หมุนเวียนไปตามภรรยาของท่าน ทุกคนโดยอาบนํ้าชำระมลทินที่คนนี้และที่คนโน้น เขา (อะบู รอเฟียะอ์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ได้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านได้รวมการอาบน้ำชำระมลทิน เพียงครั้งเดียวใช่ไหม ท่านตอบว่า เท่านี้ก็เป็นความกระชุ่มกระชวย (แก่ร่างกาย) เป็นความ เกลี้ยงเกลา และเป็นความสะอาดแล้ว 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะลีได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  มิกจะอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน ให้พวกเราฟังทุกเมื่อตราบใดที่ท่านไม่มีมลทิน (ญูนุบ) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทที่เจ็ด 67

เลือดประจำเดือน (حَيْضَ) เลือดนี้ฟาส (نِفَاسُ - น้ำคาวปลา) และเลือดเสีย

มีสามตอน

ตอนที่หนึ่ง

การอยู่ร่วมปะปนกับพวกหล่อน[241]

เล่าจากอะนัสว่า ความจริงปรากฏว่าชาวยิวนั้น เมื่อผู้หญิงมีเลือดประจำเดือนอยู่ในหมู่พวกเขา พวกเขาจะไม่ยอมร่วมกินด้วยกับหล่อน และจะไม่ยอมอยู่ร่วมกับพวกหล่อนภายในบ้าน[242] ดังนั้นบรรดาอัครสาวกจึงได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล.   ถึงเรื่องนี้ อัลลอฮ์จึงได้ประทาน โองการลงมาว่า “โอ้มุฮัมมัด พวกเขาจะถามท่านถึงเลือดประจำเดือน ท่านจงตอบพวกเขาว่า มินเป็นพิษภัย[243] ดังนั้นท่านทั้งหลายจงปลีกตัวจากพวกผู้หญิงในขณะมีเลือดประจำเดือน และอย่าเข้าใกล้พวกหล่อน จนกว่าพวกหล่อนจะได้ทำความละอาด (ด้วยการอาบน้ำชำระ) ดังนั้นเมื่อ พวกหล่อนได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ท่านทั้งหลายจงสมสู่กับหล่อนจากทางที่อัลลอฮ์มีบัญชาแก่พวกท่าน” ดังนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงกระทำ (กับผู้หญิงที่มีเลือดดังกล่าวได้) ทุกอย่าง นอกจากการสมสู่เท่านั้น คำพูดของท่านเราะซูลุลลอฮ์นี้ได้ล่วงรู้ ไปถึงพวกยิว พวกเขาจึงกล่าวขึ้นว่า ชายผู้นี้ไม่ต้องการจะละเลยเรื่องใด ที่เกี่ยวข้องกับพวกเรา นอกจากเขาจะต้องขัดแย้งกับพวกเราในเรื่องนั้นๆ ต่อจากนั้นท่านอุสัยดิ บินฮุดอยร์ และอับบาด บินบิชริ ได้มาและกล่าวว่า โอ้ท่านรอชุลุลเลาะห์ ความจริงพวกชาวยิวได้พูดอย่างนั้นอย่างนี้ พวกเราจะไม่สมสู่กับพวกผู้หญิง (ในขณะที่มีเลือดดังกล่าว) ใช่ไหม ใบหน้าของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เปลี่ยนสี่จนพวกเราคิดว่า ท่านต้องโกรธเคืองเราอย่างแน่นอน หลังจากนั้นเขา ทั้งสองได้กลับออกไป ถัดจากนั้นของกำนัล (ฮะดียะห์) ที่เป็นนมเปรี้ยว (لَبَنٍ) ซึ่งมีผู้นำมามอบ) แก่ท่านรอชุลุลเลาะห์ ซ.ล.  ได้นำผ่านหน้าบุคคลทั้งสองเข้ามา ท่านจึงได้ส่งคนติดตามบุคคล ทั้งสองไป (เพื่อเรียกตัวกลับมา) แล้วท่านก็ได้เลี้ยงนมเปรี้ยวนั้นแก่คนทั้งสอง เขาทั้งสองจึงคิดว่าท่านมิได้โกรธเคือง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าและท่านนบี ซ.ล.   ได้เคยอาบนํ้าร่วนกัน จากภาชนะเดียวกัน โดยที่เราทั้งสองมีมลทิน (ญูนุบ) และปรากฏว่าท่านนบีได้ใช้ข้าพเจ้าให้นุ่งผ้า แล้วท่านได้และต้องตัวข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้ามีเลือดประจำเดือน และปรากฏว่าท่านเคยยื่นหัวของท่านมายังข้าพเจ้า ขณะที่ท่านนำการเอียะติกาฟ (อยู่ในมัสญิด) แล้วข้าพเจ้าได้ล้างศีรษะให้ท่าน โดยที่ตัวของข้าพเจ้าเองมีเลือดประจำเดือน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงมัยมูนะห์ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยแตะต้องภรรยาของท่านบนผ้านุ่ง ในสภาพที่พวกหล่อนมีเลือดประจำเตือน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อาอิซะห์) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยนอนอยู่กับข้าพเจ้า ในขณะที่ข้าพเจ้ามีเลือดประจำเดือน โดยมีผ้ากั้นระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และท่านหญิงอาอิซะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าและท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยนอนอยู่ ในผ้าผืนเดียวกัน ในขณะที่ข้าพเจ้ามีเลือดประจำเดือนไหลออกมาแต่ถ้าหากว่ามีเลือดจากข้าพเจ้า ไปถูกผ้าท่าน ท่านจะล้างผ้าเฉพาะรอยที่เปื้อนเลือด โดยจะไม่ล้างเกินกว่านั้น หลังจากนั้นท่านได้ ใช้ผ้าผืนนั้นนุ่งละหมาด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์)ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า เธอจงหยิบผ้าปูละหมาดจากในมัสญิดมาให้ข้าพเจ้า(นบี)ด้วย ข้าพเจ้า(อาอิชะห์)จึงกล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้ามีเลือดประจำเดือน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า แท้จริงเลือดประจำเตือนของเธอนั้น ไม่ได้อยู่ที่มีอของเธอ[244] ข้าพเจ้าจึงได้หยิบมันมา 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุมมุ อะตียะห์ ในขณะที่ได้ให้คำมั่นสัญญาแก่ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า พวกเราไม่เคยนับเลือดสี่ขุ่น และสี่เหลือง หลังจากหมดประจำเดือนแล้ว ว่าเป็นเลือดประจำเดือน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี

เครื่องถ่ายบาปจากการร่วมประเวณีกับภรรยา ขณะมีเลือดประจำเดือน 68

เล่าจากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.   ในบุคคลผู้หนึ่งซึ่งได้สมสู่กับภรรยาของเขาในขณะมีเลือดประจำเดือน ท่านได้กล่าวว่า ให้เขาบริจาคหนึ่งเหรียญทองคำหรือครึ่งเหรียญ[245] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตามรายงานของอะบูดาวูดว่า เมื่อเขาได้ร่วมกับภรรยาของเขาในตอนเริ่มมีเลือดประจำเตือน ให้เขาบริจาคหนึ่งเหรียญที่อง และเมื่อเขาได้ร่วมกับภรรยาของเขาในตอนหมดประจำเดือน (ก่อนที่จะได้อาบน้ำชำระ ยกหะดัษใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างว่าอาบน้ำญะนาบะห์) ให้เขาบริจาคครึ่งเหรียญที่อง

เล่าจากอะบูฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้สมสู่กับหญิงขณะมีเลือดประจำเตือน หรือสมสู่กับหญิงทางทวารหนัก หรือได้ไปหาโหรทำนาย (และเชื่อตามคำทำนาย) เท่ากับผู้นั้นได้ทรยศต่อสิ่งที่ถูกประทานแก่มุฮัมมัด ซ.ล. [246] 

รายงานโดย ติรมิซี

ตอนที่สอง 69

การอาบน้ำชำระของผู้หญิงหลังจากเลือดหยุด และข้อกำหนดของผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือน และนำคาวปลา (นี้ฟาส)

เล่าจากท่านหญิงอาอิซะห์ว่า แท้จริงอัสมาอฺได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล.   ถึงการอาบน้ำ ชำระหลังเลือดประจำเตือนหยุด ท่านได้ตอบว่า ให้พวกเธอคนหนึ่งนำน้ำและใบพุทรามา แล้วจัดการอาบน้ำชำระอย่างดี ต่อจากนั้นให้รดศีรษะด้วยน้ำนั้น และถูอย่างแรงจนทั่วถึงโคนผม เสร็จแล้วให้รดน้ำจนทั่วทั้งร่างกาย หลังจากนั้นจึงเอาสำลีที่อบกลิ่นชะมดเชียงมาทำความสะอาดด้วยการอุดช่องคลอด หลังจากนั้นอัสมาอุได้กล่าวขึ้นว่า หล่อนจะใช้มันทำความละอาดอย่างไร ท่านนบี ได้กล่าวว่า ซุบฮานัลลอฮ์ (อนิจจา) ให้เธอใช้มันในการทำความละอาดนะสิ ดังนั้นท่านหญิงอาอิชะห์จึงได้กล่าวว่า ให้เธอใช้มันติดตามรอยเลือด (คือใช้มันอุดไว้ที่ช่องคลอด) และในบางรายงานว่า  ท่านนบีได้กล่าวว่า ให้เธอเอาสำลีอบกลิ่นชะมดเชียง (อุดไว้ที่ช่องคลอด) แล้วต่อจากนั้นให้เธออาบน้ำละหมาด โดยมีสำลี(อุดอยู่ที่ช่องคลอดนั้น) ท่านได้กล่าวอย่างนี้ สามครั้ง และท่านนบีเกิดความกระดากอายจึงเบือนหน้าหนี ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า สุภาพสตรีที่ดีที่สุดคือ สุภาพสตรีชาวอันศอร แท้จริงความอายไม่สามารถกับยั้งพวกหล่อน จากการแสวงหาความเข้าใจเรื่องศาสนาได้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

ได้มีพวกผู้หญิงส่งภาชนะเล็ก ๆ ใบหนึ่งที่ใช้รองอุจจาระไปให้ท่านหญิงอาอิชะห์ โดยที่ในภาชนะนั้นบรรจุสำลีเปื้อนเลือดสีเหลือง ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า พวกเธออย่าเพิ่งรีบด่วนจนกว่าจะกว่าจะเห็นน้ำขาวๆ  ไหลออกมา[247] ท่านหญิงอาอิชะห์หมายถึงเลือดประจำเดือน หยุดอย่างสมบูรณ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมาลิก

เล่าจากมุอาซะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านหญิงอาอิชะห์โดยกล่าวว่า เป็นเพราะเหตุใดผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือน จึงต้องชดใช้การถือศีลอด (เราะมะฎอนที่ขาดไปในขณะมีเลือดประจำเดือน)แต่ไม่ต้องชดใช้ละหมาด (ฟัรฎูที่ขาดไปขณะมีเลือดประจำเดือน) ท่านหญิง อาอิชะห์ได้ถามว่า เธอเป็นพวก“ฮะรูรียะห์”[248] หรือข้าพเจ้า(มุอาซะห์)ตอบว่า เปล่า ข้าพเจ้ามิใช่พวก ฮะรูรียะห์แต่ข้าพเจ้าต้องการจะถามดู ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ก็เพราะว่าแต่ก่อนพวกเรา เคยมีเลือดประจำเดือน แล้วพวกเราก็ถูกบัญชาให้ชดใช้การถือศีลอด (ที่ขาดไประหว่างมีเลือดประจำเดือน)[249]แต่พวกเราไม่เคยถูกบัญชาให้ชดใช้ละหมาด (ที่ขาดไปขณะมีเลือดประจำเดือน)[250] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุมมุ ซาลามะห์ ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าพวกผู้หญิงที่คลอดบินในสมัย ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จะต้องอยู่เฉยๆ เป็นเวลาสี่สิบวัน และพวกเราเคยชโลมหน้าของพวกเรา ด้วยต้นไม้ชนิดหนึ่ง[251] เนื่องจากเป็นสิวฝ้า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อุมมุ ซาลามะห์ ) ว่า ได้ปรากฏมีภรรยาคนหนึ่งจากบรรดาภรรยาของท่าน นบี ซ.ล.   อยู่เฉยๆ[252] ในขณะที่มีน้ำคาวปลา (นิฟาส) เป็นเวลา 40 วัน[253] โดยท่านนบี ซ.ล.   ไม่ได้ใช้ให้หล่อนชดใช้ละหมาดที่ขาดไปในระหว่างที่มีนํ้าคาวปลา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด 

เล่าจากอิบนุ อุมัร จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่ยอมให้ผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือน และผู้ที่มีมลทิน (เนื่องจากร่วมประเวณีหรือหลั่งอสุจิ) อ่านสิ่งใดๆ จากคัมภีร์อัลกุรอาน[254] 

รายงานหะดีษโดย และติรมิซี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า จงหัน (ประตู) บ้านเหล่านี้ให้พ้นจากมัสญิด[255] เพราะแท้จริงข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงที่มีเลือดประจำเดือน และผู้ที่มีมลทิน (เนื่องจากร่วมประเวณีหรือหลั่งอสุจิ) เข้าไปหยุดอยู่ในมัสญิด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

ตอนที่สาม 71

ข้อกำหนดของผู้หญิงที่มีเลือดเสีย ให้พิจารณาตามประเพณีที่เคยมีมา หรือให้ถือว่า เลือดที่ไหลแรงเป็นเลือดประจำเดือน

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ว่า ฟาติมะห์บุตรสาวของอะบี อุบัยซ์ ได้เรียนถามท่านนบี ซ.ล.   ว่า แท้จริงข้าพเจ้ามีเลือดประจำเดือนออกมาแต่ไหลไม่หยุด ข้าพเจ้าจะต้องทิ้งละหมาดหรือ ท่านนบีตอบว่า ไม่ต้องทิ้ง เพราะนี่มันเป็นเลือดที่ออกมาจากเส้นโลหิต ไม่ใช่เป็นเลือดประจำเดือน หลังจากนั้นให้เธอจงอาบนํ้าชำระแล้วจงละหมาด และในบางรายงานว่า เมื่อมีเลือดประจำเดือน มาให้เธอจงทิ้งละหมาด และเมื่อหมดประจำเดือนให้เธอจงอาบน้ำชำระจากเลือดประจำเดือนนั้น แล้วเธอจงละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และติรมิซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า และเธอจงอาบนํ้าละหมาดสำหรับการละหมาดทุกครั้ง จนกว่าจะถึงกำหนดมีเลือดประจำเดือนมา และตามรายงานของอะบูดาวูดว่า ให้หล่อนจงพิจารณา ดูจำนวนวันและคืนที่หล่อนเคยมีเลือดประจำเดือนจากเดือนก่อนนั้น ก่อนหน้าที่จะมีเหตุดังกล่าว(คือเลือดออกไม่หยุดจากช่องคลอด) เกิดขึ้นกับตัวหล่อน ดังนั้นให้หล่อนทิ้งละหมาดเท่ากับ จำนวนวันและคืนที่หล่อนเคยมีเลือดประจำเดือนจากเดือนก่อนนั้น หลังจากนั้นให้หล่อนอาบน้ำ ชำระร่างกายจนทั่ว แล้วให้ใช้ผ้าอุดช่องคลอด หลังจากนั้นให้หล่อและหมาด

เล่าจากฟาติมะห์ บุตรสาว อะบี อุบัยซ์ ว่า หล่อนได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ความจริงข้าพเจ้ามีเลือดประจำเดือน ท่านได้กล่าวแก่หล่อนว่า เมื่อมันเป็นเลือดประจำเดือนมินจะต้องเป็นเลือดสี่ดำที่สามารถรู้จักได้ เมื่อมันเป็นอย่างนั้นให้เธอหยุดละหมาด และถ้ามันเป็นอย่างอื่น ให้เธอจงอาบน้ำละหมาดและจงละหมาด เพราะความจริงมันเป็นเลือดที่ออกจากเส้นเลือด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ปล่อยให้มีประจำเดือน 6 หรือ 7 วัน หรือละหมาด 2 เวลารวมกัน หลังจากอาบน้ำ 72

เล่าจากอัมนะห์ บินติ[256] ยะห์ชิ ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าได้ไปหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริงข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเลือดประจำเดือนออกมากเหลือเกิน ท่านจะเห็นเป็นอย่างไร แท้จริงมัน (เลือดประจำเดือน) ได้ห้ามข้าพเจ้าไม่ให้ละหมาดและถือศีลอด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าแนะนำให้เธอใช้สำลีเพราะมันซับเลือดได้ หล่อนได้กล่าวว่ามินมากเกินกว่า (จะใช้สำลี) นั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า  ถ้าอย่างนั้นให้เธอ ใช้ผ้าผืนใหญ่ซับ หล่อนได้กล่าวว่ามันมากเกินกว่า (จะใช้ผ้าซับ) นั้น แท้จริงมันไหลทะลักออกมา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะใช้เธอด้วยงานสองชิ้น เธอทำชิ้นใดชิ้นหนึ่งก็พอแล้ว อีกชิ้นหนึ่งไม่ต้องทำ และถ้าหากเธอสามารถที่จะทำมันทั้งสองชิ้นเธอก็เป็นผู้รู้ดี แท้จริง สิ่งนี้มันเป็นการตี ของมารร้ายชัยฏอน ดังนั้นเธอจงปล่อยให้มีประจำเดือนเสียหกหรือเจ็ดวัน ให้ตรงกับสิ่งที่อยู่ในความล่วงรู้ของอัลลอฮ์ (ซึ่งการกล่าวถึงอัลลอฮ์เป็นสิ่งที่สูงส่ง) หลัง จากนั้นให้เธออาบนํ้าชำระ จนกระทั่งเธอพบว่าตัวเธอสะอาด และเธอได้ทำให้สะอาดอย่างดีที่สุด แล้วให้เธอละหมาดยี่สิบสาม หรือยี่สิบสี่คืนและวัน และให้เธอถือศีลอด เพราะแท้จริงระยะเวลาดังกล่าว(23-24วัน) เธอสามารถทำมันได้ และอย่างที่กล่าวนั้น(คือกำหนด ให้เป็นเวลามีประจำเดือน 6-7 วัน และเป็นเวลาที่ปลอดประจำเตือน 23-24 วัน) ให้เธอกระทำ ทุกเดือนเหมือนอย่างเหล่าผู้หญิงที่มีประจำเดือน และเหมือนกับเหล่าผู้หญิงที่ปลอดประจำเตือน ตามกำหนดมีประจำเดือน และปลอดประจำเดือนของพวกหล่อน และถ้าหากเธอสามารถ ที่จะชะลอละหมาดุหริ และรีบละหมาดอัสริ ก็ให้เธออาบน้ำชำระ และรวมทำละหมาดทั้งสอง เวลาคือ ดุหริและอัสริ และถ้าเธอสามารถจะชะลอละหมาดมักริบและรีบละหมาดอิชาอ์ จากนั้นเธอก็อาบนํ้าชำระ และรวมละหมาดทั้งสองเวลาให้เธอจงกระทำเถิด และให้เธอจงถือ ศีลอดเถิดถ้าหากเธอมีความสามารถจะทำอย่างนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า (ประการหลัง) นี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าพอใจมากกว่า(ประการแรก) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ผู้หญิงที่มีเลือดเสียทำการเอียะติกาฟและร่วมประเวณี 73

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ภรรยาคนหนึ่งของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ ทำการเอียะติกาฟพร้อมกับท่าน แล้วต่อมาหล่อนได้เห็นเลือดสี่เหลืองและสี่แดง และบางครั้ง พวกเราจะตั้งถาดขนาดใหญ่ไว้ให้หล่อนอยู่บนนั้นขณะทำละหมาด 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอิกริมะห์ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าอุมมุ ฮาบีบะห์ เคยมีเลือดเสียและปรากฏว่าสามี ของหล่อนได้ร่วมประเวณีกับหล่อน

และเล่าจากเขา (อิกริมะห์) ว่า อัมนะห์บุตรสาวของยะห์ซิ ได้เคยมีเลือดเสียและปรากฏ ว่าสามีของหล่อนได้ร่วมประเวณีกับหล่อน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด 

บทที่แปด 73

การตะยัมมุม

มีสามตอน และบทสุดท้าย

ตอนที่หนึ่ง

ที่มาของการตะยัมมุม

เล่าจากอาอีชะห์ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกเดินทางไปพร้อมกับเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในการเดินทางครั้งหนึ่ง จนกระทั่งพวกเราได้เดินทางไปถึงบัยดาอ์ (สถานที่แห่งหนึ่งใกล้นครมักกะห์) หรือไปถึงซาติลบัย (สถานที่หนึ่งตั้งอยู่ระหว่างมักกะห์และมะดีนะห์) สร้อยคอของ ข้าพเจ้าได้หายไป ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้สั่งพักเพื่อค้นหาผู้คนได้มาพักอยู่กับเขา (ท่านเราะซูลุลลอฮ์) และปรากฏว่าที่นั้นไม่มีนำ และนำที่สำรองไว้ ไม่มีอีกเช่นเดียวกัน ผู้คนจึงพากันไปหาอะบีบักร์ (บิดา ของข้าพเจ้า) พวกเขาได้กล่าวว่า ท่านไม่เห็นหรือว่าอาอิชะห์ทำอะไร หล่อนได้พักอยู่กับท่าน เราะซูลุลลอฮ์พร้อมด้วยผู้คนมากมาย โดยหาน้ำไม่ได้และไม่มีน้ำกักตุนไว้เลย ต่อมาอบูบักร์ ได้มาหา (ข้าพเจ้า) ในสภาพที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  นอนหลับโดยวางศีรษะอยู่กับขาอ่อน ของข้าพเจ้า เขา (อบูบักร์)ได้กล่าวว่า เธอได้ขังท่านเราะซูลุลลอฮ์และผู้คนเอาไว้ โดยพวกเรา หาน้ำไม่ได้และไม่มีน้ำอยู่เลย ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ท่านอบูบักร์ได้ติเตียนข้าพเจ้าและได้ ต่อว่าข้าพเจ้าอีกมากมาย และได้ตบตีสีข้างของข้าพเจ้าด้วยมือของเขา ด้วยความโกรธ (ที่ข้าพเจ้า เป็นต้นเหตุให้ผู้คนทั่งหลายได้รับความลำบากเพราะขาดน้ำ) ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้ เพราะท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ใช้ขาอ่อนของข้าพเจ้าต่างหมอนหนุน และปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้นอนหลับไปจนรุ่งเช้าโดยไม่มีน้ำ อัลลอฮ์จึงได้ประทานอัลกุรอานที่เกี่ยวกับการ ตะยัมมุมลงมาว่า ท่านทั่งหลายจงตะยัมมุมด้วยฝุ่นดินที่สะอาด

ท่านอุซัยด์ บินอุดัยร์ ซึ่งเป็นบุคคลชั้นหัวหน้าคนหนึ่งได้กล่าวว่า นี่ไม่ใช่เป็นคิริมงคล ที่เกิดขึ้นแก่พวกท่านเป็นครั้งแรกหรอก โอ้ครอบครัวของอบูบักร์

ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ต่อมาเราได้ให้กองคาราวานอูฐซึ่งมีข้าพเจ้าอยู่ด้วยลุกขึ้น เพื่อออกเดินทาง แล้วเราก็พบสร้อยคออยู่ใต้นั้นและเล่าจากท่านหญิงอาอีชะห์ว่า หล่อนได้ขอยืมสร้อยคอจากอัสมาอุ (พี่สาว) และมันได้หายไป ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ส่งสาวก ของท่านออกค้นหาจนเข้าเวลาละหมาด พวกเขา (พวกที่ค้นหา) ได้ละหมาดโดยไม่มีนํ้าละหมาด เมื่อพวกเขาได้กลับมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์และได้เรียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ทราบ อัลกุรอาน ที่เกี่ยวกับตะยัมมุมจึงได้ประทานลงมา ท่านอุซัยด์ บินอุดัยร์ ได้กล่าวว่า ขออัลลอฮ์จง ตอบแทนความดีให้เธอ สาบานต่ออัลลอฮ์ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นแก่เธอที่ทำให้เธอไม่พอใจนอกจาก อัลลอฮ์จะดลบันดาลให้สิ่งนั้นเป็นความดีแก่เธอ และมวลมุสลิม 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

ตอนที่ 2

สาเหตุการตะยัมมุม และการเช็ดเฝือก (หรือผ้าพันแผล)

เล่าจากอิมรอน บินอุซัยนี้ อัลคุซาวีย์ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เห็นชายคนหนึ่ง ปลีกตัวออกไปไม่ยอมละหมาดกับพรรคพวก ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า โอ้ชายผู้นี้ (กล่าวชื่อ) เพราะอะไร จึงไม่ละหมาดร่วมกับพรรคพวก ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์! ข้าพเจ้ามีมลทิน และไม่มีนํ้าชำระ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ให้ท่านได้ฝุ่นดิน(ทำตะยัมมุม)ที่สะอาด แท้จริงมัน ทำให้ท่านใช้ได้แล้ว (แทนนำละหมาด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ซัรริ จากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงฝุ่นดินที่สะอาดนั้น คือนํ้าที่ได้อาบนํ้าละหมาดของมุสลิม ถึงแม้เขาจะหานํ้าไม่ได้เป็นเวลา 10 ปีก็ตาม และเมื่อมีน้ำ (ให้ทำความสะอาดด้วยนํ้าเช่นเดิม) จงให้น้ำกระทบผิวหนังของเขา เพราะนั้นมันเป็นการดี

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอัมร์ บิน อัลอาส ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฝัน(เปียก)ในคืนหนึ่งซึ่งหนาวจัดในสงครามซาติสสลาสิล(ذَاتِ السَّلَاسِلِ – โซ่) และข้าพเจ้ากลัวว่าการอาบน้ำ(ญะนาบะห์หรือญูนุบ)ชำระจะเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้รับอันตราย ข้าพเจ้า จึงได้ตะยัมมุมแล้วละหมาดซุบฮิ พร้อมด้วยมิตรสหายของข้าพเจ้า ต่อมาพวกเขาได้เล่าเรื่องนี้ (เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า) ให้ท่านนบี ซ.ล.   ฟัง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า โอ้อัมร์ ท่านได้ละหมาดพร้อมกับมิตรสหายของท่านในสภาพที่ท่านมียูบุบอย่างนั้นหรือ ข้าพเจ้าได้เล่าให้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ฟังถึงสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่กล้าอาบน้ำ (แต่ทำตะยัมมุมแทน) โดยข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยิน (คำดำรัส) อัลลอฮ์(ซ.บ.[257]) ที่ว่า และท่านทั้งหลายอย่าฆ่าตัวเอง เพราะอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ทรงเมตตาต่อพวกท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์หัวเราะ และไม่กล่าวอะไรอีก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากญาบิรได้กล่าวว่า  พวกเราได้ออกเดินทาง และมีชายคนหนึ่งใดนหินหัวของเขาแตก ต่อมาเขาฝัน (เปียก) จึงได้ไปถามมิตรสหายของเขาโดยกล่าวว่า พวกท่านพบข้อผ่อนฝันให้ ข้าพเจ้าได้ทำตะยัมมุมหรือไม่ พวกเขากล่าวว่า เราไม่พบว่ามีข้อผ่อนผันให้แก่ท่าน เพราะท่าน สามารถจะใช้น้ำได้ เขาจึงอาบนํ้า และได้ตายไป (เนื่องจากนำเข้าสู่บาดแผลและลงสู่สมอง) เมื่อพวกเรากลับมาจากการเดินทาง และพบกับท่านนบี ซ.ล.   ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า พวกนั้นฆ่าเขา ขอให้อัลลอฮ์ที่จงฆ่าพวกนั้น ทำไมพวกเขาไม่ถามเมื่อไม่รู้ เพราะแท้จริงยาที่จะรักษาความไม่รู้คือการไต่ถาม 1. ความจริงเพียงแต่เขาจะตะยัมมุมก็พอแล้ว และ 2. ใช้ผ้าพันแผลไว้ หลังจากนั้นก็เช็ดบนผ้าพันแผล (ด้วยน้ำแทนจากการอาบน้ำ) และรดนำให้ทั่วร่าง (เลือกเอาหนึ่งข้อ ก็เป็นการชำระญะนาบะห์หรือยุนุบ ได้สมบูรณ์แล้ว)

รายงานโดย อะบูดาวูด

ตอนที่ 3 75 วิธีตะยัมมุม

อัลลอฮ์ที่ (ซ.บ.) ได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงตะยัมมุมด้วยฝุ่นดินที่สะอาด ท่านทั้งหลาย จงเช็ดหน้า และมือทั้งสองข้างด้วยฝุ่นดินนั้น”

ได้มีชายคนหนึ่งมาหาอุมัร บิน ค็อตต็อบ แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้ามีมลทิน(ยูบุบ) และไม่มีนำ ท่านอัมมาร บิน ยาสิร จึงได้กล่าวแก่ท่านอุมัรบินค๊อตต็อบว่า ท่านนึกได้ไหมตอน ที่เราเดินทาง ซึ่งมีข้าพเจ้าและท่าน (ร่วมไปด้วย) ส่วนตัวท่านนั้นไม่ได้ละหมาด สำหรับข้าพเจ้าได้เกลือกกลิ้งกับดิน แล้วข้าพเจ้าได้ละหมาด ต่อมาข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านนบี ซ.ล.   ฟัง ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงเพียงแต่ท่านจะทำอย่างนี้ก็พอแล้ว ท่านนบี ซ.ล.   ได้ทำให้ดูโดยเอามือทั้งสองข้างตบลงไปบนพื้นดิน (ยกขึ้น) และเป่าลมลงไปในฝ่ามือ ทั้งสองข้าง แล้วเช็ดหน้าและเช็ดมือถึงข้อศอกทั้งสองข้าง เช็ดข้างขวาก่อน ด้วยฝ่ามือทั้งสอง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ยุฮัยม์ ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้มุ่งหน้าไปยังบ่ออูฐ (ชื่อสถานที่แห่ง หนึ่งใกล้ๆ นครมะดินะห์) ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งพบท่านนบีแล้วได้ให้สล่ามแต่ท่านนบี ซ.ล.   ไม่ตอบรับสลามของชายผู้นั้น จนกระทั่งท่านนบีได้หันหน้าเข้าหากำแพง (หิน) แล้วเช็ดหน้าและ มือทั้งสองข้างถึงข้อศอก หลังจากนั้นจึงได้ตอบสลามของชายคนนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และชาฟิอี

และรายงานของชาฟิอีได้คำว่า แล้วได้เช็ดหน้าและแขนทั้งสองข้าง และรายงานของ อะบูดาวูด จากอิบนุอุมัรว่า แล้วได้ได้มือทั้งสองข้างตบกำแพงและ (ยกชื่นมา) เช็ดหน้าหลังจาก นั้นได้ตบลงอีกครั้งหนึ่ง แล้ว (ยกขึ้นมา) เช็ดแขนทั้งสองข้าง หลังจากนั้นจึงตอบรับสลามของชายผู้นั้น พร้อมกับกล่าวว่า  ไม่มีอะไรห้ามมิให้ข้าพเจ้าตอบสลามของท่านหรอกนอกจากข้าพเจ้า ยังไม่สะอาด

บทสุดท้าย 76

เมื่อได้ทำตะยัมมุมและได้ละหมาดแล้ว ต่อมาได้พบนำโดยที่เวลาละหมาดยังไม่หมด ไม่ต้องละหมาดใหม่อีก

เล่าจากอิบนิ อุมัร ตัวเขาเองได้กลับมาจากยุรุฟ (สถานที่แห่งหนึ่งห่างจากนครมะดีนะห์ สามไมล์ จนมาถึงมิรบัด (ห่างจากมะดินะห์สองไมล์) เขาได้ตะยัมมุมโดยการเช็ดหน้า และมือทั้งสองข้าง แล้วได้ละหมาดอัสริ หลังจากนั้นได้เข้านครมะดินะห์ในขณะที่ดวงตะวันยังสูงอยู่ โดยที่เขาไม่ได้ละหมาดใหม่อีกครั้ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มาลิก และชาฟิอี

เล่าจากอะบี สะอีด ได้กล่าวว่า  ผู้ชายสองคนได้ออกเดินทาง ต่อมาเข้าเวลาละหมาดเขา ทั้งสองคนไม่มีนํ้า จึงได้ตะยัมมุมด้วยดินที่สะอาด แล้วเขาทั้งสองได้ละหมาด ต่อมาเขาทั้งสอง ได้พบนํ้าโดยที่เวลาละหมาดนั้นยังมีอยู่ ชายคนหนึ่งได้ละหมาดและอาบนํ้าละหมาดใหม่ ส่วน อีกคนหนึ่งไม่ได้ทำ (ละหมาดและอาบนํ้าละหมาด) ใหม่ หลังจากนั้น เขาทั้งสองคนได้เข้าพบ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  และเขาทั้งสองได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ฟังท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวแก่คนที่ไม่ได้ทำใหม่ว่า ท่านได้กระทำถูกต้องตามแนวทาง (ซุนนะห์) แล้ว และละหมาดของท่านก็ใช้ได้ และได้กล่าวแก่คนที่อาบนํ้าละหมาด และได้ละหมาดใหม่อีกครั้งว่า  ท่านได้รับผลบุญสองครั้ง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ภาคที่สอง ละหมาด 78

มี 13 บท และบทสุดท้าย

บทที่หนึ่ง

ที่มาของละหมาด และการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

มีสองตอน

ตอนที่หนึ่ง

ละหมาดฟัรดู และผลประโยชน์ของมัน อัลลอฮ์ตาอาลา ได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงดำรงละหมาด แน่แท้ละหมาดนั้นเป็นหน้าที่ ของผู้มีศรัทธาอย่างมีกำหนดเวลาที่แน่นอน”

และได้กล่าวว่า “ท่านจงดำรงละหมาด แท้จริงละหมาดจะนั้นจะห้ามความเลวที่รามและชั่วช้า”

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ละหมาดนำสิบเวลาได้ถูกำหนด เป็นหน้าที่จำเป็นแก่ ท่านนบี ซ.ล.   ในคืนที่ท่านถูกพาออกเดินทางในเวลากลางคืน (อิสรออ์) หลังจากนั้นมันได้ถูก ลดหย่อนลงไปจนเหลือ 5 เวลา หลังจากนั้นท่านถูกเรียกจากอัลลอฮ์ว่า โอ้มุฮัมมัด คำบัญชา ของเรานั้นย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ท่านจะได้รับ (ผลบุญ) 50 (เท่า) จาก (การทำละหมาด) 5 (เวลา) นี้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากตอลฮะห์ บิน อุบัยดิลลาห์ ร.ฎ. กล่าวว่า ได้มีผู้ชายชาวนัจด์คนหนึ่งมาหา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ผมยุ่ง พูดอู้อี้ และไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร จนกระทั่งเขาเข้ามาใกล้ เขาจึงได้ถาม (ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ กล่าวว่า  อิสลามคือ ละหมาดห้าเวลาในวันหนึ่งคืนหนึ่ง เขากล่าวว่าที่เป็น (ฟัรฎู) หน้าที่แก่ ข้าพเจ้านอกจากนี้มีอีกไหม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า ไม่มีนอกจากท่านจะสมัครใจทำ แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวต่อไปอีกว่า  คือถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอนเขากล่าวว่า ที่เป็น (ฟัรฎู) หน้าที่ที่จำเป็นแก่ข้าพเจ้านอกเหนือจากนี้มีอีกไหม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า ไม่มี นอกจากท่านจะสมัครใจทำ และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวแก่เขาว่า คือ จ่ายซะกาต (ทรัพย์ส่วนหนึ่ง) แก่ผู้มีสิทธิ์ ชายผู้นั้นกล่าวว่า ที่เป็นหน้าที่ที่จำเป็นแก่ข้าพเจ้า นอกเหนือจากนี้มีอีกไหม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า ไม่มีนอกจากท่านจะสมัครใจทำ (ผู้เล่าคือ ตอลฮะห์) ได้กล่าวว่า แล้วชายคนนั้นก็หันหลังกลับออกไป พลางกล่าวว่า สาบาน ต่ออัลลอฮ์ ข้าพเจ้าจะไม่เพิ่มให้มากไปกว่านี้ และไม่ลดหย่อน (ไปกว่านี้) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า เขาได้รับความสุขแล้ว ถ้าหากเขาพูดจริง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ อัสซอนาบิฮี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อบูมุฮัมมัด คิดว่าละหมาดวิติรเป็นวายิบ อุบาดะห์ บินซอมิต ได้กล่าวว่า อบูมุฮัมมัดพูดโกหก ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าข้าพเจ้าไดยิน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ละหมาดที่อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรและยิ่งใหญ่ ได้กำหนด เป็นหน้าที่ (ฟัรฎู) มี 5 เวลา ผู้ใดอาบนํ้าละหมาดอย่างดี และละหมาดตามเวลา รุกัวะอย่างสมบูรณ์ และมีสมาธิอย่างเต็มที่ระหว่างอัลลอฮ์กับเขา มีข้อผูกมัดต่อกันว่าพระองค์จะอภัยให้เขา และผู้ใดไม่ปฏิบัติ (ตามนั้น) อัลลอฮ์กับเขาไม่มีข้อผูกมัดต่อกัน หากอัลลอฮ์ทรงมีประสิ่งดัจะให้อภัย พระองค์ก็ให้อภัยเขา และถ้าหากพระองค์มีประสงค์ (จะลงโทษ) พระองค์ก็จะลงโทษเขา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบีกอตาดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรได้กล่าวว่า เราได้กำหนดละหมาด 5 เวลา ให้เป็นหน้าที่ที่จำเป็น (ฟัรฎู) เหนือประชากรของท่าน (โอ้มุฮัมมัด) และเราได้ให้สัญญากับตัวเองว่า ผู้ใดรักษาละหมาดให้อยู่ในเวลา (ทำละหมาดในเวลาอย่างสม่ำเสมอ) เราจะให้เขาได้เข้าสวรรค์และผู้ใดไม่รักษาละหมาด (ให้อยู่ ในเวลา) เรากับเขาผู้นั้นไม่มีสัญญาต่อกัน 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงบอกข้าพเจ้า ด้วยว่า ถ้าหากมีแม่นํ้าไหลผ่านประตูบ้านของใครคนหนึ่งจากพวกท่าน แล้วเขาได้อาบนํ้าชำระ ร่างกายทุกวันๆ ละ 5 ครั้ง จากแม่นํ้าสายนั้น เขาจะยังมีคราบเหงื่อไคลติดอยู่ที่ตัวเขาบ้างหรือเปล่า พวกเขาเหล่านั้นตอบว่า จะไม่มีคราบเหงื่อไคลติดอยู่ที่ตัวเขา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จงได้ กล่าวว่า นั้นแหละมันก็เหมือนกับละหมาด 5 เวลา ที่อัลลอฮ์จะลบล้างบาป (ออกจากตัวของเขา) ด้วยละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  จะมีมะลาอิกะห์คอย หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลพวกท่านทั้งกลางคืนและกลางวัน และพวกเขา (มะลาอิกะห์) จะมาชุมนุมกันในเวลาละหมาดฟัจรี (ซุบฮิ) และละหมาดอัสริ หลังจากนั้นพวกมะลาอิกะห์ที่อยู่กับ พวกท่านในตอนกลางคืนจะขึ้นสู่เบื้องบน อัลลอฮ์จะถามพวกเขาโดยที่พระองค์รู้อยู่แล้ว ว่า พวกเจ้าได้จากบ่าวของเรามาในสภาพอย่างไร พวกมะลาอิกะห์เหล่านั้นตอบว่า เราจากพวกเขามาในสภาพที่พวกเขาทำละหมาด และพวกเราได้ไปหาเขาในสภาพที่พวกเขาทำละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาด 5 เวลา และละหมาดญุมอะห์ (วันศุกร์) จนถึงญุมอะห์ เป็นเครื่องล้างบาปที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น ตราบเมื่อมิได้ ก่อนบาปใหญ่ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอัมร์ บินสะอีด ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าอยู่กับท่านอุสมาน ร.ฎ. เขาได้เรียกหานํ้า ที่จะเอามาใช้ในการอาบนํ้าละหมาด แล้วอุสมานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ไม่มีมุสลิมคนใดเมื่อถึงเวลาละหมาดแล้ว เขาได้อาบน้ำละหมาดอย่างดี ตั้งสมาธิอย่างดี และรุก็วะอย่างดี นอกจาก (ละหมาดนั้น)มินจะเป็นเครื่องถ่ายบาปที่เกิดขึ้นก่อน (จากละหมาด) ตราบใดเมื่อพวกเขามิได้ก่อนบาปใหญ่ และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไปทุกครั้ง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอิบนิ มัสอูด ร.ฎ. กล่าวว่า ผู้ชายคนหนึ่งได้กระทำความผิดโดยการจูบผู้หญิงอื่น แล้วมาหาท่านนบี ซ.ล.   เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง อัลลอฮ์จึงได้ประทานโองการลงมา (มีใจความ) ว่า “ท่านจงดำรงละหมาดทั้งยามเข้าและยามเย็น และช่วงหนึ่งของเวลากลางคืน(ละหมาดกิยามุลลัยล์ และวิติร) แน่แท้ ความดีนั้นจะลบล้างความชั่ว ชายคนนั้นได้กล่าว โอ้ท่านศาสดาเฉพาะข้าพเจ้าหรือ ที่จะได้รับอย่างนี้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า  ประชากรของข้าพเจ้าทั้งหมดจะได้รับอย่างนี้ 

และเล่าจากเขา (จากอิบนิมัสอูด) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ซ.ล.   ว่า การกระทำอย่างไหนที่อัลลอฮ์รักมากที่สุด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า การละหมาดตามเวลา เขา (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า อันดับรองลงมาได้แก่สิ่งใด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า การสร้างความดีแก่บิดามารตา เขากล่าวว่า อันดับรองลงมาได้แก่สิ่งใด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า การทำสงครามศาสนา เขา (ผู้เล่า) กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวสิ่งเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า และถ้าหากข้าพเจ้าถามเพิ่มเติมท่านก็คงจะตอบต่อไปอีกเรื่อยๆ

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอุซัยฟะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า บาปของผู้ชาย (ที่เกิดจากความบกพร่อง) ในหน้าที่เกี่ยวกับครอบครัวของเขา เกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของเขา เกี่ยวกับบินของเขา และเกี่ยวกับเพื่อนบ้านเรือนเคียงของเขานั้น ละหมาด, การถือคลอด, การบริจาคทาน, การใช้ให้ (ผู้อื่น) ทำความดี และห้ามจากการทำความชั่ว จะลบล้างบาปนั้นจนหมดสิ้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากเซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านจะต้องก้มกราบ (สุญูด) ต่อ อัลลอฮ์ให้มากๆ เพราะในขณะที่ท่านกำลังก้มกราบครั้งหนึ่งนั้น ไม่มีอะไรอื่นนอกจากอัลลอฮ์ จะยกท่านให้สูงขึ้นหนึ่งชั้น และจะลบล้างความผิดออกจากท่านหนึ่งความผิด 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากรอบิอะห์ บินกะอับ อัลอัสละมี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าค้างคืนอยู่กับท่านนบี ซ.ล.   ข้าพเจ้าได้นำนํ้าที่จะได้อาบนํ้าละหมาดและสิ่งที่จำเป็นมาให้ท่านนนี้ ท่านนบี ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้า(รอบิอะห์)ว่าท่านจงขอ[258] ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าขออยู่กับท่านในสวนสวรรค์ ท่านนบีกล่าวว่า เท่านั้นหรือ ข้าพเจ้าตอบว่า เท่านั้น ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า ท่านจงช่วยข้าพเจ้า เพื่อตัวท่านเอง ด้วยการก้มกราบ (สุญูด) ให้มากๆ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวปราศรู้ย (คุตบะห์) แก่ประชาชนในการทำพิธีฮัจญ์แห่งการอำลา โดยท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเกรงกลัวอัลลอฮ์ท่านทั้งหลายจงละหมาด (ฟัรฎู) ทั้ง 5 เวลาของพวกท่าน ท่านทั้งหลายจงถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ของพวกท่าน ท่านทั้งหลายจงให้ซะกาต (ทรัพย์ส่วนหนึ่ง) ของพวกท่าน แก่ผู้มีสิทธิ์ และท่านทั้งหลายจงเชื่อฟัง ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีอำนาจของพากท่าน ท่านทั้งหลาย จะได้เข้าสวรรค์ของพระเจ้าของพวกท่าน

และเล่าจาก (อะบี อุมามะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีสิ่งไดที่อัลลอฮ์ได้อนุญาต แก่บ่าวของพระองค์ที่จะมีความประเสริฐไปยิ่งกว่าการที่เขาละหมาดสองเราะกะอัต และแน่แท้ความดีนั้นจะเทลงบนศีรษะของเขา ขณะที่เขายังอยู่ในละหมาด และไม่มีสิ่งใดที่บ่าวจะเข้าใกล้ชิดกับอัลลอฮ์เหมือนกับการเข้าใกล้สิ่งที่ออกมาจากพระองค์นั้นคือ อัลกุรอาน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย และติรมิซี

ตอนที่สอง 81

การรักษาละหมาดให้ตรงตามเวลา

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงรักษาละหมาดให้ตรงตามเวลาและจงรักษาละหมาดวุสตอ(وسط -กึ่งกลาง) (อัสริ) เป็นพิเศษ และจงดำรงละหมาดเพื่ออัลลอฮุย่างเป็นผู้ยอมจำนน”

เล่าจากอิบนิ อับบาส จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้แสดงตนให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นด้วยรูปที่สวยงามยิ่ง พร้อมทั้งกล่าววา โอ้มุฮัมมัด ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าพร้อมแล้ว ที่จะสนองตอบคำบัญชาของท่าน อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า พวกขาวฟ้า (มะลาอิกะห์) โต้เถียงกันด้วยเรื่องอะไร ข้าพเจ้าตอบว่า โอ้อัลลอฮ์ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ อัลลอฮ์ได้วางมือของพระองค์ลงบนระหว่างไหล่ทั้งสองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับความเย็นจากมือนั้นโดยมันได้แผ่ซ่านไประหว่างเต้านมทั้งสองข้างของข้าพเจ้า และหลังจากนั้นข้าพเจ้าก็มีความรู้ในสิ่งทั้งปวง อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า  โอ้มุฮัมมัดข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าพร้อมแล้วที่จะ ตอบสนองคำบัญชาของท่าน พระองค์กล่าวว่า ชาวฟ้าโต้เถียงกันในเรื่องอะไร ข้าพเจ้าตอบว่า โต้เถียงกันในการกระทำความดีของมวลบ่าวที่จะทำให้เกียรติของพวกเขาสูงขึ้น และในเรื่องของสิ่งที่จะเป็นเครื่องลบล้างบาป และในการก้าวเท้าไปสู่การทำละหมาดรวมกัน (ญามะอะห์) และในการใช้นํ้าอย่างทั่วถึงในการอาบนํ้าละหมาดต่ออวัยวะที่ลำบากๆ และในการคอยเวลา ละหมาดหลังจากละหมาดเสร็จ ผู้ใดรักษาละหมาดให้ตรงตามเวลา เขาจะดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เขาจะตายอย่างมีความสุข และบาปกรรมต่างๆ ของเขาจะมีสภาพเหมือนอย่างวันที่ มารตาของเขาคลอดเขาออกมา 

รายงานหะดีษทั้งโดย และติรมิซี

เล่าจาก ญะรีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ปรากฏอยู่ร่วมกับท่านนบี ซ.ล.   (ในคืนหนึ่ง) ท่านนบีได้มองดูดวงจันทร์เต็มดวง พลางกล่าวว่า แน่แท้พวกท่านจะเห็นอัลลอฮ์ของพวกท่านเหมือนอย่างกับพวกเจ้าเห็นดวงจันทร์เต็มดวง โดยพวกท่านจะไม่มีการเบียดบังกันเลย ในการแลเห็นอัลลอฮ์ ดังนั้นถ้าหากพวกท่านมีความสามารถที่จะละหมาดก่อนตะวันขึ้น และก่อนตะวันตก ให้ท่านทั้งหลายจงกระทำ (ละหมาด) เถิด หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านโองการหนึ่งจากอัลกุรอาน (มีใจความ) ดังนี้  “และท่านจงกล่าวคำสรรเสริญ พระผู้ เป็นเจ้าของท่านก่อนตะวันขึ้นและก่อนตะวันตก” 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และตามรายงานของบุคอรีและมุสลิมว่า ผู้ใดละหมาดในเวลาแห่งความร่มเย็นทั้งสอง เขาได้เข้าสวรรค์

เล่าจากอิบนิ  อุมัร ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดขาดละหมาดอัศร์เหมือนกับ ผู้นั้นขาดครอบครัวและทรัพย์สิน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะบี ม่าเลียห์ ได้กล่าวว่า พวกเราได้อยู่กับท่านบุรดะห์ ร.ฎ. ในสงครามคราวหนึ่ง ในวันที่มีดครึ้ม เขาได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรีบละหมาดอัศร์ เมื่อเข้าเวลา เพราะแท้จริง ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดทิ้งละหมาดอัศร์ ความดีต่างๆ ของเขาจะพินาศไปสิ้น 

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

ละหมาด “วุสตอ” คือ ละหมาดอัศร์

เล่ามาจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวในวัน อัลอะห์ซาบว่า[259] พวกเขาทำให้พวกเราพะวงจนต้องทิ้งละหมาด วุสตอ คือ ละหมาดอัศร์ ขออัลลอฮ์จงให้บ้านเรือนและหลุมฝังศพของพวกเขาเต็มไปด้วยไฟ หลังจากนั้น ท่านนบีได้ละหมาดวุสตอ (อัศร์) ในช่วงเวลาระหว่างมัฆริบและอิซา (ละหมาดใช้”กอฎอ”) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ข้อกำหนดเหนือผู้ละทิ้งละหมาด 83

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงแยกระหว่างคนๆ หนึ่งกับ การตั้งภาคี และการทรยศ (ไม่ศรัทธา”กุฟุร”) นั้น คือการทิ้งละหมาด[260] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  สัญญาระหว่างพวกเขา (มุอฺมิน) และพวกเขา (มุนาฟิกูน) คือ ละหมาด ดังนั้นผู้ใดทิ้งละหมาดก็เท่ากับเขาได้ทรยศ (ไม่ศรัทธา)[261]

และอับดุลเลาะห์ บิน ชะกีก ได้กล่าวว่า เหล่าสาวกของมุฮัมมัด ไม่เคยเห็นสิ่งใดๆ ที่จะเป็นการทรยศ (ไม่แสดงออกว่าเป็นผู้มีศรัทธา) นอกจากการทิ้งละหมาด 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย และติรมิซี

บทที่สอง 83

กำหนดเวลาละหมาด มีสองตอน

ตอนที่หนึ่ง

กำหนดเวลาละหมาด

เล่าจากอะบีมัสอูด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ญิบรีลได้ลงมานำข้าพเจ้าละหมาด ข้าพเจ้าได้ละหมาดกับญิบรีล แล้วข้าพเจ้าได้ละหมาดกับญิบรีล แล้วข้าพเจ้าได้ละหมาดกับญิบรีล แล้วข้าพเจ้าได้ละหมาดกับญิบรีล แล้วข้าพเจ้าได้ละหมาดกับญิบรีล ท่านนบีได้นับด้วยนิ้ว ได้ 5 เวลาละหมาด ได้มีเพิ่มเติมในบางรายงานว่า หลังจากนั้น ท่านนบีได้กล่าวว่า นี้แหละที่ข้าพเจ้า ถูกได้ให้ปฏิบัติ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ญิบรีล อ.ล.[262] ได้นำข้าพเจ้า ละหมาดที่บัยตุลลอฮ์(วิหารกะอ์บะห์) สองครั้ง ญิบรีลได้ละหมาด ดุหริในวันแรกในเวลาที่เงามีสภาพเหมือนเชือกผูกรองเท้าที่อยู่บนหลังรองเท้า[263] หลังจากนั้นได้ละหมาดอัศร์ ในขณะ ที่เงาของทุกๆ สิ่งเท่าตัวของมัน[264] หลังจากนั้นได้ละหมาดมัฆริบในขณะที่ตะวันตก กับหายไป และเข้าเวลาละศีลอดของผู้ถือศีลอด หลังจากนั้นได้ละหมาดอิชาอ์ ในขณะที่แสงแดดที่ขอบฟ้าหายไปจากเส้นขอบฟ้า หลังจากนั้นได้ละหมาดฟัจรี (ซุบฮ์) ในขณะที่แสงอรุณจริงขึ้นและเป็นเวลาที่ห้ามผู้ถือศีลอดบริโภค และญิบรีลได้ละหมาดในวันที่สองโดยละหมาดดุห์รี ในขณะที่เงาของ ทุกๆ สิ่งเท่าตัวของมันตามเวลาที่ได้ละหมาดอัศรีเมื่อวานนี้[265] หลังจากนั้นได้ละหมาดอัศรี ในขณะที่เงาของทุก ๆ สิ่งยาวเป็นสองเท่าตัว[266] หลังจากนั้นได้ละหมาดมัฆริบ ตามเวลาของมัน ในวันแรก หลังจากนั้นได้ละหมาดอิชาอ์ สุดท้าย ในขณะที่เวลาล่วงไปหนึ่งในสามของ กลางคืน (ค่อนคืน) หลังจากนั้นได้ละหมาด ในขณะที่พื้นแผ่นดินสว่าง (ด้วยแสงของเวลา กลางวัน) เสร็จแล้ว ญิบรีลหันมาทางข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด นี่คือ เวลาละหมาด ของบรรดานบีที่อยู่ก่อนท่าน และเวลาละหมาดนั้นคือ เวลาระหว่างสองเวลาดังกล่าว[267] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อับดิลลาห์ บินอัมร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงเวลาละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า เวลาของละหมาดฟัจรี (ซุบฮ์) ตราบเมื่อส่วนแรกของ ตะวันยังไม่ขึ้น และเวลาของละหมาดดุห์รี เมื่อตะวันคล้อยจากท้องฟ้าตะวันตรงหัว ตราบเมื่อยังไม่ถึงเวลา อัศรีและเวลาละหมาดอัศรี ตราบเมื่อตะวันยังไม่เป็นสีเหลือง และส่วนแรกของตะวันตกดิน และเวลาของละหมาดมัฆริบ เมื่อตะวันตกลับขอบฟ้า ตราบเมื่อแสงสีแดงที่ขอบฟ้ายังมีอยู่ และเวลาละหมาด อิชาอ์  มีดสนิทมองไม่เห็นลายมือ จะคงอยู่จนถึงเที่ยงคืน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้มีผู้ถาม ญาบิร ร.ฎ. ถึงละหมาดของท่านนบี ซ.ล.   ญาบิร ตอบว่า ท่านนบีเคย ละหมาดดุห์รีในเวลาร้อนจัด และละหมาดอัศรีในขณะที่ตะวันยังเป็นอยู่ (คือมีแสงสว่างและ ยังไม่เปลี่ยนสี่) และละหมาดมัฆริบ เมื่อตะวันดับ ละหมาดอิชาอ์ ถ้ามีคนมาก ท่านนบีก็รีบ[268] และถ้ามีคนน้อย ท่านนบีจะหน่วงไว้ก่อน และละหมาดซุบฮ์ ในขณะที่ความมีดยังปกคลุมอยู่ (คือ ความมีดหลังแสงอรุณจริง) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ความจริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เคยละหมาด ซุบฮิ แล้วพวกผู้หญิงได้แยกย้ายกันกลับบ้านโดยห่มด้วยผ้าหนาๆ ไม่มีใครจำใครได้ เพราะยังมีดอยู่ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อะบี บัรซะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดซุบฮ์เสร็จโดย ที่พวกเราคนใดคนหนึ่ง รู้จักคนที่นั่งอยู่ข้างๆ[269]  และท่านนบีได้อ่านซูเราะห์ในละหมาดซุบฮ์(มีความยาว) ระหว่าง 60-100 โองการ (อายะห์) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี และสำหรับรายงานโดยรายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ว่าจงรีบละหมาดฟัจรี ตั้งแต่เริ่มเข้าเวลา (คือเมื่อเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆบ้างแล้วด้วยแสงสว่างของวันใหม่ เพราะจะได้ผลบุญอันยิ่งใหญ่

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่ออากาศร้อนจัด จงทำ ละหมาดล่าๆ เพราะความร้อนจัดนั้นมาจากไฟนรก ไฟนรกได้ร้องทุกข์ต่ออัลลอฮ์โดย กล่าวว่า โอ้พระผู้เป็นเจ้า พวกเราได้กินกันเองแล้ว พระเจ้าได้อนุญาตให้ไฟนรกได้ระบายความร้อนสองครั้ง ครั้งแรกในฤดูหนาว และครั้งที่สองในฤดูร้อน ดังนั้นการระบายความร้อนในฤดูร้อนนั้นเป็นสิ่งที่ท่านจะพบว่ามันร้อนจัด และมันเป็นสิ่งที่ท่านจะพบว่ามันหนาวจัด (ในฤดูหนาว) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิมัสอูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาด (ดูห์รี)ในฤดูร้อน ขณะที่เงาของสิ่งหนึ่งยาวสามฟุตถึงห้าฟุต ส่วนในฤดูหนาว(الشِتَاءِ) ขณะที่เงาของ สิ่งหนึ่งยาวห้าฟุต ถึงเจ็ดฟุต 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจาก อะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยละหมาดอัศรี หลังจากนั้นมีคนคนหนึ่งจากพวกเรา ได้ไปยังกุบาอฺ เขามาถึงพวกนั้น(ชาวกุบาอฺ)ในขณะที่ตะวันยังสูงอยู่ [270]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี (ซ.ล)ได้หน่วงละหมาด อิชาอ์ไว้จนกระทั่งถึงเที่ยงคืนจึงได้ละหมาด แล้วกล่าวว่า  แน่แท้ผู้คนได้ละหมาด และนอนหลับไปแล้ว โปรดทราบ แท้จริงพวกท่านอยู่ในละหมาดที่พวกท่านไม่เคยรอคอยมาก่อน และในบางรายงานว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่กลัวว่าประชากรของข้าพเจ้าจะได้รับความลำบาก ข้าพเจ้าจะใช้พวกเขาละหมาดอย่างนี้ (คือเที่ยงคืน) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี ส่วนตัวบทของติรมีซีว่า ถ้าหากไม่กลัวว่าจะเป็นความยากลำบากลับประชากรของข้าพเจ้าแล้ว จะต้องใช้เขาให้หน่วงละหมาดอิชาอ์ไว้จนถึงค่อนคืน หรือครึ่งคืน

เล่าจากอะบี บัรซะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี (ซ.ล) รังเกียจการนอนก่อนละหมาดอิชาอ์[271] และการพูดคุยหลังละหมาดอิชาอ์[272] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวแก่เขาว่า โอ้อะลี สามประการนี้ละหมาดจะไม่ทำให้ทันกำช้า[273] คือ ละหมาดเมื่อถึงเวลา ศพที่ปรากฏอยู่ หญิงหม้ายที่พบผู้ชายที่คู่ควร

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การละหมาดเมื่อแรกเข้าเวลา เป็นความพอใจของอัลลอฮ์ การละหมาดท้ายเวลาเป็นความบกพร่องอัลลอฮ์ให้อภัย 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย และติรมิซี

การละหมาดทันเวลาหรืออิหม่าม เพียงหนึ่งเราะกะอัตถือว่าได้ละหมาดในเวลา 86

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดทันได้ละหมาดหนึ่ง เราะกะอัต [274]จากละหมาดซุบฮ์ ก่อนตะวันขึ้น ก็ถือว่า เขาได้ละหมาดซุบฮ์ (ในเวลา) แล้วผู้ใดทันได้ละหมาด

อัศร์หนึ่งเราะกะอัต ก่อนตะวันตก ก็ถือว่าเขาได้ละหมาดอัศร์ (ในเวลา) แล้ว รายงาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา(อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ไดละหมาดหนึ่งเราะกะอัต ทันในเวลา ถือว่าเขาทัและหมาดนั้นในเวลาทั้งหมด (ทุกเราะกะอัต)[275] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

อุปสรรคของละหมาด 86

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดลืมละหมาดเวลาใดเวลาหนึ่ง ให้เขาจงละหมาดเมื่อเขาระลึกได้ โดยไม่ต้องเสียค่าปรับ นอกจากละหมาดใช้ (กอดออ์) เท่านั้น ท่านจงดำรงละหมาดเพื่อระลึกถึงเรา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และสำหรับรายงานของมุสลิมว่า  เมื่อใครคนหนึ่งจากพวกท่านไค้นอนหลับไป โดยมิได้ละหมาด หรือลืมละหมาด ให้เขาจงละหมาด เมื่อระลึกได้ แท้จริงอัลลอฮ์กล่าวว่า ‘‘ท่านจงดำรงละหมาดเพื่อระลึกถึงเรา”

เล่าจากอิมรอน บิน อุซอยน์ ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) อยู่ในระหว่างเดินทาง พวกเขาได้นอนหลับกันทั้งหมดในเหล่าผู้ร่วมเดินทาง โดยละหมาด ฟัจร์(ซุบฮ์) ไม่ทัน พวกเขาถูกปลุก ให้ตื่นด้วยความร้อนจากแสงตะวัน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงไปให้พ้น จากสถานที่แห่งนี้ หลังจากนั้นได้ใช้ท่าน บิลาลให้อะซาน (คำประกาศให้มาอาบน้ำละหมาด) ต่อจากนั้นพวกเขาได้อาบนํ้าละหมาด และได้ละหมาดสุนัตฟัจรี (ซุบฮ์) สองเราะกะอัตหลังจากนั้นได้ใช้ ท่านบิลาล ให้อิกอมะห์ (คำประกาศให้ลุกขึ้นให้ทำละหมาด) แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ละหมาด ซุบฮ์ พร้อมกับพวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด 

เล่าจากอะบี กอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเขา (เหล่าอัครสาวก) ได้เล่าให้ท่านนบี ซ.ล.   ฟังว่าพวกเขานอนหลับไปโดยมิได้ละหมาด (ฟัรฎู) ท่านนบีกล่าวว่า ในการนอนหลับนั้น[276] ไม่ถือว่า เป็นการประมาที่เลินเล่อแต่การประมาที่เลินเล่อนั้น อยู่ในขณะตื่น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า ท่านนบี (ซ.ล) ได้ละหมาดที่นครมะดินะห์เจ็ดและแปด คือ ดุหร์ กับอัศร์มิฆริบ กับ อิชาอ์[277] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และตัวบทของมุสลิมว่า  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) ได้ละหมาดรวม ระหว่าง ดุหร์ กับ อัศร์ และมิฆริบ กับ อิชาอ์ ทนครมดีนะห์ โดยมิได้มีเหตุจากความกลัว และไม่มีฝนตก มีผู้กล่าวแก่ อิบนิ อับบาสว่า ที่ทำอย่างนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ต้องการอะไร อิบนิ อับบาสได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ต้องการมิให้เกิดความยากลำบากลับประชากรของท่าน[278]

และรายงานจากเขา (อิบนิ อับบาส) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้ใดได้รวมละหมาด สองละหมาด โดยไม่มีอุปสรรค ถือว่าผู้นั้นได้มาสู่ประตูหนึ่งของประตูบาปใหญ่[279]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี บัยหะก็ และฮากีม

ตอนที่สอง

เวลาที่ห้ามละหมาดสุนัต[280]

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้ชายหลายคนที่มีคุณธรรม และคนที่มีคุณธรรมที่สุด คือ อุมัรได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ห้ามละหมาดหลังละหมาดซุบฮ จนถึง ตะวันขึ้น และ ลังละหมาดอัสริ จนถึงตะวันตก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า ท่านทั้งที่ลายอย่าคอยจ้องจะละหมาดในเวลาที่ตะวันขึ้น และตะวันตกดิน เพราะดวงตะวันนั้นมินจะขึ้นมาพร้อมด้วยเหล่ามารร้าย (ชัยฏอน) และบางรายงานว่า เมื่อม่านตะวันได้เบิกขึ้น ท่านทั้งหลายจนหน่วง ละหมาดไว้จนกว่าตะวันจะขึ้นสูง[281] และเมื่อม่านตะวันได้ปิดฉากลง (ตะวันตกและขอบฟ้า) ท่านทั้งหลายจงหน่วงละหมาดไว้ จนกระทั้งตะวันตกลับขอบฟ้า (ทั้งดวง) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอัมร์ บิน อะบะซะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ช่วงใดของเวลากลางคืน ที่อัลลอฮ์จะรับ (ดุอาอ์) การวิงวอนมากที่สุด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) ตอบว่า ช่วงสุดท้ายของกลางคืน[282] ท่านจงละหมาดตามต้องการ แน่นอและหมาดนั้นถูกมองดู และถูกจดบันทึก (ผลบุญ) จนกว่าท่านจะละหมาดซุบฮ์ หลังจากนั้นให้ท่านหยุดจนกว่าตะวันจะขึ้นสูง เท่าตำมหอก หรือ หอกสองคำมต่อกัน เพราะตะวันนั้นจะขึ้นพร้อมกับเหล่ามารร้าย (ระหว่าง สองเขาของมารร้าย) และเหล่าผู้ไม่ศรัทธา จะก้มกราบมัน หลังจากนั้น  ท่านจงละหมาดตาม ต้องการ แน่แท้ละหมาดนั้นถูกมองดูและถูกจดบันทึก จนกระทั่งเงาของคำมหอกยาวหายไปเข้าตัว ของมัน (หมายถึงเวลาเที่ยงตรง) ให้ท่านหยุด เพราะ(ขณะนั้นเป็นเวลาที่ไฟนรกกำลังคุกรุนอย่างรุนแรง และประตูของมันถูกเปิดออก และเมื่อตะวันคล้อย ท่านจงละหมาดตามต้องการ แน่แท้ ละหมาดนั้นถูกมองและถูกจดบันทึก จนกระทั่งท่านละหมาดอัศร์ หลังจากนั้นให้ท่านหยุด จนกระทั่งตะวันตก เพราะตะวันมันจะกับไปพร้อมกับเหล่ามารร้าย และเหล่าผู้ไม่ศรัทธา จะก้มกราบมัน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และสำหรับรายงานของอะบูดาวูด และ บัยฮาก็ว่า  ท่านนบี (ซ.ล) รู้งเกียจการละหมาด ในเวลาเที่ยงวัน นอกจากวันศุกร์ เพราะเป็นเวลาที่ขุมนรกกำลังคุกรุนอย่างรุนแรง นอกจากในวันศุกร์เท่านั้น

และรายงานของนะซาอีว่า  โอ้ตระกูลของอับดิ มานาฟ ท่านทั้งหลายอย่าห้ามผู้ใดทำการเวียนรอบวิหาร (กะอ์บะห์) และอย่าห้ามผู้ใดละหมาดในเวลาใดก็ตามที่เขาต้องการทั้งกลางวันและกลางคืน (หมายถึงที่วิหารกะอ์บะห์)

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าว เมื่อเขาได้ประกาศให้ลุกขึ้นละหมาด(อิกอมะห์)ไม่มีละหมาดใดนอกจากละหมาดฟัรดูเท่านั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทที่สาม 89

กฎเกณฑ์ของการละหมาด

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ปากกาถูกยกจากสามคน[283] (1) จากคนนอนหลับจนกว่าจะตื่น (2) จากเด็ก จนกว่าจะฝันเปียก (บรรลุศาสนภาวะ) และ (3) จากคนบ้าเสียสติ จนกว่าสติจะคืนมา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี และฮาก็ม    และท่านฮาก็มถือว่า เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อิบนั อุมัรร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) ได้ตรวจพบข้าพเจ้าใน วันเกิดศึกที่อุอุด เพื่อเข้าสู้รบกับฝ่ายศัตรู ขณะนั้นข้าพเจ้า มิฮะยุ 14 ปั้นต่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ไม่ อนุญาตให้ข้าพเจ้า เข้าทำการสู้รบ และได้ตรวจพบข้าพเจ้าในวันเกิดศึกตอนดัก ขณะนั้นข้าพเจ้าม อายุ 15 ปี ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) ได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าเข้าทำการสู้รบ

ท่านนาเฟียะอ์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าพบ อุมัร บิน อับดิลอาซีซ ในขณะนั้นเขา ดำรงดำแหน่ง เคาะลิฟะห์ และข้าพเจ้าได้เล่า หะดีษนี้ให้เขาฟัง ท่านอุมัร ได้กล่าวว่า แท้จริง สิ่งนี้ (คืออายุ 15 ปี ทางจันที่รคติ) เป็นเขตกั้นระหว่างเด็กลับผู้ใหญ่ แล้วต่อมาอุมัร ได้มีหนังสือ แจ้งไปยังข้าราชการของเขา ให้กำหนดว่า ผู้ที่มิฮะยุ 15 ปี เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว (บรรสุตาสนภาวะ) และผู้ที่อายุตํ่ากว่านั้น ให้ถือว่ายังอยู่กับครอบครัว (คือยังไม่บรรสุตาสนภาวะ) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากสับเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงใช้เด็กให้ละหมาด เมื่ออายุได้เจ็ด ขวบ และเมื่ออายุได้สิบขวบ ท่านทั้งหลายจงเฆี่ยืนตีสั่งสอน ต่อการที่เขาไม่ละหมาด ได้มีเพิ่มเติมในบางวรายงานว่า และท่านทั้งหลาย จงแยกทนอนวะหว่างพวกเด็กๆ  (เมื่ออายุได้ 10 ขวบ) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และอะห์มัด

ความสะอาด 

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์จะไม่รับพิจารณาละหมาดที่ ปราศจากความสะอาด และจะไม่รับการบริจาคด้วยทรัพย์ที่แย่งชิงมา 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจาก อะลี ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า กุญแจของละหมาด คือ ความสะอาด และสิ่งที่ทำให้(สิ่งที่เคยอนุญาตให้กระทำก่อนและหมาค) กลายเป็นสิ่งต้องห้ามนั้น คือ การตักบีร (การกล่าว คำว่า “อัลลอฮุอักบัร” ในขณะเริ่มละหมาด) และสิ่งที่ทำให้ (สิ่งต้องห้าม) กลายเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำ (อีกครั้งหนึ่ง) คือ การให้สลาม (คือ กล่าว “อัสลามุอะลัยกุม วะ เราะห์ มะตุลลอฮ์” ในตอนเสร็จ ละหมาด) 

'Ali narrated that :

the Prophet, said "The key to Salat is the purification, its Tahrlm is the Takblr, and its Tahlil is the Taslim."

"‏ مِفْتَاحُ الصَّلاَةِ الطُّهُورُ وَتَحْرِيمُهَا التَّكْبِيرُ وَتَحْلِيلُهَا التَّسْلِيمُ ‏"‏‏ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และฮาก็ม และฮาก็มถือหะดีษนี้เศาะฮีหะห์

เล่าจาก อัสมาอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ผู้หญิงคนหนึ่งมาหาท่านนบี (ซ.ล) แล้วเอ่ยขึ้นว่า มีพวกเราคนหนึ่ง ผ้าของหล่อนเปื้อนเลือดประจำเดือน เขาจะต้องทำอย่างไรบ้าง ต่อผ้าผืนนั้น ท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ให้เขาขูดเลือดออก แล้วขยี้ด้วยนํ้า หลังจากนั้นใช้นํ้าล้าง แล้วละหมาด โดยสวมผ้าผืนนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) กำลังละหมาด กับอัครสาวกของท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ถอดรองเท้าออกทั้งสองข้าง แล้ววางได้ทางด้านซ้ายของท่าน เมื่อเหล่าอัครสาวกเห็นเช่นนั้น จึงพากันถอดรองเท้าบ้าง เมื่อเสร็จละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ กล่าวว่า อะไรทำให้พวกท่านถอดรองเท้า พวกเขากล่าวว่า พวกเราเห็นท่านถอดรองเท้าของท่าน พวกเราจึงถอดบ้าง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า แท้จริงญิบรีล (อ.ล) ได้มาหาข้าพเจ้า และบอกข้าพเจ้าว่า ในรองเท้าทั้งสองข้างมีสิ่งโสโครกอยู่ และได้กล่าวอีกว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจาก พวกท่านมาสู่มัสญิด ให้เขามองดู ถ้าหากพบว่ามีสิ่งโสโครก อยู่บีรองเท้าของเขา ให้เขาเช็ดล้างให้สะอาด แล้วละหมาดโดยสวมรองเท้านั้น 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด อะห์มัด และฮาก็ม

เล่าจากอาอีชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล) ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านมี หะดัส (มลทิน) เกิดขึ้น ให้เขา (ใช้มือซ้าย) ปิดจมูก[284] แล้วเดินออกไป 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

การผินหน้าสู่กิบลัต 90

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดละหมาดอย่างละหมาดของเรา ผินหน้าสู่กิบลัตของเรา กินสัตว์ที่พวกเราเชือด นั้นแหละคอมุสลิมซึ่งอัลลอฮ์และทูตของ พระองค์มีข้อผูกพันกับเขา ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่าทุจริตอัลลอฮ์ในข้อผูกพันของเขา

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจากบ่ารออิ ร.ฎ. กล่าวว่า เราได้ละหมาดกับท่านนบี ซ.ล.   โดยผินหน้าไปสู่บัยดุ้ลมักดิส (กรุงเยรูซาเล็ม) เป็นเวลา 16 หรือ 17 เดือน หลังจากนั้นเขาให้เราผินไปสู่กะอ์บะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในขณะที่ประชาชนกำลังละหมาดซุบฮ์ที่มัสญิดกุบาอฺ ได้มีคนๆ หนึ่งมา แล้วพูดว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้รับโองการเมื่อคืนนี้ และถูกใช้ให้ผินหน้าไปสู่กะอ์บะห์ ดังนั้นท่านทั้งหลายจงผินหน้าไปสู่กะอ์บะห์เถิด ปรากฏว่าหน้าของพวกเขาเคยผินไปสู่ทิศ “ชาม” พวกเขาจึงหมุนมาสู่กะอ์บะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะผินหน้าไปสู่กะอ์บะห์ (ในขณะทำอิบาดะห์) ดังนั้นอัลลอฮ์จึงได้ประทานโองการลงมาว่า  “เราได้เห็น เจ้าแหงนหน้ามองฟ้าหันไปหันมา ดังนั้นเราจะให้ท่านผินหน้าไปสู่กิบลัตที่ท่านพึงพอใจ ดังนั้น ท่านจงผินหน้าของท่านไปตรงใจกลางของมัสญิดหะรอมเถิดไม่ว่าท่านทั้งหลายจะอยู่ที่ไหน ท่านทั้งหลายจงผินหน้าไปสู่ใจกลางของมัสญิดหะรอม และท่านนบีก็ได้ผินหน้าไปสู่อัลกะอ์บะห์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และติรมิซี

และอุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าตรงกับพระผู้อภิบาลของข้าพเจ้าในสามประการ ข้าพเจ้า กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านจงเอา (มะกอม) ที่ยืนของอิบรอฮีมเป็นที่ละหมาด โองการจึงได้ลงมาว่า “ท่านทั้งหลายจงยึดเอาที่ยืนของอิบรอฮีมเป็นที่ละหมาด” และโองการในเรื่องการคลุมหน้า ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  (ข้าพเจ้าต้องการให้) ท่านสั่งให้เหล่าภรรยาของท่านคลุมหน้า เพราะมีทั้งคนดีและคนชั่วที่มาพูดคุยกับพวกหล่อน ดังนั้นโองการในเรื่องคลุมหน้าจึงได้ถูกประทานลงมา และเหล่าภรรยาของท่านนบี ซ.ล.   ได้ ชุมนุมแสดงความหึงหวงท่านนบี ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกหล่อนว่า ข้าพเจ้าอยากให้พระผู้ เป็นเจ้าบงการให้ท่านนบีหย่าพวกเธอทั้งหมด แล้วหาภรรยาใหม่ที่ดีกว่าพวกเธอ โองการนี้จึงได้ประทานลงมา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า สิ่งที่อยู่ระหว่างตะวันขึ้น กับตะวันตกนั้น คือ กิบลัต [285]

รายงานโดย ติรมิซี อิบนุมายะห์ ฮากีม ตารุกุตนี เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอามิร บิน รอบีอะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  พวกเราอยู่กับท่านนบี ซ.ล.   ใน ระหว่างการเดินทางในเวลากลางคืนที่มีดมิด พวกเราไม่รู้ว่า ทิศกิบลัตอยู่ทางไหน พวกเราทุกคน ต่างก็ละหมาด โดยหันหน้าไปตามแต่การวินิจฉัยของแต่ละคนเมื่อรุ่งเช้า พวกเราจึงได้เล่าเรื่อง ให้ท่านนบี ซ.ล. ฟัง โองการนี้จึงได้ประทานลงมา “ไม่ว่าท่านผินไปทางไหน อัลลอฮุยู่ทางนั้น” 

รายงานโดย ติรมิซี

การผินหน้าในละหมาดสุนัดขณะเดินทาง เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดบนสัตว์ (อูฐ) ที่ใช้เป็นพาหนะตามแด่มันจะหันหน้าไป      แต่เมื่อท่านนบีต้องการละหมาดฟัรฎู จะลงจากพาหนะและผินหน้าไปทางกิบลัต 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และในบางรายงานว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยละหมาดสุนัตบนสัตว์ (อูฐ) ที่ใช้เป็นพาหนะโดยผินหน้าไปทางที่สัตว์ (อูฐ) ที่ใช้เป็นพาหนะหันไป และเคยละหมาด วิติรบนพาหนะ โดยไม่เคยละหมาดบนสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะเลย[286]

และสำหรับรายงานของอะบีคาวูดว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อออกเดินทาง และต้องการละหมาดสุนัต จะให้อูฐที่ใช้เป็นพาหนะหันไปสู่กิบลัตแล้วจึงได้ตักบีร และทำละหมาดเรื่อยไป ตามแด่พาหนะของท่านจะพาไป

เล่าจากญาบีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ส่งข้าพเจ้าไปทำธุระ เมื่อกลับมาข้าพเจ้าพบว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ กำลังละหมาดอยู่บนพาหนะของท่านโดยหันหน้าไป ทางทิศตะวันออก ขณะสุญูดจะก้มตํ่ากว่า ขณะรุกัวะอ์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การปิดอวัยวะที่สงวน

อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้กล่าวว่า “โอ้ถูกหลานของอาคำ ท่านทั้งหลายจงปิดอวัยวะที่พึงสงวนของพวกท่าน ณ มัสญิดทุกแห่ง และได้กล่าวว่า และเสื้อผ้าของท่าน ท่านจงทำความสะอาด”

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ชายผู้หนึ่งได้มาหาท่านนบี ซ.ล.   แล้วถามท่านนบีถึงการละหมาดโดยนุ่งผ้าผืนเดียว ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ตอบว่า ก็พวกท่าน ทุกคนมีผ้าคนละสองผืนหรือ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

และบุคอรีได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า หลังจากนั้นได้มีชายผู้หนึ่งถามท่านอุมัร ท่านได้กล่าวว่า เมื่ออัลลอฮ์ให้ความกว้างขวาง (ร่ำรวย) ท่านทั้งหลายจงทำให้สมกับที่ร่ำรวย คือผู้ชายคนหนึ่ง ได้สวมด้วยผ้าผืนหนึ่ง ของเขา ผู้ชายคนหนึ่งละหมาดโดยสวมผ้านุ่ง และผ้าห่ม โดยสวมผ้านุ่งและเสื้อโดยสวม กางเกงและเสื้อ โดยสวมกางเกง และเสื้อคลุมที่ผ่าหน้าตลอด, โดยสวมกางเกงชั้นในและ เสื้อคลุมที่ผ่าหน้าตลอด, โดยสวมกางเกงชั้นในและเสื้อแต่ข้าพเจ้า (ผู้เล่า) คิดว่า เขา (ท่านอุมัร) พูดว่า กางเกงในและผ้าห่ม

และได้เล่าจาก (เขา) อะบีฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า คนใดคนหนึ่ง จากพวกท่านอย่าละหมาดโดยนุ่งผ้าผืนเดียวและไม่มีอะไรพาตอยู่บนไหล่ทั้งสองข้างเลย[287]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าแลเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ละหมาดด้วยผ้าผืนเดียวที่พ้นตัวไว้รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากอุกบะห์ บินอามีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  มีผู้นำเอาเสื้อคลุมที่ทำจากไหม มาให้ท่านนบี ซ.ล.   เป็นของกำนัล ท่านนบีได้สวมแล้วไปละหมาด หลังจากเสร็จละหมาด ท่านนบีได้ถอดมันออกอย่างร้อนรนเหมือนลักษณะของคนที่นึกขยะแขยิ่งแล้วได้กล่าวว่า นี้ไม่เหมาะสมแก่ผู้มีความยำเกรงในพระผู้เป็นเจ้า[288]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ขาอ่อนเป็นอวัยวะที่ต้องสงวน (ปกปิด) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านอย่าเปิดขาอ่อนของท่านและ อย่ามองขาอ่อนทั้งของคนเป็นและตาย 

รายงานโดย อะบูดาวูด ฮากีม และบัรซาร

เล่าจากอัมร์ บิน ชุอัยบิ จากพ่อของเขา จากลุงเขา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้ กล่าวว่าเมื่อใครคนใดคนหนึ่งได้แต่งงาน ทาสหญิงของเขาให้แก่ทาสชาย หรือให้แก่ถูกจ้าง ดังนั้น เขาจะมองสิ่งที่อยู่ต่ำกว่าสะดือ และสิ่งที่อยู่เหนือหัวเข่าขึ้นไปไม่ได้[289]

รายงานโดย อะบูดาวูด ตารุกุตนี และบัยหะกี

เล่าจากมัยมุนะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดบนเสื่อ ผืนเสี่กๆ ที่ทำจากใบอินที่ผาลัม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้เคยไปเยี่ยมอุมมุ ซุลัยมิ บางครั้งก็ได้เวลาละหมาด ท่านนบีจะละหมาดบนเสื่อของเราที่เราพรมมันด้วยนํ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ตัวบทของอะบูดาวูด

และในบางรายงานว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดบนเสื่อและแผ่นหนังที่ฟอกแล้ว

เครื่องแต่งกายของผู้หญิงที่เป็นอิสระชน (ไม่ใช่ทาส) ในขณะละหมาด 

มีผู้ถามอุมมุ ซะลามะห์ ร.ฎ. ว่า ผู้หญิงจะใช้อะไรสวมขณะละหมาด อุมมุ ซะลามะห์ ตอบว่า ผู้หญิงจะละหมาดโดยสวมผ้าคลุมศีรษะจนถึงหน้าอก และเสื้อยาวที่คลุมทั่วร่างที่ปิดหลังเท้าทั้งสองข้าง และอุมมุ ซะลามะห์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านนบี ซ.ล.   ว่า ผู้ หญิงจะละหมาดโดยสวมเพียงเสื้อยาวและผ้าคลุมหัวที่ยาวจนถึงหน้าอกได้หรือไม่ โดยไม่มีผ้านุ่ง ท่านนบีได้ตอบว่า ใช้ได้เมื่อเสื้อคลุมนั้นยาวจนคลุมหลังเท้า 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์จะไม่รับพิจารณา ละหมาดของหญิงที่มีเลือดประจำเดือนแล้ว นอกจากต้องสวมผ้าคลุมหัวที่ยาวจนถึงหน้าอก 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

อนุญาตให้ละหมาดโดยสวมรองเท้าที่สะอาด 94

มีผู้ถามอะนัส ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดโดยสวมรองเท้าใช้ไหม อะนัส ตอบว่าใช้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

ระงับคำพูดและการกระทำที่ถือว่ามาก

เล่าจากซัยดฺ บิน อัรกอม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยพูดคุยกันขณะละหมาด คนๆ หนึ่งจะพูดคุยกับเพื่อนของเขาโดยอยู่เคียงข้างกันขณะละหมาด จนกระทั่งโองการนี้ได้ประทานลงมา ว่า “และท่านทั่งหลายจงดำรงละหมาดอัลลอฮุย่างสงบ” พวกเราจึงถูกสั่งให้นิ่งเงียบ และถูกห้ามพูด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยทักท่านนบี ซ.ล.   ด้วยการกล่าว สลามในขณะที่ท่านนบีกำลังละหมาด และท่านนบีก็ตอบรับสลามของพวกเรา ต่อมาเมื่อพวก เรากลับจากการอพยพ จากกษัตริย์น่ายาซีพวกเราได้ทักท่านนบีด้วยการกล่าวสลาม ปรากฏว่าท่านนบีไม่ตอบรับสลามของพวกเรา พวกเราจึงถามว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ เราเคยทักทาย ท่านด้วยการกล่าวสลามและท่านก็ตอบรับสลามของพวกเราท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า แท้จริงในขณะละหมาดนั้นมีงานยุ่ง (อยู่กับการทำภักดีต่ออัลลอฮ์) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

และสำหรับรายงานของมุสลิม อะบูดาวูดและอะห์มัดว่า แท้จริงไม่มีสิ่งใดจากคำพูดของมนุษย์ เหมาะสมที่จะนำมาบรรจุไว้ในละหมาดนี้ แน่แท้ละหมาดนั้นมีการตัสบีหะ(ซุบฮานัลลอฮ์) ตักบีร(อัลลอฮุ อักบัร) และการอ่านอัลกุรอานหรือใกล้เคียงกับที่ท่านนบีได้กล่าว

เล่าจาก มุอัยกับ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวถึงการลูบในมัสญิด หมายถึง ลูบก้อนกรวดในพื้นมัสญิดให้เรียบ โดยได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านจำเป็นต้องทำก็ให้ทำเพียงครั้งเดียว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และสำหรับรายงานของรายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวก ท่านได้ลุกขึ้นทำละหมาด แน่แท้ความเมตตาของอัลลอฮุยู่เบื้องหน้าเขา ดังนั้น มิให้เขาลูบ ก้อนกรวด

บทที่ 4 95

สุนัตก่อนเข้าละหมาด มีสามตอน

ตอนที่หนึ่ง

อะซาน(اَذَانُ) และอิกอมะห์(اِقَامَةٌ)

อัลลอฮ์ ซ.บ.[290] ได้กล่าวว่า “โอ้ศรัทธาชนทั้งหลาย เมื่อเขาได้ป่าวร้องให้ทำละหมาด ในวันศุกร์ท่านทั้งหลายจงรีบรุดไปยังการระลึกถึงอัลลอฮ์และจงละทิ้งการค้าขาย นั้นเป็น ความดีแก่พวกท่าน หากท่านทั้งหลายรู้,,  และพระองค์ได้กล่าวว่า “เมื่อท่านทั้งหลายได้ป่าวร้องให้ทำละหมาดพวกเขา (กาเฟร) ได้ถือ เป็นเรื่องสนุกสนานและล้อเล่น”

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อเขาป่าวร้องให้มาละหมาดมารร้าย (ชัยฏอน) จะหันหลัง และปล่อยเสียงเผยลม (ตด) จนไม่ได้ยินเสียงป่าวร้อง เมื่อเสร็จเสียงป่าวร้องมินจะหันมา จนกระทั้งเมื่อเขาได้อิกอมะห์มินจะหันหลังไปและเมื่อเสร็จอิกอมะห์มินจะกลับมาอีกจนในที่สุดมันจะสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในใจของคนๆ หนึ่งโดยมันจะกล่าวว่า จงนึกถึงเรื่องนั้น จงนึกถึงเรื่องนี้ จากเรื่องที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเข้าละหมาด จนกระทั้งชายผู้นั้น ไม่รู้ว่าเขาละหมาดได้เท่าไร (ก็เราะกะอัต) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี และสำหรับรายงานของมุสลิมว่า แท้จริงชัยฏอนเมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องให้มาละหมาด (อะซาน)มินจะเผ่นหนีไปจนถึง “เราฮาอ์”[291]

เล่าจากอับดิลลาห์ บิน อับดิลเราะห์มาน บิน อะบีศอศออะห์ว่า ท่านอะบา สะอีด อัลคุดรี ร.ฎ. ได้กล่าวแก่เขา(อับดิลลาห์) ว่า ฉันเห็นว่าท่านรักแพะรักป่าเขาลำเนาไพร เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางฝูงแพะหรืออยู่ท่ามกลางป่าเขา และท่านได้อะซาน (ป่าวร้องให้มาทำละหมาด) ท่านจง เปส่งเสียงให้ดังด้วยการป่าวร้องนั้น เพราะไม่มีใคร (หรือสิ่งใด) ที่ได้ยินเสียงผู้อะซาน จากยิน มนุษย์ และสิ่งใดๆ ก็ดี นอกจากมันจะเป็นพยานให้แก่เขาในวันกิยามัต ท่านอบู สะอีด ได้กล่าวว่าข้าพเจ้าก็ได้ยินมัน จากท่านนบี ซ.ล.   

รายงานโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจากมุอาวิยะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ผู้อะซานทั้งหลายจะเป็นผู้ ที่มีคอยาวที่สุดในวันกิยามัต 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะห์มัด

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อิหม่าม (ผู้นำ) เป็น ผู้ประกันกลุ่มชนของเขา และผู้อะซานเป็นผู้ให้ความปลอดภัยแก่กลุ่มชนของเขา โอ้อัลลอฮ์จงแนะนำแนวทางที่ถูกต้องแก่บรรดาผู้นำ และจงให้อภัยแก่บรรดาผู้อะซาน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และชาฟิอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้อะซานจะได้รับ การอภัยเท่ากับระยะเสียงของเขาไปถึง และจะเป็นพยานให้แก่เขาทุกสิ่ง ที่สดและแท้ง

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี และได้มีเพิ่มเดิมในบางรายงานว่าเขาจะได้รับผลบุญเท่ากับ ผู้ที่ร่วมละหมาดกับเขา

การอะซาน และอิกอมะห์ 96

เล่าจากอะบี มะห์ซูเราะห์ ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้สอนการอะซานให้เขา 19 คำ และการอิกอมะห์ 17 คำ 

การอะซาน 

 อักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) اللهُ أَكْبَرُ
อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
อัชฮะดุ อัน ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله
(ข้าปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮฺ)  
อัชฮะดุ อัน ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله
(ข้าปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮฺ)  
อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله
(ข้าปฏิญาณว่า มุฮัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของ อัลลอฮฺ)  
อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله
(ข้าปฏิญาณว่า มุฮัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของ อัลลอฮฺ)  
หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ (มาละหมาดกันเถิด) حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ
หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ
หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ (มาสู่ความสำเร็จกันเถิด) حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ
หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ
* อัศเศาะลาตุ คอยรุ่ม มินัลเนามุ   (สำหรับละหมาดฟัจรี) اَلصَلاةُ خَيْرُ مِنَ اَلنَوْمَ
* อัศเศาะลาตุ คอยรุ่ม มินัลเนามุ   (สำหรับละหมาดฟัจรี) اَلصَلاةُ خَيْرُ مِنَ اَلنَوْمَ
อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
ลาอิลาหะ อิลลัลลออุ لا إلَـهَ إلَّا الله
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  

 

อัลลอฮุทรงเกรียงไกร อัลลอฮุ ทรงเกรียงไกร อัลลอฮุทรงเกรียงไกร อัลลอฮุทรงเกรียงไกร ได้มีเพิ่มเติมในบางรายงาน ว่าให้ท่านเปส่งเสียงให้ดังด้วยคำดังกล่าวหลังจากนั้นให้ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณว่า ไม่ มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระ นอกจากอัลเลาะฮ์เท่านั้น” (2 ครั้ง) “ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณ ว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮุ (2 ครั้ง) ได้มีเพิ่มเติมในบางรายงานว่า ให้ท่านลดเสียงของท่านด้วยคำกล่าวนั้น หลังจากนั้น ให้ท่านสิ่งเสียงดังด้วยคำปฏิญาณว่า  ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้า นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น (2 ครั้ง) ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณว่า แท้จริง มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของ อัลลอฮุ (2 ครั้ง) จงมาสู่การดำรงละหมาด (2 ครั้ง) จงมาสู่การทำความดี (2 ครั้ง)แต่ถ้าหากเป็นละหมาดซุบฮ์ ให้ท่านกล่าวว่า “การดำรงละหมาดดีกว่าการนอน” (2 ครั้ง) แด่ถ้าหากเป็นละหมาดซุบฮิ ให้ทานกล่าววา “การดำรงละหมาดดีกว่าการนอน” (2 ครั้ง) อัลลอฮ์ทรงเกรียงไกร อัลลอฮ์ทรงเกรียงไกร ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์”

การอิกอมะห์

อัลลอฮุอักบัรฺ (อัลลอฮฺผู้ทรงยิ่งใหญ่) اللهُ أَكْبَرُ
อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ

อัชฮะดุ อัน ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ

(ข้าปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮฺ)

أَشْهَدُ أَنْ لا إلَـهَ إلَّا الله

อัชฮะดุ อันนะ มุฮัมมะดัร เราะซูลุลลอฮฺ

(ข้าปฏิญาณว่า มุฮัมมัดนั้นเป็นศาสนทูตของ อัลลอฮฺ)

أَشْهَدُ أَنَّ مُـحَـمَّداً رَسُولُ الله
หัยยะ อะลัศ เศาะลาฮฺ (มาละหมาดกันเถิด) حَيَّ عَلَى الصَّلَاةِ
หัยยะ อะลัล ฟะลาหฺ (มาสู่ความสำเร็จกันเถิด) حَيَّ عَلَى الفَلَاحِ
ก็อดกอมะติศ เศาะลาฮฺ (การละหมาดได้เริ่มแล้ว) قَدْ قَامَتِ الصَّلاةُ
ก็อดกอมะติศ เศาะลาฮฺ قَدْ قَامَتِ الصَّلاةُ
อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
อัลลอฮุอักบัรฺ اللهُ أَكْبَرُ
ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮฺ) لا إلَـهَ  إلَّا الله

 

ส่วนการอิกอมะห์ให้กล่าวดังนี้ “อัลลอฮุทรงเกรียงไกร อัลลอฮุทรงเกรียงไกร ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์  จงมาสู่การดำรงละหมาด จงมาสู่การทำความดี ถึงเวลาละหมาดแล้ว ถึงเวลาละหมาดแล้ว อัลลอฮ์ทรงเกรียงไกร อัลลอฮ์ทรงเกรียงไกร ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์” 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และมีบางรายให้อิกอมะฮ์ว่า “อัลลอฮุทรงเกรียงไกร อัลลอฮุทรงเกรียงไกร ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ ข้าพเจ้าให้คำปฏิญาณว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์  จงมาสู่การดำรงละหมาด จงมาสู่การทำความดี ถึงเวลาละหมาดแล้ว ถึงเวลาละหมาดแล้ว อัลลอฮ์ทรงเกรียงไกร อัลลอฮ์ทรงเกรียงไกร ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์”

เล่าจากอะนัสได้กล่าวว่า ท่านบิลาล ร.ฎ. ถูกได้ให้ทำการอะซานเป็นคู่ๆ และทำการอิกอมะห์เดี่ยวๆ เว้นไว้แต่คำว่า “ก็อดกอมะติสซอลาห์”ซึ่งให้กล่าวสองครั้ง  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

สิ่งที่สมควรรักษาในการอะซาน 97

เล่าจากอุสมานบิน อบี อัลอาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านจงแต่งตั้งข้าพเจ้าให้นำหน้า(เป็นอิหม่าม) พวกพ้องของข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ท่านเป็น ผู้นำ (อิหม่าม) ของพวกเขา และท่านจงตามคนที่อ่อนแอที่สุดของพวกเขา และท่านจงหา คนอะชาน (มุอัซซิน - مُأذِّنَ) ที่ไม่เอาค่าจ้างในการอะซานของเขา 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากซิยาด บิน อัลอาริส อัส-สุตาอี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ใช้ให้ข้าพเจ้าอะซานในละหมาดฟัจร์ (ซุบฮิ) ข้าพเจ้าจึงได้ อะซานแต่ท่านบิลาล ต้องการอิกอมะห์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงพี่น้องของ สุดาอฺได้อะซานแล้ว ดังนั้นผู้ใดอะซานผู้นั้นก็ต้องอิกอมะห์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากผู้หญิงคนหนึ่งจากตระกูล อันนัจญารฺ ใต้กล่าวว่า บ้านของข้าพเจ้าเป็นบ้าน ที่สูงที่สุดของบ้านที่อยู่รอบๆมัสญิด ท่านบิลาลได้เคย อะซานและหมาดฟัจรี บนบ้านหลังนั้น 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะบียุฮัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นบิลาล อะซาน และหมุนไปรอบ และเขาตามปากของเขาไปที่โน้นและที่นี้[292] และนิ้วทั้งสองของเขาอยู่ในหูทั้งสองข้าง ส่วนท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อยู่ในกระโจมสี่แดงที่ทำจากแผ่นหนังท่านบิลาลได้ออกมาอยู่ข้างหน้าท่านเราะซูลุลลอฮ์พร้อมด้วยไม้เท้าหัวงอแล้วปักมันลงกับพื้นทราย แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาดหันไปทางไม่เท้านั้นโดยมีสุนัขึ้นละลาเดินผ่านข้างหน้าท่าน โดยที่ท่านสวมเสื้อผ้าสี่แดง คล้ายกับข้าพเจ้ามองเห็นความแวววาวจากหน้าแซึ่งทั้งสองข้างของท่าน และในบางรายงาน ว่า เมื่อท่านบิลาลกล่าวถึงคำว่าจงมาสู่การทำความดี จะหันคอไปทางขวาและทางซ้าย โดยไม่ได้หันหน้าอก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ส่วนตัวบทเป็นของติรมีซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวแก่บิลาลว่า โอ้บิลาลเมื่อ ท่านได้อะซาน ท่านจงอะซานอย่างช้าๆ และเมื่อท่านอิกอมะห์ ท่านจงรีบและท่านจงทิ้งช่วงระหว่างการอะชานของท่าน และอิกอมะห์ของท่าน เท่ากับเวลาที่คนรับประทานอาหารรับประทานเสร็จ และคนดื่ม ดื่มเสร็จ และคนที่ปวดอุจจาระและปัสสาวะ เมื่อเขาได้เข้าไปเพื่อปลดทุกข์ (จนแล้วเสร็จ) 

รายงานโดย ติรมิซี

สมควรจะมี ผู้อะซานสองคนในมัสญิดเดียว

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มีคนอะซานสองคน คือ บิลาล และอิบนุ อุมมิมักตูม ชายตาบอด 

รายงานโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงบิลาลจะอะซานในเวลากลางคืน[293] ดังนั้นท่านทั้งหลายจงกินและดื่มจนกว่าอิบนุ อุมมิมักตูมจะอะซาน[294] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และบุคอรีได้รายงานเพิ่มเติมว่า ปรากฏว่าชายตาบอดนั้นจะไม่อะชานจนกว่าจะมีคนกล่าวแก่เขาว่า  ถึงเวลาชุบฮฺแล้ว  ถึงเวลาชุบฮฺแล้ว 

สิ่งที่ผู้ได้ยินเสียงอะซานควรกล่าว

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านได้ยิน เสียงอะซาน (นิดาอุ - نِدَاءَ) ท่านทั้งหลายจงกล่าวเหมือนกับสิ่งที่ผู้อะซานกล่าว (ยกเว้นคำกล่าวว่า หัยยา อะลัศเศาะลาห์ และหัยยา อะลัฟฟะลาห์ ให้กล่าวว่า “ลาเฮาละ วะ ลา กุวะตะ อิลลา บิลลาฮิ - لاحول ولاقوة الا بالله

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และนอกจากบุคอรีได้รายงานเพิ่มเติมว่า  หลังจากนั้นท่านทั้งหลายจงซอลาวาตเหนือ ข้าพเจ้า(นบี) เพราะผู้ใดได้กล่าวซอลาวาตเหนือข้าพเจ้าครั้งหนึ่งอัลลอฮ์จะซอลาวาตเหนือเขา 10 ครั้ง หลังจากนั้นท่านทั้งหลายจงขออัลวะซีละห์ให้ข้าพเจ้า เพราะมันเป็นตำแหน่งในสวรรค์ ซึ่งไม่เหมาะสม (แก่ผู้ใด) นอกจากแก่บ่าวคนหนึ่งจากบรรดาบ่าวของอัลลอฮ์และข้าพเจ้า หวังว่าข้าพเจ้าจะเป็นบ่าวคนนั้น ดังนั้นผู้ใดขออัลวาซีละห์ ให้แก่ข้าพเจ้า ความช่วยเหลือจะตกอยู่แก่เขา 

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดกล่าวขณะได้ยินเสียงอะซานว่า โอ้พระผู้,เป็นเจ้า ผู้เป็นเจ้าของคำป่าวร้องที่สมบูรณ์นี้ เป็นเจ้าของละหมาดที่ ได้เวลาต้องกระทำ จงให้ตำแหน่งอัลวาซีละห์ และอัลฟาดีละห์[295] แก่มุฮัมมัด จงแต่งตั้งเขา ให้อยู่ในตำแหน่งที่น่าสรรเสริญตามที่ท่านได้ให้สัญญาไว้ ความช่วยเหลือของข้าพเจ้าจะตกอยู่ แก่เขาในวันกิยามัต 

اَللَّهُمَّ رَبَّ هاذِهِ الدَّعْوَةِ التَّامَةِ وَالصَّلاةِ القَائِمَةِ آتِمُحَمَّدًاالْوَسِلَةَ وَالْفَضِيلَةَ وَبْعَثْهُمَقَامًا مَحْمُودًا الَّذِى وعَدْتَهُ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากสะอดฺ บิน อะบี วักกอส ร.ฎ. จากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กล่าวขณะได้ยินผู้อะชานว่า ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก อัลลอฮ์องค์เดียว โดยไม่มีคู่ภาคี และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นบ่าวและทูต ประกาศศาสนาของพระองค์ ข้าพเจ้ามีความพึงพอใจเอา อัลลอฮ์เป็นพระเจ้า เอามุฮัมมัด เป็นทูตประกาศศาสนา และเอาอิสลามเป็นศาสนา บาปของเขาจะถูกอภัยให้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

สำหรับรายงานของมุสลิมและอะบูดาวูดว่า ผู้ใดกล่าวเหมือนกับผู้อะซานกล่าว นอกจาก ในขณะผู้อะซานกล่าวว่า ฮัยยะ อลัสซอลาฮฺ ฮัยยะ อะลั้ลฟะลาฮ เขากล่าวว่า ไม่มีกำลังจะทำความดีและไม่มีกำลังจะป้องกันความชั่วเว้นแต่ด้วยอัลลอฮ์ เขากล่าวด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาจะได้เข้าสวรรค์ และบิลาลได้เริ่มอิกอมะห์ เมื่อบิลาลกล่าวว่า “ก็อดกอมะติสซอลาฮฺ,’ ท่านนบี ซ.ล.   กล่าวว่า “อัลลอฮ์ได้ให้ละหมาดดำรงแล้ว และได้ให้ละหมาดคงอยู่ตลอดไป” (อ้ากอม่าฮ้าลลอ อุวะ อะตาม่าฮา) และท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวตามในอิกอมะห์ทั้งหมดเหมือนในอะซาน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

การวิงวอน (ขอดุอาอ์) ในระหว่างคำป่าวร้องทั้งสองเป็นการวิงวอนที่ถูกรับ

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า คำวิงวอน (ดุอาอ์) จะไม่ถูกปฏิเสธ ระหว่างอะชานและอิกอมะห์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.แท้จริง เหล่าผู้อะซานได้ ล้ำหน้าพวกเราไปมากในเรื่องผลบุญ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านจงกล่าวเหมือนกับเหล่าผู้อะชานกล่าว เมื่อเสร็จแล้ว ท่านจงขอ เขา(อัลลอฮ์)จะให้ท่านตามที่ขอ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด 

เล่าจากอะบีซะอฺซาอุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่าขณะที่พวกเราอยู่กับอบีฮุรอยเราะห์ในมัสญิดได้มี ชายผู้หนึ่งออกไปนอกมัสญิด ขณะที่ผู้อะซานได้อะซานเพื่อบอกเวลาละหมาดอัศรี ท่านอะบู ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า ชายผู้นี้ได้ทำชั่วต่อ อะบา อัลกอซิม[296] ซ.ล.  (หมายถึงท่านนบีมุฮัมมัด ซ.ล. )

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่สอง 100

การแปรงฟัน

เล่าจากอุซัยฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   ขณะที่ลุกขึ้นมาเพื่อละหมาด (ตะฮัดยุด) ท่านนบีจะถูปากของท่านด้วยด้ามไม้ที่ใช้แปรงฟัน (ไม้มิสวาก - مِسْوَاكٌ)

เล่าจากอะบี มูซา ร.ฎ. ได้กล่าว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.   ข้าพเจ้าพบว่ากำลัง แปรงฟันด้วยแปรงสี่ฟัน(ไม้มิสวาก - مِسْوَاكٌ) อยู่ในมือ ทำเสียง อ๊อก อ๊อก โดยแปรงถูฟันยังอยู่ในปากคล้ายคนกำลังอาเจียน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ.      จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  ถ้าหากข้าพเจ้าไม่กลัวว่าจะเป็นภาระอันหนักหน่วงเหนือประชากรของข้าพเจ้าแล้ว                   ข้าพเจ้าจะได้พวกเขาให้แปรงฟันทุกครั้งที่จะละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก ซัยดิ บิน คอลิต ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ถ้าหากข้าพเจ้า ไม่กลัวว่าจะเป็นภาระที่หนักหน่วงเหนือประชากรของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะใช้พวกเขาให้แปรงฟันทุกครั้งที่จะละหมาด และข้าพเจ้าจะหน่วงละหมาดอิชาอ์ไว้จนถึงค่อนคืน

และปรากฏว่า ซัยดิ บิน คอลิด เคยละหมาด ในมัสญิด โดยที่แปรงสีฟันของเขาเหน็บ ไว้ที่หูเหมือนปากกาที่อยู่ที่หูของนักเขียนเขาจะไม่ลุกขึ้นละหมาดนอกจากจะแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว และเสียบแปรงสี่ฟันไว้ในที่เดิม 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดสองเราะกะอัตด้วยการแปรงฟันดีกว่า 70 เราะกะอัตโดยไม่แปรงพัน 

รายงานโดย อะห์มัด และตารุกุดนี้

ผ้าโพกศีรษะ 101

เล่าจากอัมรุ บินฮุรอยซิ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล.   อยู่บนมิมบัร โดยพันผ้าโดยกศีรษะสี่ดำ และปล่อยชายของมันให้ห้อยอยู่ระหว่างไหล่ ทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อพันผ้าโดยกศีรษะ จะปล่อย ชายของมันให้ห้อยอยู่ระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของท่าน

ท่านนาเฟียะอุได้กล่าวว่า และปรากฏว่าอิบนิ อุมัร เคยปล่อยชายของผ้าพันศีรษะให้ ห้อยระหว่างไหล่ทั้งสองข้างของเขา 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ละหมาดสองเราะกะอัตโดยมีผ้าพันศีรษะดีกว่า 70เราะกะอัตโดยไม่มีผ้าพันศีรษะ 

รายงานโดย อัดไดละมี

ตอนที่สาม 101

ของกั้นข้างหน้าคนละหมาด[297]

เล่าจาก สะห์ลิ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าระหว่างที่ละหมาดของท่านนมี ซ.ล.  กับฝาผนังห่างกันชั่วทางเดินผ่านของแพะ[298] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากยาซีด ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ซาลามะห์ ร.ฎ. เคยคอยเฝ้าละหมาดที่ “เสากลม” ซึ่งอยู่ใกล้ๆ หีบที่บรรจุอัลกุรอาน ข้าพเจ้าได้ถามเขาว่า  โอ้อะบา มุสลิม ข้าพเจ้าเห็นท่านคอย เฝ้าละหมาดอยู่ที่เสานี้ ซาลามะห์ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล.   คอยเฝ้าละหมาดอยู่ที่เสานี้[299]

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่าท่านนมี ซ.ล.  เคยมีผู้ปักหอกสั้น ให้ท่านละหมาดหันหน้าเข้าหามัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้นำเอาพาหนะของท่านมาขวางไว้ข้างหน้าแล้วละหมาดหันไปทางพาหนะนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงเรื่องของกั้นข้างหน้าคนละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า (สูงขนาด) พนักพิงของอานบนหลังสัตว์พาหนะ 

รายงานโดย มุสลิม

เล่าจาก ตอลหะฮ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนใดคนหนึ่งได้วางไว้ข้างหน้าเขา สิ่งที่มีความสูงเท่าพนักพิงของอาน ให้เขาละหมาด และอย่าหวั่นไหวกับบุคคล ที่เดินผ่าน เบื้องหลังของสิ่งนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

อ้าตออฺได้กล่าวว่า พนักพิงของอานสูงประมาณหนึ่งศอกหรือมากกว่านั้น 

รายงานโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนมี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง จะละหมาด          ให้เขาวางสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ข้างหน้า ถ้าหากไม่พบสิ่งใดๆ ให้ปักไม้เท้าไว้ ถ้าหากไม่มีไม้เท้า ให้ขีดที่พื้นหนึ่งขีด หลังจากนั้นบุคคลที่เดินผ่านข้างหน้า เขาจะไม่เป็นอันตรายกับเขา 

เล่าจากมิกดาด บิน อัลอัสวัด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ละหมาดหันหน้าเข้าหาที่ท่อนไม้ เสา หรือต้นไม้ นอกจากจะให้สิ่งเหล่านั้นอยู่ทางด้านขวาของท่าน หรือทางด้านซ้าย โดยจะไม่หันหน้าตรงๆ ไปทางสิ่งเหล่านั้น [300]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

ระยะใกล้กับของกั้น 102

ปรากฏว่า อิบบุ อุมัร ร.ฎ. เมื่อได้เข้าไปในวิหารกะอฺบะฮฺ จะเดินไปข้างหน้าและให้ ประตูของกะอฺบะฮฺอยู่ทางเบื้องหลัง แล้วเดินเข้าไปจนเขากับผนังซึ่งอยู่เบื้องหน้าเขาใกล้กันมาก กว่าสามคอก(จึงได้ละหมาด) โดยคอยต้องจะละหมาดในสถานที่ที่บิลาลบอกได้ว่า  ท่านนมี ซ.ล.  ได้ละหมาดในสถานที่นั้น ผู้เล่า (คือ อิบนุ อุมัร) ได้กล่าวว่า ไม่เป็นเรื่องสำคัญ เขาจะละหมาด หันไปทางใดก็ได้ตามต้องการในเมื่อเขาอยู่ในวิหารกะอ์บะห์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะห์มัด

และสำหรับรายงานของอะบูดาวูด       และอะห์มัดว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งได้ละหมาดหันไปทางของกั้น ให้เขาเข้าไปใกล้ๆ ของกั้น เพื่อจะได้ไม่ทำให้ละหมาดของเขาขาดตอน[301]

ผู้เดินตัดหน้าคนละหมาดมีบาปและคนละหมาดมีสิทธิ์ผลัก 103

เล่าจาก อะบี ยุฮัยมฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ล้าหากคนที่เดินตัดหน้าคนกำลังละหมาดรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาแล้ว การที่เขาจะหยุดนิ่งอยู่ (ห่างๆ) เป็นเวลา 40 แก่เขายิ่งกว่า จะเดินตัดหน้าคนละหมาด ท่านอบูอัลนัดรุ ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า เขากล่าวว่า 40 วัน หรือเดือน หรือปี[302] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และลำหรับรายงานของติรมีซีและอิบนิฮิบบานว่า การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะหยุดนิ่ง อยู่เป็นเวลาร้อยปี เป็นความดีของเขายิ่งกว่าจะเดินตัดหน้าพี่น้องของเขาขณะละหมาด

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจาก พวกท่านได้ละหมาดหันไปยังสิ่งหนึ่ง ซึ่งมันจะกันเขาจากผู้คนทั้งหลาย ดังนั้นเมื่อผู้หนึ่งผู้ใด ต้องการจะเดินตัดหน้าเขา ให้เขาจงผลักผู้นั้น ถ้าหากเขายังดื้อดึง (ที่จะเดินตัดหน้าให้ได้) ก็ให้ต่อสู้กับเขา เพราะเขาคือ ชัยฏอน(มารร้าย) 

รายงานโดย รานคน

ของกั้นของอิหม่ามเป็นของอิหม่ามและของคนข้างหลัง

เล่าจาก อิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อได้ออกไป (ละหมาด) ในวันอีด ได้ใช้ให้นำเอาหอกสั้นมาตั้งไว้ข้างหน้า แล้วละหมาดหันไปทางหอกนั้น และมีคน (ตาม) อยู่ข้างหลังท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กระทำอย่างนั้น ในยามเดินทาง ด้วยเหตุนี้ บรรดาเจ้าเมืองจึงได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอบี ยุฮัยฟะอฺ ร.ฎ. ได้กล่าว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ออกมาหาพวกเราในเวลา ร้อนจัด มีผู้นำนํ้าที่จะได้อาบน้ำละหมาดมาให้ ท่านนบีได้อาบนํ้าละหมาดและได้ละหมาด และอัสรฺ กับพวกเรา ข้างหน้าของท่านนบีมีไม้เท้าหัวงอตั้งอยู่ ผู้หญิงและลาเดินผ่านข้างหลัง[303] ไม้เท้าหัวงอนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

สิ่งที่มีผู้กล่าวว่าทำให้เสียละหมาด

เล่าจากอะบี ซัรริร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่อใครคนหนึ่งจากพวกท่านลุกขึ้นละหมาด แน่แท้มันจะได้เป็นเครื่องกั้นให้เขา เมื่อข้างหน้าของเขามีวัสดุที่สูงขนาดหนักพิงของอาน ถ้าหากไม่ปรากฏว่ามีวัสดุที่สูงขนาดพนักพิงของอานอยู่เบื้องหน้าเขา แน่แท้สิ่งที่จะตัดละหมาด คือลา ผู้หญิง และหมาดำ ข้าพเจ้า (นักรายงานคนหนึ่ง) ได้กล่าวว่า โอ้ อบาซัรริ หมาดำมิต่างกันอย่างไรกับหมาแดงและหมาเหลือง อบูซัรริ ได้กล่าวว่า  โอ้น้องชาย ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เหมือนอย่างที่ท่านถามข้าพเจ้า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ตอบว่า  หมาดำคือ ชัยฏอน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และตามรายงานของอะบูดาวูดและนะซาอี ร.ฎ. ว่า เมื่อใครคนหนึ่งจากพวกท่านได้ ละหมาดโดยไม่มีของกั้น แน่แท้สิ่งที่จะตัดละหมาดคือ หมา ลา หมู ยะฮูดี มาญูซี และผู้หญิง และพอเพียงจากเขาแล้ว เมื่อพวกเหล่านั้นได้เดินผ่านหน้าเขาในระยะห่างเท่ากับระยะขว้างของก้อนหิน

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าได้มุ่งหน้ามาโดยขี่อยู่บนหลังลาตัวเมีย ข้าพเจ้าในวันนั้นเกือบบรรลุศาสนภาวะแล้ว ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กำลังละหมาดอยู่ กับกลุ่มชนที่มินา โดยมิได้หันหน้าเข้าหากำแพง ข้าพเจ้าได้เดินตัดหน้าแถวละหมาด ไม่มีใคร ปฏิเสธการกระทำของข้าพเจ้าสักคน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในบางรายงานว่า ลา (ตัวเมีย) ได้เดินผ่านหน้า (ตัดหน้า) พวกเขาเหล่านั้น โดยไม่ ตัดละหมาดของเขา[304]

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า มีผู้กล่าวถึงสิ่งที่ตัดละหมาดแก่พระนางอาอิชะห์โดยพวกเขากล่าวว่า สิ่งที่จะตัดละหมาดคือ หมา ลา และผู้หญิง พระนางอาอิชะห์ได้กล่าวว่า  ความจริงพวกท่านได้ทำให้พวกเราเป็นหมา[305]

และในบางรายงานว่า  ความจริงท่านทั้งหลาย เปรียบพวกเราเหมือนลา และเหมือนหมา แท้จริงข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล.   ละหมาด และตัวข้าพเจ้าเองขวางอยู่ระหว่างท่านนบี ซ.ล.   กับทิศกิบลัด ส่วนตัวข้าพเจ้านอนตะแคงอยู่บนเตียง แล้วปรากฏว่าข้าพเจ้ามีธระ ข้าพเจ้าไม่ชอบ (ไม่ต้องการ) จะผินหน้าไปหาท่านนบี ข้าพเจ้าจึงค่อยๆ ถอนตัวออกมาจากเบื้องหน้าของท่านนบี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเคยนอนหลับอยู่ข้างหน้าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  และสองเท้าของข้าพเจ้าหันไปทางกิบลัต เมื่อท่านจะสุญูดได้สะกิดข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้หดเท้าทั้งสองของข้าพเจ้า เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้าได้ยืดเท้าทั้งสอง ข้างโดยที่บ้านเรือต่างๆ ในวันนั้นยังไม่มีดะเกียง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม 

และสำหรับรายงานของอะบูดาวูด มาลิก และตารุกุดนี้ว่า ไม่มีสิ่งใดตัดละหมาด ท่านทั้งหลายจงป้องกันตามความสามารถ แท้จริงมันคือชัยฏอน

บทที่ 5 วิธีละหมาด มีสองตอน ตอนที่ 1

รุก่น(اَرَّكَانُ)ละหมาด (องค์ประกอบที่สำคัญของละหมาด)

เล่าจากอุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า แท้จริงการกระทำต่างๆ ขึ้นอยู่กับการเหนียต (เจตนา) แน่แท้ทุกคนจะได้รับผลตามที่ตนเจตนา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้เข้าไปในมัสญิด แล้วมีชายคนหนึ่งตามเข้าไป เขาได้ละหมาด แล้วเข้ามาหาทักทายด้วยการกล่าวสลามแก่ท่านนบี ท่านนบี ซ.ล.   ได้ตอบสลามแก่ชายผู้นั้นแล้วกล่าวว่า จงกลับไปละหมาด เพราะท่านยังไม่ได้ละหมาด ชายผู้นั้นได้ไปละหมาด แล้วกลับมาและให้สล่ามแก่ท่านนบี ซ.ล.   แล้วท่านที่กล่าวว่า จงกลับ ไปละหมาด เพราะท่านยังไม่ได้ละหมาด (ได้กล่าวอย่างนี้ซ้ำกันถึงสามครั้ง) ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ที่แต่งตั้งท่านมาพร้อมด้วยสัจธรรมว่า  ข้าพเจ้าไม่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ ดังนั้นจงสอน (วิธีละหมาด) ให้ข้าพเจ้า ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อท่านยืนขึ้นทำละหมาดจงกล่าวตักบีร “อัลลอฮุอักบัร หลังจากนั้นจงอ่านสิ่งที่สะดวกแก่ท่านจากคัมภีร์อัลกุรอาน หลังจากนั้นจงก้มรุกัวะอ์จนท่านนิ่งอยู่ในอาการสงบ ในสภาพรุกัวะอ์ หลังจากนั้นท่านจงเงยขึ้นจน อยู่ในสภาพยืนตรง แล้วก้มกราบลงสุญูด จนอยู่ในอาการสงบ ในสภาพก้มกราบ (สุญูด) หลัง จากนั้นเงยขึ้นมานั่งในอาการสงบ ต่อจากนั้นก้มกราบลงด้วยอาการสงบ แล้วจงกระทำอย่างนี้ ในละหมาดของท่านทั้งหมด (จนเสร็จ) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ในรายงานของ อะบูดาวูด มีเพิ่มเติมว่า  เมื่อท่านได้กระทำอย่างนี้เท่ากับท่านได้ทำให้ ละหมาดของท่านสมบูรณ์ และสิ่งใดที่ท่านทำหย่อนไปกว่านี้เท่ากับได้ทำให้ละหมาดของ ท่านหย่อนไป

เล่าจากอุบาดะห์ บิน อัซซอมิต ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีละหมาดสำหรับผู้ที่ไม่อ่านฟาติฮะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้กระทำการละหมาด โดยมิได้อ่านฟาตีฮะห์ในละหมาดนั้น ละหมาดของเขาบกพร่อง(กล่าวซ้ำ) สามครั้ง ไม่สมบูรณ์        แล้วมีผู้กล่าวแก่อบูฮุรอยเราะห์ว่า พวกเราอยู่ข้างหลังอิหม่าม (ผู้นำละหมาด) อบูฮุรอยเราะห์กล่าวว่าจงอ่านฟาติฮะห์ในใจของท่าน เพราะแท้จริงข้าพเจ้าได้ยินเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า เราได้แบ่งละหมาดออกเป็นสองท่อน ระหว่างเรากับบ่าวของเรา และสำหรับบ่าวของเรานี้จะได้รับตามที่เขาขอ เมื่อบ่าวได้กล่าวว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮิรอบบิลอาละมีน” (มวลการสรรเสริญถวายแด่อัลลอฮ์ผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล) อัลลอฮ์ (ซ.บ.) กล่าวว่า บ่าวของเราได้ถวายการสรรเสริญให้เรา เมื่อบ่าวกล่าวว่า ผู้ทรงความเมตตาและกรุณายิ่ง อัลลอฮ์ตะอาลากล่าวว่า  บ่าวของเราได้ถวายการเยินยอต่อเรา เมื่อ บ่าวกล่าวว่า ผู้เป็นเจ้าของวันแห่งการตอบแทน อัลลอฮ์กล่าวว่า บ่าวของเราได้ถวายความยิ่งใหญ่ให้เรา และได้กล่าวในบางครั้งว่า บ่าวของเราได้มอบ (ความเป็นไป) ให้เรา เมื่อบ่าวกล่าวว่า เฉพาะท่านเท่านั้นที่เราสักภาระบูชา และเฉพาะท่านเท่านั้นที่เราขอช่วยเหลือ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) กล่าวว่า นี่แหละคือกึ่งกลางระหว่างเรากับบ่าวของเรา และบ่าวของเราจะได้รับตามที่เขาขอ เมื่อบ่าวกล่าวว่า ขอท่านได้โปรดแนะแนวทางที่ถูกต้องให้กับพวกเรา คือแนวทางของบรรดาผู้ซึ่งท่านได้โปรดปรานพวกเขา มิใช่พวกที่ถูกกริ้วและหลงผิด พระองค์อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า นี่แหละเป็นส่วนของบ่าวของเรา และเขาจะได้รับตามที่ขอ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุบาดะห์ บิน อัซซอมิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  พวกเราอยู่ข้างหลังท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในละหมาดฟัจรี ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านคัมภีร์อัลอุรอานแต่การอ่านอัลอุรอาน เป็นสิ่งยากลำบากแก่พระองค์[306] เมื่อเสร็จแล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า หวังว่าท่านทั้งหลายจะต้องอ่านอัลกุรอานข้างหลังอิหม่ามของพวกท่าน พวกเรากล่าวว่า ครับ เราจะกระทำตามนี้ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายอย่าอ่านอย่างนั้น นอกจากฟาติฮะห์เท่านั้น เพราะไม่มีละหมาดให้แก่ผู้ไม่อ่านฟาติฮะห์

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบิ ซ.ล.  เสร็จจากละหมาดในครั้งหนึ่งที่ท่านนบี ซ.ล.   ให้อ่าน (ฟาติฮะห์) ดัง แล้วกล่าวว่า มีใครอ่านพร้อมกับข้าพเจ้าบ้างหรือเปล่า เมื่อสักครู่นี้ มีชายผู้หนึ่งกล่าวว่า ครับ โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้ากล่าวว่า  ไม่บังควรที่ข้าพเจ้าจะดึงอัลกุรอานมาโต้กัน (ผู้เล่า) ได้กล่าวว่า ผู้คนได้พา กันเลิกจากการอ่าน พร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ในละหมาดต่างๆ ที่อ่านดัง

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  

เล่าจากญาบีร ร.ฎ. กล่าวว่า ผู้ใดละหมาดหนึ่งเราะกะอัตโดยไม่ได้อ่านฟาติฮะห์เท่ากับ เขายังไม่ละหมาด นอกจากเขาจะอยู่ข้างหลังอิหม่าม 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี  เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ใต้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กับอบูบักร์กับอุมัร และกับอุษมาน ร.ฎ. ข้าพเจ้าไม่ได้ยินใครสักคนจากพวกเขาอ่าน (บิสมิลลา หิรเราะห์มานี้รเราะฮีม)[307] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ส่วนตัวบทของนะซาอีว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ละหมาดกับพวกเรา โดยท่าน มิได้ทำให้พวกเราได้ยินการอ่านบิลมิลลา หิรเราะห์มานี้รเราะฮีม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยเริ่มเปิดฉากละหมาดของ ท่านบิสมิลลา หิรเราะห์มา นีรเราะฮีม 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี ฮากีม และตารุกุดนี

เล่าจากอิบนุ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกได้ให้สุญูด (ก้มกราบ) บน อวัยวะทั้ง 7 บนหน้าผากและท่านนบีได้ใช้มือชี้ไปที่จมูก และมือทั้งสองข้าง หัวเข่าทั้งสองข้าง และปลายเท้าทั้งสองข้าง โดยเราไม่ต้องร่นผ้าและเสยผมขึ้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อิบนุ อับบาส) ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยสอน ตะชะชุด (นั่งอัตตะฮิยาต) ให้พวกเราเหมือนสอนอัลกุรอานให้พวกเรา ท่านนบีเคยกล่าวว่า  มวลการคารวะที่เป็นมงคล มวลด่าวิงวอนที่บริสุทธิ์กลับคืนสู่อัลลอฮ์ขอความสันติจงประสบแค,ท่านโอ้ท่านนบี รวมทั้ง ความเมตตาและความเพิ่มพูนของพระองศ์ ขอความสันติจงประสบแต่พวกเรา และแด่บ่าวของ อัลลอฮ์ที่ดี ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากอัลลอฮ์ และมีเพิ่มเติมในบางรายงานว่า องค์เดียวเท่านั้น โดยไม่มีคู่ภาดีกับพระองค์ และข้าพเจ้าให้สัตย์ ปฏิญาณว่า แท้จริงบุอำมัดเป็นศาสนทูต'ของอัลลอฮ์ 

اَلتَّحِيَاتُ للهِ وَ الصَّلَوَاتُ وَالطَّيِبَاتُ          

اَلسَّلاَم عَلَيْكَ أَيُّهَا النَّبِيُ وَرَحْمَةُ اللهِ وَبَرَكَاتُهُ

اَلسَّلاَم عَلَيْنَا وَعَلَى عِبَادِ اللهِ الصَّالِحِيْنَ

أَشْهَدُ أَنْ لا إِلَهَ إِلاَّ اللهُ و أَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ               

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยกล่าวในละหมาดข้างหลังท่านเราะซูลุลลอฮ์เลาะห์ ซ.ล.  ว่า ขอความสันติจงประสบแด่อัลลอฮ์ ขอความสันติจงประสบแด่คนนั้นคนนี้ เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวแก่พวกเราในวันหนึ่งว่า แท้จริงอัลลอฮ์คือความสันติ เมื่อใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้นั่ง ในละหมาดให้เขากล่าวว่า มวลการคารวะและมวลคำวิงวอนที่บริสุทธิ์ ขอความสันติจงมีแด่ท่าน โอ้ท่านนบี รวมทั้งความเมตตาและเพิ่มพูนของอัลลอฮ์ ขอความสันติจงประสบแด่พวกเรา และแด่บรรดาบ่าวของอัลลอฮ์ที่ดี เมื่อเขาได้ กล่าวคำว่า (และแด่บรรดาบ่าวของอัลลอฮ์ที่ดี)มินครอบคลุมบ่าวที่ดีของอัลลอฮ์ทั้งหมด ทั้งบนฟ้าและในหน้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรเคารพสักภาระนอก จากอัลลอฮ์และข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่าแท้จริงมุฮัมมัดเป็นทูตประกาศศาสนาของอัลลอฮ์” หลังจากนั้นให้เขาเลือกขอเอาตามต้องการ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากกะอ์บิ บินอุจเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยปรากฏกล่าวใน ละหมาดว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดประทานพรให้แก่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด ตั้งท่านได้ประทานพรแก่อิบรอฮีมและวงศ์วานของอิบรอฮีม ขอท่านได้ประทานความเพิ่มพูน แก่มุฮัมมัดและวงศ์วานของมุฮัมมัด ดังท่านได้ประทานความเพิ่มทุนแก่อิบรอฮีม และวงศ์วาน ของอิบรอฮีม ความจริงท่านนั้นควรแก่การสรรเลริฐและควรแก่การเคารพยกย่อง 

الصلواتُ النبِ   เล่าจากกะอ์ บินอุจเราะห์ 

اَللَّهُمَّ صَلِّ عَلَى مُحَمَّد وَعَلَى آلِ مُحَمَّد

 كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إبْرَهِيْمِ وآلِ إبْرَهِيْمِ

 وَ بَارِكْ عَلَى مُحَمَّدٍ و آلِ مُحَمَّدٍ

 كَمَا بَارشكْتَ عَلَى إبْرَهِيْمِ و آلِ إبْرَهِيْمِ

 اِنَّكَ حَمِدٌ مَجِيْدٌ           

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  ตัวบทของชาฟิอี

เล่าจากอิดบาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.   พวก เราได้ให้สล่ามขณะที่ท่านนบีให้สล่าม

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และสะอัดได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ให้สล่าม ได้หันไปทางขวาและทางซ้าย จนข้าพเจ้าเห็นผิวขาวจากแก้มของท่านนบี

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอับดุลลอฮ์ร.ฎ. ว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยให้สล่ามทางด้านขวาและทางด้านซ้าย จนแลเห็นผิวขาวของแก้มว่า “ขอความสันติสุขจงประสบแด่ท่านทั้งหลาย”

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบูฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   กล่าวว่า การกล่าวสลามสั้นๆ เป็นชุนนะห์

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี 

ตอนที่ 2

สิ่งที่จะเพิ่มความสวยงามให้ละหมาด  ยกมือทั้งสองข้าง[308] และตักบีรอินติกอล[309]

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นท่านนบี ซ.ล.   ได้เปิดฉากเริ่มต้น ด้วยการตักบีร (อัลลอฮุ อักบัร) เพื่อเข้าละหมาด โดยยกมือทั้งสองข้างขณะตักบีรจนมือทั้งสองข้างตรงกับบ่าทั้งสองข้าง เมื่อตักบีรเพื่อก้มรุกัวะอ์ได้กระทำเหมือนอย่างนั้นและขณะเมื่อกล่าวว่า “อัลลอฮ์ได้ยินบุคคลที่กล่าวถวายคำสรรเสริญต่อพระองค์ก็ได้กระทำอย่างนั้นและได้กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮ์ของเรามวลการสรรเสริญถวายแก่ท่าน”

และในบางรายงานว่า และเมื่อยืนขึ้นจากเราะกะอัตที่สอง เพื่อทำเราะกะอัตที่สาม) ได้ยกมือทั้งสองข้างแต่ท่านนบีจะไม่ทำอย่างนั้น (ยกมือ) ขณะก้มกราบสุญูดและไม่ทำอย่างนั้นขณะเงยหัวจากสุญูด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ในรายงานของมุสลิม และอะบุดาวูดว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อตักบีรได้ยกมือ ทั้งสองข้างขึ้น จากนั้นได้รวบผ้าของพระองค์ให้กระชับและจับมือซ้ายด้วยมือขวา

เล่าจากอะบี เซาะห์ บินฮะลิบ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่าน ซ.ล.  เคย (เป็นอิหม่าม) นำละหมาด และจับมือซ้ายด้วยมือขวา 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

ท่านอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ที่เป็นซุนนะห์คือ วางมือขวา บนมือซ้าย ในละหมาดใต้สะดือ[310] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอับดุลเลาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยกล่าวตักบีร ทุกๆ ครั้งที่ก้ม เงยยืน และนั่ง และอบูบักร์กับอุมัรก็ได้ทำเช่นเดียวกัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ตัวบทของติรมิซี

ดุอาอ์อิฟติตาห์[311] 110

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคย หยุดระหว่างกล่าวตักบีรกับการอ่านฟาติฮะห์หยุดเล็กน้อย ข้าพเจ้ากล่าวว่า ข้าพเจ้ายินดีแลกท่านกับพ่อแม่ของข้าพเจ้า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ขณะที่ท่านหยุดระหว่างกล่าวตักบีรกับอ่านฟาติฮะห์นั้น ท่านกล่าวอะไร ท่านตอบว่า ข้าพเจ้ากล่าวว่า  โอ้อัลลอฮ์จงกันด้วยข้าพเจ้า กับความผิดของข้าพเจ้าให้ห่างไกล ดุจดังท่านได้ให้ตะวันออกลับตะวันตกไกลกัน และโอ้พระ ผู้เป็นเจ้าจงขจัดความผิดทั้งหลายให้สะอาดจากตัวของข้าพเจ้า                                                                                          เหมือนผ้าที่ถูกขจัดจากสิ่งโสโครกโอ้พระผู้เป็นเจ้าขอได้โปรดชำระล้างความผิดของข้าพเจ้าด้วยนํ้าธรรมดา ด้วยนํ้าแข็งและด้วยนํ้าถูกเห็บ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ขณะที่พวกเรากำลังละหมาดอยู่กับท่านนบี ซ.ล.   ได้มีชายคนหนึ่งจากกลุ่มชนกล่าวขึ้นว่า อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรยิ่ง มวลการสรรเสริญถวายแด่พระองค์อัลลอฮุย่างมากมายและมหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮ์ทั้งยามเช้าและยามเย็น 

اللهُ اَكْبَرُ كَبِيْرًا وَ الْحَمْدُ للهِ كَثِيْرًا وَ سُبْحَانَ اللهِ بُكْرَةً وَ أصِيْلًا

ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ใครเป็นผู้กล่าวเช่นนั้น ชายคนหนึ่งจากกลุ่มชนได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเอง โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ประตูฟ้าถูกเปิด เพราะถ้อยคำเหล่านั้น ท่านอิบนุ อุมัรได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยทิ้งถ้อยคำเหล่านั้นเลยตั้งแต่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวเช่นนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อลุกขึ้นทำ ละหมาดจะกล่าวตักบีรแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าบ่ายหน้าไปสู่ผู้สร้างฟ้าสร้างแผ่นดินในสภาพของผู้หันเหออกจากศาสนาที่เหลวไหลมาสู่ศาสนาที่เที่ยงธรรม และในสภาพของผู้ยอมจำนน และข้าพเจ้ามีใช่ผู้รวมอยู่ในกลุ่มชนที่ตั้งภาคี แท้จริงการละหมาดของข้าพเจ้า การปฏิบัติศาสนกิจ ของข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่ของข้าพเจ้า และความตายของข้าพเจ้า เป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮ์ผู้อภิบาลสากลโลก โดยไม่มีคู่ภาคีกับพระองค์นั้นแหละคือสิ่งที่ข้าพเจ้า ถูกบัญชาใช้ และข้าพเจ้า รวมอยู่ในกลุ่มของผู้ยอมจำนน โอ้พระผู้เป็นเจ้า ท่านคือผู้เป็นเจ้าของเรา ไม่มีพระเจ้า ที่ควรแก่ การเคารพสักภาระนอกจากพระองค์ท่าน ท่านคือพระเจ้า ของข้าพเจ้า และข้าพเจ้า เป็นบ่าวของ ท่าน ข้าพเจ้า ทุจริตต่อตัวเอง และข้าพเจ้า สารภาพในความผิดของข้าพเจ้า ขอท่านได้โปรดอภัยในความผิดของข้าพเจ้า ทั้งหมด ไม่มีผู้ใดจะให้อภัยในความผิดต่างๆ นอกจากท่าน ขอท่านได้โปรดแนะแนวทางให้แกข้าพเจ้า เพื่อมีความประพฤติที่คี่งาม ไม่มีใครแนะแนวทางไปสู่ความ ประพฤติที่ดีงามให้แก่ข้าพเจ้า ไค้นอกจากท่าน ขอท่านได้โปรดหันเหความประพฤติที่เลวที่ราม ให้พันจากข้าพเจ้า ไม่มีใครหันเหความประพฤติที่เลวที่รามให้พันจากข้าพเจ้าไค้นอกจากท่าน ข้าพเจ้า พร้อมที่จะรับคำบัญชาจากท่าน และข้าพเจ้าพร้อมจะปฏิบัติตามคำบัญชาของท่าน ความดีทั้งหมดอยู่ในสองมือของท่าน ความชั่วไม่สมควรพาดพิงกับท่าน ข้าพเจ้า เป็นอยู่เพราะความ เมตตาจากท่าน และท่านเป็นที่พักพิงของข้าพเจ้า ท่านเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ข้าพเจ้า ขออภัยโทษจากท่านและกลับตัวมาสู่ท่าน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์จากชัยฏอน (มารร้าย) 111  

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “เมื่อท่านจะอ่านอัลกุรอาน จงขอป้องกันด้วย ชัยฏอนที่ถูกสาปแชีง”

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อลุกขึ้น ทำละหมาดในเวลากลางคืน จะกล่าวตักบีร แล้วกล่าวว่า มหาบริสุทธิ์จงมีแด่ท่านพร้อมด้วยการสรรเสริญ โอ้พระผู้เป็นเจ้า   การกล่าวถึงพระองค์เป็นความเพิ่มพูนกิจการของพระองค์สูงส่งและไม่มีพระเจ้า ที่ควรเคารพสักภาระนอกจากพระองค์ หลังจากนั้นท่านกล่าวว่าอัลลอฮ์ ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกรจริง                                                    เสร็จแล้วกล่าวว่า  ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์ผู้ทรงได้ยินจากชัยฏอนที่ถูกแช่งด่าเนื่องจากความบ้าของมัน ความหลงใหลในคำกลอนของมัน และความ อวดโอ้ของมัน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านอุสมาน บินอะบี อัลอาส ร.ฎ. ได้มาหาท่านนบี ซ.ล.   แล้วกล่าวว่า  โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์แท้จริง ชัยฏอนได้ขวางกั้นข้าพเจ้ากับละหมาดและการอ่านของข้าพเจ้ามันทำให้ข้าพเจ้าสับสนในการอ่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า นั้นแหละคือ ชัยฏอนตัวที่มี ชื่อว่า “ตอนซับ” เมื่อท่านรู้สึกว่ามันมาจงขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์ที่ให้พ้นจากมันและจงถ่มนํ้าลายทางด้านซ้ายสามครั้ง เขา (อุสมาน) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ทำตามนั้นแล้วอัลลอฮ์ ได้ขับไล่มันให้พ้นจากข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ในเรื่องรุกยะห์

การกล่าว “อามีน” หลังจากฟาตีฮะห์

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่ออิหม่ามได้กล่าว อามีน ท่านทั้งหลายจงกล่าวอามีน เพราะผู้ใดที่กล่าวอามีนตรงกับการกล่าวอามีนของมะลาอิกะห์ เขาจะได้รับการอภัยจากบาปที่แล้วๆ มา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และในบางรายงานว่า  เมื่ออิหม่ามอ่านถึงความหมายที่ว่า  ไม่ใช่แนวทางของพวกที่ ถูกโกรธกริ้วและหลงผิดท่านทั้งหลายจงกล่าวว่าอามีน เพราะผู้ใดที่คำพูดของเขาตรงกับคำของมะลาอิกะห์ เขาจะได้รับการอภัยจากบาปที่แล้ว ๆ มา

และในบางรายงานของบุคอรีและนะซาอีว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งได้กล่าวคำว่าอามีน มวลมะลาอิกะห์ซึ่งอยู่ในฟากฟ้าก็กล่าวคำว่า อามีน ดังนั้นเมื่อฝ่ายหนึ่งได้กล่าวตรงกับอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับอภัยจากบาปที่แล้วๆ มา

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อ ได้อ่านถึงความหมายที่ว่า“ไม่ใช่แนวทางของพวกที่ถูกโกรธกริ้วและหลงผิด” ได้กล่าว คำว่า อามีน จนกระทั่งคนที่อยู่ติดๆ กับท่านในแถวแรกได้ยิน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี  และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

การหยุดสองครั้ง 112

เล่าจากซามุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า การหยุดสองครั้งที่ข้าพเจ้าจำมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. แต่ท่านอิมรอน บินอุซอยน์ได้ปฏิเสธและกล่าวว่า  พวกเราจำได้ว่า หยุดครั้งเดียว พวกเราจึงได้เขียนหนังสือไปถึงอุบัยด์ บินกะอับ ที่นครมะดินะห์ ท่านอุบัยด์ได้มีหนังสือ ตอบมาว่า ซามุเราะห์จำได้ถูกต้อง สะอัดได้กล่าวว่า พวกเราได้ถามกอตาดะห์ว่า อะไรคือ การหยุดทั้งสองครั้ง       กอตาคะที่ได้ตอบว่า  คือ (ครั้งที่หนึ่ง) เมื่อได้เข้าสู่ละหมาดแล้ว (หลังจากตักบีรอตุลเอียะห์รอม) และ (อีกครั้งหนึ่ง) เมื่อเสร็จจากการอ่าน (ทั้งหมด) ท่าน กอตาดะห์ได้กล่าวหลังจากนั้นว่า  และเมื่อได้อ่านความหมายที่ว่า “ไม่ใช่พวกที่หลงผิด”[312] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

การอ่านซูเราะห์หลังจากฟาตีฮะห์ 113

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มีใครบ้างที่ต้องการ พบว่ามีอูฐใหญ่ๆ อ้วนๆ สามตัว เมื่อเขากลับมาสู่ครอบครัวของเขา พวกเรากล่าวว่า ครับ พวกเราต้องการอย่างนั้น ท่านนบีกล่าวว่ามินคือสามโองการจากอัลกรอานที่ใครอ่านในละหมาดของเขาดีกว่ามีอูฐใหญ่ๆ อ้วนๆ สามตัวเสียอีก 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม 

เล่าจากอบี กอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยอ่านในสอง เราะกะอัตแรกจากละหมาดดุหร์ด้วยฟาติฮะห์ และอีกสองซูเราะห์โดยอ่านซูเราะห์ยาวในเราะกะอัตแรก อ่านซูเราะห์สั้นในเราะกะอัตที่สอง และบางครั้งก็อ่านดังในบางโองการจนผู้อื่น ได้ยิน และในละหมาดอัศร์ก็เช่นเดียวกัน      และได้ปรากฏว่าเคยอ่านยาวในเราะกะอัตแรกของละหมาดชุบฮฺ และอ่านสั้นในเราะกะอัตที่สอง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และได้มีผู้ถามท่านคอบบาบว่า  ด้วยสิ่งใดที่พวกท่านรู้ว่า ท่านนบี ซ.ล.   อ่านในละหมาด ดุหร์และอัศร์ คอบบาบ ตอบว่า ด้วยการที่เคราของท่านนบีกระดิก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

สิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อ่านในละหมาดดุห์รี และอัสรี เล่าจากญาบิร บิน ซามุเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้ปรากฏว่าเคยอ่านในละหมาค ดุหร์และอัสรีด้วย “อัสสะมาอิวัดตอริก, อัสสะมาอิซาดิลบุรูจ” และซูเราะห์ต่างๆ ที่เหมือนกับสองซูเราะห์นี้ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (ญาบิร)ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยอ่านในละหมาดดุหร์ด้วยซูเราะห์ “อัลลัยลิอิซายัคชา” และในละหมาดอัศร์ก็เหมือนกันนั้น และในละหมาดซุบฮฺยาวกว่านั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (ญาบิร) ว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้ปรากฏเคยอ่านในละหมาดดุหร์ด้วยซูเราะห์ “ซับบิหิสมะรอบบิกั้ลอะอฺลา” และในละหมาดซุบฮฺยาวกว่านั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

สิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านในมัฆริบและอิชาอ์ 114

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า อุมมุอัลฟัดลุ ได้ยินท่าน อัลฟัดลุ อ่าน “วัลมุรชะลา ติอุรฟัน” อุมมุ อัลฟัดลิได้กล่าวว่า โอ้ถูกรัก สาบานต่ออัลลอฮ์ ความจริงเจ้าทำให้ข้านึกขึ้นมาได้ด้วยการอ่านซูเราะห์นี้ของเจ้า ว่าซูเราะห์นี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้า ได้ยินจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ใช้อ่านในละหมาดมัฆริบ

เล่าจากญุบีร บินมุตอิม ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อ่านซูเราะห์ อัตตูรในละหมาดมัฆริบ     

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และท่านอิบนุ มัสอูดได้ละหมาดโดยเป็นอิหม่ามในละหมาดมัฆริบ แล้วได้อ่าน “กุล ฮุวัลลอฮุ อะฮัด” ในละหมาดมัฆริบนั้น 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอัลบะรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.   ได้อ่านในละหมาดอิชาอ์ ด้วยซูเราะห์ “วัตตีนี วัซซัยตูน” ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินใครมีเสียงดียิ่งกว่าท่านนบี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

การอ่านในละหมาดซุบฮฺ

เล่าจากอะบี บัรซะห์ ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยอ่านในละหมาดซุบฮฺตั้งแต่ 60 โองการ(อายะห์) ถึง 100 โองการ

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากญาบิร บินซะมุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.   เคยอ่านในละหมาด ซุบฮฺด้วยซูเราะห์ “ก็อฟ วัลกุรอานีล มะญีด” และปรากฏว่าการทำละหมาดของท่านนบีเร็วหลังจากนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี

เล่าจากอัมรุ บินฮุรอยชุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  คล้ายกับข้าพเจ้าได้ยินเสียงของท่านนบี ซ.ล.   อ่านในละหมาดชุบฮฺ (โองการที่มีความหมายว่า สาบานด้วยดวงตาวที่แฝงตัวในเวลากลางวัน ทั้งที่โคจรอยู่และอยู่กับที่ และกลางคืนเมื่อความมีดได้ย่างกราย[313] 

รายงานโดย มุสลิม และอะบูดาวูด 

ในรายงานของตริมีซีและฮากิมว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้อ่านในละหมาดซุบฮฺด้วยซูเราะห์ “อัลวากิอะห์”

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัลซาอิบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ละหมาดชุบฮฺ กับพวกเราที่นครมักกะห์โดยเริ่มอ่านซูเราะห์ อัลมุอ์มินีน จนได้กล่าวถึงมูซาและฮารุน หรือ กล่าวถึงอีซา  ท่านได้ไอขึ้นจึงได้ก้มลงรุกัวะอ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

อนุญาตให้อ่านซูเราะห์เดียวซ้ำในสองเราะกะอัต 115

เล่าจากชายคนหนึ่งจากเผ่ายุฮัยนะห์ว่า เขาได้ยินท่านนบี ซ.ล.   อ่านในละหมาดชุบฮฺ ด้วยซูเราะห์ “อิดาซุ้ลซิละติล” ในทั้งสองเราะกะอัต โดยข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ลืมหรืออ่านอย่างนั้นโดยเจตนา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

การก้มลงรุกัวะอ์พร้อมด้วยคำสรรเสริญขณะรุกัวะอ์

ท่านอุซัยฟะห์ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งก้มลงรูก็วะอ์และก้มกราบ(สุญูด)ไม่เรียบร้อย จึงกล่าวว่า ท่านไม่ได้ละหมาด มาตรแม้นว่าท่านตายก็ตายโดยมิได้อยู่บนศาสนาที่เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ที่อัลลอฮ์ได้กำเนิด มุฮัมมัด ซ.ล.  ให้อยู่บนศาสนานั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และนะซาอี

เล่าจากอบี อุมัยดุ อัสซาดิดี ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวแก่คนกลุ่มหนึ่งจากอัครสาวกของท่าน นบี ซ.ล.   ว่า ข้าพเจ้าจำการละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ดีที่สุด ยิ่งกว่าพวกท่านทุกคน ข้าพเจ้าได้เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์เมื่อตักบีรได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้น ตรงกับบ่าทั้งสองข้าง และเมื่อก้มลงรุกัวะอ์ได้เอามือทั้งสองข้างจับหัวเข่าทั้งสองข้าง หลังจากนั้นได้เอนหลัง[314] และเมื่อเงยศีรษะขึ้นได้เหยียดตรง จนกระดูกสันหลังทุกข้อเข้าที่ของมัน และเมื่อก้มกราบ (สุญูด)ได้วางมือทั้งสองข้างโดยมิได้วางแขนราบลงกับพื้น และมิได้หุบติดอยู่กับสีข้าง ได้หันปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าทั้งสองข้างไปทางกิบลัต และเมื่อนั่งในเราะกะอัตที่สอง ได้นั่งทับเท้าซ้าย(น่องซ้าย) ตั้งชันส้นเท้าขวา และเมื่อนั่งในเราะกะอัตสุดท้าย ได้ยื่นเท้าซ้ายสอดใต้เท้า(แข้ง)ขวา และตั้งชัน(ส้นเท้าขวา)อีกข้างหนึ่ง และได้นั่งลงบนแก้มสะโพกซ้ายของตน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี (ซ.ล) เมื่อก้มรุกัวะอ์ได้กล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าได้ก้มโค้งคำนับแด่ท่าน ข้าพเจ้าได้ศรัทธาอย่างแน่นแฟ้นต่อท่าน ข้าพเจ้าได้ยอมจำนนต่อท่าน หูของข้าพเจ้า ตาของข้าพเจ้า สมองของข้าพเจ้า กระดูกของข้าพเจ้า และ เส้นประสาทของข้าพเจ้า ได้ศิโรราบต่อท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยกล่าวในขณะก้มรุกัวะอ์ และก้มสุญูดว่า มหาบริสุทธิ์แต่ท่าน โอ้อัลลอฮ์  อัลลอฮ์ของเรา และพร้อมด้วยการ สรรเสริญท่าน โอ้อัลลอฮ์ จงอภัยแก่ข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจากเขา(อาอิชะห์)ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านได้เคยกล่าวใน ขณะก้มรุกัวะอ์และสุญูดว่า  ผู้บริสุทธิ์ ผู้สะอาด พระเจ้าของมวลมะลาอิกะห์และพระเจ้า ของญิบรีล 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครได้ก้มลงรุกัวะอ์แล้ว กล่าวในขณะรุกัวะอ์ว่า  มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ของข้าพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สามครั้ง (سُبْحَانَ رَبِّىَ الْعَظِيْمِ) ก็ถือว่า การรุกัวะอ์ของเขาได้สมบูรณ์แล้ว และถือว่าเป็นการสมบูรณ์ในชั้นตํ่าและเมื่อเขาได้สุญูดแล้ว กล่าวในขณะสุญูดว่า มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ของข้าพเจ้าผู้สูงส่งสามครั้ง(سُبْحَانَ رَبِّىَ الْأَعَلَى) ก็ถือว่าการ สุญูดของเขาสมบูรณ์แล้ว และถือว่าเป็นการสมบูรณ์ชั้นต่ำ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

การเงยขึ้นจาก รุกัวะอ์และกล่าวคำสรรเสริญ 116

เล่าจากริฟาอะห์ บินรอฟิยะอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ละหมาดอยู่ข้างหลังท่านนบี ซ.ล.  ในวันหนึ่งเมื่อท่านนบีได้เงยศีรษะชั้นจาก รุกัวะอ์ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงได้ยินผู้กล่าว سمِعَ اللهُ لِمَنَ حَمِدَهُ

คำสรรเสริญพระองค์ ได้มีชายผู้หนึ่งกล่าวตามหลังว่า ไอ้ อัลลอฮ์ของเรา มวลการสรรเสริญ ชนิดที่มากมายดีงามและเพิ่มพูนนั้นเป็นสิทธิ์ของพระองค์ท่าน เมื่อเสร็จละหมาด ท่านนบีได้ กล่าวว่า ใครเป็นคนพูด  ชายผู้นั้นกล่าวว่า  ข้าพเจ้าเองท่านนบีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็น มะลาอิกะห์สามสิบกว่าองค์แย่งกันเขียน (บนทึก) คำดังกล่าวว่าใครจะเขียน(บันทึก) ได้ก่อนกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงได้ยินผู้กล่าวคำสรรเสริญพระองค์ ท่านได้กล่าวต่อไปว่า  โอ้พระองค์อัลลอฮ์อัลลอฮ์ของเรามวลการสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของท่าน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  เมื่ออิหม่ามได้กล่าวว่า  อัลลอฮ์ทรงได้ยินผู้กล่าวคำสรรเสริญพระองค์ ท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์พระผู้ เป็นเจ้าของเรา มวลการสรรเสริญนั้นเป็นสิทธิ์ของท่าน (اَللَّهٌمَّ رَبَّنَا وَلَكَ الْحَمْدُ) เพราะแท้จริงผู้ที่คำกล่าวของเขาตรง กับคำกล่าวของมะลาอิกะห์ เขาจะได้รับการอภัยจากบาปที่ผ่านมาแล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอาสี่ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ท่านเราะซูล ซ.ล.  เมื่อเงยศีรษะจาก รุกัวะอ์ ได้กล่าวว่า “พระองค์อัลลอฮ์ทรงได้ยินผู้กล่าวคำสรรเสริญต่อพระองค์(رَبَّنَا وَلَكَ الْحَمْدُ) ข้าแด่อัลลอฮ์ ของเรา และมวลการสรรเสริญนั้นเป็นของท่านเต็มชั้นฟ้า เต็มชั้นแผ่นดิน เต็มสิ่งที่อยู่ระหว่าง ฟ้าและแผ่นดิน และเต็มสิ่งที่พระองค์ต้องการนอกเหนือจากนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ในรายงานของมุสลิมและอะบูดาวูดได้เพิ่มว่า โอ้ผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญและประเสริฐสุด เป็นความจริงสิ่งที่มวลบ่าวได้กล่าว และพวกเราทุกคนล้วนเป็นบ่าวของพระองค์ท่าน ข้าแต่อัลลอฮ์ไม่มีใครขัดขวางในสิ่งที่ท่านได้ประทานให้ และไม่มีใครให้ในสิ่งที่ท่านขัดขวาง วาสนาทรัพย์สินและอำนาจมิอาจป้องกัน ผู้เป็นเจ้าของจาก (การลงโทษของ)ท่าน

วิธีสุญูดและคำกล่าวขณะสุญูด

เล่าจากวาอิล บินฮุจร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   ขณะสุญูดจะวาง หัวเข่าทั้งสองข้างก่อนวางมือทั้งสองข้าง และขณะเงยได้ยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนหัวเข่าทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงทำปานกลางในขณะสุญูด และใครคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านอย่าหมอบ โดยวางแขนทั้งสองข้างแนบกับพื้นในลักษณะเหมือนการหมอบของหมา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอับดิลลาห์ บินบุฮัยนะห์ ร.ฎ. ว่าท่านนบี ซ.ล.   นั้น ปรากฏว่าขณะละหมาด (รุกัวะอ์) ได้ถ่าง (กาง) ทั้งสองข้างออกจากลำตัว จนเห็นรอยขาวของรักแร้ทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

และในบางรายงานว่า  ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   ขณะสุญูดได้ถ่างแขนทั้งสองข้างออก จากลำตัว (และแขม่วท้อง)ถึงขนาดที่ว่า  ถ้าหากถูกแพะจะลอดผ่านเข้าไปใต้แขนทั้งสองข้างก็สามารถจะลอดผ่านได้

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยละหมาดกับท่านนบี ซ.ล.   มีพวกเราบางคน จะวางชายผ้าลงในสถานที่ที่สุญูด เนื่องจากความร้อนจัด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะลี ร.ฎ.ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. ขณะสุญูดได้กล่าวว่า ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ข้าพเจ้าได้สุญูดแก่ท่าน ข้าพเจ้าได้ศรัทธาต่อท่าน ข้าพเจ้าได้ยอมจำนนต่อท่าน หน้าผากของข้าพเจ้าได้ก้มกราบให้แก่ผู้ซึ่งได้สร้างมันขึ้นมา และได้ให้ให้เป็นรูปร่าง และผู้ซึ่งได้เจาะรูหูและรูตา อัลลอฮ์ผู้ทรงบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้สร้างที่ดีเยี่ยม 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอุซัยฟะห์ ร.ฎ. ว่า ได้ละหมาดกับท่านนบี ซ.ล.   และได้เคยกล่าวในขณะรุกัวะอ์ว่า มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ของข้าฯ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ และในขณะสุหยุดว่า มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮ์ของข้าฯ ผู้ทรงสูงยิ่ง ท่านนบีไม่เคยผ่านโองการ (อายะห์) ที่กล่าวถึงเรื่องความเมตตา นอกจากจะหยุดและขอความเมตตา (จากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และไม่ได้ผ่านโองการที่กล่าว ถึงเรื่องการลงโทษ                                                   นอกจากจะหยุดและขอป้องกัน (จากการลงโทษของอัลลอฮ์(ซ.บ.)

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

เมื่อโองการนี้คือ “ท่านจงกล่าวคำสรรเสริญ ด้วยนามของอัลลอฮ์ของท่านผู้ทรงยิ่งใหญ่,, ได้ประทานลงมา ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเอาไปอ่านในการรุกัวะอ์ของพวกท่าน และเมื่อโองการนี้คือ “ท่านจงกล่าวคำสรรเสริญนามของอัลลอฮ์ของท่าน ผู้ทรงสูงยิ่งได้ประทานลงมา ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงนำไปอ่านในการสุญูดของพวกท่าน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  คนรักของข้าพเจ้าคือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ห้าม ข้าพเจ้าอย่างจริงจัง จากการอ่านอัลกุรอานในขณะรุกัวะอ์หรือสุญูด

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การขอดุอาอฺในขณะสุญูดจะถูกตอบสนอง เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า บ่าวจะอยู่ใกล้ชิดกับพระเป็นเจ้าของเขาอย่างที่สุดในขณะสุญูด ดังนั้นท่านทั้งหลายจงขอดุอาอ์มากๆ 

และเล่าจากเขา(อะบีฮุรอยเราะห์)ว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยกล่าวในขณะสุญูดว่า โอ้อัลลอฮ์ จงอภัยบาปของข้าพเจ้าทั้งหมดทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งที่แล้วมาและต่อไป ทั้งเปิดเผยและแอบแฝง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่พบว่ามีท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อยู่บนที่นอน ในคืนวันหนึ่ง จึงได้คลำหามือของข้าพเจ้าได้ตกลงไปถูกฝ่าเท้าทั้งสองข้างของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ขณะที่ท่านอยู่ในมัสญิดในสภาพที่เท้าทั้งสองข้างตั้งชันขึ้น โดยท่านกล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยความพอใจของท่านจากความกริ้วโกรธของท่านด้วยการอภัยของท่าน จากการลงโทษของท่านและข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์ท่านจากพระองค์ท่าน ข้าพเจ้ามิ อาจกล่าวคำสรรเสริญท่านได้อย่างครบครันเหมือนกับที่ท่านได้สรรเสริญองค์ของท่านเอง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การนั่งระหว่างสองสุญูด และขอดุอาอ์ขณะนั่ง 118

เล่าจากอัลบะรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าการรุกัวะอ์ของท่านนบี ซ.ล.   และการสุญูดของท่าน และเมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้เงยขึ้นจาก รุกัวะอ์ (เอียะติตาล) และนั่งระหว่างการสุญูดทั้งสองครั้งใช้เวลาเกือบเท่าๆ กัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากตอวุส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้กล่าวแก่อิบนิ อับบาสในเรื่องการนั่งทับบนเท้าทั้งสองข้างในสภาพที่ตั้งชันขึ้น อิบนิ อับบาสกล่าวว่า เป็นซุนนะห์ พวกเราได้กล่าวอีกว่า แท้จริงพวกเราเห็นว่า การนั่งทำนั้นเป็นความลำบากแก่ผู้คน อิบนุ อับบาส กล่าวว่าแต่มันเป็นซุนนะห์ของนบีของพวกท่าน ซ.ล. 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี 

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวในขณะนั่งระหว่างสองสุญูดว่า โอ้ อัลลอฮ์ ได้โปรดอภัยแก่ข้าพเจ้า ได้โปรดเมตตาสิ่งสารข้าพเจ้า ได้โปรดประทานความสุขแก่ข้าพเจ้า ได้โปรดแนะแนวทางที่ถูกต้องแก่ข้าพเจ้า จงได้โปรดประทานเครื่องยังชีพที่ฮาลาลแก่ข้าพเจ้า (اَللَّهٌمَّ غْفِرْلِى وَالْحَمْنى وَاعافِنِى وَ هْدِنِى وَالْرْزُنِى)

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

การนั่งพักผ่อนในละหมาด

เล่าจากอบี กิลาบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านมาลิก บินอัลอุวัยริสได้ละหมาดกับพวกเราเหมือนอย่างที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาด และปรากฏว่าเมื่อท่านเงยศีรษะขึ้นจากการสุญูดครั้งสุดท้ายในเราะกะอัตแรกท่านได้นั่ง หลังจากนั้นได้ลุกขึ้นยืน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และตัวบทของบุคอรีว่า และปรากฏว่า เมื่อเงยศีรษะขึ้นจากการสุญูดครั้งที่สองได้นั่งและยืนอยู่กับพื้น หลังจากนั้นได้ลุกขึ้น

การอ่านตะซะห์อุตครั้งแรก และรูปแบบการนั่งในละหมาด 119

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เริ่มเปิดฉาก ละหมาดด้วยการตักบีร และอ่าน(ฟาติฮะห์) ด้วย อัลฮัมดุลิลลาฮิรอบบิลอาละมีน เมื่อรุกัวะอ์จะ ไม่ผงกศีรษะและไม่ทิ้งศีรษะลงกับพื้นแต่อยู่ระหว่างนั้นและเมื่อเงยศีรษะจาก รุกัวะอ์จะไม่ก้มลงสุญูด จนกว่าจะยืนตรงเสียก่อน และเมื่อเงยศีรษะขึ้นจากสุญูด จะไม่สุญูด (ในครั้งที่สอง) จนกว่าจะนั่งตัวตรงเสียก่อน และปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้อ่าน (ตะซะห์อุด) ในทุกๆ สองเราะกะอัต คือ อัตตะฮียาต และปรากฏว่าขณะทั้งจะแผ่เท้าซ้ายและตั้งชันเท้าข้างขวา และปรากฏว่าได้เคยห้ามการนั่งแบบก้นราบกับพื้นชันเท้าทั้งสองขึ้น มือทั้งสองข้างอยู่กับพื้น และการหมอบ แบบเสือ (คือวางข้อศอกทั้งสองข้างราบกับพื้น) และจบการละหมาดด้วยสลาม 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อนั่งในขณะละหมาด จะวางฝ่ามือขวาบนขาอ่อนข้างขวา และกำนิ้วทั้งหมดและชี้ด้วยนิ้วที่อยู่ลัดจากนิ้วหัวแม่มือ (นิ้วชี้) และวางมือซ้ายบนขาอ่อนข้างซ้าย 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และสำหรับรายงานของอะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   ขณะนั่งในสองเราะกะอัต แรกเหมือนนั่งอยู่บนก้อนหินเผาไฟ จนกระทั้งลุกขึ้นยืน[315]

การตั้งสมาธิในละหมาด และการละหมาดอย่างประณีต

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายเห็นไหมว่า กิบลัดของข้าพเจ้าอยู่ทางนี้ สาบานต่ออัลลอฮ์ การรุกัวะอ์ของพวกท่าน และความมีสมาธิของพวกท่านไม่ได้เป็นความกับสำหรับข้าพเจ้า แท้จริงข้าพเจ้าเห็นพวกท่านจากด้านหลังของข้าพเจ้า 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงรุกัวะอ์และสุญูด อย่างสมบูรณ์ สาบานต่ออัลลอฮ์แน่นอนข้าพเจ้ามองเห็นพวกท่านจากทางด้านหลัง ขณะเมื่อ พวกท่านก้มลงรุกัวะอ์ และก้มกราบ(สุญูด) 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี และมุสลิม

สำหรับรายงานของมุสลิมว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาดในวันหนึ่งหลัง จากเสร็จละหมาดได้กล่าวว่า โอ้ ชายผู้นั้น ทำไมท่านจึงไม่ละหมาดให้ดี ผู้ที่ละหมาดทำไมจึงไม่มองดูตัวเองว่าละหมาดอย่างไร เพราะแท้จริงเขาละหมาดเพื่อตัวเขาเอง แน่แท้ข้าพเจ้ามองเห็นคนที่ละหมาดอยู่ข้างหลังเหมือนคนที่อยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า

เล่าจากอะบี มัสอูด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดของคนหนึ่งจะใช้ไม่ได้ จนกว่าจะยืดหลังให้ตรง ในขณะรุกัวะอ์และสุญูด[316]

เล่าจากมุตอรริฟ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ละหมาด ในหน้าอกของพระองค์มีเสียงเหมือนเสียงโม่หรือเสียงหม้อต้มนำกำลังเดือด เนื่องจากการร้องให้[317] 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอุกบะห์ บิน อามิรอัลยุฮะนี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีใครที่ อาบน้ำละหมาด โดยอาบน้ำละหมาดอย่างดี แล้วละหมาดสองเราะกะอัตมุ่งใจและมุ่งหน้าไปหา ทั้งสองอย่าง[318] (นอกจากสวรรค์เป็นสิ่งแน่นอนที่เขาจะได้รับ 

เล่าจากอัมมาร บิน ยะซีร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงผู้ชายคนหนึ่ง จะเสร็จจากการละหมาด โดยมิได้ถูกบันทึกให้เขา นอกจากหนึ่งในสิบละหมาด หนึ่งในเก้า หนึ่งในแปด หนึ่งในเจ็ด หนึ่งในหก หนึ่งในห้า หนึ่งในสี่ หนึ่งในสาม หนึ่งในสอง 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอัลฟัดล์ บินอับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดนั้นครั้งละสอง ครั้งละสอง ท่านจะต้องอ่านตะชะอุด”มาจากคำชะฮะดะห์” (อัตตะฮียาต) ในทุกๆ สองเราะกะอัต ท่านจะต้องสำรวมตั้งสมาธิอยู่ในอาการสงบ[319] และต้องยกมือทั้งสองข้างขึ้นหาพระเจ้าของท่าน โดยหงายฝ่า มือขึ้นหาใบหน้าของท่าน และกล่าวว่า โอ้ พระผู้เป็นเจ้า โอ้อัลลอฮ์ผู้ใดไม่กระทำ ดังกล่าวละหมาดของเขาบกพร่อง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

การกระทำอะไรในละหมาดยอดเยี่ยมที่สุด 121

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เขาได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่า ละหมาดอย่างไหน ยอดเยี่ยมที่สุด ท่านได้ตอบว่า การสงบนิ่งนานๆ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ส่วนตัวบทของอะบูดาวูดมีว่า เขาได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่า การกระทำอย่าง ไหนยอดเยี่ยมที่สุด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า การยืนนานๆ

ดุอาอฺกุนูต (قُنُوتُ) ในละหมาด[320]

เล่าจากท่านบารออฺ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยอ่านดุอาอ์กุนูต ในละหมาด ซุบฮฺ และมัฆริบ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

มีผู้ถามท่านอะนัสว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยอ่านดุอาอ์กุนูต ในละหมาดซุบฮฺบ้างหรือเปล่า ท่านอะนัสตอบว่า ท่านเคยอ่านดุอาอ์กุนูตหลังจากรุกัวะอ์เป็นเวลาไม่นานนัก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และในบางรายงานว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านดุอาอ์กุนูตหลังจากรุกัวะอ์เป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยวิงวอนให้ความพินาศประสบกับพวกฆาตกรที่สังหารบรรดาผู้ท่องจำพระคัมภีร์อัลกุรอาน

และท่านอะบุ ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แน่แท้ข้าพเจ้าจะละหมาด ให้พวกท่านทั้งหลายได้ศึกษาเหมือนอย่างที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้ละหมาด ปรากฏว่า อบู ฮุรอยเราะห์ได้อ่านดุอาอ์กุนูต ในละหมาดดุหร์ ละหมาดอิชาอ์ครั้งสุดท้ายและละหมาดซุบฮฺ วิงวอนขอให้มวลมุสลิมและสาปแช่งพวกกาเฟร 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และเล่าจาก อะบีฮุรอยเราะห์ ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยกล่าวในละหมาดฟัจริ (ซุบฮิ) หลังจากกล่าว “ร็อบบะนา วะ ละกัลฮัมดุ” ในเราะกะอัตสุดท้ายว่า โอ้อัลลอฮ์ จงช่วยให้ อัลวะลิด บินอัลวะลิด ซาลามะห์ บินฮิชาม อัยยาช บินอะบีรอบีอะห์ และบรรดา มุสลิมที่อ่อนแอพ้นจากภัยพิบัติ และท่านจงกระหน่ำพวก “มุดอร” อย่างรุนแรง และจงให้พวกเขา ประสบกับความแห้งแล้งเหมือนความแห้งแล้งที่เกิดในสมัย นบียูซุบ โอ้อัลลอฮ์จงสาปแช่ง เผ่าละห์ยาน, เผ่าเรียะอ์ลัน, เผ่าซักวานและอุสอยยะห์ ที่ได้สร้างความชั่วต่ออัลลอฮ์และ เราะซูลของพระองค์ ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้เลิกคำวิงวอนดังกล่าว ขณะที่ได้มีโองการจากอัลลอฮ์ลงมาว่า โอ้มุฮัมมัดเจ้าไม่มีสิทธิ์ในกิจการทั้งปวง  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  คงอ่านคุอาอฺกุนูตอยู่เป็นประจำ ในละหมาดซุบฮิ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป [321]

รายงานโดย อัดตารุกุตนี อับดุรรอรร๊ากและฮากีม

เล่าจากอัลฮาซัน บินอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้สอนข้าพเจ้า ด้วยคำพูดหลายคำให้ข้าพเจ้าอ่านในดุอาอ์กุนูตของละหมาดวิตริว่า “ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้ โปรดประทานแนวทางที่ถูกต้องให้แก่ข้าพเจ้าให้ได้เข้าอยู่ในจำนวนบุคคลที่ท่านได้ประทานแนวทาง ได้โปรดประทานความสุขให้แก่ข้าพเจ้า พร้อมกับผู้ที่ท่านได้ประทานความสุขให้ ได้โปรดให้ความช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าพร้อมกับบุคคลที่ท่านได้ประทานความช่วยเหลือ ได้โปรดให้ความ เพิ่มพูนมีศิริมงคลให้แก่ข้าพเจ้าในสิ่งที่ท่านได้ประทานให้ ได้โปรดคุ้มครองข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายที่ท่านเป็นผู้กำหนดไว้ เพราะความจริงท่านเป็นผู้กำหนด ไม่มีผู้ใดกำหนดให้ท่าน และ ความจริงบุคคลที่ท่านช่วยเหลือจะไม่ตกต่ำ และบุคคลที่ท่านโกรธกริ้วจะไม่มีเกียรติ ข้าแด่อัลลอฮ์ของเรา คุณความดีของท่านได้เพิ่มพูน และเกียรติของท่านสูงส่งพ้นจากความต้อยต่ำทั้งปวง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ในรายงานของนะซาอีมีเพิ่มเติมว่า ขออัลลอฮ์เจ้าได้โปรดประทานพรให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด

การขอดุอาอ์ก่อนสลาม 122

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยวิงวอน (ขอดุอาอ์)ว่า โอ้ อัลลอฮ์เจ้า ข้าพเจ้าขอปกป้องด้วยพระองค์จากการลงทัณฑ์ในหลุมฝังศพ จากโทษทัณฑ์ของขุมนรก จากความปั่นป่วนวุ่นวายขณะมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว และ จากความปั่นป่วนวุ่นวายจาการกระทำของ ดัจญาล

ได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า โอ้อัลลอฮ์ ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยพระองค์จาก การทำบาป และจากการทำความเสียหายที่ต้องชดใช้ด้วยทรัพย์สิน 

ได้มีผู้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ว่า อะไรทำให้ท่านขอป้องกันจากการทำความเสียหายที่ ต้องซดใช้ด้วยทรัพย์สินอย่างมากมายเช่นนั้น ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า แท้จริงบุคคลผู้หนึ่ง เมื่อต้องเสียค่าปรับ เขาจะนำไปคุยและโกหก เขาให้สัญญาและผิดสัญญา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะบีบักร์ อัสซิดดิก ร.ฎ. ว่า เขาได้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ (ซ.ล) ว่า ท่านจงสอนคำวิงวอน(ดุอาอ์)ให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ใช้วิงวอนในละหมาดท่านเราะซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า จงกล่าวดังนั้น โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าทุจริตต่อตัวเองอย่างใหญ่หลวง ไม่มีใครจะให้อภัยต่อบาปกรรมต่างๆ ได้ นอกจากพระองค์ท่านเท่านั้น ท่านจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้า เป็นการให้อภัยจากท่าน จงให้ความเมตตาแก่ข้าพเจ้า แน่แท้ท่านเป็นผู้ทรงการให้อภัยและทรง ความเมตตา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวระหว่างการอ่านตะชะฮูดกับสลามว่า โอ้ อัลลอฮ์ ได้โปรดอภัยให้ข้าพเจ้า จากสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้ว และสิ่งที่จะทำต่อไป สิ่งที่ข้าพเจ้าทำอย่างซ่อนเร้นและเปิดเผย และสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ละเมิดต่อตัวเอง และสิ่งที่ท่านทราบดียิ่งกว่าข้าพเจ้า ท่านเป็นผู้มีมาก่อนและมีอยู่ต่อไป ไม่มีพระเจ้า องค์ใดที่ควรเคารพกราบไหว้ นอกจากท่านเท่านั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจาก มิห์ญัน บินอัลอัดเราะได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เข้าในมัสญิด พบชายผู้หนึ่งปฏิบัติละหมาด เขากำลังอ่านตะชะอุดได้กล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์แท้จริงข้าพเจ้า ขอจากท่าน โอ้อัลลอฮ์ผู้มีองค์เดียว ผู้รับเป็นภาระ ผู้ซึ่งไม่มีบุตรและไม่เป็นบุตร และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ ให้พระองค์ท่านอภัยแก่ข้าพเจ้าในบาปกรรมของข้าพเจ้า แท้จริง ท่านเป็นผู้ให้อภัย เป็นผู้ทรงเมตตา เขา (ผู้เล่ามิห์ญัน) ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า เขาได้รับการอภัย เขาได้รับการอภัย กล่าวอย่างนี้สามครั้ง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ข้อกำหนดของบุคคลที่ไม่สามารถยืนและอ่าน(ฟาติฮะห์)

เล่าจากอิมรอน บินอุซอยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคริดสี่ดวงทวารจึงได้ ไปถามท่านนบี ซ.ล.   ถึงการละหมาด ท่านนบีได้กล่าวว่า ท่านจงละหมาดโดยการยืน ถ้าหากท่านไม่มีความสามารถให้ละหมาดโดยการทั้ง ถ้าหากท่านไม่มีความสามารถ ให้นอนบนสี่ข้าง (นอนตะแคง) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และต่อไปจะกล่าวถึงในเรื่องการชดใช้ละหมาดสุนัตว่าอนุญาตให้ละหมาดสุนัตโดยการนั่ง ทั้งๆ ที่มีความสามารถยืนละหมาดได้ 

เล่าจากอะบีเอาฟา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีชายผู้หนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล. แล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถจดจำพระคัมภีร์อัลกุรอานได้เลยแม้แต่สิ่งเดียว ดังนั้นท่านจงสอนข้าพเจ้า

สิ่งที่จะทำให้ข้าพเจ้าใช้แทน อัลกุรอาน ท่านนบีได้กล่าวว่า จงกล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮ์ มวลการสรรเสริญถวายแด่พระองค์อัลลอฮ์ และไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระนอกจากอัลลอฮ์ และพระองค์อัลลอฮ์เป็นผู้ทรงเกรียงไกรยิ่ง ไม่มีกำลังที่จะ ใช้ทำความดี และกำลังที่จะขัดขวางความชั่ว นอกจากโดย อัลลอฮ์ ผู้สูงเกียรติและยิ่งใหญ่ ชายผู้นั้นได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  นี่เป็นของอัลลอฮ์ แล้วไหนของข้าพเจ้าเล่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ท่านจงกล่าวดังนี้ ข้าแด่พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดเมตตา ข้าพเจ้า ได้โปรดริสกีให้แก่ข้าพเจ้า ได้โปรดประทานความสุขแก่ข้าพเจ้า ได้โปรดแนะนำแนวทางที่ถูกต้องให้แก่ข้าพเจ้า เมื่อชายผู้นั้นลุกขึ้นยืนได้กล่าวอย่างนั้นอีก(แล้วนับด้วยนิ้วมือ) ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า สำหรับชายผู้นี่ได้บรรจุจนเต็มมือทั้งสองข้างของเขาด้วยความดี 

รายงานโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ละหมาดสุนัต จะช่วยทำให้ละหมาดฟัรฎูที่บกพร่องสมบูรณ์ 124

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงสิ่งแรกที่มนุษย์ จะถูกสอบสวนในวันกิยามะห์จากการกระทำต่างๆ ของเขา คือละหมาด อัลลอฮ์ของเรา จะกล่าวแก่มวลมะลาอิกะห์ ทั้งๆ ที่พระองค์ทราบอยู่แล้วว่าท่านทั้งหลายจงพิจารณาดูละหมาดบ่าวของเราว่าครบสมบูรณ์หรือบกพร่อง ถ้าหากละหมาดครบสมบูรณ์จงบันทึกว่าครบสมบูรณ์ ถ้าหากละหมาดของเขาบกพร่องไปในบางสงบางอย่าง จงพิจารณาดูว่า บ่าวของฉันได้ละหมาด สุนัตบ้างหรือเปล่า ถ้าหากเขามีละหมาดสุนัตอยู่บ้าง จงนำเอาละหมาดสุนัตมาชดเชยให้ ละหมาดฟัรฎูของเขาครบสมบูรณ์ หลังจากนั้นจะถูกสอบสวนในเรื่องการจ่าย,ซะกาต เป็นไป ในทำนองเดียวกันกับละหมาด หลังจากนั้นการกระทำต่างๆ จะถูกสอบสวนโดยดำเนินตามนั้น

รายงานโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

ส่วนตัวบทของติรมิซีว่า  แท้จริงสิ่งแรกที่บ่าวจะถูกสอบสวนในวันกิยามะห์จากการ กระทำของเขาคือละหมาด ถ้าหากละหมาดดีเขาก็มีความสุขและพ้นภัย แต่ถ้าหากละหมาดเสีย เขาก็พินาศและขาดทุน ถ้าหากละหมาดฟัรฎูขาดตกบกพร่องไปเป็นบางอย่าง อัลลอฮ์ผู้เกรียงไกรและยิ่งใหญ่กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงนำเอาละหมาดสุนัต ของเขามาเติมละหมาด ฟัรฎูของเขาให้ครบสมบูรณ์

สิ่งที่ไม่ควรทำ ในละหมาดมีหลายประการ เช่น มองฟ้า แลซ้ายแลขวา

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า จะเป็นอย่างไรพวกที่มองฟ้าในขณะละหมาด คำพูดของท่านนบีรุนแรงมากที่กล่าวเช่นนั้น จนถึงกับกล่าวว่า พวกเขาจะต้องยุติ จากการกระทำเช่นนั้นหรือว่าตาของเขาจะถูกควักเอาไป 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

และตัวบทของมุสลิมว่า พวกที่มองฟ้าในขณะละหมาดนั้น จะต้องยุติเสียทีหรือดวงตา จะไม่กลับคืนมาสู่พวกเขาอีก

เล่าจากอาอีชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงการเหลียวซ้ายแลขวาในขณะละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์กล่าวว่ามันเป็นการ(เฉียว)ฉกชิงที่ชัยฏอนฉกชิง ไปจากละหมาดของบ่าวคนนั้น[322] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อบูดาวูด และนะซาอี

สำหรับรายงานของนะซาอี และอบูดาวูด ว่า อัลลอฮ์ที่ยังคงมองบ่าวในขณะที่ละหมาดตราบใดเมื่อเขาไม่เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเขาได้เหลียวซ้ายแลขวา อัลลอฮ์ที่จะไม่มองดูเขา

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยชำเลืองไปทางซ้ายและขวาในขณะละหมาด โดยต้นคอมิได้หันตามไปด้วย

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า โอ้ถูกรัก เจ้าจงออกห่างจากการเหลียวซ้ายแลขวาในขณะละหมาด เพราะหันเป็นความเสียหาย ถ้าหาก หนีไม่พ้นให้เหลียวซ้ายแลขวาในละหมาดสุนัต อย่าหันในละหมาดฟัรฎู 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

เล่าจากอาอีชะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ละหมาดโดยห่มผ้าที่มีลวดลายแล้วกล่าวว่า ลวดลายของผ้าผืนนี้ทำให้ฉันวุ่นวาย พวกท่านจงนำผ้าไปคืนให้แก่ อบียะห์มิ และนำผ้าหยาบๆ ของเขามาให้ฉัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อาอีชะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งง่วงเหงาหาวนอนในละหมาด ให้เขานอนจนกว่าอาการง่วงนอนจะหายไปจากเขา เพราะคนใดคนหนึ่ง เมื่อเขาละหมาดในสภาพที่ง่วงนอน บางที่เขาต้องการจะขออภัยโทษกลับกลายเป็นด่าตัวเองไปก็มี ร

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การถมนำลาย, การอิคติสอร การตบก้อนกรวด และการทำท่าด้วยมือ 125

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนใดคนหนึ่งอยู่ในละหมาด เท่ากับว่าเขากำลังเข้าเฝ้าอัลลอฮ์ของเขา ดังนั้นเขาอย่าถ่มนำลายไปเบื้องหน้าและไปทางขวา แด่จงถ่มนำลายไปทางต้านซ้ายใต้ฝ่าเท้าของเขา

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ห้ามชายผู้หนึ่งละหมาดในสภาพ อีคติสอร 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ซัรริ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนหนึ่งคนใดลุกขึ้นไปละหมาด เขาจงอย่าตบก้อนกรวด[323] เพราะแท้จริงความเมตตากำลังเผชิญอยู่เบื้องหน้าเขา

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากญาบิร บินซายูเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อพวกเราให้สลามพร้อมกับทำท่าด้วยมือโดยยกมือขวาขึ้น เมื่อหันไปทางขวา ยกมือซ้ายขึ้นเมื่อหันไปทางซ้ายว่า ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน ขอความสันติสุขจงมีแด่พวกท่าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มองดูพวกแล้วกล่าวว่า  ทำไมพวกท่านจึงต้องทำท่า ด้วยมือเหมือนหางม้า ที่ไม่ยอมนิ่ง เมื่อคนใดคนหนึ่งให้สลาม ให้เขาหันไปทางเพื่อนของเขา โดยไม่ต้องทำท่าด้วยมือ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

ละหมาดเมื่อยกสำรับอาหารมาเทียบแล้ว

และในขณะปวดอุจจาระและปัสสาวะ

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อสำรับอาหารได้ถูกตั้งแล้ว และละหมาดก็ถูกอิกอมะห์แล้ว ท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยอาหารก่อน

และในบางรายงานว่า  เมื่ออาหารได้ถูกนำมาเสนอ ท่านทั้งหลายจงเริ่มด้วยอาหารก่อนการละหมาดมัฆริบ และท่านทั้งหลายจงอย่ารีบไป (ละหมาด) โดยละอาหารไว้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และรายงานจากเขา (อาอิชะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีการละหมาดต่อหน้าอาหาร และไม่มีละหมาดในขณะปวดอุจจาระและปัสสาวะ

ได้มีผู้ถามท่านอะนัสถึงกระเทียม ท่านอะนัสได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดกินพืชชนิดนี้อย่าเข้ามาใกล้เรา และอย่าละหมาดร่วมกับเรา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย มุสลิม

การผูกผม และปล่อยชายผ้าลากพื้น

ท่านอะบู รอเฟียะอ์ ทาสของท่านนบี ซ.ล.   ได้เดินผ่านฮาซันบินอะลี ขอความสันติ

จงมีแด่ท่านทั้งสอง กำลังยืนละหมาดโดยรวบปอยผมไว้ที่ค้นคอ อะบูรอเฟียะอ์ได้เข้าไปแก้ออก ฮาซันหันมาด้วยความโกรธ อะบูรอเฟียะอ์จึงกล่าวว่า จงหันไปสู่ละหมาดของท่านและจงอย่าโกรธ เพราะข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า  นั้นคือที่นั่งของชัยฏอน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ห้ามการปล่อยชายผ้าจนลากลับพื้นในขณะละหมาด และห้ามการที่ชายผู้หนึ่งปิดปากของเขา 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ (ผู้ซึ่งการกล่าวถึงพระองค์เป็นความยิ่งใหญ่) จะไม่รับละหมาดของชายผู้หนึ่งซึ่งปล่อยชายผ้าลากลับพื้น

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดปล่อยชายผ้าของเขาจนลากพื้น ในขณะละหมาดอย่างหยิ่งยะโส เขาจะไม่มีค่าใดๆ เลย สำหรับอัลลอฮ์ (ผู้ซึ่งการกล่าวถึงพระองค์เป็นความยิ่งใหญ่) 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

การหาวนอน การประสานมือ และการเป่า

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การหาวนอนในละหมาด มาจากชัยฏอน เมื่อคนใดคนหนึ่งหาวนอน จงพยายามฝืนเท่าที่สามารถ (ให้ทุบปากและเอามือซ้ายปิดปาก) 

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี 

ในเรื่อง “เริ่มสร้าง” ตัวบทของบุคอรีว่า “การหาวนอนมาจากชัยฏอน ดังนั้นเมื่อคน ใดคนหนึ่งหาวนอน ให้เขาจงฝืนเท่าที่สามารถ เพราะคนใดคนหนึ่งเมื่อหลุดปากออกไปว่า “ฮา” ชัยฏอนจะหัวเราะเยาะเขา

จากกะอ์บิ บินอุจเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งคนใดได้ อาบน้ำละหมาด และได้อาบน้ำละหมาดอย่างดี หลังจากนั้นตั้งใจออกไปยังมัสญิด อย่าให้เขา ประสานมือโดยที่เขาอยู่ในละหมาด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี เป็นหะดีษศอลิฮะห์

เล่าจากอุมมุ ซาลามะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้เห็นเด็กคนหนึ่งของเรา เขามีชื่อเรียกว่า “อัฟละห์-أفْلَحُ” เมื่อเขาสุญูดเขาได้เป่าฝุ่น ท่านนบีได้กล่าวว่า โอ้ อัฟละห์จงให้ใบหน้าของท่านเปื้อนฝุ่น 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี รายงานโดย ติรมิซี

บทที่ 6 127

ละหมาดสุนัตคู่ละหมาดฟัรฎู มีสามตอน

ตอนที่หนึ่ง

ละหมาดสุนัตที่คู่กับละหมาดฟัรดู

เล่าจากอุมมิ ฮาบีบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ไม่มีบ่าวมุสลิมคนใดที่ละหมาดเพื่ออัลลอฮ์ทุกวัน 12 เราะกะอัตโดยสมัครใจนอกจากละหมาด ฟัรฎู เว้นแต่อัลลอฮ์ได้สร้างบ้านหลังหนึ่งให้เขาในสวรรค์ อุมอุ ฮาบีบะห์ได้กล่าวว่า ฉันได้ละหมาด 12 เราะกะอัตนี้เป็นประจำหลังจากไดยินฮาดีษนี้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ติรมิซีได้รายงานเพิ่มเติมว่า สี่เราะกะอัตก่อนและหมาดดุห์รี สองเราะกะอัตหลังละหมาดดุห์รี  สองเราะกะอัตหลังจากมัฆริบ สองเราะกะอัตหลังจากละหมาดอิชาอ์ และสองเราะกะอัตก่อนละหมาดซุบฮฺ(ฟัจริ)

ละหมาดสุนัตฟัจร์(ซุบฮฺ)

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดสุนัตฟัจรี สองเราะกะอัตดีกว่าโลกนี้และสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี และอะห์มัด

สำหรับรายงานของอะบิดาวูดและอะห์มัดว่า ท่านทั้งหลายอย่าทิ้งละหมาดสุนัตฟัจรีสองเราะกะอัตแม้ว่าข้าศึกจะติดตามขับไล่ท่านก็ตาม

และเล่าจากเขา (อาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ไม่เคยผูกพันกับละหมาดสุนัตใดๆ มากไปกว่าละหมาดสุนัตฟัจรีสองเราะกะอัตเลย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจาก อาอิชะห์ ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   จะรีบละหมาดสุนัตสองเราะกะอัตที่อยู่ก่อนและหมาดชุบฮฺ จนข้าพเจ้าต้องถามตัวเองว่าท่านนบีได้อ่านฟาติฮะห์หรือเปล่า[324]     

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านในละหมาดสุนัตฟัจรี สองเราะกะอัตด้วยซูเราะห์อัลกาฟิรูนและซูเราะห์อัลอิคลาส 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านใน ละหมาดสุนัตฟัจรีสองเราะกะอัตด้วยอายะห์ที่มีความหมายว่า ท่านทั้งหลายจงกล่าวเถิดว่า พวกเรามีศรัทธาต่ออัลลอฮ์และต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมายังเรา และด้วยโองการที่อยู่ใน ซูเราะห์อาลิ อิมรอนที่ว่า ขอเชิญท่านทั้งหลายมาสู่คำกล่าวปฏิญาณที่ทำให้พวกเราและพวกท่านอยู่ ในฐานะเท่าเทียมกัน 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

และตามรายงานของติรมิซี และอบุดาวูดว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งได้ละหมาดสุนัตฟัจรีสองเราะกะอัตแล้วให้เขาจงนอนตะแคงบนสี่ข้างขวาของเขา 

ละหมาดสุนัตรอวาติบ (اَلْرَوَاتِب) ที่เป็นมุอักก็ด (اَلْمُؤكَّدَّ) 129

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้จดจำมาจากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  10 เราะกะอัตคือ สองเราะกะอัตก่อนและหมาดดุหร์ สองเราะกะอัตหลังละหมาดดุหร์สองเราะกะอัตหลังละหมาดมัฆริบในบ้านของท่าน สองเราะกะอัตหลังละหมาดอิชาอฺในบ้านของท่าน และสองเราะกะอัตก่อนและหมาดซุบฮฺและเป็นช่วงระยะเวลาที่ไม่มีใครเข้าไปหาท่านนบี ซ.ล.  

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) ได้กล่าว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดกับท่านนบี ซ.ล.   ก่อนและหมาดดุหร์สองเราะกะอัตหลังจากละหมาดดุห์ริสองเราะกะอัตหลังละหมาดมัฆริบสองเราะกะอัตหลังละหมาดอิชาอ์สองเราะกะอัตและหลังละหมาดญุมอะห์สองเราะกะอัต ส่วนละหมาดมัฆริบ อิชาอ์ และญุมอะห์นั้น ข้าพเจ้าได้ละหมาดกับท่านนบี ซ.ล.  ภายในบ้านของท่าน (หมายถึงละหมาดสุนัต)

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ไม่เคยทิ้งละหมาดสุนัตสี่เราะกะอัตก่อนดุห์รี และ สองเราะกะอัตก่อนและหมาดซุบฮฺ 

รายงานหะดีษทั้งสามโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ละหมาดสุนัตรอวาติบทไม่ใช่มุอักกัด

เล่าจากอับดิลลาห์ บินมุฆอฟฟัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ช่วงเวลาระหว่างการอะซานสองครั้งมีละหมาดสองเราะกะอัต(ท่านได้กล่าวย้ำสามครั้ง)และได้กล่าวในครั้งที่สามว่า  สำหรับบุคคลที่ต้องการ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจากอับดิลลาห์อัลมุซานี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงละหมาดก่อนละหมาดมัฆริบและได้กล่าวในครั้งที่สามว่า แก่บุคคลที่ต้องการ เพราะไม่ต้อง การให้ผู้คนยึดถือเอาเป็นหลักปฏิบัติตายตัว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอุมมิฮะบีบะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดรักษาละหมาดสี่เราะกะอัตก่อนและหมาดดุหร์ และสี่เราะกะอัตหลังละหมาดดุหร์ อัลลอฮ์ (ซ.บ.) จะห้ามเขาเหนือไฟนรก (จะป้องกันเขาจากไฟนรก) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ที่ได้ให้ความเมตตาแก่ ผู้ที่ละหมาดสี่เราะกะอัตก่อนละหมาดอัศร์[325] 

รายงานโดย อะบูดาวูดและติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดละหมาด 6 เราะกะอัต หลังละหมาดมัฆริบ โดยมิได้พูดคุยในสิ่งที่ชั่วร้ายในระหว่างนั้น จะมีผลเท่ากับเขาได้ทำภักดีต่ออัลลอฮ์เป็นเวลา 12 ปี และในบางรายงานกล่าวว่า ผู้ใดละหมาด 20 เราะกะอัต หลังละหมาดมัฆริบ อัลลอฮ์ได้สร้างปราสาทให้แก่เขาหนื่งหลังในสวรรค์ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ตอนที่สอง 130 ละหมาดวิติร (الوِتِرِ)

เล่าจากอะลี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า โอ้ ผู้ที่ศรัทธาในพระคัมภีร์อัลกุรอาน ท่านทั้งหลายจงละหมาดวิติร(คี่) แท้จริงอัลลอฮ์(มีหนึ่งซึ่ง)เป็นจำนวนคี่ พระองค์จึงรักจำนวนคี่ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากคอริยะห์ บินฮุซาฟะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ออกมาหาพวกเราแล้วกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ตาอาลาได้เพิ่มอีกละหมาดหนึ่งให้แก่พวกท่าน ซึ่งมันเป็น ความดีกว่าอูฐแดง นั้นคือ ละหมาดวิติร อัลลอฮ์ได้กำหนดให้แก่พวกท่าน ในช่วงเวลาระหว่าง ละหมาดอิชาอ์จนถึงแสงอรุณขึ้น 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้การละหมาด ของพวกท่าน สิ้นสุดลงในเวลากลางคืนด้วยละหมาดวิติร[326] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจาก มัสอูด ร.ฎ. ว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ลอฮ์ ซ.ล.  ละหมาดวิติรเมื่อไหร่  ท่านหญิงอาอิชะห์ตอบว่า ทั้งหมดนี้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กระทำทั้งสิ้น ได้ละหมาดวิติรในตอนหัวคำ ในตอนดึกและในตอนใกล้รุ่ง แต่ยิ่งกว่านั้นในขณะเมื่อท่านจะเสียชีวิต ละหมาดวิติรของท่านเสร็จเมื่อได้เวลา “สะฮัร” (คือเวลาก่อนแสงอรุณขึ้น) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดกลัวว่าจะไม่สามารถลุกขึ้นมา ในเวลาย่ำรุ่ง (ก่อนแสงอรุณขึ้น) ให้เขาละหมาดวิติรในตอนหัวคำ และผู้ใดมีความโลภที่จะลุกขึ้นในเวลาย่ำรุ่ง ให้เขาจงละหมาดวิติรในเวลาย่ำรุ่ง เพราะแท้จริงละหมาดในเวลาย่ำรุ่งนั้นเป็น ละหมาดที่ถูกมองดู และนั้นเป็นความยอดเยี่ยม[327] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม ติรมิซี

เล่าจากอะบี กอตาดะห์ ร.ฎ. ว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวแก่อะบีบักร์ว่า  ท่านและหมาดวิติร เมื่อใด ท่านอบูบักร์กล่าวว่า ข้าพเจ้าละหมาดวิติรตั้งแต่หัวคำ และท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าว แก่อุมัรว่า ท่านและหมาดวิติรเมื่อใด อุมัรตอบว่า  ข้าพเจ้าละหมาดวิติรใกล้ๆ สว่าง ท่านนบี  ได้กล่าวแก่อะบีบักร์ว่า คนนี้มีความระมัดระวัง และกล่าวแก่อุมัรว่า  สำหรับคนนี้มีจิตใจเข้มแข็ง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

จำนวนเราะกะอัตของละหมาดวิติร

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  (ละหมาดสุนัต)ในเวลากลางคืน มือย่างละสอง อย่างละสองเราะกะอัต เมื่อท่านต้องการจะเลิกละหมาดให้ละหมาดอีกหนื่งเราะกะอัตเพื่อทำให้เป็นวิติร(จำนวนคี่)แก่ละหมาดของท่านที่ได้ละหมาดไปแล้ว 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดวิติรมีหนึ่งเราะกะอัตในเวลาสิ้นสุดของกลางคืน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม นะซาอี และอะห์มัด

เล่าจากอะบี อัยยูบ อัลอันศอรี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดวิติรเป็นสิทธิ์ (จำเป็น) เหนือมุสลิมทุกคน ผู้ใดพอใจที่จะละหมาด สิทธิ์ห้าเราะกะอัตให้เขาจงกระทำ ผู้ใดชอบ ที่จะละหมาดวิติรสามเราะกะอัตให้เขาจงกระทำ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และในบางรายงานว่า  ละหมาดวิติรเป็นสิทธิ์ ดังนั้นผู้ใดต้องการก็ละหมาดเจ็ดเราะกะอัตผู้ใดต้องการก็ละหมาดห้าเราะกะอัตผู้ใดต้องการก็ละหมาดสามเราะกะอัต และผู้ใดต้องการก็ละหมาด หนึ่งเราะกะอัต

เล่าจากอุมมิซาลามะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดวิติร 13 เราะกะอัต เมื่อชราภาพลงและอ่อนแอท่านได้ละหมาดวิติร 7 เราะกะอัต

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากตอลกิ บินอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. กล่าวว่า ไม่มีละหมาดวิติรสองครั้งในคืนเดียว 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

การอ่านในละหมาดวิติร 131

เล่าจากอับดิลอะซีซ บิน ญุรอยจ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า  พวกเราได้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ว่า สิ่งใดที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ใช้อ่านในละหมาดวิติร ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺเคยอ่านในเราะกะอัตแรกด้วย“ซับบิฮิส มะรอบบิกัล อะลา” และในเราะกะอัตที่สองด้วย“กุลยาอัยยุฮัลกาฟิรูน” ในเราะกะอัตที่สามด้วย“กุล ฮุวัลลอฮุ อะฮัด” และสองมะอูซะ ตัยนิ[328] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ท่านนะซาอีและอะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า และได้อ่านหลังจากให้สลามแล้วว่า  “ซุบฮานัล มะลิกิลกุดดูส” สามครั้ง โดยส่งเสียงดังในครั้งที่สาม 

และมีผู้ถามท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   อ่านค่อยหรืออ่านดังในละหมาดวิติร ท่านหญิงอาอิชะห์กล่าวว่า ทั้งหมดนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยทำ บางครั้งอ่านค่อย บางครั้งก็อ่านดัง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยอ่านในตอนท้ายของละหมาดวิติรดังจากให้สลามแล้วว่า โอ้ อัลลอฮ์แท้จริงข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยความพอใจของท่าน จากความกริ้วโกรธของท่าน ด้วยการอภัยของท่าน จากการลงโทษของท่าน และข้าพเจ้าขอป้องกัน ด้วยพระองค์ท่านจากพระองค์ท่าน ข้าพเจ้าไม่อาจกล่าวคำสรรเสริญพระองค์ท่านได้หมดสิ้นเหมือนที่พระองค์ท่านได้สรรเสริญพระองค์ท่านเอง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ตอนที่สาม 132

การขอพร การซิเกร หลังจากเสร็จละหมาด

เล่าจากเซาบาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อเสร็จจากละหมาดได้กล่าวขออภัยโทษ (اَسْتَغْفِرُاللهُ) สามครั้ง แล้วกล่าวว่า โอ้ พระองค์อัลลอฮ์ท่านนั้นคือความ สันติ และจากพระองค์ท่านนั้นคือ ความสันติสุข ท่านเป็นผู้มีคิริมงคล โอ้ผู้ทรงเกรียงไกรและ มีเกียรติ 

اَللَّهُمَّ اَنْتَ السَّلامُ وَ مِنْكَ السَّلامُ تَبَارَكْتَ يَاذَاالجَلالِوَالإكْرَامِ

และในบางรายงานว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อให้สลามแล้วจะไม่นั่ง นอกจาก นั่งชั่วระยะเวลาที่จะกล่าวว่า โอ้พระองค์อัลลอฮ์ท่านนั้นคือ ความสันติ กล่าวจนจบ (และ จากพระองค์ท่านนั้นคือ ความสันติสุข ท่านเป็นผู้คิริมงคล โอ้ผู้ทรงเกรียงไกรและมีเกียรติ) 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากไซด์ ทาสของท่านนบี ซ.ล.   จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดขออภัยต่ออัลลอฮ์ซึ่งไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระ นอกจากพระองค์ซึ่งดำรงอยู่ และข้าพเจ้า ขอกลับตัวกลับใจมาสู่พระองค์ เขาจะได้รับการอภัย ถึงแม้เขา (จะมีโทษฐาน) หนีทัพก็ตาม[329] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

ตัวบทของติรมิซีกล่าวว่า ผู้ใดขออภัยต่ออัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ (เพิ่มคำว่ายิ่งใหญ่) (اَسْتَغْفِرُ الله ُ الْعَظِيْمَ)

เล่าจาก วัรร็อด ทาสของมุฆีเราะห์ บิน ชัวะบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านมุฆีเราะห์ได้เขียน สาส์นไปถึงมุอาวียะห์ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อเสร็จจากละหมาด และได้ให้สลาม แล้วได้กล่าว (มีใจความ) ว่า ไม่มีพระเจ้าที่ควรแก่การเคารพสักภาระ นอกจากอัลลอฮ์องค์เดียว โดยไม่มีคู่ภาคีกับพระองค์ กรรมสิทธิ์ที่แท้จริงเป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญเป็นของ พระองค์ พระองค์มีความสามารถเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง โอ้ อัลลอฮ์ ไม่มีใครขัดขวางสิ่งที่ท่านให้ ไม่มีใครให้ในสิ่งที่ท่านขัดขวาง และความเพียรพยายามใดๆ จะไม่เกิดประโยชน์แก่ผู้มีความเพียรที่จะพ้นไปจากท่าน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากกะอ์บิ บินอุจเราะห์ ร.ฎ. จากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  คำอ่านที่ใช้ อ่านหลังละหมาด ซึ่งผู้ที่อ่านเหล่านั้น จะไม่,ขาดทุน คือผู้ที่กล่าวคำตัสบีฮะ 33 ครั้ง กล่าว คำตะห์มี้ด 33 ครั้ง และกล่าวคำตักบีร 34 ครั้ง ทุกๆ หลังละหมาด

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และติรมิซี 

เล่าจากท่านอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า แท้จริงคนยากจนเข็ญใจจากบรรดาผู้อพยพได้ พากันมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า พวกคนรวยได้รับตำแหน่งต่างๆ และความสุขอันถาวร ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า อย่างไร พวกเขากล่าวว่า พวกเขาละหมาดเหมือนพวกเรา ถือศีลอดเหมือนพวกเรา พวกเขาทำเศาะดะเกาะห์(บริจาคทาน) แต่พวกเรามิอาจทำได้ พวกเขาปล่อยทาสพวกเรามิอาจปล่อยได้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ฉันจะสอนสิ่งหนึ่งให้แก่พวกท่านเอาไหม พวกท่านจะตามคนที่เกินหน้าท่านทั้งหลายทัน และจะล้ำหน้ากว่าคนที่มาหลังจากพวกท่าน และจะไม่มีใครดีเกินพวกท่าน นอกจากคนมีทำเหมือน อย่างพวกท่าน พวกเขาได้กล่าวว่า (เอา)ครับ โอ้เราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงกล่าวว่า พวกท่านจะต้องกล่าวตัสบีฮะ ตักบีร และสรรเสริญอัลลอฮ์ที่(ตะห์มีด) หลัง จากเสร็จละหมาด อย่างละสามสิบสามครั้ง

ท่านอบูซอและห์ได้กล่าวว่า พวกคนยากจนเข็ญใจได้พากันกลับมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล.  อีกครั้งหนึ่ง พลางกล่าวว่า พวกที่น้องของเราที่ร่ำรวยได้ยินสิ่งที่พวกเราที่ พวกเขาได้ทำเหมือนกับที่เราทำ ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้กล่าวว่า นั้นคือ ความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่ ที่จะมอบให้แก่บุคคลที่พระองค์ต้องการ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และอะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า และท่านจะต้องลงท้ายด้วยการกล่าวคำว่า “ไม่มีพระเจ้ามีควรแก่การเคารพสักการะนอกจากอัลลอฮ์โดยโม่มีคู่ภาคี สิทธิ์ทั้งปวงเป็นของพระองค์ การสรรเสริญทั้งปวงเป็นของพระองค์ และพระองค์มีความถามารกเหนือทุกๆ สิ่ง

 (لااله الا اللهُ وَحْدَهُ لاشَرِيكَ لَهُ لَهُ المُلْكُ وَ لَهُ الحَمْدُ وَ هُوَ عَلَى كُلِّ شَىءٍ قَدِيْرٌ)

และตัวบทของติรมีชีว่า ท่านทั้งหลายจงกล่าว '‘ซุบฮานัลลอฮฺ 33 ครั้ง อัลฮัมดุลิลลาฮ์ 33 ครั้ง และ “อัลลอออักบัร 34 ครั้ง และ “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ 10 ครั้ง

และในรายงานของมุสลิมว่า ผู้ใดตัสบีฮะที่หลังจากละหมาดเสร็จ 33 ครั้ง และตะห์มีด 33 ครั้ง และตักบีร 33 ครั้ง นั้นแหละรวมเป็น 99 ครั้ง แล้วกล่าวว่าที่จะครบร้อยครั้งนั้นคือ กล่าว(คำที่มีความหมายว่า) ไม่มีพระเจ้ามีควรแก่การเคารพสักภาระ นอกจากอัลลอฮฺองค์เดียวโดยไม่มีคู่ภาคี กรรมสิทธิ์ทั้งปวงเป็นของพระองค์ มวลการสรรเสริญทั้งปวงเป็นของพระองค์ พระองค์เป็นผู้มีความสามารถเหนือทุกสิ่ง 

(لااله الا اللهُ وَحْدَهُ لاشَرِيكَ لَهُ لَهُ المُلْكُ وَ لَهُ الحَمْدُ وَ هُوَ عَلَى كُلِّ شَىءٍ قَدِيْرٌ)

เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดทั้งปวง ถึงแม้จะมากเท่าฟองทะเล 

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ออกมาจากที่ซึ่ง พระนางยุวัยรียะห์(กำลังตัสบีฮะห์ด้วยเม็ดอินทผลัม) และกำลังอยู่ในที่ละหมาดของพระนาง เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กลับเข้าไป นางก็ยังคงอยู่ในที่ละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้ กล่าวว่า เธอยังคงอยู่ในที่ละหมาดอย่างนี้หรือ หล่อนตอบว่า ใช่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า แท้จริงฉันได้กล่าวหลังจากเธอเพียงสี่คำ ถ้าหากเอามาชั่งกับสิ่งที่เธอกล่าวมันจะหนักกว่า คือคำที่มีความหมายว่า มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์อัลลอฮ์พร้อมด้วยการสรรเสริญเท่ากับจำนวนของสิ่งที่พระองค์สร้าง เท่ากับจำนวนความพอใจของพระองค์ เท่ากับขนาดของบัลลังก็ และเท่ากับจำนวนคำพูดของพระองค์ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากมุอาซ บินญะบัล ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ได้จับมือเขาแล้วกล่าวว่า โอ้ มุอาซ สาบานต่ออัลลอฮ์ แท้จริงฉันรักท่าน ขอสั่งเสียแก่ท่านมิให้ทิ้งเมื่อเสร็จละหมาดที่จะกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์ ได้โปรดช่วยเหลือข้าพเจ้าให้ได้ระลึกถึงท่าน และขอบคุณต่อท่าน และทำอิบาดะห์อย่างดีต่อท่าน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

และอุกบะห์ บินอามิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ใช้ข้าพเจ้าให้อ่าน “อัลมุเอาวิซาต - اَلْمُعَوِّذَاتِ”[330] ทุกครั้งเมื่อเสร็จละหมาด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวแก่ชายผู้หนึ่งว่า ท่านกล่าว อย่างไรบ้างในละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อ่าน “ตะชะห์ฮุด และกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์แท้จริงข้าพเจ้าขอสรวงสวรรค์จากท่าน และขอป้องกันด้วยท่านจากไฟนรก โปรดทราบแท้จริงข้าพเจ้าฟังเสียงของท่านและมุอาซไม่ค่อยถนัด ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เราพึมพำกันเกี่ยวกับสวรรค์ 

และในบางรายงานว่า ตัวฉันและมุอาซ กำลัง พึมพำกันเกี่ยวกับนรกและสวรรค์ [331]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

บทที่ 7 134

สุญูดซะห์วี และการอ่าน (السَهْوِ وَالتِلاوَةِ)

มี 2 ฅอน

ตอนที่ 1

สาเหตุที่ทำให้ต้องสุญูดซะห์วี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงคนใดคนหนึ่ง เมื่อยืนขึ้นและหมาดชัยฏอนจะมาหาเขา และทำให้เขาสงสัย จนกระทั้งไม่รู้ว่าละหมาดได้ก็เราะกะอัต เมื่อคนใดคนหนึ่งพบเหตุการณ์ดังกล่าว จงสุญูดสองครั้งในขณะที่เขานั่ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และอะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนให้สลาม

เล่าจากอะบี สะอีด อัลคุดรีร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อคนหนึ่งคนใด เกิดสงสัยในขณะละหมาด จนไม่รู้ว่าได้ละหมาดไปสามหรือสี่เราะกะอัตจงขจัดความสงสัยทิ้งไป และดำเนินต่อไปตามความมั่นใจ[332] หลังจากนั้นให้สุญูดสองครั้งก่อนให้สลาม และถ้าหากเขา ได้ละหมาดห้าเราะกะอัต สุญูดสองครั้งนั้นจะทำให้ละหมาดของเขากลายเป็นจำนวนคู่[333] และถ้าหากเขาได้ทำครบสี่แล้ว สุญูดสองครั้งนั้นจะทำให้ชัยฏอนไม่พอใจ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอับดิรเราะห์มาน บินเอาฟ์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งลืมไปว่าได้ละหมาดหนึ่งหรือสองเราะกะอัตให้เขาดำเนินต่อไปบนหนึ่งเราะกะอัต ถ้าหากเขาไม่รู้ว่าได้ละหมาดไปสอง หรือสามเราะกะอัตให้เขาดำเนินต่อไปบนสองเราะกะอัต และถ้าหากเขาไม่รู้ว่าได้ละหมาดไปสามหรือสี่เราะกะอัต ให้เขาดำเนินต่อไปบนสามเราะกะอัต แล้วให้สุญูดสอง(سَجْدَتَيْنِ) ครั้งก่อนกล่าวสลาม 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และอะห์มัด เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอับดิลลาห์ บินบุไฮนะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ลุกขึ้นจากเราะกะอัตที่สองมาทำเราะกะอัตที่สาม โดยมิได้นั่งระหว่างนั้น (คือนั่งอ่านตะชะห์ฮุด ครั้งแรก) เมื่อเสร็จละหมาดจึงได้สุญูดสองครั้ง เสร็จแล้วจึงกล่าวสลามหลังจากนั้นประชาชนที่ได้ละหมาดร่วมกับพระองค์ก็ได้สุญูดสองครั้ง แทนสิ่งที่พระองค์ลืมจากการนั่ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อผู้นำละหมาด (อิหม่าม) ได้ลุกขึ้นจากเราะกะอัตที่สอง (ให้พิจารณาดังนี้) ถ้าหากเขานึกขึ้นได้ ก่อนจะยืนตรงให้เขานั่งลง (เพื่ออ่านตะชะห์ฮุดครั้งแรก) ถ้าหากเขายืนตรงไปแล้วจงอย่าลงนั่ง (เพื่ออ่านตะซะห์อุดครั้งแรก) แต่ให้สุญูดสองครั้งเพราะลืม 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด อะห์มัด และบัยหะกี

เล่าจากซิยาด บิน อิลาเกาะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านอัลมุฆีเราะห์ได้ละหมาดนำพวกเรา เมื่อละหมาดได้สองเราะกะอัตเขาลุกขึ้นยืนโดยมิได้นั่ง บุคคลที่ละหมาดอยู่ข้างหลังได้กล่าว ตัสเบียะห์(“ซุบฮานัลลอฮุ” เพื่อให้เขานึกได้และรู้สึกตัว)[334] เขาได้ทำท่าว่าให้พวกท่านทั้งหลายจงลุกขึ้น เมื่อเสร็จละหมาดได้ให้สลาม และได้สุญูดสองครั้งเพราะลืม[335]แล้วกล่าวว่า อย่างนั้นแหละที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์  ซ.ล. ได้ทำ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาดอัศรี กับพวกเรา และได้กล่าวสลามเมื่อละหมาดไปได้เพียงสองเราะกะอัต ท่านซุลย่าดัยน์ได้ลุกขึ้นแล้ว กล่าวว่า ละหมาดกอศร์ (ย่อ-قَصَرٌ) หรือ โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์  หรือเขาให้ท่านลืม  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ทั้งหมดนั้นมิให้เกิดขึ้น ซุลย่าดัยน์ได้กล่าวว่า แท้จริงบางอย่างได้เกิดขึ้น โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้หันไปทางผู้คนแล้วกล่าวว่า ซุลย่าดัยน์ พูดจริงหรือ พวกเขาได้กล่าวว่า ใช่ครับ ซุลย่าดัยน์พูดถูก โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ทำละหมาดที่เหลืออยู่จนครบแล้วจึงได้สุญูดสองครั้งในขณะที่ยังนั่งอยู่หลัง จากกล่าวสลามแล้ว

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิมรอน บิน อัลฮุซัยน์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวสลามในเราะกะอัตที่สามของละหมาดอัศรี จากนั้นได้ลุกขึ้นยืนแล้วเข้าห้อง ได้มีชายคนหนึ่ง (เป็นผู้มี) มือยาวใหญ่ได้ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า ละหมาดกอศร์ (ย่อ-قَصَرٌ) หรือท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ออกมาด้วยท่าทางโกรธ แล้วได้ละหมาดอีกหนึ่งเราะกะอัตที่ทิ้งไป หลังจากนั้นได้ให้สลามแล้วสุญูดสองครั้งเพราะลืม เสร็จแล้วจึงให้สลามอีกครั้ง[336] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และอะห์มัด

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาดดุหรีห้าเราะกะอัตได้มีผู้กล่าวแก่ท่านว่า เขาได้ให้เพิ่มในละหมาดแล้วหรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่ามินเป็นอย่างไร เขากล่าวว่า ท่านได้ละหมาดห้าเราะกะอัตท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้ สุญูดสองครั้ง หลังจากกล่าวสลาม

และในบางรายงานว่า แน่แท้ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ดุจเดียวกับพวกท่าน ข้าพเจ้าระลึกได้เหมือนกับพวกท่านระลึกได้ และข้าพเจ้าลืมเหมือนกับพวกท่านลืม หลังจากนั้นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้สุญูดซะห์วีสองครั้ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อับดิลลาห์) ได้กล่าวว่า พวกเราได้ละหมาดร่วมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  บางครั้งท่านทำเกินหรือทำขาดท่านอิบรอฮีม (เป็นผู้เล่าฮาดีษบทนี้ด้วยคนหนึ่ง) ได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์ การเช่นนั้น มิได้เกิดขึ้นนอกจากเกิดขึ้นมาจากข้าพเจ้า เขา(อับดุรเราะห์มาน)ได้กล่าวว่า พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ มือะไรเกิดขึ้นใน ขณะละหมาดหรือ ท่านเราะซูลุลลอฮ์กล่าวว่า เปล่า (ไม่มีอะไรเกิดขึ้น) พวกเราจึงเล่าสิ่ง ที่พระองค์ทำให้ฟัง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า เมื่อคนผู้หนึ่งได้ละหมาดเกินหรือละหมาดขาด ให้เขาจงสุญูดสองครั้ง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

เล่าจากอิมรอน บินฮุซอยน์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ละหมาดร่วมกับพวกเขาแล้วลืม จึงได้สุญูดซะห์วีสองครั้ง หลังจากนั้นได้อ่านตะซะห์อุดแล้วให้สลาม[337] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ตอนที่ 2 137

สุญูดเพราะการอ่าน (สุญูดอัตติลาวะห์ التِلاوَةِ)[338]

อัลลอฮ์ตาอาลาผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวไว้ ”แน่แท้บรรดาผู้มีศรัทธาต่อโองการต่างๆ  ของเรานั้น เมื่อพวกเขาถูกเตือนด้วยโองการเหล่านั้นเขาทรุดตัวลงสุญูด (กราบ) และกล่าวคำสรรเสริญอัลลอฮ์ของพวกเขาในสภาพที่พวกเขาไม่มีความหยิ่งยะโส”

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี (ซ.ล..) ได้กล่าวว่า เมื่อมนุษย์ได้อ่านโองการที่มีสุญูด แล้วเขาได้ก้มกราบ (สุญูด) ชัยฏอนจะปลีกตัวออก (จากเขา) แล้วร้องให้ พลางกล่าวว่า พินาศแล้ว และในบางรายงานว่า ความพินาศได้เกิดขึ้นแก่ตัวข้าแล้ว  มนุษย์ถูกบัญขาให้ก้มกราบ (สุญูด) เขาได้ทำตามคำสั่งนั้นด้วยการก้มกราม (สุญูด) สวรรค์จึงเป็นของเขาส่วนตัวข้าถูกใช้ให้ก้มกราบแต่ข้าฝ่าฝึนนรกจึงเป็นของข้า 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  เคยอ่านซูเราะห์ซึ่งมีโองการเกี่ยวกับ สุญูดอยู่ในซูเราะห์นั้น ท่านจะก้มกราบ (สุญูด) และพวกเราก็ก้มกราบ (สุญูด) พร้อมกับท่าน จนกระทั้งพวกเราเกือบหาที่ที่จะวางหน้าผากลงสุญูดไม่พบ[339] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยอ่านพระคัมภีร์อัลกุรอานให้พวกเราฟัง เมื่อผ่านโองการที่มีสุญูด ท่านจะตักบีรและก้มลงกราบ (สุญูด) พวกเราก็ได้ก้มลงกราบ(สุญูด) พร้อมกับท่าน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และฮากีม

เล่าจากอุกบะห์ บินอามีร ร.ฎ. ว่า ข้าพเจ้าใด้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ในซูเราะห์อัลฮัจญ์ มีสุญูด 2 ครั้งหรือ[340] ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า ใช่ ผู้ใดไม่สุญูดก็อย่าอ่าน (โองการทั้งสองนั้น) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และฮากีม และเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยอ่านในละหมาดฟัจรี (ซุบฮิ) ของวันศุกร์ด้วยอลีฟ

ลามมีม ตันซีลุ อัสสัจดะห์ และซูเราะห์ (อัดดะห์ริ)    ฮัลอะตาอะ ลั้ลอินซานี้ฮีน[341] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อายะห์[342] “ศ็อค” นั้น มิใช่เป็นอายะห์ที่ใช้ให้สุญูด แท้จริงข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล.   สุญูดในการอ่านอายะห์นั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี

และท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านอายะห์ “ศ็อค” ในขณะที่พระองค์อยู่บนแทนแสดงธรรม (มิมบัร) เมื่อท่านอ่านไปถึง “ที่ ๆ กล่าวถึงการสุญูด[343] ท่านได้ลงมาจากแท่นแล้วก้มลงกราบ (สุญูด) ประชาชนก็ได้สุญูดพร้อมกับท่าน ต่อมาอีกวันหนึ่งท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้อ่านอายะห์ “ศ็อด” และเมื่ออ่านไปถึง “ที่ ๆ กล่าวถึงที่ารสุญูด” ประชาชนเตรียมตัวจะลงสุญูด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จึงได้กล่าวว่า อายะห์นี้เป็นการเตาบะห์ของนบีองค์หนึ่งแต่เมื่อ ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านได้เตรียมตัวลงสุญูดแล้ว ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้ลงมาจากแทนและได้สุญูด และประชาชนก็ได้สุญูด 

รายงานโดย อบูตาวูฅ 

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้อ่านซูเราะห์ “อัลนัจมี” ที่มิกกะห์ แล้วได้สุญูดที่นั่น[344] และบุคคลที่อยู่กับพระองค์ได้สุญูด นอกจากชายคนหนึ่ง ได้กอบก้อนกรวดขึ้นมากำมือหนึ่ง แล้วยกขึ้นมาลูบที่หน้าผากของเขา พร้อมกับกล่าวว่า นี้ก็เพียงพอแก่ข้าแล้ว ต่อมาข้าพเจ้า (ผู้เล่า) ได้เห็นเขาถูกฆ่าตายในสภาพของผู้ที่ทรยศ (กาเฟร) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้สุญูด เพราะอ่านซูเราะห์ อัลนัจมี และบรรดามุสลิมและมุชริก (ผู้ตั้งภาคี) พวกญินและมนุษย์ได้สุญูดพร้อมกับท่าน

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอะบี รอเฟียะอฺ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดอัลอะตะมะห์ (อิชาอ์) พร้อมกับอบี ฮุรอยเราะห์ เขาได้อ่าน “อิดัสสะมาอุนชักก็อต” แล้วได้ก้มกราบ (สุญูด) ข้าพเจ้า จึงได้ถามขึ้นว่า อะไรนี่ อบุ ฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า  ข้าพเจ้าเคยสุญูด เพราะอ่านอายะห์นี้ ข้างหลังอะบิลกอซิม (ท่านนบี) ซ.ล. ข้าพเจ้า (ผู้เล่า) ได้สุญูดอยู่เสมอเมื่ออ่านอายะห์นั้นจน กระทั้งข้าพเจ้าได้พบกับท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าว่า พวกเราได้สุญูดพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ในการอ่านอิดัสสะมาอุนชักก็อต และอิกเราะบิส-มิร๊อบบิก (ซูเราะห์อัลอะลัก) 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอัมรุ บินอัลอาส ร.ฎ.ว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้อ่านให้เขาฟ้ง 15 อายะห์ที่มีสุญูด อยู่ในคัมภีร์ร์อัลกุรอาน สามสุญูดจาก 15 อยู่ในซูเราะห์ห์มุฟัสซอล[345] และอยู่ในซูเราะห์ห์อัลฮัจญ์มีสอง สุญูด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

เล่าจากอะบี อัดดัรดาอ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สุญูดพร้อมกับท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  11 สุญูด ส่วนหนึ่งอยู่ในซูเราะห์ “อัลนัจมิ”  

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

ข้ออกำหนด (หุก่ม) ของการสุญูดเนื่องจากการอ่าน (อัลกุรอาน) 139

เล่าจากไซดฺ บินซาบิต ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้อ่านซูเราะห์อัลนัจมิให้ท่านนบี ซ.ล.   ฟัง ท่านไม่ได้สุญูดในซูเราะห์นี้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากรอะบีอะห์ บินอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า อุมัร บินอัลคอตต๊อบได้อ่าน ซูเราะห์ห์อันนะห์ลุ บนแท่นแสดงธรรม (มิมบัร) ในวันศุกร์ เมื่อได้อ่านมาถึงโองการที่กล่าวถึงสุญูด เขาได้ลงจากแท่นแล้วก้มลงกราบ (สุญูด) ประชาชนก็ได้ก้มลงกราบ เวลาผ่านไปจนถึงวันศุกร์หน้า เขาได้อ่านซูเราะห์ห์อัลนะห์ลุอีก และเมื่ออ่านไปถึงโองการที่กล่าวถึงสุญูด เขาได้กล่าวว่า โอ้ ประชากรทั้งหลาย แท้จริงเรากำลังผ่านโองการที่กล่าวถึงสุญูด ดังนั้นผู้ใดสุญูด ผู้นั้นก็ได้ทำถูกต้องตามซุนนะห์ และผู้ใดไม่สุญูดก็ไม่เกิดโทษกับเขา และปรากฏว่าอุมัร ร.ฎ. มิได้สุญูด

อิบนุอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์มิได้กำหนดการสุญูดให้เป็นหน้าที่ ที่จำเป็นเหนือพวกเรา นอกจากที่เราต้องการ 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

เล่าจากอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยกล่าวในขณะสุญูด (ติลาวะห์) เพราะการอ่านในเวลากลางคืน ท่านจะกล่าวหลายครั้งในขณะสุญูดว่า ใบหน้าของข้าก้มกราบแด่ผู้สร้างมันขึ้นมา ซึ่งเป็นผู้ที่ผ่าหู ผ่าตา ด้วยพลังอำนาจของพระองค์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ก้มกราบเพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณ (ชุกุร-اَلْشُكُرٌ)

เล่าจากอบี บักเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ว่า เมื่อปรากฏว่าท่านนบีได้รับสิ่งที่ทำให้ปลื้มปีติยินดีหรือได้ขาวดีจะทรุดตัวลงก้มกราบ เพื่อแสดงความขอบคุณต่ออัลลอฮ์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

ตัวบทของติรมีซีว่า (เมื่อ) มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับท่านนบี ซ.ล.   แล้วเกิดความภูมิอกภูมิใจ (ดีใจ) ท่านจะทรุดตัวก้มกราบต่ออัลลอฮ์

เล่าจากอามิร บินสะอ์ดิ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ออกไปพร้อมกับ ท่านนบี ซ.ล.   จากมักกะห์ โดยพวกเรามุ่งหน้าไปยังนครมะดีนะห์ ในขณะที่พวกเราเดินทาง ไปเกือบถึงฆอช-วา-รอ(อยู่ใกล้มักกะห์) ท่านนบีได้ลงจากพาหนะแล้วยกมือขึ้นขอพรต่ออัลลอฮ์ชั่วครู่หนึ่ง หลังจากนั้นได้ทรุดตัวลงก้มกราบ (สุญูด) แล้วหยุดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ต่อจากนั้นได้ลุกขึ้น แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นวิงวอนขอพรชั่วครู่หนึ่ง แล้วทรุดตัวก้มลงกราบและหยุดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน            ต่อจากนั้นได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าขอต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าได้ช่วยเหลือ ประชากรของข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าได้ให้ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ช่วยประชากรได้ 1 ใน 3 ข้าพเจ้าจึงได้ ทรุดตัวลงก้มกราบ เพื่อขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เงยหัวขึ้น แล้ว ขอพรให้แก่ประชากรของข้าพเจ้า พระผู้เป็นเจ้าได้ให้ข้าพเจ้าอีก 1 ใน 3 ของประชากรข้าพเจ้า จึงได้ทรุดตัวก้มลงกราบ เพื่อขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้เงยหัวขึ้น แล้วขอพรให้แก่ประชากรของข้าพเจ้า  พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้ข้าพเจ้าอีก 1 ใน 3 ข้าพเจ้าจึงได้ ทรุดตัวก้มลงกราบต่อพระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

อนุญาตให้มีการกระทำได้เล็กน้อย ในขณะละหมาดเพราะเกิดความจำเป็น

เล่าจากอะบีกอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ทำหน้าที่เป็นผู้นำประชาชนในการละหมาด และอุมามะห์ บินติ อะบี อัลอาส เป็นบุตรสาว ของไซหนับ ซึ่งเป็นบุตรสาวของท่านนบี ซ.ล.   (หมายความว่า อุมามะห์เป็นหลานสาวของท่านนบี) ขี่อยู่บนคอของท่านเมื่อท่านก้มลงรุกัวะอ์ได้วางอุมามะห์ไว้ และเมื่อเงยจากสุญูดได้ จับอุมามะห์มาไว้บนคออีก และในบางรายงานว่า เมื่อสุญูดได้-วางไว้ เมื่อลุกขึ้นยืนได้นำมาแบกไว้อีก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงฆ่าตัวดำๆ ทั้งสองชนิดในขณะละหมาด คือ งูกับแมลงป่อง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาในขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กำลังละหมาดอยู่ในบ้านประตูถูกใส่กลอนไว้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ลอฮ์ได้เดินไปเปิดประตูให้ข้าพเจ้าแล้วก็กลับไปละหมาดที่เดิม ท่านหญิงอาอิชะห์ได้บรรยายว่า ประตูบ้านอยู่ทางทิศกิบลัต 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (ท่านหญิงอาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พบตัวเองโดยมีท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กำลังละหมาด และข้าพเจ้านอนตะแคงอยู่ระหว่างท่านกับทิศกิบลัต เมื่อท่านต้องการสุญูด ได้เขย่าเท้าทั้งสองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจงได้หดเท้าทั้งสองข้าง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี 

และในบางรายงานว่า  ข้าพเจ้ายืดเท้าไปทางทิศกับลัตของท่านนบี ซ.ล.  ในขณะที่ท่านกำลังละหมาด เมื่อจะสุญูดได้เขย่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ยกเท้าขึ้น เมื่อท่านเราะซูลุลลอฮ์ลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้าได้ยืดเท้าอีก

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การกล่าวตัสบีฮะนั้น สำหรับผู้ชาย ส่วนการปรบมือนั้นสำหรับผู้หญิง[346] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากสะห์ลิ บินสะอ์ดิ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดมีสิ่งหนึ่งสิ่งได มาประสบกับเขาในขณะละหมาด ให้เขาจงกล่าวตัสบีฮะ เพราะแท้จริงเมื่อเขาได้กล่าวตัสเบียะห์ เขาจะได้รับความสนใจ (เอะใจว่า ทำผิดอิริยาบถ) และแท้จริงการปรบมือนั้นสำหรับผู้หญิง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่บิลาลว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวตอบพวกเขาเหล่านั้นอย่างไร            ในขณะที่พวกเขากล่าวสลามแก่ท่านในสภาพที่ท่านกำลังละหมาด บิลาลตอบว่า ทานนบียกมือทำท่า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

แต่อะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า ท่านได้แบมือ (กาง) โดยควํ่ามือลง เล่าจากญาบิร ร.ฎ.ได้กล่าว พวกเราได้อยู่พร้อมกับท่านนบี ซ.ล.   แล้วท่านได้ส่งข้าพเจ้าไปทำธุระบางอย่าง เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้กลับมาในขณะที่ท่านกำลังละหมาด ข้าพเจ้า ได้ให้สลามแก่ท่าน แต่ท่านไม่ตอบรับสลามของข้าพเจ้า ได้เพิ่มในบางรายงานว่า แต่ท่านได้ ยกมือทำท่าอย่างนี้ (คือทำท่าด้วยมือ) เมื่อท่านเสร็จละหมาดได้กล่าวว่า ความจริงไม่มีอะไร มาขัดขวางข้าพเจ้าไม่ให้ตอบสลามท่านหรอก นอกจากข้าพเจ้ากำลังอยู่ในละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี โดยไม่มีการทำท่า 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด อย่างสมบูรณ์

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าข้าพเจ้ามีช่วงเวลาที่หนึ่งที่จะต้องมาหาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  อยู่เป็นประจำ เมื่อข้าพเจ้ามาหา จะขออนุญาต ถ้าหากข้าพเจ้าพบว่าท่านกำลังละหมาด ท่านจะกระแอม ข้าพเจ้าก็เข้าไป ถ้าหากข้าพเจ้าพบว่า ท่านว่าง (ไม่ทำธุระ อย่างอื่น) ท่านจะอนุญาตให้ข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย นะซาอี และอะห์มัด

เล่าจากอุกบะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ละหมาดอัศรีพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.   เมื่อให้สลามท่านรีบลุกขึ้นยืน แล้วเข้าไปหาภรรยาบางคนของท่าน แล้วออกมา และท่านได้แลเห็นความแปลกใจปรากฏอยู่ในใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น เพราะความรีบร้อนของท่าน ท่านได้กล่าวว่า ข้าพเจ้านึกขึ้นมาได้ในขณะละหมาดว่ามีทองคำอยู่ที่เราแท่งหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่ชอบ ที่จะให้มันอยู่กับเราจนถึงเย็นหรือถึงเช้า ข้าพเจ้าจึงได้ใช้ให้แบ่งมันเสีย 

อุมัรได้กล่าวว่า  แท้จริงข้าพเจ้าเตรียมจัดทหารของข้าพเจ้าในขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในละหมาด[347]

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี

บทที่ 8 142

มัสญิด

มี 3 ตอน

ตอนที่ 1

คุณค่าของมัสญิด และความพยายามไปมัสญิด

อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวว่า “แน่แท้จะทำนุบำรุงมัสญิดของอัลลอฮ์นั้นคือ ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันสิ้นโลก และผู้ที่ดำรงละหมาด จ่ายซะก็าด และไม่กลัวใครนอก จากกลัวอัลลอฮ์หวังว่าพวกเขานั้นแหละจะเป็นผู้ที่ได้ทางนำ”

เล่าจากอุษมาน ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ผู้ใดสร้างมัสญิดหลังหนึ่ง โดยสร้างเพื่ออัลลอฮ์ อัลลอฮ์ได้สร้างเหมือนกับมัสญิดหลังนั้นให้ แก่เขาอยู่ในสวรรค์ และในบางรายงานว่า อัลลอฮ์ได้สร้างบ้านหลังหนึ่ง (ให้แก่เขา) ในสวรรค์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิ อุมัรร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงละหมาดในบ้าน ของพวกท่าน และอย่าปล่อยให้บ้านร้างเป็นป่าช้า (นบีส่งเสริมให้ละหมาดสุนัตที่บ้านดีที่สุด)

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ใช้ให้สร้างมัสญิดขึ้นภายในหมู่บ้าน และใช้ให้ทำความสะอาดและทำให้มัสญิดมีกลิ่นหอม 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด 

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้รับเกียรติเหนือนบีอื่น ๆ 6 ประการ ให้ข้าพเจ้าเป็นคนพูดคำคม ให้ข้าพเจ้าชนะด้วยความกลัว อนุญาตให้ข้าพเจ้ายึดเอาทรัพย์ของข้าศึก (ฆ่อนี้มะห์) และให้พื้นแผ่นดินเป็นสิ่งที่ใช้ทำความสะอาด(ตะยัมมุม) และเป็นมัสญิดแก่ข้าพเจ้า และได้ส่งข้าพเจ้ามายังมวลมนุษย์ทั้งหมด และให้นบีทั้งหลายสุดสิ้นที่ข้าพเจ้า

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า  พื้นแผ่นดินส่วนที่อัลลอฮ์รักที่สุดคือมัสญิด พื้นแผ่นดินที่อัลลอฮ์เกลียดที่สุดคือตลาด 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ไปยังมัสญิด ในเวลาเช้าหรือเวลาเย็น อัลลอฮ์จะเตรียมที่อยู่ให้แก่เขาในสรวงสวรรค์ทุก ๆ เวลาเช้าหรือเวลาเย็น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เจ็ดคนที่อัลลอฮ์จะให้พวกเขาได้อยู่ในร่มเงาของพระองค์ ในวันที่ไม่มีร่มเงานอกจากร่มเงาของพระองค์ คือ ผู้นำที่มีความยุติธรรม ชายหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาอยู่ใน (กรอบของความดี) การภักดีต่ออัลลอฮ์ คนที่หัวใจของเขาผูกพันอยู่กับมัสญิด คนสองคนรักกันเพื่ออัลลอฮ์ รวมกันเพื่ออัลลอฮ์ จากกันเพื่ออัลลอฮ์ ผู้ชายที่ผู้หญิงสูงศักดิ์และร่ำรวยเชิญชวนให้ทำความชั่วแต่เขากล่าวว่า แท้จริง ข้าพเจ้าเกรงกลัวอัลลอฮ์ คนที่บริจาคอย่างซ่อนเร้นจนมือซ้ายไม่รู้สิ่งที่มีอขวาของเขาบริจาค และคนที่ระลึกถึงอัลลอฮ์ในขณะที่อยู่ตามลำพัง แล้วสองตาของเขาเอ่อท้นด้วยน้ำตา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มะลาอิกะห์ จะขอพรให้คนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ตราบเมื่อเขายังคงอยู่ในที่ละหมาดของเขา ตราบเมื่อเขายังไม่มีมลทิน (ฮะดัส) มะลาอิกะห์จะกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์ ได้โปรดอภัยให้เขา โอ้ อัลลอฮ์ ได้โปรดเมตตาเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า คนที่อยู่ไกลจากมัสญิดและไกลยิ่งกว่าจะได้รับผลบุญมากยิ่งขึ้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดทำความสะอาดตัวเขาเอง (อาบนํ้าและอาบน้ำละหมาด) ที่บ้านของเขา แล้วเดินไปยังมัสญิดแห่งหนึ่งจากมัสญิดของอัลลอฮ์ เพื่อปฏิบัติ (ละหมาด) ฟัรฎูหนึ่งจากฟัรฎูของอัลลอฮ์ ปรากฏว่าสองก้าวของเขานั้น ก้าวที่หนึ่งลบความผิด ก้าวที่สองยกตำแหน่งให้สูงขึ้น 

รายงานโดย ติรมิซี และนะซาอี

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อาบน้ำละหมาด และได้ปฏิบัติการอาบนํ้าละหมาดอย่างดี หลังจากนั้นเขาได้เดินทางไป (เพื่อร่วมทำการละหมาด ญะมาอะห์) แล้วได้พบว่า กลุ่มชนนั้นได้ละหมาดเรียบร้อยแล้ว อัลลอฮ์จะให้ผลบุญแก่เขาเท่ากับผลบุญของคนที่ได้ละหมาด และบุคคลที่มาละหมาดโดยจะไม่หย่อนจากผลบุญของพวกเขาแต่อย่างใดเลย

รายงานโดย ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าบ้านของพวกเราอยู่ห่างไกลจากมัสญิดมาก พวกเราต้องการขายบ้านเพื่อย้ายมาอยู่ใกล้มัสญิด แต่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ห้ามพวกเรา โดยกล่าวว่า แท้จริงพวกท่านจะไดรับ (ผลบุญ) หนึ่งชั้นของความดีด้วยการก้าวเท้าแต่ละครั้ง และในบางรายงานว่า โอ้ พวกบนีอุมัยยะห์ จงอย่าย้ายออกจากบ้านของพวกท่าน รอยเท้าของพวกท่านจะถูกบันทึก (ให้เป็นผลบุญ) พวกเขาได้กล่าวว่า การที่พวกเราได้ย้ายออกไปจะไม่ทำให้พวกเราดีใจเลย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และมุสลิม

เล่าจากบุรอยดะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เจ้าจงบอกข่าวดีแก่นักเดิน ในความมีดไปมัสญิด (ว่าเขาจะไดรับ) รัศมือย่างสมบูรณ์ในวันกิยามะห์ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากสะอัด บินอัลมุสัยยิบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ความตายได้มาเยือนชายคนหนึ่ง จากกลุ่มพวกอันศอร ก่อนตายเขาได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะเล่าฮาดีษบทหนึ่งให้พวกท่านฟังซึ่ง ข้าพเจ้าจะไม่เล่าให้พวกท่านฟัง นอกจากหวังผลบุญจากอัลลอฮ์เท่านั้น ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้อาบนํ้าละหมาด แล้วได้ปฏิบัติการอาบน้ำละหมาดอย่างดี หลังจากนั้นได้ออกไปละหมาด เขายังไม่ได้ยกเท้าขวาของเขาขึ้น นอกจากอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรได้บันทึกหนึ่งความดีแก่เขา และยังไม่ทันที่เขาจะวาง เท้าซ้ายลง นอกจากอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และเกรียงไกรจะลบหนึ่งความชั่วออกจากเขา ดังนั้นให้คนใดคนหนึ่งจากพวกท่านจงเข้าใกล้ (มัสญิด) หรือออกห่าง (มัสญิด)[348] ถ้าหากพวกเขามามัสญิด แล้วละหมาดญะมาอะห์ร่วมกันเขาจะได้รับการอภัย ถ้าหากเขามามัสญิด ปรากฏว่า พวกนั้นได้ ละหมาดไปบ้างแล้วแต่ยังไม่เสร็จ ก็ให้เขาละหมาดเท่าที่เขาตามมันและให้ทำให้สมบูรณ์ในส่วน ที่เหลืออยู่ เขาจะได้รับอภัยด้วยเช่นกัน ถ้าหากเขามามัสญิด ปรากฏว่าพวกนั้นได้ละหมาดเสร็จ แล้ว ก็ให้เขาละหมาดให้เสร็จ เขาก็จะได้รับอภัยด้วยเช่นกัน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อท่านทั้งหลายเดินผ่านสวนสวรรค์ ท่านทั้งหลายจงแวะดื่มกินจากความอุดมสมบูรณ์ของมัน ข้าพเจ้าถามว่าสวน[349] สวรรค์นั้นคืออะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ท่านตอบว่า คือมัสญิด ข้าพเจ้าถามอีกว่า ความอุตมสมบูรณ์คืออะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านตอบว่า คือการกล่าว ซุนฮานัลลอฮุ วัลฮัมดุลิลลาฮิ วะลาอิลาฮะอิล ลัลลอฮ์ วัลลออุอักบัร

และปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อละหมาดฟัจรี (ซุบฮิ) เสร็จแล้ว ได้นั่งอยู่ในที่ละหมาดของท่านจนตะวันขึ้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย ติรมิซี

ความประเสริฐของมัสยิดทั้งสามแห่ง 145

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “แท้จริง วิหารแห่งแรกที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ คือ ที่ตั้งอยู่ ณ บักกะห์ (มักกะห์) เป็นคิริมงคล และทางนำที่ถูกต้องแก่ชาวโลก”

เล่าจากอะบีซัซร์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึง มัสญิด แห่งแรกที่ถูกตั้งขึ้นในหน้าแผ่นดิน ท่านตอบว่า คือ มัสญิดหะรอม (ที่มักกะห์) ข้าพเจ้าได้ ถามว่า แล้วหลังจากนั้นมัสญิด แห่งใด ท่านตอบว่า มัสญิดอักซอ ข้าพเจ้าได้ถามอีกว่า มัสญิดทั้งสองแห่งนั้นถูกก่อนตั้งห่างกันก็ปี ท่านตอบว่าสี่สิบปี หลังจากนั้นพื้นแผ่นดินทั้งหมด เป็น มัสญิดของท่าน ไม่ว่าที่ใดที่ได้เวลาละหมาดให้ท่านจงละหมาด 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี 

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า อย่าเตรียมพาหนะเพื่อเดินทาง นอกจากเพื่อไปยังมัสญิดทั้งสามแห่ง นั่นคือ มัสญิดของข้าพเจ้าแห่งนี้ (มะดีนะห์)มัสญิด หะรอม และมัสญิดอักซอ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า สิ่งที่อยู่ระหว่างบ้านของข้าพเจ้ากับแท่นที่ใช้ยืนเทศนาธรรม (มิมบัร) นั่นคือ สวนหนึ่งจากสวนสวรรค์และแท่นมิมบัรของข้าพเจ้าจะตั้งอยู่ริมสระนำ (อัลเกาซัรในวันกิยามะห์) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

และเล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ละหมาดครั้งหนึ่งในมัสญิดของข้าพเจ้าแห่งนี้ ดีกว่าละหมาดที่อื่นถึงหนึ่งพันเท่า นอกจากมัสญิดหะรอม และได้มีเพิ่มเติมในบางรายงานว่า เพราะแท้จริงข้าพเจ้าเป็นนบีองค์สุดท้าย และมัสญิดของข้าพเจ้าเป็นมัสญิดสุดท้าย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และอิบนุมายะห์

และได้มีเพิ่มเติมว่า หนึ่งละหมาดในมัสญิดหะรอมนั้น ดีกว่าละหมาดที่อื่นถึงหนึ่งแสนเท่า

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมร์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริง สุลัยมาน บินดาวูด อ.ล. ในขณะที่ได้สร้างบัยตุ้ลมักดิส (มัสญิดอักซอ) ได้ขอต่ออัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ และเกรียงไกรสามประการคือ (1) คำตัดสินที่ตรงกับคำตัดสินของเขา ซึ่งเขาก็ได้รับตามนั้น (2) อำนาจการปกครองไม่สมควรแก่ผู้ใดอีก หลังจากเขาซึ่งเขาก็ได้รับตามนั้น (3) และได้ขอต่ออัลลอฮ์ตาอาลา ในขณะที่เสร็จจากการสร้าง (บัยตุ้ลมักดิส) ว่า อย่าให้มีใครที่มา มัสญิดแห่งนี้ แล้วเขาไม่ได้ออกจากมัสญิดไป นอกจากได้ละหมาดแล้ว มันจะทำให้เขาหลุดพ้นจากความผิดเหมือนวันที่มารดาของเขาได้คลอดเขาออกมา 

รายงานหะดีษโดย นะซาอี 

เล่าจากมัยมุนะห์ ทาสหญิงของท่านนบี ซ.ล.   หล่อนได้กล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จงอธิบายบัยตุ้ลมักดิสให้แก่พวกเรา ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงไปยังบัยตุ้ลมักดิสและละหมาดในมัสญิดนั้น ถ้าหากพวกท่านไม่ได้ไปและไม่ได้ละหมาดในมัสญิดก็จงส่งนำมันไปเพื่อ ใช้จุดตะเกียงในมัสญิดนั้น 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

มัสญิดกุบาอ์

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   มาที่มัสญิดกุบาอฺ ทุกวันเสาร์ โดยเดินมาหรือขี่พาหนะมา[350] และอิบนุ อุมัรก็ได้กระทำอย่างนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี 

เล่าจากอุสัยดุ บินดุฮัยร์ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า การละหมาดในมัสญิดกุบาอ.ได้ผลบุญเหมือนการทำอุมเราะห์ครั้งหนึ่ง[351]

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

ผู้หญิงไปมัสญิด

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยละหมาดซุบฮิ ในขณะที่ยังมืดอยู่[352] พวกผู้หญิงของมุอฺมินได้พากันกลับโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใครเนื่องจากความมืด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อผู้หญิงของพวกท่าน ขออนุญาตจากพวกท่านเพื่อไปมัสญิด ท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้พวกหล่อน 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่ากีดกัน บ่าวหญิงของอัลลอฮ์ จากมัสญิดของพระองค์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และมีเพิ่มเติมว่า แต่ให้พวกหล่อนออกไปในสภาพที่มีกลิ่นเหงื่อไคล (คือมิได้ประทิน ด้วยเครื่องหอมใดๆ)

และเล่าจากเขา (อิบนิ อุมัร) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้พวกผู้หญิงไปยังมัสญิดในเวลากลางคืน บุตรคนหนึ่งของเขา (อิบนิ อุมัร) ซึ่งมีชื่อเรียกว่า วากิด (وَاقِدٌ) ได้กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกผู้หญิงก็จะเอาคำอนุญาตนั้นไปสร้างความเสื่อมเสียขึ้น (ผู้รายงาน) ได้ กล่าวว่า อิบนุ อุมัร ได้ตบอกพร้อมกับกล่าวว่า ข้าพเจ้ากล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ กล่าวว่าอนุญาตแต่เจ้ากลับบอกว่าไม่ (อนุญาต)[353] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ถ้าหากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  มีชีวิตอยู่จนได้พบสิ่งที่พวกผู้หญิงกระทำแล้ว ท่านจะต้องห้ามพวกหล่อนไปมัสญิด อย่างแน่นอนเหมือนกับพวกผู้หญิงของพวกบะนีอิสรออีลเคยถูกห้ามมาแล้ว ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่อัมเราะห์ว่า พวกหล่อนถูกห้ามหรือ ท่านหญิงอาอิชะห์กล่าวว่า ใช่ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากซัยหนับ ภรรยาของอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกเธอได้ปรากฏตัวที่มัสญิด อย่าให้หล่อนกระทบของหอมใดๆ 

รายงานโดย มุสลิม

และในบางรายงานว่า ผู้หญิงคนใดที่กระทบของหอม อย่าให้หล่อนคนนั้นปรากฏตัว พร้อมกับพวกเราในละหมาดอิชาอ์ (สุดท้าย)

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า การละหมาดของผู้หญิง ภายในห้องนอนนั้น ดีกว่าละหมาดในที่โล่งของบ้าน และการละหมาดของผู้หญิงภายในเรือน หลังเล็กที่สร้างไว้สำหรับเก็บของนั้น ดีกว่าละหมาดในบ้าน และในบางรายงานว่า ท่านทั้งหลาย อย่ากีดกันผู้หญิงของพวกท่านจากมัสญิด    แต่บ้านของพวกหล่อนนั้นเป็นความดีแก่พวกหล่อนยิ่งกว่า 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด

ตอนที่ 2 147

(มารยาท) ระเบียบที่ควรฏิบัติแก่มัสญิด

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “และเราได้ให้ข้อผูกมัดแก่อิบรออีมและอิสมาแอลว่า ท่านทั้งสอง จงทำความสะอาดบ้านของเรา (บัยตุลเลาะห์) เพื่อเตรียมไว้สำหรับผู้มาตอวาฟ ผู้ที่มาเอียะติกาฟ ผู้ที่มาก้มรุกัวะอ์ (คำนับ) และก้มกราบ (สุญูด)”

เล่าจากอะบี อุมัยดิ หรืออะบี อุซัยดิ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้เข้าสู่มัสญิด[354] ให้เขากล่าวสลามแก่ท่านนบี ซ.ล.   หลังจากนั้นให้กล่าวขอพรว่า โอ้ อัลลอฮ์ได้โปรดเปิดประตูแห่งความเมตตาของพระองค์ให้แก่ข้าพเจ้า เมื่อออกจากมัสญิด ให้กล่าวว่า โอ้อัลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าขอความโปรดปรานจากท่าน 

รายงานหะดีษโดย  มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากท่านหญิงฟาติมะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อเข้ามัสญิด ได้ขอพรและความสันติสุขให้แก่มุฮัมมัด และกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์ของข้าฯ ได้โปรดอภัยในบาปกรรมของข้าฯ และได้โปรดเปิดประตูแห่งความเมตตาของพระองค์ท่านให้แก่ข้าฯ 

รายงานโดย ติรมิซี

และปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อได้เข้ามัสญิด ท่านจะกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอป้องกันด้วยอัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่ และด้วยดวงหน้าอันมีเกียรติของพระองค์ และด้วยอำนาจที่มีมาตั้งแต่ตั้งเติม ของพระองค์ จากชัยฏอนมารร้ายที่ถูกสาปแช่ง และเมื่อท่านได้กล่าวอย่างนั้น ชัยฏอนก็จะ กล่าวว่า เขาได้รับการคุ้มครองจากข้าพเจ้าตลอดทั้งวัน 

ราบงานโดย อะบูดาวูด

และเคยปรากฏว่าอิบนุอุมัรได้เข้ามัสญิดด้วยเท้าขวา และออกด้วยเท้าซ้าย 

รายงานโดย บุคอรี

เล่าจากอะบี กอตาดะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้เข้ามัสญิดให้เขาก้มรุกัวะอ์สองเราะกะอัต ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากกะอ์บิ บินมาลิก ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   เมื่อกลับจากเดินทาง จะ แวะพักที่มัสญิดเป็นอันดับแรก แล้วละหมาดในมัสญิดนั้น 

รายงานโดย บุคอรี และมุสลิม

ตัวบทของมุสลิมว่า ท่านนบีนั้นไม่เคยกลับจากการเดินทาง นอกจากเป็นเวลากลางวัน ในเวลาสาย และเมื่อกลับมาจะแวะพักที่มัสญิดก่อน แล้วละหมาดในมัสญิด สองเราะกะอัตเสร็จ แล้วจึงนั่งลงในมัสญิด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การถ่มนำลายลงในมัสญิดเป็น ความผิด[355] สิ่งที่จะลบล้างความผิดนั้นก็คือ กลบมันเสีย[356] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

ตามรายงานของมุสลิมว่า  เขาได้นำผลงานของประชากรของข้าพเจ้ามาแสดงให้ข้าพเจ้าดู มีทั้งดีและชั่ว ข้าพเจ้าได้พบว่าในผลงานที่ดีๆ นั้น มีอันตรายที่ถูกปัดออกให้พ้นทางเดิน[357] และ ข้าพเจ้าได้พบว่าในผลงานที่ชั่วๆ นั้น มีเสมหะที่ปรากฏอยู่ในมัสญิดโดยมิได้ถูกฝังกลบ

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่าท่านนบี ซ.ล.   ได้เห็นเสมหะอยู่ทางทิศกิบลัต ท่านได้ขูด แกะมันออกด้วยมือของท่าน และได้เห็นว่าท่านแสดงท่ารังเกียจ หรือเห็นความรังเกียจของท่าน และแสดงความขยะแขยงอย่างจริงจัง และท่านได้กล่าวว่า แที่จริงคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านนั้น เมื่อเขาลุกขึ้นยืนละหมาด ก็เท่ากับเขากำลังเฝ้าอยู่เบื้องหน้าของอัลลอฮ์ของเขา ดังนั้น เขาอย่าถ่มนำลายไปในทางทิศกิบลัต แต่ให้ถ่มทางด้านซ้ายหรือใต้ฝ่าเท้าของเขา หลังจากนั้น ท่านได้จับปลายผ้าคลุมของท่าน แล้วถ่มนำลายลงไปแล้วพับซ้อนกัน และ (ผู้รายงาน) ได้กล่าว ว่า หรือท่านได้กระทำอย่างนี้

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า       ชายผิวดำคนหนึ่งหรือหญิงผิวดำคนหนึ่งเคยทำหน้าที่ถูและทำความสะอาดเก็บกวาดอยู่ในมัสญิดได้ตายไป ท่านนบี ซ.ล.   ได้ถามถึงเขา (หล่อน) พวก เขาตอบว่า  หล่อนตายไปแล้ว ท่านกล่าวว่า พวกท่านไม่ได้บอกให้ฉันได้ทราบข่าวการตายของหล่อนหรือ พวกท่านจงชี้ทางให้ข้าพเจ้าไปยังหลุมศพของหล่อน ด้วย แล้วท่านก็มา ถึงหลุมศพของหล่อน แล้วละหมาดเหนือหลุมฝังศพนั้น 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผลบุญของประชากรของข้าพเจ้าได้ ถูกนำมาแสดงให้ข้าพเจ้าดู แม้กระทั้งขยะที่ชายคนหนึ่งนำออกไปพ้นมัสญิด และบาปกรรมของประชากรของข้าพเจ้าก็ได้ถูกนำมาแสดงให้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้าไม่พบว่ามีบาปใดที่จะใหญ่กว่า ซูเราะห์หหนึ่งจากพระมหาคัมภีร์ร์อัลกุรอาน หรือโองการหนึ่งที่ได้ถูกมอบแก่ชายคนหนึ่งแล้ว ภายหลังเขาก็ลืมมัน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากอับบาส บินตะมีม จากลุงของเขา ร.ฎ. ว่า เขาได้พบท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  นอนหงายอยู่ในมัสญิดเอาเท้าวางซ้อนกัน

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และปรากฏว่าอิบนุ อุมัร ในขณะที่ยังเป็นโสดไม่มีครอบครัว ก็เคยนอนอยู่ในมัสญิดของ ท่านนบี ซ.ล. 

รายงานโดย บุคอรี และติรมิซี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ส่งกองทหารม้าไปทางนัจดี แล้วกองทหารม้าได้นำตัวชายผู้หนึ่งจากตระกูลบะนีฮะนะฟิยะห์ ชายผู้นี้มีชื่อ เรืยกว่า ซุมามะห์ บินอุซาล พวกเขาได้จับชายคนนี้ผูกติดกับเสามัสญิด[358] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากเขา (อะบีฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงมีผีตนหนึ่งจาก พวกยินได้มาหลอกข้าพเจ้า เมื่อคืนนี้ หรือคำพูดทำนองนี้เพื่อทำให้ข้าพเจ้าเลิกละหมาด แต่อัลลอฮ์ได้ให้ข้าพเจ้าสามารถจับมันไว้ได้ และข้าพเจ้าตั้งใจที่จะผูกมันไว้กับเสามัสญิดจนกระทั้ง รุ่งเช้า พวกท่านทุกคนจะได้มองดูมันแต่ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของพี่ชายของข้าพเจ้าสุไลมาน[359]  ขึ้นมาว่า โอ้พระผู้Iป็นเจ้าของข้าพเจ้า จงให้อำนาจแก่ข้าพเจ้าอย่างที่ไม่มีใครจะมีอำนาจอย่างนี้อีกหลังจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ปล่อยมันไปอย่างสิ้นท่า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอัลสาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ายืนอยู่ในมัสญิดมีคนเอาก้อนกรวดขว้างมาถูกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเหลียวไปมองบังเอิญเป็นอุมัร บินอัลค็อดต็อบ แล้วกล่าว ว่า ท่านจงนำชายสองคนนั้นมาหาข้าพเจ้า(อุมัร) ข้าพเจ้า(อัลสาอิบ) จึงได้นำตัวชายสองคนไปหาเขา อุมัร ถามว่า ท่านทั้งสองมาจากไหน ชายทั้งสองตอบว่า พวกเราเป็นชาวตออิฟ อุมัรกล่าว ว่า ถ้าหากท่านเป็นชาวเมื่องนี้ ข้าพเจ้าต้องทำให้ท่านทั้งสองเจ็บตัวแน่ๆ ท่านทั้งสองส่งเสียง ดังในมัสญิดของท่านนบี ซ.ล.  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ใครได้ยินคนประกาศของหายในมัสญิดให้กล่าวว่า ขออัลลอฮุย่าให้เขาได้ของค์หายคืน เพราะมัสญิดมิได้ถูกสร้าง เพื่อการนี้ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

และตามรายงานของมุสลิมว่า แท้จริงท่านนบี ซ.ล.  เมื่อละหมาดเสร็จมีผู้ชายคนหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า มีใครพบอูฐแดงของข้าพเจ้าที่หายไปบ้างไหม ท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าว ว่า ท่านจะไม่ได้พบมันหรอก แท้จริงมัสญิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งที่คู่ควรกัน[360] และ ตามรายงานของบุคอรี มุสลิม อะบูดาวูดว่า ผู้ใดผ่านเข้าไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของมัสญิดหรือตลาดของเรา พร้อมด้วยลูกดอก ให้เขาเก็บข้างมีคมไว้ในซอง อย่าทำให้เกิดอันตรายแก่มุสลิมคนใด

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดกินหัวหอม กระเทียมและ ต้นกุรร๊อช[361] อย่าให้เขาเข้ามาใกล้มัสญิดของเรา เพราะมวลมะลาอิกะห์จะได้รับความรำคาญ (การรบกวนจากกลิ่นเหม็น) จากสิ่งที่มนุษย์ได้รับความรำคาญ และในบางรายงานว่า ผู้ใดกิน กระเทียมหรือหัวหอม ให้เขาปลีกตัวไปจากเรา หรือปลีกตัวจากมัสญิดของเรา ให้เขานั่งอยู่ในบ้านของเขา และอีกรายงานหนึ่งว่า ผู้ไดกินพืช (ทั้ง 3 ชนิด) นี้ อย่าเข้ามาใกล้มัสญิดของเราจนกว่ากลิ่นของมันจะ หายไป 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ตามรายงานของมุสลิมและนะซาอีว่า อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวใน (คุตบะห์) การกล่าว สุนทรพจน์ครั้งหนึ่งว่า  โอ้ ปวงชนทั้งหลาย พวกท่านกินพืชสองชนิด ซึ่งข้าพเจ้าไม่เห็น ประโยชน์อะไรในมันทั้งสอง นอกจากมันทั้งสองเป็นสิ่งที่น่าเกลียด คือ หัวหอมและกระเทียม ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เมื่อได้กลิ่นมันทั้งสองจากชายคนหนึ่งในมัสญิด ท่านจะออกคำสั่งแล้ว เขาจะถูกนำตัวไปยังบะเก็ยะอ (اَلْبَقِيْعٌ-กุบูร มัสญิดนบี) ดังนั้นผู้ใดจะกินหัวหอมและกระเทียมให้เขาจง ดับกลิ่นของมันด้วยการต้มให้สุกเสียก่อน

และตามรายงานของติรมซี และนะซาอีว่า ท่านนบี ซ.ล.   ห้ามการขับลำนำในมัสญิด และห้ามการขาย การซื้อในมัสญิด และห้ามประชาชนตั้งวงกันในวันศุกร์ก่อนละหมาด

ลักษณะของมัสญิดนบี ซ.ล.   ในสมัยของท่าน 151

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า มัสญิดในสมัยของท่านนบี ซ.ล.   สร้างด้วยดิน (อิฐ) ดิบ หลังคาคลุมด้วยก้านอินทผลัม เสาทำด้วยต้นอินทผลัม ท่านอบูบักรฺมิได้เพิ่มเติมสิ่งใดๆ เลย ท่านอุมัรได้เพิ่มเติมและได้สร้างทับบนมัสญิดหลังเดิมที่มีอยู่ในสมัยของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ด้วยดิน (อิฐ) ดิบและก้านอินทผลัม และได้ตั้งเสาขึ้นใหม่จากต้นอินทผลัม ต่อมา อุษมานได้ เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมอีกมากมาย และได้ก่อกำแพงด้วยหินแกะสลัก และด้วยปูนขาว และได้ทำเสาจากหินแกะสลัก ส่วนหลังคาทำด้วยไม้ชนิดดี 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยอ่านคุตบะห์บนต้นอินทผลัม เมื่อเขาได้ทำมิมบัร แทนที่ใช้ยืนในการแสดงธรรม) ขึ้น ต้นอินทผลัมได้ร้องครวญคราง จนกระทั้ง นบี ซ.ล. ได้มาหาและกอดมัน มันจึงเงียบเสียง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และติรมิซี

และเล่าจาก (ญาบิร) ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งได้กล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ข้าพเจ้าทำสิ่งหนึ่งให้ท่านใช้นั่งเอาหรือไม่ แท้จริงข้าพเจ้ามีทาสที่เป็นช่างไม้อยู่คนหนึ่ง ท่านเราะซูลุลลอฮ์กล่าวว่า ถ้าหากนั้นเป็นความต้องการของเธอ หญิงผู้นั้นจึงได้ทำมิมบัรขึ้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

ไม่ควรต่อเติมมัสญิดให้สูงและประดับประดา

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยถูกใช้ให้ ต่อเติมมัสญิดให้สูง 

รายงานโดย อะบูดาวูด

อิบนุ อับบาสได้กล่าวว่า พวกท่านจะต้องประดับประดามัสญิดกันเป็นแน่แท้เหมือนอย่างที่พวกยิวและคริสต์ได้ประดับประดากัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า วันกิยามะห์จะยังไม่เกิดขึ้นจน กว่ามนุษย์จะแข่งขันกันในเรื่องมัสญิด

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ตอนที่ 3

สถานที่ที่ไม่ควรละหมาด

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ว่า อุมมุ ซะลามะห์ได้เล่าให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ฟังถึงโบสถ์แห่งหนึ่ง ที่หล่อนได้เห็นมาในแผ่นดินอะบิสิเนีย โดยเรียกโบสถ์นั้นว่า มารียะห์ หล่อนได้เล่าให้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ฟังถึงสิ่งที่หล่อนได้พบเห็นมาในโบสถ์นั้น จากรูปปั้นต่าง ๆ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พวกเขาเหล่านั้นเป็นกลุ่มชนที่เมื่อคนดีๆ ของพวกเขาตายไป พวกเขาจะสร้างมัสญิดคร่อมไว้บนหลุมศพของคนๆ นั้น และพวกเขาจะปั้นรูปเหล่านั้นไว้ในมัสญิด พวกเหล่านั้น[362]เป็นคนชั่วที่สุดสำหรับอัลลอฮ์ตาอาลา

และเล่าจากเขา(ท่านหญิงอาอิชะห์) ได้กล่าวว่า ขณะที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ใกล้จะสิ้นใจ ท่านได้ถอดผ้าของท่านมาคลุมไว้บนใบหน้า เมื่อรู้สึกอิดอัดจึงได้เปิดผ้าออกจากใบหน้า แล้วกล่าวในขณะที่อยู่ในสภาพเช่นนั้นว่า การสาปแช่งของอัลลอฮ์จงประสบกับพวกยิว และคริสต์ ที่พวกเขายึดเอาหลุมฝังศพของบรรดานบีของพวกเขาเป็นมัสญิด ท่านเตือน (ให้ พวกเขารู้สึกนึก) ในสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นมา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากยุนดุบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านนบี ซ.ล.   ก่อนท่านจะเสียชีวิตห้าคืน โดยท่านกล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้พ้นจากพวกท่านไปสู่อัลลอฮ์เจ้าในฐานะเป็นคอลีล (คนรัก-خَلِيْلٌ) ของอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์ได้เอาข้าพเจ้าเป็นคอลีลเหมือนที่ได้เอา อิบรอฮีมเป็น คอลีล และถ้าหากข้าพเจ้าจะเลือกใครจากประชากรของข้าพเจ้าเป็นคอลีล ข้าพเจ้าจะต้องเลือก เอา อบูบักรุเป็นคอลีล โปรดทราบ แท้จริงบุคคลที่อยู่ก่อนจากพวกท่าน เคยยึดเอาหลุมฝังศพ บรรดานบีของพวกเขา และหลุมศพของคนที่ดีๆ ของพวกเขาเป็นมัสญิด โปรดทราบ ท่านทั้งหลายอย่ายึดเอาหลุมฝังศพเป็นมัสญิด แท้จริงข้าพเจ้าห้ามพวกท่านจากการทำเช่นนั้น 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอะบี สะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า พื้นแผ่นดินทั้งหมดคือ มัสญิด นอกจาก (ห้องนํ้า) โรงอาบนํ้า และที่ฝังศพ (สุสาน) 

รายงานโดย อะบูดาวูด ติรมิซี ฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจาก อัลบัรรออ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า มีผู้ถามท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ถึงการละหมาดในคอกอูฐ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ตอบว่า ท่านทั้งหลายอย่าละหมาดในนั้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชัยฏอน (มารร้าย) และมีผู้ถามท่านถึงการละหมาดในคอกแพะ ท่านตอบว่า จงละหมาดในนั้น  เพราะมันเป็นศิริมงคลและความเพิ่มพูน[363]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

ส่วนตัวบทของติรมิซีว่า ท่านทั้งหลายจงละหมาดในคอกแพะ และท่านทั้งหลายอย่า ละหมาดในคอกอูฐ

และตามรายงานของบุคอรีมุสลิมและติรมิซี ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดในคอกแพะ ก่อนที่จะสร้างมัสญิด

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ห้ามละหมาดใน 7 แห่ง ได้แก่ กองขยะ ที่เชือดสัตว์, ที่ป่าช้าฝังศพ, ในถนน[364] ในโรงอาบนํ้า ในคอกอูฐ บนหลังคาบัยตุลเลาะห์อันศักดิ์ 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากอะลี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คนที่รักของข้าพเจ้า ซ.ล.  ได้ห้ามข้าพเจ้าละหมาดที่ หลุมฝังศพ และได้ห้ามข้าพเจ้าละหมาดในแผ่นดินบาบิล เพราะเป็นแผ่นดินที่ถูกสาปแช่ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

ตัวบทของบุคอรีว่า อะลีรังเกียจที่จะละหมาดในแผ่นดินบาบิลที่ถูกสูบ

บทที่ 9

ละหมาดญะมาอะห์ (คือละหมาดรวมกลุ่มกัน – جَمَاعَةٌ)

มี 5 ตอน และบทสุดท้าย

ตอนที่ 1

คุณค่าของละหมาดญะมาอะห์

อัลลอฮ์ตาอาลาได้กล่าวว่า “และเมื่อท่านอยู่ในพวกเขา และท่านได้ดำรงละหมาดให้จัดพวกหนึ่งจากพวกเขาให้ละหมาดพร้อมกับท่าน[365]

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การละหมาดของชายผู้หนึ่งร่วมกับหมู่คณะ จะได้ผลตอบแทนทวีคูณเหนือกว่าการที่เขาละหมาดในบ้านในร้านค้าของเขาถึง 25 เท่า สาเหตุที่ได้รับผลตอบแทนเป็นทวีคูณ เพราะเมื่อเขาได้อาบน้ำละหมาดและได้กระทำอย่างดี หลังจากนั้นได้ออกไปยังมัสญิด ไม่ได้ทำให้เขาออกไป[366] นอกจากเพื่อละหมาด เขามิได้ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง นอกจากเขาจะถูกยกให้สูงขึ้นชั้นหนึ่งและความผิดของเขาจะถูกลบ ออกไปกระทงหนึ่ง และเมื่อเขาละหมาดมวลมะลาอิกะห์จะคอยขอพรให้เขา ตราบเมื่อเขายัง คงอยู่ในที่ละหมาดของเขา ตราบเมื่อยังไม่เกิดมลทินว่า โอ้ อัลลอฮ์ได้โปรดประทานความ เมตตาแก่เขา และคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านจะยังคงถูกบันทึกผลบุญของละหมาดให้แก่เขา ตราบเมื่อเขายังคอยละหมาดอยู่ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การละหมาดรวมกันเป็นหมู่คณะ (ญะมาอะห์ - جَمَاعَةٌ) นั้นมีคุณค่ามากกว่าละหมาดคนเดียวถึง 27 ขั้น

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะบีมูซา ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า บุคคลที่จะได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการละหมาดก็คือ คนที่อยู่ไกล แล้วคนที่อยู่ไกลออกไปในการเดิน ส่วนคนที่คอยละหมาดจนเขาได้ละหมาดร่วมกับอิหม่าม จะได้ผลบุญยิ่งใหญ่กว่าคนที่ละหมาดแล้วนอน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอุสมาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดละหมาดอิชาอ์ร่วมกับหมู่คณะเหมือนกับเขาทำความดีครึ่งคืนและผู้ใดได้ละหมาดซุบฮิร่วมกับหมู่คณะเหมือนกับเขาได้ละหมาดทั้งคืน 

รายงานโดย มุสลิม อะบูดาวูด และติรมิซี

ส่วนตัวบทของทั้งสองว่า ผู้ใดได้ปรากฏตัวละหมาดอิชาอ์ร่วมกับหมู่คณะผลบุญจะปรากฏเป็นของเขาเหมือนกับทำความดีครึ่งคืน และผู้ใดได้ละหมาดอิชาอ์และซุบฮิ (ฟัจริ) ร่วมกับหมู่คณะ เขาจะได้รับผลบุญเหมือนกับได้ทำความดีทั้งคืน

เล่าจากอุบัยยุ บินกะอฺบฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงการละหมาดของ ชายคนหนึ่งร่วมกับชายอีกคนหนึ่งนั้น จะได้รับผลบุญมากกว่าเขาละหมาดคนเดียว และการที่ เขาละหมาดร่วมกับชายสองคน จะได้ผลบุญมากกว่าเขาละหมาดร่วมกับชายหนึ่งคน และการละหมาดกับคนหมู่มากนั้นเป็นที่โปรดปรานยิ่งของอัลลอฮ์ ซึ่งยิ่งใหญ่และเกรียงไกร 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี และอะห์มัด และท่านอิบนุคุไซมะห์ ถือว่าเป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากมุอาซ บินยะบัล ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กักขังตนเอง จากพวกเราในเช้าวันหนึ่ง จากละหมาดชุบฮฺจนพวกเราเกือบเห็นตะวัน ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึง ได้ออกมาอย่างรีบร้อน และได้อิกอมะห์เพื่อทำละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาด และได้ละหมาดโดยเร็ว (อย่างเร็ว ๆ พอใช้ได้) เมื่อให้สลามแล้วได้ประกาศด้วยเสียงของท่าน โดยได้กล่าวแก่พวกเราว่า ท่านทั้งหลายจงอยู่ในแถวละหมาดของพวกท่านเหมือนเดิม (อย่าลุกออกจากแถวละหมาด) หลังจากนั้นได้มองมายังพวกเราแล้วกล่าวว่า โปรดทราบ แท้จริง ข้าพเจ้าจะเล่าให้พวกท่านฟังถึงสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าออกมาละหมาดซุบฮฺกับพวกท่านล่าช้า ความจริงข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นในตอนดึก ได้อาบนํ้าละหมาด และได้ละหมาดตามแต่จะสะดวกแก่ข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าเกิดง่วงนอนในขณะละหมาด จนข้าพเจ้าลืมตาไม่ขึ้น แล้วข้าพเจ้าได้พบกับพระผู้ เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ในร่างที่สวยที่สุด แล้วอัลลอฮ์ได้กล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด ข้าพเจ้าตอบว่า พร้อมแล้วที่จะรับคำบัญชาจากพระองค์ โอ้อัลลอฮ์ของข้าพเจ้า อัลลอฮ์ได้กล่าวว่า เรื่องใด ที่มวลมะลาอิกะห์เบื้องบนเกิดโต้เถียงกัน ข้าพเจ้าตอบว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบ ได้กล่าวอย่างนี้ สามครั้ง ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเห็นพระองค์วางฝ่ามือของพระองค์ระหว่างไหล่ทั้งสองของข้าพเจ้า จนข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเย็นวาบจากนิ้วของพระองค์ ที่ระหว่างเต้านมทั้งสองของข้าพเจ้า แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ปรากฏแจ่มแจ้งแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็เกิดความรู้ ต่อมา พระองค์ได้กล่าวว่า โอ้ มุฮัมมัด ข้าพเจ้าตอบว่า พร้อมแล้วที่จะรับคำบัญชาจากท่าน โอ้อัลลอฮ์ของข้าพเจ้า พระองค์กล่าวว่า เรื่องใดที่มวลมะลาอิกะห์เบื้องบนเกิดโต้เถียงกัน ข้าพเจ้ากล่าวว่า (พวกเขาได้โต้เถียงกัน) ในเรื่องสิ่งที่ลบล้างบาปได้ พระองค์กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้ได้แก่อะไรบ้าง ข้าพเจ้าตอบว่า การก้าวเท้าไปทำความดี การนั่งในมัสญิดหลังจากเสร็จละหมาด การใส่น้ำอย่างทั่วถึงในอวัยวะของการอาบนํ้าละหมาดในยามยากลำบาก[367] พระองค์ ได้กล่าวว่า แล้วมีสิ่งใดอีก ข้าพเจ้ากล่าวว่า การเลี้ยงอาหาร คำพูดที่อ่อนโยน การละหมาดในตอนกลางคืน ในขณะที่ผู้คนพากันนอนหลับ พระองค์ได้กล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด เจ้าจงขอ เจ้าจงกล่าวว่า โอ้ อัลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าขอการทำความดีแก่ท่าน[368] และการทิ้งความชั่ว ขอความรักคนยากจน ขอการที่ท่านจะให้อภัยแก่ข้าพเจ้า ให้ท่านเมตตาข้าพเจ้า และเมื่อพระองค์จะให้ เกิดความชั่วร้ายแก่พวกใดพวกหนึ่ง[369] พระองค์จงให้ข้าพเจ้าตายไปโดยมิต้องประสบกับความชั่วร้ายนั้นๆ ข้าพเจ้าขอความรักของพระองค์ และความรักของผู้ที่รักพระองค์ และรักการกระทำที่ จะทำให้ได้เข้าใกล้ชิดกับความรักของพระองค์ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้กล่าวว่า แท้จริงคำพูด ทั้งหมดนี้เป็นความจริง พวกท่านจงศึกษาและสั่งสอน[370] 

รายงานโดย ติรมิซี

ตอนที่ 2

ข้อบัญญัติของการละหมาดญะมาอะห์ (รวมกัน)

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้พบว่ามีผู้คนเป็นจำนวนมาก ขาดหายไปในละหมาดบางเวลา ท่านได้กล่าวว่า ความจริงข้าพเจ้ามีความตั้งใจจะใช้ให้ผู้หนึ่ง ละหมาดร่วมกับหมู่คณะ (โดยทำหน้าที่อิหม่าม) หลังจากนั้น ข้าพเจ้าจะทิ้งหมู่คณะที่ทำละหมาดไปสำรวจคนที่ไม่ได้ละหมาด แล้วข้าพเจ้าจะออกคำสั่ง พวกที่ได้รับคำสั่งจะเผาบ้าน ของคนที่ไม่ได้มาละหมาดด้วยมัดฟืน และถ้าหากคนใดคนหนึ่งจากพวกเขารู้ว่า[371] เขาจะได้กระดูกที่มีมัน เขาจะต้องมาปรากฏตัวอยู่กับมัน หมายถึงละหมาดอิชาอ์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และในบางรายงานว่า แท้จริงละหมาดที่หนักที่สุดเหนือพวกมุนาฟิกีน (พวกกลับกลอก) คือ ละหมาดอิชาอ์ และละหมาดซุบฮิ แต่ถ้าหากพวกเขารู้ถึงสิ่งที่มีอยู่ในละหมาดทั้งสอง[372] พวกเขาจะต้องมาละหมาดถึงแม้จะต้องคลานมาก็ตาม และขอยืนยันว่าข้าพเจ้าเคยตั้งใจจะใช้ให้ละหมาดเมื่ออิกอมะห์เสร็จ ข้าพเจ้าจะใช้ให้ชายคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้นำประชาชนในการละหมาด หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็จะไปกับผู้ชายอีกพวกหนึ่งพร้อมด้วยมัดฟืนไปยังพวกที่ไม่ได้ไปละหมาด และข้าพเจ้าจะเผาบ้านของพวกเขาด้วยไฟ

เล่าจากอะบีอัด-ดัรดาอฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มีคนสามคนอยู่ในหมู่บ้าน หรือทะเลทราย โดยที่พวกเขามิได้ทำละหมาดร่วมกัน นอกจากชัยฏอนมารร้ายจะเข้าครอบงำ พวกเขา ดังนั้นท่านจะต้องอยู่รวมกันเป็นพวก เพราะแท้จริงหมาป่ามันจะกินแกะที่แตกฝูง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด นะซาอี อะห์มัด และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ได้มีชายตาบอดคนหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.  แล้วกล่าวว่า โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ความจริงข้าพเจ้าไม่มีคนจูงไปมัสญิด ข้าพเจ้าจะละหมาดที่บ้านได้หรือไม่ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ยอมผ่อนผันให้แก่เขาแต่เมื่อเขาหันกลับไป ท่านได้เรียกเขาไว้แล้วถามว่า ท่านได้ยินเสียงอะซานไหม ชายตาบอดตอบว่า ได้ยินครับ ท่าน นบีจึงกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจำเป็นต้องไปมัสญิด (ไปตามเสียงอะซาน)

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

อุปสรรคของละหมาดญะมาอะห์[373]

เล่าจากนาเฟียอ์ว่า อิบนุ อุมัร ร.ฎ. ได้อะซานในคืนหนึ่งที่หนาวและมีลมจัด หลังจากนั้นได้กล่าวว่า โปรดทราบ ท่านทั้งหลายจงละหมาดในที่พักแล้วเขาก็กล่าวว่า แท้จริงท่าน เราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยใช้ผู้อะซานในคืนที่หนาวและมีลมจัดให้กล่าวว่า โปรดทราบ ท่านทั้งหลายจงละหมาดในที่พัก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

ท่านมะห์มูด บินอัรรอเบียะอ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านอิตบาน บินมาลิก เป็นคนตาบอด เคยนำพวกของเขาละหมาด[374] ต่อมาเขาได้กล่าวแก่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ว่า มันมีดและมีฝนตกและข้าพเจ้าเป็นคนตาบอด ดังนั้น โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ จงละหมาดในบ้านของข้าพเจ้า ในสถานที่ซึ่งข้าพเจ้าจัดไว้เป็นที่ละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้มาหาเขา[375] แล้วกล่าวว่า ที่ไหนที่ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าละหมาด ชายตาบอดได้ชี้ไปยังสถานที่หนึ่งของบ้าน ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาดในสถานที่นั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้ยินเสียงเรียกของผู้ที่เรียกให้ไปละหมาด (อะซาน) แล้วไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวางเขาจากการตามเสียงเรียกนั้น ละหมาดของเขาที่ได้ละหมาดไปจะไม่ถูกพิจารณา พวกเขาได้กล่าวว่า อุปสรรคนั้นคืออะไร ท่านตอบ ว่า คือความกลัวหรืออาการป่วยไข้ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์

ควรเดินไปละหมาดอย่างสงบ 158

เล่าจากอะบีกอตาดะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ในขณะที่พวกเรากำลังละหมาดอยู่พร้อมกับ ท่านนบี ซ.ล.   บังเอิญท่านนบีได้ยินเสียงรีบร้อนของคนหลายคน เมื่อละหมาดเสร็จ ท่านจึงได้ กล่าวขึ้นว่า พวกท่านทำอะไรกัน พวกเขาตอบว่า พวกเรารีบมาละหมาด ท่านนบีจึงกล่าวว่า พวกท่านอย่าทำ (อย่างนั้น) เมื่อพวกท่านมาละหมาดจงมาอย่างสงบ สิ่งใดที่พวกท่านมาทันให้ละหมาดตามไป สิ่งใดที่พวกท่านมาไม่ทันจงทำให้ครบ (หลังจากอิหม่ามให้สลาม) 

และในบางรายงานว่า เมื่อพวกท่านได้ยินอิกอมะห์ พวกท่านจงเดินไปละหมาดอย่าง สงบเสงี่ยมและอย่ารีบร้อน สิ่งใดที่พวกท่านมาทัน พวกท่านจงละหมาด (ตามไป) และสิ่งใดที่พวกท่านมาไม่ทัน จงทำให้ครบ (หลังจากอิหม่ามให้สลาม)

และในอีกรายงานหนึ่งว่า เมื่อได้อิกอมะห์แล้ว ดังนั้นคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านอย่ารีบเดินแต่ให้เขาเดินไปอย่างสุขุมและด้วยการอาการสงบเสงี่ยม ท่านจงละหมาดตามสิ่งที่ท่านไปทัน และจงชดใช้สิ่งที่ผ่านพ้นท่านไป (ละหมาดให้ครบเราะกะอัต ตามเวลานั้นๆ)

และเล่าจากเขา (อะบีกอตาดะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อเขาได้กล่าวคำอิกอมะห์ ท่านทั้งหลายอย่ายืนจนกว่าจะเห็นข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

และรายงานเพิ่มเติมว่า จนกระทั่งพวกท่านเห็นข้าพเจ้าออกมา (ปรากฏตัว)

ตอนที่ 3 158

ลักษณะของอิหม่าม

คนมีเกียรติสมควรเป็นอิหม่ามมากกว่าคนอื่น

เล่าจากมาลิก บินสุวัยริษ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้มาหาท่านนบี ซ.ล.   ด้วยตัวข้าพเจ้าเอง และเพื่อนของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง เมื่อเราต้องการจะอำลากลับ ท่านได้กล่าวแก่เราว่า เมื่อถึงเวลาละหมาดท่านทั้งสองจงอะซานแล้วอิกอมะห์ และให้คนโตที่สุด (ให้เกียรติแก่ผู้อาวุโส) จากท่านทั้งสองทำหน้าที่เป็นอิหม่าม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และตามรายงานของอะบิดาวูดว่า จงให้คนดีในหมู่พวกท่านอะซานและจงให้คนที่อ่านถูกต้องค์สุดเป็นอิหม่าม

เล่าจากอะบีมัสอูด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ว่า จะเป็นผู้นำกลุ่มชนในการละหมาด คือ ผู้ที่ท่องจำคัมภีร์ของอัลลอฮ์ได้มากที่สุด ถ้าหากมีผู้ท่องจำเท่าเทียมกันหลายคน ก็คือผู้ที่มีความรู้ในแนวซุนนะห์มากที่สุด ถ้าหากพวกเขามีความรู้ในแนวซุนนะห์เท่าเทียมกันหลายคน ก็คือผู้ที่อพยพก่อน ถ้าหากพวกเขามีผู้อพยพพร้อมกันหลายคน ก็คือผู้มีอายุมากที่สุด ชายคนหนึ่งจะต้องไม่ทำหน้าที่เป็นอิหม่ามให้ชายอีกคนหนึ่ง ในสถานที่ที่อยู่ในการปกครองของเขาและชายคนหนึ่งอย่านั่งในบ้านของอีกคนหนึ่งบนสิ่งที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านสงวนไว้สำหรับตัวเขา นอกจากได้รับอนุญาตเสียก่อน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี อะตียะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่ามาลิก บินอัลสุวัยริษ เคยมาหาพวกเราในวันหนึ่ง ยังสถานที่ที่พวกเราจัดไว้สำหรับละหมาด แล้วได้พูดคุยกันจนเข้าเวลาละหมาด พวกเราได้กล่าวแก่เขาว่า จงก้าวไปอยู่ข้างหน้า (เป็นอิหม่าม) เขากล่าวว่า ให้บางคนจาก พวกท่านก้าวไปอยู่ข้างหน้า แล้วข้าพเจ้าจะเล่าให้พวกท่านฟังว่าทำไม ข้าพเจ้าจึงไม่ไปอยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า ผู้ใดไปเยี่ยมคนพวกหนึ่ง เขาอย่าได้เป็นอิหม่าม นำคนพวกนั้นแต่จงให้ใครคนใดคนหนึ่งจากพวกเขาเหล่านั้นเป็นอิหม่าม 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี อุมามะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มี 3 จำพวกที่ละหมาด ของพวกเขาไม่เกินหูของพวกเขา[376] คือ บ่าวทาสที่หนีไปจนกว่าจะกลับ ผู้หญิงที่นอนหลับไปโดยสามีไม่พอใจ ผู้นำที่กลุ่มชนนั้นไม่พอใจ 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี 

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า มี 3 จำพวกที่พวกเขาจะ อยู่บนกองชมดเชียงในวันกิยามะห์ ซึ่งคนรุ่นก่อนและคนรุ่นหลังก็อยากมีสภาพเหมือนพวกเขา คือ ชายที่เรียกร้อง ให้มาทำละหมาด 5 เวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน ชายที่นำกลุ่มชน (ละหมาด) โดยพวกเขามีความพอใจ           และบ่าวที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ที่อัลลอฮ์ใช้และหน้าที่ ทนายของเขาสั่งอย่างสมบูรณ์ 

รายงานโดย ติรมิซี และอะห์มัด

การละหมาดเร็วๆ ที่กระทำอย่างครบถ้วน

เล่าจากอะบีมัสอูด ร.ฎ. ว่า มีชายคนหนึ่งได้กล่าวว่า สาบานต่ออัลลอฮ์โอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าต้องออกมาละหมาดซุบฮิล่าช้าก็เพราะคนๆ นั้น ได้นำเราละหมาดเสียยาว ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  จะมีความโกรธในการอบรมสั่งสอนยิ่งกว่าวันนั้น หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า แท้จริงบางคนจากพวกท่านได้ละหมาด และได้นำให้ผู้คนเตลิด ดังนั้นใครก็ตามจากพวกท่านที่ได้นำกลุ่มชนละหมาดจงทำเร็วๆ เพราะในกลุ่มชนนั้นมีทั้งคน อ่อนแอ คนแก่และคนที่มีธุระ และเมื่อเขาละหมาดคนเดียว จงละหมาดให้ยาวตามความต้องการ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่เคยละหมาดข้างหลังอิหม่ามคนใดเลยที่จะละหมาดเร็ว และสมบูรณ์ยิ่งกว่าท่านนบี ซ.ล.   และถ้าหากท่านได้ยินเสียงเด็กร้อง ท่านจะรีบละหมาด เพราะกลัวแม่เด็กจะเกิดความกระสับกระส่าย

และในบางรายงานว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ลุกขึ้นละหมาด ข้าพเจ้าต้องการจะละหมาดให้ยาวแต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเด็กร้อง ข้าพเจ้าจึงรีบละหมาด เพราะไม่ชอบที่จะให้เกิดความลำบากลับแม่ของเด็ก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า พวกเขา (อิหม่าม) จะละหมาดกับพวกท่าน ถ้าหากพวกเขาทำถูกต้อง พวกท่านก็ได้รับประโยชน์ และถ้าหากพวกเขาทำผิดมันก็เป็นประโยชน์กับพวกท่านแต่เป็นภัยกับพวกเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากเซาบาน ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้คนใดคนหนึ่งมองเข้า ไปภายในบ้านของคนอื่นจนกว่าจะได้รับอนุญาต ถ้าหากเขามองก็เหมือนกับเขาเข้าไป (โดยไม่ได้รับ อนุญาตถือว่าหะรอม) และไม่อนุญาตแก่คนๆ หนึ่งเป็นผู้นำละหมาดแก่กลุ่มชน แล้วเขาขอดุอาให้เฉพาะตัวเองไม่ขอให้คนอื่น ถ้าหากเขากระทำเช่นนั้นก็เท่ากับ เขาทุจริตต่อกลุ่มชนนั้น และไม่ต้องลุกขึ้นละหมาดในขณะที่อุจจาระและปัสสาวะกำลังจะออก 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

การเป็นอิหม่ามของทาส นาย คนตาบอด ผู้หญิงและเด็ก

ปรากฏว่าท่านหญิงอาอิชะห์นั้น ทาสของท่านคือๆ ซักวาน ได้เคยนำท่านละหมาดโดยการมอง จากพระคัมภีร์ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และชาฟิอี

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เมื่อพวกอพยพรุ่นแรกได้เดินทางมาถึงอัสบะห์ เป็นสถานที่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่กุบาอฺ ก่อนที่จะเข้ามาถึงท่านนบี ซ.ล.   ปรากฏว่าผู้นำกลุ่มชนในการละหมาด คือ ซาลิม ทาสของอบีฮุซัยฟะห์ และปรากฏว่าเขาเป็นคนที่จดจำ พระคัมภีร์อัลกรอานได้มากที่สุดในกลุ่มชนนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้แต่งตั้งอิบนุ อุมมิ มักตูม เป็นผู้นำกลุ่มชนละหมาด โดยที่เขาเป็นคนตาบอด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด อะห์มัด และอิบนิฮิบบาน

เล่าจากอับดิรเราะห์มาน บิน คอลลาด ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้โปเยี่ยมอุมมุ วะรอเกาะห์ที่บ้านของหล่อน ต่อมาหล่อนได้ขออนุญาตจากท่านนบีให้หาคนอะซานให้ ท่านนบีจึงได้แต่งตั้งคนอะซานให้ และได้ใช้ให้หล่อนทำหน้าที่เป็นผู้นำละหมาดคนในบ้านของหล่อน[377]

อับดุรเราะห์มานได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นคนอะซานของหล่อนนั้นเป็นชายชรา รายงาน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ฮากีม อิบนุคุซัยมะห์ด้วยสายรายงานที่ หะซัน

เล่าจากอัมรฺ บินซาลามะห์ ร.ฎ. ว่า ได้มีชนกลุ่มหนึ่งมาหาท่านนบี ซ.ล.   เมื่อพวก เขาจะกลับไป พวกเขาได้กล่าวว่า โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ใครจะเป็นผู้นำในการละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ตอบว่า คนที่จดจำอัลกุรอานมากที่สุดในพวกท่าน และข้าพเจ้าเป็นผู้จำอัลกุรอาน มากที่สุดในหมู่พวกเขา พวกเขาจึงให้ข้าพเจ้าอยู่ข้างหน้า (เป็นอิหม่าม) ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กผู้ชาย (غُلامٌ) และ ทั้งที่ข้าพเจ้ามีผ้าห่มผืนเล็กๆ อยู่บนตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ปรากฏอยู่ในที่ชุมนุมของตระกูลยัรมุ นอกจากข้าพเจ้าต้องเป็นอิหม่ามของพวกเขาและข้าพเจ้าได้ละหมาดให้แก่ศพของพวกเขาจนถึง ทุกวันนี้ 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด และนะซาอี 

และตามรายงานของอะบิดาวูด และอัด-ดารุกุตนีว่า ละหมาดฟัรฎูเป็นหน้าที่ ที่จำเป็นข้างหลังมุสลิมทุกคนทั้งดีและชั่ว ถึงแม้เขาจะทำบาปใหญ่ก็ตาม[378]

ตำแหน่งที่ยืนของผู้ตามกับผู้นำละหมาด

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้นอนค้างที่บ้านน้าสาวของข้าพเจ้า มัยมุนะห์ ท่านนบี ซ.ล.   ได้ตื่นขึ้นละหมาดในตอนกลางคืน[379] 

และข้าพเจ้าได้ตื่นขึ้นละหมาดกับท่าน โดยยืนทางด้านซ้ายของท่าน ท่านนบีได้จับศีรษะของข้าพเจ้า แล้วดึงให้มายืนทางขวาของท่าน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากสะมูเราะห์ บินยุนดุบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ใช้พวกเรา เมื่อพวกเรามีสามคน ให้คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า (อีกสองคนยืนชิดกันในแถวถัดจากอิหม่าม) 

รายงานโดย ติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ละหมาดในบ้านของอุมมุสุลัยม์ ข้าพเจ้าและยะตีมยืนอยู่ข้างหลังท่านนบี และอุมมุสุลัยม์ยืนอยู่ข้างหลังพวกเราอีกที 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ซ.ล. ได้นำเขาและผู้หญิงคนหนึ่งจาก พวกเขาละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้ให้เขาอยู่ทางด้นขวาของท่าน และให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างหลัง 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะบูดาวูด

ตอนที่ 4 162 การตามอิหม่าม

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอิหม่ามถูกแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นผู้นำ เมื่อเขาตักบีร ท่านทั้งหลายจงตักบีร เมื่อเขารุกัวะอ์ ท่านทั้งหลายจงรุกัวะอ์ เมื่อเขากล่าวว่า ซะมีอั้ลลออุลิมัน ฮัมมิดะห์ ท่านทั้งหลายจงกล่าวว่า ร็อบบะนา ละกัลอัมดุ

และเมื่อเขายืนละหมาด ท่านทั้งหลายจงยืนละหมาดและเมื่อเขานั่งละหมาด ท่านทั้งหลายจงนั่งละหมาดทั้งหมดทุกคน[380] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

ตัวบทของอะบูดาวูดมีข้อความว่า แท้จริงอิหม่ามถูกแต่งตั้งเพี่อให้เป็นผู้นำ เมื่อเขาตักบีร ท่านทั้งหลายจงตักบีร ท่านทั้งหลายอย่าตักบีรจนกว่าเขาจะตักบีร เมื่อเขารุกัวะอ์ ท่านทั้งหลาย จงรุกัวะอ์ ท่านทั้งหลายอย่ารุกัวะอ์จนกว่าเขาจะรุกัวะอ์ เมื่อเขาสุญูด ท่านทั้งหลายจงสุญูด ท่านทั้งหลายอย่าสุญูด จนกว่าเขาจะสุญูด 

ฮุมัยดีได้กล่าวว่า คำพูดของท่านนบีที่กล่าวว่า เมื่อเขานั่งละหมาด ท่านทั้งหลาย จงนั่งละหมาด[381] ในขณะที่ท่านอยู่ในอาการป่วยดั่งเดิม หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล. ได้นั่งละหมาด ส่วนประชาชนที่ละหมาดข้างหลังท่านนั้นยืนละหมาด ท่านไม่ได้ใช้พวกเขาให้นั่งละหมาด แท้จริงให้ยึดถือเอา (คำพูดของท่านนบี) ครั้งหลังและครั้งหลังสุด จากการกระทำของท่าน ซ.ล.  

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ที่เงยหัวของเขาก่อนอิหม่ามนั้น ไม่กลัวหรือที่อัลลอฮ์จะเปลี่ยนหัวของเขาเป็นหัวลา

และในบางรายงานว่า อัลลอฮ์จะเปลี่ยนรูปของเขาเป็นรูปลา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาดกับพวกเรา ในวันหนึ่ง เมื่อละหมาดเสร็จท่านได้หันหน้ามาทางพวกเรา แล้วกล่าวว่า โอ้ประชาชนทั้งหลาย ความจริงข้าพเจ้าเป็นผู้นำของพวกท่าน ดังนั้นท่านทั้งหลายอย่ารุกัวะอ์ก่อนข้าพเจ้า และอย่าสุญูด อย่ายืน อย่าเลิกละหมาดก่อนข้าพเจ้า เพราะแท้จริงข้าพเจ้ามองเห็นพวกท่านทางด้านหน้าและด้านหลังของข้าพเจ้า หลังจากนั้นท่านได้กล่าวว่า สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของมุฮัมมัดอยู่ในอุ้งมือของพระองค์ ถ้าหากพวกท่านแลเห็นเหมือนอย่างข้าพเจ้าแลเห็น พวกท่านจะหัวเราะเพียง เล็กน้อย และจะร้องไห้อย่างมากมาย (ฟูมฟาย) พวกเขาถามว่า ท่านเห็นอะไร โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เห็นสวรรค์และนรก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากสะห์ลิ บินสะอ์ดิ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าเห็นผู้ชายหลายคนผูกผ้านุ่ง ของเขาไว้กับค้นคอเหมือนเด็กๆ เนื่องจากผ้านุ่งหายาก (โดยพวกเขาละหมาด) อยู่ข้างหลังท่าน นบี ซ.ล.   ได้มีคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า โอ้ พวกผู้หญิงทั้งหลาย อย่าเงยหัวขึ้น จนกว่าพวกผู้ชาย จะลุกขึ้น (เงย) เสียก่อน[382] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อพวกท่านมาละหมาด ในขณะที่พวกเรากำลังสุญูด พวกท่านจงสุญูด และพวกท่านอย่านับว่าการกระทำ (สุญูด) อย่างนั้นเป็นสิ่งใด ๆ (จากละหมาด) ผู้ใดไปทัน(ขณะที่อิหม่ามกำลัง) รุกัวะอ์ เท่ากับเขาทันละหมาด[383] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และดารุกุดนี

เล่าจากมุอาซ บินญะบัล ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อคนใดคนที่หนึ่ง จากพวกท่านมาละหมาดและอิหม่ามกำลังอยู่ในสภาพหนึ่ง ให้เขาทำเหมือนสิ่งที่อิหม่ามกำลังกระทำ 

ราบงานโดย ติรมิซี

ความประเสริฐของแถวแรกและแถวถัดมา

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ในขณะที่ชายคนหนึ่ง กำลังเดินอยู่ตามทาง เขาได้พบกิ่งต้นหนามขวางทางอยู่ เขาจึงเอาออกไปให้พ้นทางเดิน อัลลอฮ์ ได้ขอบคุณเขาและอภัยโทษให้เขา หลังจากนั้นท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า คนที่ตายอยู่ในแนวทาง ของอัลลอฮ์มีห้าคน คนที่ตายด้วยโรคระบาด คนที่ตายด้วยโรคท้องร่วง คนที่จมนำตาย คนที่ตายเพราะถูกถล่ม (บ้าน, แผ่นดิน) และนักรบที่ถูกฆ่าตายในสมรภูมิศักดิ์สิทธิ์ และท่านนบีได้ กล่าวต่อไปว่า ถ้าหากประชาชนรู้สิ่งที่มีอยู่ในการอะซานและในแถวแรก[384] (จากผลบุญอันยิ่ง ใหญ่) ต่อไปพวกเขาจะไม่พบหนทาง นอกจากต้องจับฉลาก (เพื่อให้ได้สิ่งทั้งสองนั้น) พวกเขาก็จะต้องจับฉลาก และถ้าหากพวกเขารู้สิ่งที่มีอยู่ในการละหมาดดุหรีในเวลาที่ร้อนจัด พวกเขาจะ ต้องชิงกันไป และถ้าหากพวกเขารู้สิ่งที่มีอยู่ในละหมาด อิชาอ์และละหมาดซุบฮิ พวกเขาจะต้อง มาละหมาดถึงแม้ว่าต้องคลานมาก็ตาม 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แถวของผู้ชายที่ดีที่สุด คือ แถวแรก และแถวที่เลวของผู้ชายคือ แถวหลัง แถวที่ดีที่สุดของพวกผู้หญิงคือ แถวหลัง และแถวที่เลวที่สุดของพวกผู้หญิงคือ แถวหน้า 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากฮุซัยฟะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า พวกเราได้รับเกียรติเหนือกว่าประชาชาติทั้งหลาย ด้วย 3 ประการ ให้แถวละหมาดของพวกเรามีเกียรติเท่ากับแถวของมวลมะลาอิกะห์        ได้ประทานผืนแผ่นดินทั้งหมดให้เป็นมัสญิดของเรา และให้ดินเป็นสิ่งที่ใช้ทำความสะอาดของเราเมื่อเราไม่มีนำ และท่านนบีได้กล่าวอีกประการหนึ่ง[385]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอัลบะรออิ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ตาอาลาและมวลมะลาอิกะห์ของพระองค์จะประทานความเมตตาและขออภัยให้แก่คนที่ละหมาดในแถวแรก ๆ และไม่มีก้าวใดที่อัลลอฮ์จะรักยิ่งกว่าก้าวที่บ่าวเดินไป เพื่อต่อแถวให้ติดกัน

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอิรบาด บินซาริยะห์ ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดในแถวแรกสามครั้ง และในแถวที่สองหนึ่งครั้ง 

รายงานหะดีษโดย นะซาอี และฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

คนดีมีสิทธิ์อยู่แถวแรก

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ให้มาอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้า คนที่ บรรลุศาสนภาวะและคนที่มีความคิด (มีสติปัญญา) ถัดจากนั้นก็คนดีรองลงไป (คือคนที่อยู่อันดับรองพวกนั้น) ท่านได้กล่าวสามครั้ง และพวกท่านจงออกห่างจากการส่งเสียงโหวกเหวกตามตลาด 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากอะบีมาลิก อัลอัซอะรี ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยจัดให้ผู้ชายอยู่แถวแรก หลังจากนั้นก็เด็กผู้ชายเอาไว้ข้างหลังพวกผู้ชาย 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

ตัวบทของอะห์มัดว่า ท่านจะจัดให้พวกผู้ชายอยู่ข้างหน้าเด็กๆ และเด็กๆ อยู่ข้างหลัง พวกผู้ชาย และพวกผู้หญิงอยู่ข้างหลังพวกเด็กๆ

เล่าจากอะบีสะอีด อัลคุดรี ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้เห็นความล่าช้าในเหล่าสาวก ของท่าน จึงได้กล่าวว่า จงขึ้นมาข้างหน้าและพวกท่านจงตามข้าพเจ้า คนที่อยู่ข้างหลังพวกท่านให้ พวกเขาตามพวกท่าน พวกหนึ่งจะยังคงล่าช้าอยู่[386] จนกระทั้งอัลลอฮ์จะให้พวกเขาล้าหลัง[387] 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

ควรอ่านนำหรือเตือนอิหม่าม (เมื่ออิหม่ามอ่านติดหรือนึกไม่ออก)

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ว่า ท่านนบี ซ.ล.   ได้ละหมาดครั้งหนึ่ง ท่านได้อ่านในละหมาดนั้น แล้วก็เกิดสงสัย (อ่านสะดุดลง) เมื่อท่านละหมาดเสร็จได้กล่าวแก่อุบัยย บินกะอ์บิ ว่าท่าน ได้ละหมาดพร้อมกับเราใช่ไหม  อุบัยยตอบว่า ครับ ท่านนบีกล่าวว่า อะไรห้ามท่าน (มิให้ อ่านนำเราเมื่อเราอ่านติด) 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุฮิบบาน

ตัวบทของอิบนุฮิบบานว่า อะไรห้ามท่านที่จะอ่านนำเปิดทางให้แก่เรา

ตอนที่ 5

การจัดแถวให้ตรงและคำกล่าวของอิหม่ามในการจัดแถว

เล่าจากนัวะมาน บินบะซีร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า พวกท่านจะต้อง จัดแถวให้ตรง หรือจะให้อัลลอฮ์หมุนหน้าของพวกท่านไปไว้ข้างหลัง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

และตามรายงานของมุสลิมว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยจัดแถวของพวก เราให้ตรงเหมือนอย่างกับท่านดัดลูกธนูให้ตรง

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าววา เมื่อได้กล่าวคำอิกอมะห์ละหมาดท่านนบี ซ.ล.   ได้หัน มาทางพวกเรา แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงจัดแถวให้ตรง และ (ยืน) ให้ชิดกัน เพราะความจริง ข้าพเจ้ามองเห็นพวกท่านทางด้านหลังของข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

และตามรายงานของบุคอรีว่า ท่านทั้งหลายจงจัดแถวให้ตรง เพราะข้าพเจ้ามองเห็น พวกท่านจากทางด้านหลังของข้าพเจ้า และปรากฏว่าคนหนึ่งจากพวกเราจะยืนจนไหล่ของเขาชิดกับไหล่ของคนที่อยู่ข้างๆ เขา และเท้าของเขาก็ชิดกับเท้าของคนที่อยู่ข้างเขา

และในบางรายงานว่า ท่านทั้งหลายจงจัดแถวให้ตรง เพราะการจัดแถวให้ตรงเป็นสิ่งที่ทำให้ละหมาดสมบูรณ์

และในอีกรายงานหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายจงจัดแถวให้ตรงในการละหมาด เพราะแท้จริง การจัดแถวเป็นผลดีของละหมาด

เล่าจากบะรออุ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยเดินระหว่างแถวจาก ทิศหนึ่งไปอีกทิศหนึ่ง ท่านจะลูบอกและไหล่ของพวกเราพร้อมกับกล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่ายืน เหลื่อมลํ้ากัน หัวใจของพวกท่านจะไม่ตรงกัน และท่านเคยกล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์และมวลมะลาอิกะห์ของพระองค์ จะประทานความเมตตาและขออภัยโทษให้แก่แถวแรกๆ

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี 

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เมื่อลุกขึ้นละหมาดได้ฉวยไม้เรียวด้วยมือขวา หลังจากนั้นได้หันไป (ทางด้านขวาของมัสญิด) แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงยืนตรง จัดแถวของพวกท่านให้ตรง ต่อจากนั้นได้ถือไม้เรียวด้วยมือซ้าย แล้วกล่าวว่า ท่านทั้ง หลายจงยืนตรงจัดแถวของพวกท่านให้ตรง 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

และเล่าจากเขา(อะนัส) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงยืนชิดๆ กัน ในแถวของพวกท่าน และจงทั้งแถวใกล้ๆ กัน และจงให้ต้นคอตรงกัน สาบานต่อผู้ซึ่งชีวิตของข้าพเจ้าอยู่ในมือของพระองค์ แท้จริงข้าพเจ้าแลเห็นชัยฏอนมารร้ายเข้ามาแทรกอยู่ตามช่องว่าง ในแถวเหมือนกับถูกแพะตัวเล็กๆ (ที่ชอบเบียดเข้ามา)

และเล่าจากอิบนิ อุมัรร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงตั้งแถวให้ตรง และจงให้บ่าตรงกันจงอุดช่องว่างและจงสัมผัสมือของพี่น้องค์ร่วมแถวของท่านแต่เพียงแผ่วเบา และอย่าทิ้งช่องว่างให้ชัยฏอน (เข้าไปแทรก) และผู้ใดต่อแถวอัลลอฮ์ก็ติดต่อกับเขา และผู้ใดตัดแถวให้ขาดอัลลอฮ์ก็ดัดขาดจากเขา 

รายงานหะดีษทั้งสองโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

ควรต่อแถวให้เต็มและไม่ควรยืนละหมาดตามลำพัง

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงต่อแถวให้เต็ม เพราะความจริงข้าพเจ้ามองเห็นพวกท่านจากทางเบื้องหลังของข้าพเจ้า 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

ตัวบทของอะบูดาวูดว่า ท่านทั้งหลายจงต่อแถวแรกให้เต็ม หลังจากนั้นถ็แถวถัดมา ดังนั้นแถวที่จะไม่เต็มควรให้เป็นแถวหลัง

เล่าจากญาบิร บินซ่ามุเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า โปรดทราบ ท่าน ทั้งหลายจะถูกจัดแถวเช่นเดียวกับมวลมะลาอิกะห์ถูกจัดแถว ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา พวกเรากล่าวว่า มวลมะลาอิกะห์ถูกจัดแถว ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาอย่างไร ท่านกล่าว ว่า พวกเขาต่อแถวแรกให้เต็มก่อนและพวกเขายืนชิดกันในแถว 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอับดิลฮะมีด บินมะห์มูด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราได้ละหมาดข้างหลังเจ้าเมือง องค์หนึ่งจากบรรดาเจ้าเมือง ประชาชนเกิดรวนเร(คือยืนไม่เป็นระเบียบ) และพวกเราได้ละหมาด อยู่ระหว่างเสาสองต้น เมื่อพวกเราละหมาดเสร็จ อะนัสได้กล่าวว่า พวกเราระวังสิ่งนี้[388] ในสมัยท่านนบี ซ.ล. [389] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากวาบิเซาะห์ ร.ฎ. แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เห็นชายคนหนึ่งละหมาด อยู่ข้างหลังแถวตามลำพังคนเดียว ท่านจึงได้ใช้ให้เขาละหมาดใหม่อีกครั้ง 

รายงานใคร อบูดาวูด ติรมิซี และอะห์มัด

เล่าจากอะบีบักเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้เข้าไปในมัสญิดขณะทนบีของอัลลอฮ์ ซ.ล.  กำลังก้มรุกัวะอ์ ข้าพเจ้าจึงได้ก้มรุกัวะอ์ก่อนจะถึงแถวละหมาด ท่านนบี ซ.ล. ได้กล่าวว่า อัลลอฮ์ได้เพิ่มความโลภให้ท่าน และอย่าทำอย่างนี้อีก 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เมื่อเสร็จละหมาดอิหม่ามหันหน้ามาทางประชาชนผู้ร่วมละหมาด 168

เล่าจากอับดิลลาห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า คนใดคนหนึ่งจากพวกท่านอย่าเปิดโอกาสให้ชัยฏอน (เข้ามาหลอกลวง) ในละหมาดของเขา โดยเห็นว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องไม่หันไปทางไหน นอกจากหันไปทางขวาเท่านั้น ความจริงข้าพเจ้าเห็นท่านนบี ซ.ล. ส่วนมากแล้วท่านจะหันไปทางซ้ายของท่าน[390] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด 

ตามรายงานของมุสลิมว่า ท่านอัลซุดดีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ถามอะนัสว่า เมื่อ ข้าพเจ้าละหมาดเสร็จจะหันไปทางขวาหรือทางซ้าย ท่านอะนัสกล่าวว่าสำหรับข้าพเจ้า ส่วนมากที่ข้าพเจ้าเห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. หันไปทางขวาของท่าน

เล่าจากกอบีเซาะห์ บินฮะลิบ จากบิดาของเขาร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  เคยเป็นอิหม่ามของพวกเรา แล้วท่านเคยหันไปทางสองด้านของท่านทั้งทางด้านขวาและด้านซ้าย[391] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และติรมิซี

เล่าจากซามุเราะห์ บินยุนดุบ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.  เมื่อละหมาด ในคราวหนึ่งเสร็จแล้ว ได้หันหน้าของท่านมาทางพวกเรา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอัลมุฆีเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า  อิหม่ามอย่าละหมาดในสถานที่ซึ่งเขาได้ละหมาดแล้วในที่นั้น จนกว่าจะเปลี่ยนสถานที่ใหม่[392]  

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอิบนุมายะห์ 

เล่าจากอะบีฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า คนใดคนหนึ่งจากพวกท่าน ไม่มีความสามารถหรือ เมื่อละหมาดเสร็จแล้วที่จะก้าวไปข้างหลังหรือถอยหลัง หรือก้าวมาทางขวาหรือย้ายมาทางซ้าย[393]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และอะห์มัด

ละหมาดใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยทำ ญะมาอะห์

เล่าจากญาบีรว่า ท่านมุอาซ บินญะบัล ร.ฎ. เคยละหมาดอิชาอ์พร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  หลังจากนั้นเขาได้มาหาพรรคพวกของเขา และได้ร่วมละหมาด (อิชาอ์) นั้นกับพรรคพวก ของเขาอีกครั้งหนึ่ง

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี

เล่าจากย่าซีด บินอัลอัสวัด ร.ฎ. ว่า ตัวเขาเองได้ละหมาดพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.  ขณะนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่ม เมื่อละหมาดเสร็จก็บังเอิญมีผู้ชายสองคนที่ยังไม่ได้ละหมาดอยู่ที่มุมหนึ่งของมัสญิด ท่านนบีจึงได้เรียกคนทั้งสอง เขาได้นำตัวผู้ชายทั้งสองมาด้วยอาการสั่นเทา ท่านนบีได้กล่าวว่า อะไรปิดขวางท่านทั้งสองมิให้ละหมาดพร้อมกับเรา เขาทั้งสองกล่าวว่า ความจริงเราได้ละหมาดแล้วในที่พักของเรา ท่านนบีจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายอย่าทำอย่างนี้ เมื่อคนใดคนหนึ่งจากพวกท่านได้ละหมาดแล้วในที่พักของเขา ต่อจากนั้นได้มาพบอิหม่ามยังไม่ได้ละหมาดญะมาอะห์ ให้เขาละหมาดพร้อมกับอิหม่าม เพราะแท้จริงละหมาด(ที่บ้านแล้ว)นั้นเป็นสุนัตสำหรับเขา[394]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

บทสุดท้าย (خَاتِمَةٌ) 169

ยอมให้อิหม่ามต้องคนอื่นทำหน้าที่แทน[395]

เล่าจากสะห์ลิ บินสะอ์ดิ ร.ฎ.ว่า แท้จริงท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้เดินทางไปหา พวกบะนีอัมรฺ บินเอาฟุ เพื่อไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเขา เมื่อเข้าเวลาละหมาด ผู้อะซานได้มาหาอบุบักรุ แล้วกล่าวว่า ท่านจะละหมาดนำกลุ่มชนหรือ ข้าพเจ้าจะอิกอมะห์ อะบูบักร์กล่าวว่า ใช่ แล้วอะบูบักร์ก็ละหมาด ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้กลับมา ประชาชนยังคงอยู่ในละหมาด ท่านเราะซูลุลลอฮ์จึงได้แหวกแถวเข้าไปยืน ประชาชนได้ปรบมือแต่ อะบู บักร์ ก็มีได้เหลียวหลังมามองดูในขณะที่กำลังละหมาด เมื่อมีเสียงปรบมือมากขึ้น อะบูบักร์จึงได้ หันมาดู แล้วก็พบท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ลอฮ์ ซ.ล.  จึงได้ทำท่าบอกว่าจงยืนอยู่ที่เดิมของท่าน ดังนั้นอะบูบักร์จึงได้ยกมือทั้งสองข้างของเขา แล้วได้กล่าวคำสรรเสริญ พระองค์อัลลอฮ์ในสิ่งที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ลอฮ์ ซ.ล. ได้ใช้ให้เขาปฏิบัติจากการดังกล่าว หลังจากนั้น อะบูบักรุได้ถอยหลังจนเข้ามาอยู่ในแถว แล้วท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ก้าวไปอยู่ข้างหน้าแล้วได้ละหมาด เมื่อละหมาดเสร็จได้กล่าวว่า โอ้ อะบูบักร์ อะไรห้ามท่านมิให้ยืนอยู่ในที่เดิมของท่าน ในขณะที่ข้าพเจ้าได้ใช้ท่าน อะบูบักร์ได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่บุตรของอะบีกุฮาฟะห์จะละหมาด อยู่ข้างหน้าท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ท่านเราะซูลุลลอฮ์ลอฮ์ ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ไม่สมควรที่ข้าพเจ้า จะเห็นพวกท่านทั้งหลายปรบมือกันอย่างมากมาย ใครก็ตามที่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเขาในขณะอยู่ใน ละหมาด ให้เขากล่าวตัสบีฮะ เพราะเมื่อเขาได้กล่าวตัสบีฮะ เขาจะได้รับความสนใจ (และถูกเหลียวมามอง) และความจริงการปรบมือนั้นใช้สำหรับพวกผู้หญิง 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะชาอี 

เล่าจากอะบีมูชา ร.ฎ. ใต้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ป่วยและอาการป่วยของท่านเพรียบหนัก ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงใช้อะบูบักร์ให้เขานำประชาชนละหมาด ท่านหญิงอาอิชะห์ กล่าวว่า ความจริงเขา (อะบูบักร์) เป็นผู้ชายที่มีใจอ่อน เมื่อเขาเข้าทำหน้าที่แทนท่าน เขาไม่ สามารถจะละหมาดนำประชาชนได้ ท่านได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงใช้อะบูบักร์ให้เขานำประ ชาชนละหมาด ท่านหญิงอาอิชะห์ได้กล่าวอย่าง "เดิมอีก ท่านนบีได้กล่าวอีกว่า เธอจงให้อะบูบักร์ให้เขานำประชาชนละหมาด ความจริงพวกเธอก็เหมือนพวกผู้หญิงกับนบียูซุฟ [396] ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ได้มาหาเขา(อะบูบักร์) และเขาก็ได้นำประชาชนละหมาดในขณะที่ท่านนบี ซ.ล.  มีชีวิตอยู่[397]

เล่าจากท่านหญิงอาอิชะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ใช้อะบูบักร์ให้ ละหมาดนำประชาชนในขณะที่ท่านป่วย และท่านอะบูบักร์ก็ได้ละหมาดนำประชาชน ท่านอุรวะห์ ได้กล่าวว่า ต่อมาท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้พบว่าอาการป่วยของท่านทุเลาลงจึงใต้ออกมา บังเอิญขณะนั้นอะบูบักร์กำลังนำประชาชนละหมาดอยู่ เมื่ออะบูบักร์เห็นท่านเราะซูลุลลอฮ์ออกมา จึงได้ถอยหลังแต่ท่านได้ทำท่าว่า ให้อะบูบักร์อยู่ที่เดิม ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้นั่งตรงกับอะบูบักร์สีข้างชิดกัน ปรากฏว่าอะบูบักร์ละหมาดตามละหมาดของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ส่วน ประชาชนละหมาดตามละหมาดของอะบีบักร์ (ท่านนบียืนอยู่ข้างหน้าตำแหน่งเดียวกันกับอะบูบักร์)

รายงานหะดีษทั้งสองโดย บุคอรี มุสลิม และติรมิซี

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล.  ได้ละหมาดในขณะที่ท่านป่วย ข้างหลังอะบูบักร์โดยการนั่งละหมาด ในผ้าของท่านที่สะพายไว้ 

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี และนะซาอี

ตัวบทของนะชาอีว่า ละหมาดครั้งสุดท้ายที่ท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  ได้ละหมาดพร้อม กับประชาชนนั้น ท่านได้ละหมาดในผ้าผืนเดียวโดยท่านสะพายมันไว้ข้างหลังอะบูบักร์[398]

และเล่าจากเขา (อะนัส) ว่า แท้จริงอะบูบักร์ได้เคยละหมาดนำพวกเขาในขณะที่ท่านนบี ซ.ล.  อยู่ในอาการป่วยที่ท่านต้องเสียชีวิต จนกระทั่งถึงวันจันทร์พวกเรากำลังอยู่ในแถวละหมาด[399] ท่านนบี ซ.ล. ได้เปิดม่านห้องมองมายังพวกเรา โดยท่านยืนอยู่ ใบหน้าของท่านขาวเปล่งปลั่งเหมือนกระดาษ หลังจากนั้นท่านได้ยิ้มหัวเราะ พวกเราคิดว่าจะเลิกละหมาด เนื่องจากความดีใจ ที่ได้เห็นท่านนบี ซ.ล.  ท่านอะบูบักร์ได้ก้าวถอยหลังเพื่อมาเข้าแถว และคิดว่าท่านนบี ซ.ล.  จะออกมาละหมาด ท่านนบีได้ทำท่ามาทางพวกเราด้วยมือของท่าน (ได้โบกมือ) ว่า พวกท่านทั้งหลาย จงละหมาดให้เสร็จเถิด แล้วท่านได้โรยม่านลง แล้วต่อมาท่านก็ได้เสียชีวิตลงในวันนั้น 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

บทที่ 10 171

ละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์)

มี 4 ตอน และตอนสุดท้าย ตอนที่ 1

คุณค่าของละหมาดญุมอะห์ และถือว่าญุมอะห์เป็นวาญิบ อัลลอฮ์ผู้ทรงเกรียงไกรได้กล่าวว่า “เหล่าผู้มีศรัทธาทั้งหลาย เมื่อเขาได้ป่าวร้องให้ ไปละหมาดวันศุกร์ ท่านทั้งหลายจงรีบรุดไปยังการระลึกถึงอัลลอฮ์เถิด จงละทิ้งการค้าขาย นั้นเป็นความดีของพวกท่าน ถ้าหากท่านทั้งหลายรู้”

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า วันที่ดีที่สุดที่ตะวันโผล่ ขึ้นมาคือวันศุกร์ ในวันศุกร์อาดัมถูกสร้างขึ้น ในวันศุกร์ให้อาดัมเข้าสวรรค์ ในวันศุกร์ให้อาดัมออกจากสวรรค์ และวันกิยามะห์จะไม่เกิดขึ้นนอกจากวันศุกร์ 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และอะบูดาวูดได้รายงานเพิ่มเติมว่า และในวันศุกร์เขาได้รับเตาบัตของอาดัมและในวันศุกร์อาดัมได้ตาย และในวันศุกร์วันกิยามะห์จะเกิดขึ้น ไม่มีสัตว์ตัวใดนอกจากมันจะรอคอยวันศุกร์นับต้องแต่ซุบฮิ จนถึงตะวันขึ้น เพราะกลัววันกิยามะห์นอกจาก ยินและมนุษย์

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เราเป็นพวกที่มาที่หลัง (แต่) เป็นพวก (แรก) ที่ถึงวันกิยามะห์ก่อนแต่ว่าพวกเขาเป็นพวกที่ได้รับคัมภีร์ก่อนพวกเรา พวกเราได้รับคัมภีร์หลังจากพวกเขา จากนั้นวันนี้ (วันศุกร์) เป็นวันของพวกเขาที่อัลลอฮ์ได้กำหนด (การทำอิบาดะห์) ให้เป็นหน้าที่ที่จำเป็น (ฟัรฎู) เหนือพวกเขา แต่พวกเขาฝ่าฝืน ดังนั้นอัลลอฮ์ จึงได้ฮิดายะห์ (แนะนำ) วันนี้ให้พวกเรา ประชาชนปฏิบัติตามเราในวันนี้[400] ชาวยิว วันพรุ่งนี้[401] ชาวคริสต์ วันมะรืนนี้[402] 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี

ตามรายงานของมุสลิมว่า เราเป็นพวกที่มาที่หลัง (เป็นพวกสุดท้าย) แต่เป็นพวกที่

ถึงวันกิยามะห์ก่อน พวกเราเป็นพวกนรกที่เข้าสวรรค์ 

และเล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์)ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวบนเสามิมบัรว่า กลุ่มชนเหล่านั้นจะต้องยุติการทิ้งละหมาดวันศุกร์[403] อย่างจริงจัง หรือ (ถ้าไม่อย่างนั้น) อัลลอฮ์จะ(ประทับตรา) ปิดผนึกหัวใจของพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเป็น เป็นบุคคลที่หลงลืม 

รายงานหะดีษโดย มุสลิม นะซาอี และอะห์มัด

เล่าจากอะบี อัลยะอ์ดิ อัฎฎอมรี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดทิ้งละหมาด วันศุกร์อย่างดูแคลน อัลลอฮ์จะปิดผนึกหัวใจของเขาเสีย 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี นะซาอี และฮากีม

เล่าจากอิบนิ อับบาส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ผู้ใดทิ้งวันศุกร์โดยไม่มีความจำเป็น (บังคับ) เขาจะถูกบันทึกเป็นคนกลับกลอก (มุนาฟิก) โดยจะไม่ถูกลบและถูกเปลี่ยนแปลง 

รายงานหะดีษโดย ชาฟิอี

ตามรายงานของอะบูดาวูดและนะชาอีว่า ผู้ใดทิ้ง (ญุมอะห์) วันศุกร์โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ ดังนั้นให้เขาจงบริจาคหนึ่งเหรียญทอง ถ้าหากไม่มีก็ด้วยครึ่งเหรียญทอง[404]

ผู้ที่วายิบต้องละหมาดวันศุกร์[405]

เล่าจากฮัฟเซาะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า เหนือผู้ที่ฝันเปียก[406] ทุกคน ต้องไปวันศุกร์ และเหนือผู้ที่ไปวันศุกร์ต้องอาบน้ำ[407] 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากตอริก บินชิฮาบ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า วันศุกร์เป็นสิทธิที่จำเป็น เหนือมุสลิมทุกคนในการ (ละหมาด) ร่วมกัน นอกจากบุคคลสี่ประเภทคือ ทาสที่ถูกปกครอง หรือผู้หญิง หรือเด็ก หรือผู้ป่วย 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด บัยฮะกี และฮากีม

เล่าจากอับดิลลาห์ บินอัมรฺ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า วันศุกร์จำเป็นเหนือ ทุกคนที่ได้ยินเสียงอะซาน 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด และตารุกุตนี

ละหมาดวันศุกร์ต้องละหมาดในเมือง ในหมู่บ้าน และอธิบายจำนวน(ผู้ละหมาด)

เล่าจากอิบนิอับบาส ร.ฎ. ได้กล่าวว่า แท้จริงวันศุกร์แรกที่ได้ละหมาด หลังจากละหมาดวันศุกร์ในมัสญิดของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  คือในมัสญิดของอับดิลกอยส์ ที่ตำบล “ญุวาซา” ใน (ประเทศ) บาห์เรน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี และอะบูดาวูด

เล่าจากอับดิรเราะห์มาน บินกะอ์บิ บินมาลิก ร.ฎ. ปรากฏว่าเขา (อับดิรเราะห์มาน) เป็นคนจูงบิดาของเขาหลังจากตาบอด ได้กล่าวว่า เมื่อบิดาของข้าพเจ้าได้ยินเสียงอะซานในวันศุกร์จะกล่าวว่า ขออัลเลาะห์ได้โปรดเมตตาแก่อัสอัด บินซุรอเราะห์ ข้าพเจ้าจึงได้ถามเขาถึงการกระทำดังกล่าว ท่านได้ตอบว่า เพราะเขา (อัสอัด บินซุรอเราะห์) เป็นบุคคลแรกที่ได้ ระดมพวกเราไปรวมกันในลานของ “น่าบิต”[408] จากพื้นที่ที่มีหินสีดำของตระกูล “บะยาเฎาะห์ ในบึงแห่งหนึ่งที่เรียกว่า บึงค่อดิมาด ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ในวันนั้นพวกท่านมีก็คน ท่านตอบว่า สี่สิบคน 

รายงานโดย อะบูดาวูด อิบนุฮิบบาน บัยฮะกี ฮากีม เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

ละหมาดวันศุกร์ตกไปเพราะมีอุปสรรค

อัลลอฮ์ตะอาลาได้กล่าวว่า “พระองค์มิได้ให้พวกท่านเกิดความลำบากในศาสนา”

และอิบนุ อับบาส ได้กล่าวแก่ผู้ทำหน้าที่อะซานในวันที่ฝนตกหนักว่า เมื่อท่านได้กล่าวในอะซานว่า แท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์ แล้วท่านอย่ากล่าว จงมาสู่การละหมาด (แต่) ท่านจงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงละหมาดในบ้านของพวกท่าน คล้ายกับว่า (ดูเหมือนว่า) ประชาชนไม่พอไจอย่างนั้น เขาจึงได้กล่าวว่า คนที่ดีกว่าข้าพเจ้าได้เคยทำอย่างนี้มาแล้ว[409] แท้จริงวันศุกร์นั้นเป็นฟัรฎูที่จำเป็น และความจริงข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะสร้างความลำบากกับพวกท่าน พวกท่านจะต้องเดินลุยเลนและฝ่าสายฝน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอบี อัลมะลีห์ จากบิดาของเขา ร.ฎ. ว่า เขาได้อยู่กับท่านนบี ซ.ล.   ในยุคฮุดัยบียะห์ ในศุกร์ และได้เกิดฝนตกลงมาโดนพวกเขา ไม่ถึงกับพื้นรองเท้าเปียก ท่านได้ใช้ให้พวกเขาละหมาดในที่พัก 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด

ตอนที่สอง

คุณค่าของการไปวันศุกร์แต่เช้า และการอาบน้ำพื่อไปวันศุกร์

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดอาบน้ำในวันศุกร์ เช่นเดียวกับการอาบนํ้าชำระมลทินใหญ่ แล้วเขาได้ไปในชั่วโมงแรก เหมือนกับเขาทำทานด้วยอูฐหนึ่งตัว และผู้ใดได้ไปในชั่วโมงที่สองเหมือนกับเขาได้ทำทานด้วยวัวหนึ่งตัว และผู้ใดได้ ไปในชั่วโมงที่สามเหมือนกับเขาได้ทำทานด้วยแกะที่มีเขาหนึ่งตัว และผู้ใดได้ไปในชั่วโมงที่สี่เหมือนกับเขาได้ทำทานด้วยไก่หนึ่งตัว และผู้ใดได้ไปในชั่วโมงที่ห้าเหมือนกับเขาได้ทำทานด้วยไข่หนึ่งฟอง ดังนั้นเมื่ออิหม่ามได้ออกมา (เพื่ออ่านคุตบะห์) มะลาอิกะห์จะมาร่วมฟังคุตบะห์ด้วย

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากเขา (อะบี ฮุรอยเราะห์) จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อถึงวันศุกร์จะปรากฏ ที่ประตูแต่ละช่องของประตูมัสญิดมีมาลาอิกะห์องค์หนึ่ง คอยจดบันทึกคนที่มาก่อนและคนที่รองลงมา เมื่ออิหม่ามได้มา ซึ่งพวกเขาจะพับบัญชีเก็บ และจะมาร่วมฟังคุตบะห์และอุปมาคนที่มาใน ตอนเช้าตรู่นั้นอุปมัยเหมือนกับ ผู้ที่ให้อูฐตัวหนึ่งเป็นทาน รองลงไปจากนั้นก็เหมือนกับผู้ที่ให้วัวหนึ่งตัวเป็นทาน รองลงไปจากนั้นก็เหมือนกับผู้ที่ให้แกะหนึ่งตัวเป็นทาน รองลงไปก็เหมือนกับ ผู้ที่ให้ไก่หนึ่งตัวเป็นทาน รองลงไปก็เหมือนกับผู้ที่ให้ไข่ 1 ฟอง เป็นทาน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เมื่อใครคนหนึ่งจากพวกท่าน จะมาวันศุกร์ ให้เขาจงอาบน้ำ (อาบน้ำวันศุกร์หรือเรียกรวมๆว่าอาบน้ำ ญะนาบะห์ หรือญูนุบ หรืออาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั่นเอง) 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี 

เล่าจากอะบีสะอีด ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า การอาบนํ้าในวันศุกร์เป็นวายิบ เหนือทุกคนที่ฝัน เปียก

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอะบี ฮุรอยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า เป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ตาอาลาที่จะเรียกร้องเอาจากมุสลิมทุกคน คือ การอาบนํ้าวันหนึ่งในรอบสัปดาห์จะต้องอาบนํ้าในวันนั้นให้ทั่วศีรษะ และทั่วร่างกายของเขา 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และนะซาอี 

ตัวบทของนะซาอีว่า เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนในรอบสัปดาห์ที่ต้องอาบนํ้าในวันหนึ่ง นั้นคือวันศุกร์

เล่าจากซะมุเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดอาบนํ้าละหมาดในวันศุกร์ ถือว่าเขาได้ดำเนินตามซุนนะห์และเป็นประการที่ดีแล้ว และผู้ใดอาบนํ้า (ทั่วทั้งร่างกาย) ดังนั้น การอาบน้ำย่อมดีเยี่ยมกว่า 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี  

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้พูดมามากแล้ว ให้พวก ท่านแปรงฟัน 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี

เครื่องหอม น้ำมัน และการแต่งกาย[410]

เล่าจากซัลมาน อัลฟารีซี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ไม่มีชายคนใดที่ได้อาบนํ้าในวันศุกร์ และได้ทำความสะอาดตามความสามารถจากความสะอาด[411] และได้ใส่น้ำมันจากนํ้ามันของเขา[412] และใส่เครื่องหอมจากบ้านของเขา เสร็จแล้วได้ออกไป โดยเขาไม่ได้ไปนั่งแทรกระหว่างคนสองคน[413] หลังจากนั้นเขาได้ละหมาดที่เป็นข้อกำหนดเหนือเขา จากนั้นเขาตั้งใจฟังเมื่ออิหม่ามพูด นอกจากเขาจะได้รับการอภัย สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับอีกวันศุกร์หนึ่ง 

อบูฮุรอยเราะห์ได้กล่าวว่า และเพิ่มอีกสามวัน เพราะแท้จริงความดีหนึ่งจะได้รับผล ตอบแทนถึงสิบเท่า 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม และอะบูดาวูด

โดยใช้คำว่า ผู้ใดอาบน้ำเพื่อไปวันศุกร์ และสวมเสื้อผ้าที่ดีๆ และใส่เครื่องหอม ถ้าเขามี จากนั้น ได้มาวันศุกร์ โดยเขามีได้ข้ามไหล่ผู้คน และได้ละหมาดตามที่อัลลอฮ์กำหนดให้เขา และได้ตั้งใจฟังเมื่ออิหม่ามของเขาออกมา จนกระทั่งเสร็จละหมาดมันจะเป็นเครื่องไถ่บาปที่เกิดขึ้นกับเขาระหว่างวันศุกร์นี้กับศุกร์ก่อน

คุณค่าของการเดินไปละหมาดวันศุกร์

เล่าจากเอาส์ บินเอาส์ อัซซ่ากอฟี ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.   ได้กล่าวว่า ผู้ใดได้อาบ นำในวันศุกร์ และอาบจนทั่วร่าง และได้ไปแต่เช้าตรู่ ได้เดินไปโดยไม่ได้ขี่ ได้เข้าไปใกล้อิหม่าม ตั้งใจฟังและไม่พูด (ขณะฟังคุตบะห์) จะเป็นผลดีแก่เขาจากทุก 1 ก้าวนั้นเท่ากับทำความดี หนึ่งปี คือ เท่ากับผลบุญของการถือศีลอดและการยืนหยัดทำความดีในเวลากลางคืนของการ ถือศีลอด 

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เวลาของละหมาดวันศุกร์และเวลาของการอะซาน

เล่าจากอะนัส ร.ฎ. ว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยละหมาดวันศุกร์ในขณะที่ตะวันคล้อย 

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

เล่าจากซะลามะห์ บินอัลอักวะอ์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า พวกเราเคยละหมาดวันศุกร์พร้อม ท่านนบี ซ.ล.  แล้วเรากลับมา เรายังไม่พบว่าที่กำแพงมีเงาที่เราจะอาศัยร่มได้ [414]

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด และนะซาอี

เล่าจากอัสซาอิบ บินยะซีด ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าการร้องเรียก (อะซาน) ในสันศุกร์ ครั้งแรก เมื่ออิหม่ามได้นั่งบนมิมบัรในสมัยท่านนบี ซ.ล.   และอะบูบักร์และอุมัร ร.ฎ. เมื่อมาถึงสมัยอุสมานประชาชนมีมากขึ้น จึงได้เพิ่มการป่าวร้อง (อะซาน) ที่สาม บนสถานที่แห่งหนึ่ง ในตลาดของนครมะดีนะห์

รายงานหะดีษโดย บุคอรี อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้เพิ่มเติมในบางรายงานว่า และงานได้ดำเนินอยู่อย่างนั้นอย่างมั่นคง

ตอนที่ 3

คุตบะห์ (การแสดงธรรมในวันศุกร์)

เล่าจากอิบนิ อุมัร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยยืนกล่าวสุนทรพจน์ (ยืนแสดงคุตบะห์) หลังจากนั้นท่านได้นั่ง จากนั้นก็ยืนเหมือนที่พวกท่านกระทำอยู่เดี๋ยวนี้

รายงานหะดีษโดย บุคอรี มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และตัวบทของอะบีดาวูดว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล.   เคยนั่งเมื่อขึ้นไปอยู่บนมิมบัร จนกระทั่งมุอัซซินเสร็จจากการอะซาน หลังจากนั้นท่านได้ลุกขึ้น และแสดงคุตบะห์ จากนั้นท่านได้นั่งและ จะไม่พูด หลังจากนั้นท่านได้ยืนขึ้นและแสดงคุตบะห์ต่อ

และในบางรายงานว่า สำหรับท่านนบีนั้นมีการแสดงคุตบะห์สองครั้ง โดยท่านจะนั่ง ระหว่างคุตบะห์ทั้งสอง จะอ่านอัลกุรอานและจะตักเตือนประชาชน

เล่าจากญาบิร บินซามุเราะห์ ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าละหมาดพร้อมกับท่านนบี ซ.ล.   ละหมาดของท่านปานกลาง และคุตบะห์ของท่านก็ปานกลาง

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

อบูวาอิ้ลได้กล่าวว่า อัมมารได้แสดงคุตบะห์แก่พวกเรา เขาแสดงสั้นๆ แต่มีความหมาย ลึกซึ้ง เมื่อเขาลงมาจากมิมบัร พวกเราได้กล่าวว่า โอ้ อะบา อัลยักฎอน ความจริงท่านได้ แสดงคุตบะห์อย่างลึกซึ้งและสั้น ถ้าหากท่านแสดงยาวกว่านี้ก็จะเป็นการดี (หวังว่าท่านจะแสดง ยาวกว่านี้) เขากล่าวว่า แท้จริงข้าพเจ้าได้ยินท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล.  กล่าวว่า แท้จริงการละหมาดยาวของคนๆหนึ่ง และคุตบะห์สั้นๆ เกิดจากความเข้าใจในศาสนาของเขา ดังนั้นท่านทั้งหลายจงละหมาดยาวๆ คุตบะห์สั้นๆ และแท้จริงการบรรยายแบบนำท่วมทุ่งนั้นเป็นเวทมนต์

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และอะห์มัด

เล่าจากญาบิร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ปรากฏว่าท่านนบี ซ.ล. เมื่อคุตบะห์ดวงตาทั้งสองข้างของท่านจะแดงกล่ำ  เสียงดังมือาการโกรธจัด จนกระทั่งท่านจะมีสภาพเหมือนกับคนที่มาแจ้งข่าวร้ายให้กองทหารทราบว่า ศัตรู ของพวกท่านจะมาถึงในเวลาเช้าหรือเย็น และกล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกแต่งตั้งมาพร้อมกับวันกิยามะห์ เหมือนกับสองสิ่งนี้ และท่านได้ยกนิ้วขึ้นเทียบกันสองนิ้ว คือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง และกล่าวว่า หลังจากนั้นคำพูดที่ดีที่สุด คือคัมภีร์ของอัลลอฮ์ ทางนำที่ดีที่สุด คือทางนำของมุฮัมมัด กิจการที่ชั่วช้า คือ กิจการที่อยู่นอกแบบ งานนอกแบบทุกชนิด คือความหลงผิด หลังจากนั้นได้กล่าวว่า ข้าพเจ้ามีสิทธิในตัวมุอ์มินทุกคนยิ่งกว่าตัวของเขาเอง  ผู้ใดทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ มันตกเป็นของครอบครัวของเขา และผู้ใดทิ้งหนีสินหรือลูกไว้โดยไม่มีใครเลี้ยงดู เรื่องของพวกเขาอยู่กับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะใช้หนีแทนเขา

รายงานหะดีษโดย มุสลิม และนะซาอี

เล่าจากอับดิลลาฮ์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. ได้สอนการคุ๖บะห์ในขณะที่เผชิญกับเรื่องสำคัญๆ ว่า การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ เราขอความอนุเคราะห์ต่อพระองค์และขออภัยต่อพระองค์ และเราขอป้องกันกันด้วยอัลลอฮ์จากความชั่วร้ายของตัวเราและความเลวจากการกระทำของเรา ผู้ใดที่อัลลอฮ์ได้ให้แนวทางที่ถูกต้องแก่เขา ไม่มีใครจะทำให้เขาหลงผิด และผู้ใดที่อัลลอฮ์ให้เขาหลงผิด ไม่มีใครให้แนวทางที่ถูกต้องแก่เขา ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และ ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่า แท้จริง มุฮัมมัดเป็นบ่าวและเป็นทูตของพระองค์ ต่อจากนั้นได้อ่านสามโองการนี้คือ “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาแล้วทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงตักวาต่อ อัลลอฮฺย่างจริงจัง และท่านทั้งหลายอย่าตายจนกว่าท่านทั้งหลายจะเป็นมุสลิม “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาแล้วทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงตักวาต่ออัลลอฮ์ พระผู้อภิบาลพวกท่าน ซึ่งได้สร้างพวกท่านขึ้นมาจากชีวิตเดียว และได้สร้างคู่ของเขาขึ้นมาจากชีวิตนั้น จนจบโองการ” “โอ้บรรดาผู้มีศรัทธาแล้วทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงตักวาต่ออัลลอฮ์ และท่านทั้งหลายจงพูดด้วยคำพูดที่ถูกต้อง อ่านจนจบโองการ”

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี ตัวบทเป็นของนะซาอี

เล่าจากบุตรสาวคนหนึ่งของฮาริษะห์ บินอัลนัวะมาน ได้กล่าวว่าข้าพเจ้ามิได้จดจำซูเราะห์ ก็อฟ เว้นแต่จากปากท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. ซึ่งท่านได้ใช้ในการคุตบะห์ทุกวันศุกร์ และได้กล่าวว่า ความเข้าใจของเรา และความเข้าใจของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ซ.ล. เป็นอย่างเดียวกัน

รายงานหะดีษโดย มุสลิม อะบูดาวูด

เล่าจากอะบู ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า ทุกๆคุตบะห์ที่ไม่มีการกล่าวตะชะฮูด[415] มันเหมือนกับมือชองคนเป็นโรคกุด[416]

รายงานหะดีษโดย อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

ละหมาดวันศุกร์ 178

ท่านอุมัร ร.ฎ. ได้กล่าว่า ละหมาดวันศุกร์มีสองเราะกะอัต ละหมาดอีดิลฟิตรีมีสองเราะกะอัต ละหมาดอีดิลอัฎฮามีสองเราะกะอัต ละหมาดในการเดินทางมีสองเราะกะอัต เป็นละหมาดเต็มไม่ใช่ละหมาดย่อ (กอสริ-قَصْرٍ) ตามคำพูดของมุฮัมมัด ซ.ล.

รายงานหะดีษโดย นะซาอี อะห์มัด และอิบนุมายะห์

และตามรายงานของติรมิซีและนะซาอีว่า ผู้ใดได้ละหมาดวันศุกร์ทันหนึ่งเราะกะอะห์(เป็นคำเอกพจน์ ถ้าพหูพจน์คือ เราะกะอัต) เท่ากับเขาทันละหมาดทั้งหมด

และตามรายงานของดารุกุตนีว่า ผู้ใดได้ละหมาดวันศุกร์ทันหนึ่งเราะกะอะห์ ให้เขาทำให้ครบสองเราะกะอัต ผู้ใดไม่ทันทั้งสองเราะกะอัต ให้เขาละหมาดสี่เราะกะอัต(ดุห์รี)

เล่าจาก อิบนิ อับบาส ร.ฎ.  ท่านนบี ซ.ล.  เคยอ่านซูเราะห์อัลญุมอะห์ และซูเราะอัลมุนาฟิกูน ในวันศุกร์

เล่าจากนัวะมาน บินยะซีร ร.ฎ. ได้กล่าวว่า ท่านนบี ซ.ล. เคยอ่านในละหมาดวันอีดทั้งสองและวันศุกร์ด้วย และได้กล่าวว่า ถ้าหากวันอีดทั้งสองตรงกับวันศุกร์ด้วย ซูเราะห์อัลอะอ์ลา และซูเราะอัลฆอชิยะห์ และได้กล่าวว่า ถ้าหากวันอีดกับวันศุกร์เป็นวันเดียวกัน ก็ให้อ่านซูเราะห์ทั้งสองในละหมาดทั้งสอง

เล่าจากอะบู ฮุร็อยเราะห์ ร.ฎ. จากท่านนบี ซ.ล.  ได้กล่าว่า เมื่อท่านทั้งหลายละหมาดหลังจากละหมาดวันศุกร์ ท่านทั้งหลายจงละหมาดสี่เราะกะอัต[417]

รายงานหะดีษทั้งสามโดย มุสลิม อะบูดาวูด ติรมิซี และนะซาอี

และได้กล่าวมาแล้วว่าละหมาดสุนัตคู่ฟัรฎูว่า ท่านนบีจะไม่ละหมาดหลังวันศุกร์จนกว่าจะกลับบ้าน และจะทำเพียงสองเราะกะอัตในบ้านท่าน

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

เล่าจากอับดิลลาฮ์  ร.ฎ. ได้กล่าวว่า เขาเคยละหมาดก่อนละหมาดวันศุกร์สี่เราะกะอัต และหลังละหมาดวันศุกร์สี่เราะกะอัต

รายงานหะดีษโดย ติรมิซี

 จบเล่มที่หนึ่ง

 

[1]  อิสลาม ตามหลักภาษาหมายถึง การยอมจำนน และยอมปฏิบัติตาม ด้วยการแสดงออกเพียงภายนอก ตามบัญญัติศาสนาหมายถึง การให้สัตย์ปฏิญาณตนว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์

[2]  อิหม่าน ตามหลักภาษาหมายถึง ความเชื่อมั่นศรัทธาด้วยจิตใจ ตามบัญญัติศาสนาหมายถึง การเชื่อมั่นศรัทธาในอัลลอฮ์ ศาสนทูต คัมภีร์ ฯลฯ ตามที่กล่าวไว้ในหะดีษทั้งสอง

[3] ร.ฎ. ย่อมาจาก รอฎิยัลลอฮุ อันหุ(ใช้กับผู้ชาย)  รอฎิยัลลอฮ อันฮา ใช้สำหรับผู้หญิง

[4] คือภาษีอิสลาม เมื่อมีทรัพย์สินเงินทองเก็บไว้เกิน หนึ่งแสนสามหมื่นและครบกำหนดปีอิสลาม(ประมาณ355วัน) ต้องนำมาเสียภาษี2.5% (นับจากยอดทีละหนึ่งแสนสามหมื่นต่อครั้งคำนวณ ไม่รวบยอดใหญ่) เครื่องประดับเงินทอง น้ำหนักไม่เกินห้าบาทน้ำหนัก สินค้าคงคลัง

[5] ซ.ล. ย่อมาจากการสรรเสริญ นบีมุฮัมมัด ว่า “ซ็อล ลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลาม”

เขาตั้งคำถามเหมือนคนไม่รู้ แต่เมื่อได้รับคำตอบแล้วเขาบอกว่า ถูกต้องแล้ว เหมือนคนที่รู้แล้ว


 

[7] เป็นการเปรียบเปรยว่า ลูกที่อกตัญญูมีมากขึ้นๆ จนพ่อแม่ต้องกลัวลูกๆ จะโกรธ จึงต้องยอมน้อมรับทุกอย่างที่ลูกต้องการ

คือมะลาอิกะห์ที่เป็นทูตติดต่อระหว่างอัลลอฮ์ และนบีมุฮัมมัด


 

[9] พวกอันศอร คือชาวเมืองมะดีนะห์ที่ให้ความช่วยเหลือท่านนบีและเหล่ามุสลิมีน ในคราวที่อพยพจากมักกะห์ไปสู่มะดีนะห์

[10] เป็นความสงสัยของผู้เล่าว่าได้ยินมา

[11] ด้วยความศรัทธาต่ออัลลอฮ์

[12] ด้วยการศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของคัมภีร์

[13] ด้วยการเชื่อฟังและปฏิบัติตาม

[14] เพราะการให้เกียรติและเชื่อฟังคำสั่งของพวกเขา เป็นความพอใจของอัลลอฮ์

[15] ด้วยการชักชวนพวกเขามาสู่สิ่งที่เป็นความสุขของพวกเขา ทั้งดุนยา(โลกนี้) และอาคิเราะห์(โลกหน้า)

หมายถึง ผู้พยายามหยุดยั้งความชั่วด้วยจิตใจ เป็นผู้ที่มี อิหม่านอ่อนแอ


 

[17] อาการไขว้เขวที่เกิดขึ้นในใจคนใดคนหนึ่ง โดยที่เขาไม่กล้าพูดออกมา นั่นคืออิหม่านที่แท้ๆ อาการไขว้เขวนั้นจะไม่เป็นภัยกับผู้มีอิหม่าน ตราบใดที่เขายังขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ตะอาลา

[18] ชิริกแปลว่า หุ้นส่วน

[19] คือคำพูดของพระองค์ที่ว่า “จงเป็น” แล้ว อิซาก็เป็นขึ้น

[20] เมื่อความดีของเขามากกว่าความชั่ว เขาย่อมได้รับอภัย ได้รับความเมตตา และได้เข้าสวรรค์

[21] อ.ล. ย่อมาจาก “อ้าลัยฮิสลาม” ขอความศานติสุขแด่ท่าน(ผู้ที่เรากล่าวนามท่าน)

[22] คือ อะบีซัรรไม่พอใจการที่เคยละเมิดประเวณีและเคยลักขโมย จะได้เข้าสวรรค์ จึงถามย้ำอยู่หลายหน

[23] คือไฟนรกจะไม่กินเขา

คือความชั่วที่ได้ตั้งใจไว้ แต่ยังมิได้ลงมือทำ หรืออพูดออกมา


 

[25] สงสัยว่าจะไม่เป็นจริงตามที่กล่าวนั้น

[26] คือประการหนึ่งมีผลบังคับให้เข้าสวรรค์ และอีกประการหนึ่งมีผลบังคับให้เข้านรก

[27] เช่นโทษประหารชีวิต และการเข้ายึดทรัพย์ในส่วนที่ต้องจ่ายซะกาต

[28] ในสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจของพวกเขา

[29] แตกต่างจากประชาชาติก่อนๆ ที่ต้องละหมาดภายในสถานที่ที่จำกัดไว้โดยเฉพาะ

[30] คือต้องศรัทธาว่า ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าดีชั่ว อัลลอฮ์กำหนดมาแล้วทั้งสิ้น เป็นการกำหนดตามความรู้และความประสงค์ของพระองค์

[31] คือได้ใช้ให้กอลัม ปากกาเขียนจารึกลงในแผ่นบันทึก

[32] ในเมื่อทุกสิ่งอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว

[33] หมายความว่า คนทุกคนจะได้รับความสะดวกสบายในสิ่งที่เขาถูกสร้างขึ้นมาเพ่อสิ่งนั้น คนดีก็รู้สึกสะดวกและง่ายดายในการทำความดี คนชั่วก็จะสะดวกการทำชั่วเหมือนไม่มีใครมาบังคับ 

[34] คือท่าน มะห์ดี

[35] ตัววายร้ายที่จะปรากฏตัวช่วงวันสุดท้ายของโลก

[36] คืออิหม่านต่อกำหนดของอัลลอฮ์

[37] กลุ่มที่ปฏิเสธกำหนดสภาวะจากอัลลอฮ์

[38] กลุ่มที่ถือว่า อิหม่านอยู่ที่คำพูดเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจิตใจหรือการกระทำ และถือว่ามนุษย์เป็นผู้ถูกบงการให้กระทำสิ่งต่างๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องรับผิดบาป

[39] ข้อความในโองการนั้นทั้งหมดมีว่า “โอ้ นบี เมื่อพวกผู้หญิงที่มีศรัทธาได้มาให้คำมั่นสัญญากับท่าน ว่าพวกนางจะไม่ตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ พวกนางจะไม่ขโมย พวกนางจะไม่ผิดประเวณี พวกนางจะไม่ฆ่าลูก พวกนางจะไม่นำมาซึ่งความโป้ปดมดเท็จที่พวกนางกุขึ้นมาระหว่างมือและเท้าของพวกนาง และพวกนางจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่านในสิ่งดีงาม ดังนั้นท่านจงให้คำมั่นสัญญากับนางเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง”

[40] อัลกิตาบแปลว่าหนังสือ หรือหมายถึงคัมภีร์อัลกุรอาน ซุนนะห์ หมายถึงแบบอย่างทั้งคำสอนและการกระทำที่มาจากเราะซูลุลลอฮ์

[41] คือ ประชากรของท่าน

[42] กองทหารที่ยกมาเพื่อทำสงคราม

[43] คือผู้ที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามมุฮัมมัดเป็นพวกของอัลลอฮ์ ผู้ไม่เชื่อฟังและขัดขืนเป็นพวกของชัยฏอน

[44] ในวันกิยามะห์

[45] ความพินาศจงประสบแก่พวกเขาที่ละทิ้งแนวทางศาสนา

[46] ให้ยึดมั่นในแนวทางเราะซูลุลลอฮ์และเคาะลิฟะห์

สิ่งใดที่ไม่ปรากฏใน อัลกุรอานก็ไม่ปฏิบัติตาม หะดีษนี้พูดถึงคนหลงผิดบางกลุ่มที่ยึดเอาแต่ตัวอักษร โดยไม่สนใจซุนนะห์ ที่มาบรรยายอัลกุรอาน


 

[48] คือคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะห์

[49] คือ อัลกุรอานจะนำเขาให้เข้าถึงอัลลอฮ์

[50] พวกนั้น ได้แก่ อาลี ฟาติมะห์ ลูกหลานของคนทั้งสอง วงศ์วานอับบาส วงศ์วาน ยะอ์ฟัร วงศ์วาน อุกอยล์ 

[51] ท่านนบีรัก อะนัสเหมือนลูก

[52] ว่าหล่อนอุทิศตนเพื่อทำอิบาดะห์ต่ออัลลอฮ์ โดยไม่ได้หลับนอนในค่ำคืน

[53]   จงอย่ากล่าวคำชมเชยที่ ไม่สามารถทำเป้นนิสสินได้

[54] อัลลอฮืจะไม่เลิกให้ผลบุญ

[55] ไม่มีใครเอาชนะศาสนาได้

[56] ถ้าหากไม่สามารถทำสิ่งที่ดีที่สุดได้

[57] ว่าจะได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่แก่ผู้ทำความดีเป็นนิจสิน แม้เพียงเล็กน้อย

[58] เหล่าอัครสาวกต้องการทำความดีมากกว่าที่ท่านนบีได้ใช้ จนเกินความสามารถของพวกเขา

[59] ท่านนบี กลัวและรู้จักอัลลอฮ์มากกว่าใครๆ ก็ยังทำอิบาดะห์แบบไม่หักโหม ทำเป็นนิจสิน

[60] คือคุณค่าของการตั้งเจตนา และการทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮ์ คุณค่าของการตั้งเจตนาคือทำให้ การทำอิบาดะห์ถูกต้องและใช้ได้ และให้ทำอิบาดะห์แยกออกจากการกระทำตามธรรมดา เพราะความจริงสิ่งๆเดียวนั้น อาจเป็นอิบาดะห์ก็ได้ ด้วยการตั้งเจตนา หรืออาจเป็นการกระทำธรรมดาก็ได้เช่น การนั่งในมัสญิดโดยนิยัตว่า เอี๊ยะติกาฟ ก็ถือว่าเป็นอิบาดะห์ และโดยไม่เจตนา เช่นนั่งพักผ่อน ก็เป็นการกระทำธรรมดาไม่ได้ภาคผลอะไร ส่วนประโยชน์ของการทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮ์นั้นเป็นการทำให้รู้รสชาติของการเข้าเฝ้าอัลลอฮ์อย่างใกล้ชิด ทำให้ได้ผลบุญเพิ่มทวีขึ้น ทำให้ภายในสะอาดบริสุทธิ์ และทำให้จิตใจสว่างไสว

[61] อย่าร่วมประเวณี

[62] ผละออกจากหล่อน ทิ้งทองนั้นไว้ให้หล่อนเป็นกรรมสิทธิ์

[63] เป็นข้าวประมาณ16ชั่ง (1 ชั่ง เท่ากับ 20 ตำลึง หรือ 1200 กรัมx16=19.20กิโลกรัม)

[64] หรือ เป็นคำกล่าวที่ผู้เล่าได้สงสัย

[65] และอนุญาตให้เขามอบเหรียญทองแก่คนยากจนคนใดก็ได้

[66] คือผลบุญได้กับท่านที่ตั้งใจไว้แล้ว ที่จะบริจาคให้กับคนอื่น

[67] ท่านนบีตัดสินให้มะอ์นิที่หยิบเหรียญทองไปนั้นได้เป็นเจ้ากรรมสิทธิ์แล้ว

[68] สงครามเพื่อเผยแผ่ศาสนาอิสลาม

[69] “หรือ” เป็นความสงสัยของผู้เล่า

[70] จากทรัพย์สมบัติและวิชาความรู้ที่นำไปใช้อย่างถูกต้อง

[71] เขาได้ใชสมบัติไปในทางของอัลลอฮ์

[72] ทั้งทรัพย์สมบัติ และวิชาความรู้ที่ใช้อย่างถูกทาง คือในทางของอัลลอฮ์ จะได้รับผลบุญเท่าๆกัน

[73] อ้างว่าถ้ามีทรัพย์สมบัติและวิชาความรู้ที่นำไปใช้ตามทางของอัลลอฮ์

[74] บาปของคนมีทรัพย์ และบาปของคนไม่มีทรัพย์ ที่ใช้ไม่ถูกต้อง จะได้บาปเท่ากัน

[75] เขาไม่มีสิทธิ์รับผลบุญจากอัลลอฮ์ แต่ให้เขาไปทวงผลบุญจากภาคีที่เขาตั้งมันขึ้นมาร่วมกับอัลลอฮ์

[76] หมายถึงวันกิยามะห์

[77] ด้วยการไม่เข้าไปแทรกหาที่นั่งในวงล้อมนั้น

ด้วยการไม่ลงโทษเขา แต่ไม่ปฏิบัติอ่อนโยนต่อเขา


 

ด้วยการได้รับควานตกต่ำจากที่ประชุมนั้น


 

[80] หมายถึง มัสญิด

[81] ได้แก่มวลมะลาอิกะห์

[82] มนุษย์ ญิน และสัตว์

[83] คือ ความรู้ที่มีประโยชน์

[84] คือวิชาความรู้

[85] วิชาความรู้

[86] และผู้ได้ยินคำพูดของข้าเจ้า

[87] ผู้ที่ไม่ได้ยินข้าพเจ้า

[88] เฉพาะสิ่งที่ไม่มีบทบัญญัติห้ามรายงานจากพวกเขา

[89] โดยอ้างว่าท่านนบี เป็นผู้พูด ในสิ่งที่ท่านไม่ได้พูด

[90] คนประเภทนี้เหมือนกับพื้นแข็งเรียบ ไม่สามารถกักเก็บน้ำไว้ยังประโยชน์ได้

[91] อูฐแดงเป็นของมีค่าของชาวอาหรับ หะดีษนี้กล่าวแก่ท่านอาลีในวันส่งตัวไป “คอยบัร”

[92] คือความทะเยอทะยานให้ทัดเทียมคนอื่น แต่ไม่ใช่ความริษยา

[93] จากเรื่องศาสนา

[94] จากหะดีษที่ได้ยินนั้น

[95] หมายถึงครอบครัวท่านนบี ซ.ล.

[96] ในการกล่าวคุตบะห์เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของมักกะห์ ได้มีชายผู้หนึ่งเรียกกันว่า อะบีซาห์ กล่าวขึ้นว่า “โอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์จงบันทึกไว้ให้ข้าพเจ้า”

[97] คำหนึ่งหรือประโยคหนึ่งหรือหลายคำหลายประโยค ที่จะสื่อให้รู้และเข้าใจศาสนาอิสลาม

[98] คำกล่าวสลาม “อัสลามุ อาลัยกุม”

[99] ถ้าหากพวกเขาไม่ได้ยิน หรือได้ยินก็ตาม ท่านจะกล่าวไม่เกินสามครั้ง

[100] ในกิจการต่างๆของศาสนา และถือเป็นนโยบายในการเผยแพร่ศาสนา คือทำให้ง่ายไว้ อย่าให้พวกเขาเห็นว่ายุ่งยากเกินจะปฏิบัติตาม

[101] เป็นชื่อเล่นของ บินมัสอูด

[102] โดยเอาคำพูดที่ข้าพเจ้ามิได้พูดมาเป็นคำอ้างว่าข้าพเจ้าได้พูด

[103] เพราะการป้ายสี นบีนั้นเป็นบาปใหญ่

[104] ในฐานะถูกมอบความไว้วางใจให้โดยการขอคำปรึกษา แนะนำ

[105]             

[106] โดยการกระทำฟัรฎูและสุนัตของการอาบน้ำละหมาดอย่างครบครัน

[107] ทั้งยามเดือดร้อนจากอาการที่หนาวเหน็บและยามป่วยไข้

[108] เพื่อละหมาดญะมะอะห์

[109] โดยตั้งใจจะละหมาดทั้งสองอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ไปไหนระหว่างนั้น

[110] ยืนหยัดต่อสู้กับอารมณ์ใฝ่ต่ำ ให้อยู่ในแนวทางศาสนา

[111] เป็นการสงสัยของผู้เล่า

[112] ที่เดินไปทำบาปติดตัวมา

[113] ทุกๆส่วนที่อาบน้ำละหมาด

[114] สะอาดทั้งภายนอกและภายใน

[115] ที่ใช้ชั่งบุญในวันกิยามะห์

[116] เป็นการสงสัยผู้เล่า

[117] แก่ผู้ปฏิบัติ

[118] ที่จะโต้เถียงแทนเขาในหลุมศพ

[119] เมื่อท่านปฏิบัติตามอัลกุรอาน

[120] เมื่อท่าน ไม่ปฏิบัติตามอัลกุรอาน

[121] ขายตัวเพื่อและความพอใจตนเอง หรือขายตัวเพื่อแลกความพึ่งพอใจกับอัลลอฮ์

[122] จากไปนรก

[123] ด้วยการขายตัวกับอารมณ์ใฝ่ต่ำ

[124] คือเท่ากับผลบุญการอาบน้ำละหมาดสิบครั้ง

[125] เป็นชื่อบ่อน้ำและสถานที่

[126] มิได้หมายความว่า ประชาชนขว้างปาลงไป แต่เป็นบ่อน้ำอยู่ในที่ลุ่มเมื่อฝนตก ก็จะชะเอาสิ่งสกปรกต่างๆลงไปด้วย แต่เพราะความกว้างและลึกของมัน จึงไม่ทำให้บ่อน้ำนั้นเป็นนะยิส

[127] ประมาณ 190 ลิตร

[128] นอกจากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยมีกลิ่นและรส ตามทรรศนะชาฟิอี อิสหาก อะห์มัดและคนอื่นๆอีก

[129] ห้ามปัสสาวะลงในแหล่งน้ำนิ่ง ห้ามขั้นหะรอม

[130] 16 ชั่งประมาณ 1,200 กรัม (1,200ซีซี)

[131] ญูนุบ

[132] ก่อนมีคำสั่งให้ปกปิดร่างกายพวกผู้หญิงให้มิดชิด

[133] หมายความว่าน้ำนั้นจะไม่เป็นญูนุบไป โดยการที่คนมีญูนุบลงไปอาบในนั้น ตามความหมายของหะดีษนี้แสดงให้เห็นว่า น้ำนั้นจะไม่เป็นน้ำ ”มุสตะอ์มัล (น้ำที่ใช้ชำระตามบัญญัติ)” ซึ่งจะนำมาใช้ชำระอีกไม่ได้ โดยการที่คนมีญูนุบลงไปอาบในนั้น ถึงแม้มีน้อยกว่าสองลุลละห์ก็ตาม ทรรศนะนี้เป็นของมาลิกี แต่ตามทรรศนะนักปราชญ์ส่วนใหญ่(ยุมฮูร - جُمْهُوْرِ) ถือว่า น้ำน้อยจะเป็นน้ำมุสตะอ์มัล ด้วยการจุ่มตัวลงไปของคนมีญูนุบหรือด้วยการอาบน้ำละหมาดในนั้น โดยหะดีษนี้ถือว่า วักขึ้นมาอาบเท่านั้น ไม่ได้จุ่มไปทั้งตัว

[134] คือน้ำนิ่งที่มีน้องกว่าสองกุลละห์(380ลิตร) ห้ามมิให้จุ่มตัวลงไป เพราะจะทำให้น้ำนั้นไม่เป็นมุสตะอ์มัล ตามทรรศนะนักปราชญ์ส่วนใหญ่ และถือว่าเป็นน้ำเปื้อน (ไม่เป็นมุสตะอ์มัล) 

[135] เป็นพ่อผัวของหล่อน

[136] น้ำที่เหลือจากสัตว์ดื่มกินยังคงเป็นน้ำที่สะอาด สามารถใช้อาบน้ำละหมาดได้

[137] ญาติญาบิรมีแต่ผู้หญิงไม่มีบุตรชาย ไม่มีพ่อ

[138] ตอนหนึ่งของโองการ (บางอายะห์)ต่อไปพวกเขาจะมาขอคำอธิบายจากท่าน โอ้มุฮัมมัด เกี่ยวกับเรื่องมรดกที่ไม่มีบุตรชายและบิดา ของผู้ตาย

[139] ซากตายคือ สัตว์ที่ตายเอง หรือสัตว์อื่นฆ่า หรือ ศาสนิกอื่นฆ่า 

[140] แต่หนังของมันเมื่อนำไปฟอกแล้วจะสะอาด ปราศจากนะยิส

[141] คือหนังที่ยังไม่ได้ฟอก

[142] การฟอกที่เอาเศษเนื้อ ไขมัน ผังผืด ออกจนหมด แล้วฟอกด้วยการหมักเกลือให้กัดเอาไขมันและเศษซากต่างละลายหายไป ลังฟอกด้วยวัสดุที่มีรสฝาดจัดๆ เช่นปูนขาว เกลือ และฟอกซ้ำด้วยปูนขาว หลายๆหน หนังนั้นจะสะอาดปราศจากเศษไขมันและซากอื่นๆ เสร็จแล้วนำไปตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาแช่น้ำเป็นเวลานานก็จะไม่เน่า เพราะมีแต่หนังสัตว์แท้ๆ ไม่มีเศษซากไขมันและอื่นๆ

[143] ให้ล้างเจ็ดครั้ง จะใช้น้ำปนดินหนึ่งครั้ง ครั้งที่เท่าไรก็ได้ แต่ทางที่ดีควรเป็นครั้งที่หนึ่ง เพราะเขื้อจะได้ไม่กระจายไปตามน้ำ จนเต็มพื้นผิวภาชนะนั้น

[144] น้ำที่ราดลงไป จะทำให้พื้นที่ตรงปัสสาวะนั้นสะอาดได้ เพราะมันเป็นดินหรือทราย

[145] ในสายตามนุษย์ เพราะมันเป็นความสะดวกที่จะระมัดระวังมิให้ขณะปัสสาวะกระเด็นขึ้นมาเปื้อนเสื้อผ้า ผ้านุ่ง กางเกง หรือเป็นทำความสะอาดโดยรีท่อปัสสาวะให้เกลี้ยง ปัสสาวะที่จะมาเปื้นเสื้อผ้า กางเกง ส่วนใหญ่คือการยืนปัสสาวะ อาหรับโดยทั่วไป จะนั่งปัสสาวะ

[146] ทั้งสองเป็นเงื่อนไขที่จำเป็น คือทารกที่อายุไม่ถึงสองขวบ และยังไม่ได้กินอาหารอื่น นอกจากน้ำนม ปัสสาวะเขาเปื้อนเสื้อผ้าผู้อื่น ให้ใช้น้ำประพรมบนปัสสาวะเด็กแทนการซักได้

หะดีษนี้แสดงให้เห็นว่า การใช้น้ำล้างให้ทั่วและน้ำชำระปัสสาวะไหลผ่านลงไป เป็นวิธีการที่สมบูรณ์ การใช้น้ำพรมเป็นการผ่อนผัน (ซึ่งอาจจะปัสสาวะน้อยนิดเดียวก็ได้)


 

เป็นหลานคนเล็กของท่านนบีเกิดจากอะลีกับ ฟาติมะห์


 

[149] หะดีษนี้ก็ใช้ให้ประพรมน้ำบนปัสสาวะเด็กผู้ชายได้

[150] คือฟาติมะห์

[151] เหมือนกับล้างปัสสาวะ

[152] ซึ่งท่านจะนำไปเช็ดก้น

[153] บางทรรศนะเช่นมาลิก อะบูฮะนีฟะห์ โดยกล่าวว่าให้ล้างอสุจิเหมือนล้างนะยิสโดยทั่วไป อะบูฮะนีฟะห์กล่าวว่า ถ้าน้ำอะสุจิยังเปียกอยู่ให้ล้าง ถ้ามันแห้งแล้วใช้วิธีขูดๆเอาออก ดังจะมีหะดีษกล่าวต่อไป

[154] เพราะเนยมันเหลวเป็นน้ำ ซากหนูจึงแพร่กระจายเชื้อไปทั่วเนยแล้ว จำเป็นต้องทิ้งเนยทั้งหมด

[155] คือมีปีกของมันด้านที่มีโรคจะป้องกันตัวเอง คล้ายมนุษย์ป้องกันอันตรายจากมือของเขา ศาสนาจึงใช้ให้กดมันจมทั้งสองข้างแล้วจึงโยนทิ้งไป

[156] เดินเปื้อนนะยิสไป พอถึงดินที่แห้งก็จะทำให้ชายผ้านั้นสะอาดขึ้นมาได้

[157] ดินที่เปียกและสกปรก จะสะอาดได้ด้วยดินที่แห้ง

[158] คือดินจะช่วยทำให้รองเท้าที่เปื้อนนะยิส สะอาดได้

[159] เช็ดให้เกลี้ยง จนสะอาด

[160] ไกลจนไม่มีใครได้เห็น ไม่มีใครได้กลิ่น ไม่มีใครได้ยินเสียง

[161] เพราะบนแหวนท่านมีการสลักคำว่าอัลลอฮ์ไว้ด้วย

[162] เพราะต่างคนต่างมองอวัยวะเพศซึ่งกันและกัน มันเป็นสิ่งต้องห้าม และพูดคุยกันระหว่างถ่ายอุจจาระปัสสาวะก็เป็นที่ต้องห้าม

[163] จนกระทั้งท่านอาบน้ำละหมาดเสร็จ ท่านจึงแจ้งแก่เขาทราบว่า ความจริงข้าพเจ้าไม่ชอบเอ่ยนามอัลลอฮ์ในสถานที่สกปรก เว้นแต่สถานที่สะอาด

[164] การห้ามถ่ายทุกข์หันหลังให้กิบละห์นั้นเป็นเพียง มักโรห์

[165] การนั่งสูงอย่างนั้นทำไม่เปื้อนนะยิส

[166] การยืนปัสสาวะเป็นสิ่งอนุญาต แต่ต้องระวังละอองฝอยของปัสสาวะจะปลิวกระเด็นมาเปื้อนผ้านุ่ง

[167] เพื่อให้เกียรติแก่มือขวา

[168] ใช้มือขวาเป็นมักโรห์ และทำให้เปื้อนนะยิสโดยไม่จำเป็น

[169] เมื่อดื่มอยู่แล้วต้องการหายใจ ให้นำเอาภาชนะนั้นออกให้พ้นจากปากเสียก่อน

[170] อาจเป็นที่อยู่ของญิน หรือสัตว์ร้ายบางชนิด

[171] เช่นเป็นที่สูง ที่ที่มีกิ่งไม้ตอไม้กำบัง ที่ที่ไม่มีลม ทั้งหมดมันจะไม่ทำให้ปัสสาวะกระเด็นย้อนมาเปื้อนผ้านุ่ง

[172] เป็นการรักษาสุขภาพท่าน ที่จะออกไปปัสสาวะในยามดึกไกลบ้าน

[173] ในบางรายงาน ท่านจะกล่าวสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ผู้ให้ความทุกข์ร้อนมลายหายไปจากตัวข้าพเจ้า และได้ให้ข้าพเจ้ามีความสุข

[174] เป็นคำพูดของพวกมุชริกีน

พร้อมด้วยสั่งสิ่งสกปรกออกมาจากโพรงจมูก


 

[176] อย่างน้อยสามก้อน ห้าก้อน เจ็ดก้อน

[177] นับทีละข้างๆละอย่างน้อยสามครั้ง

[178] ถ้าหากเขาต้องการ

[179] มันจะมาเล่นก้นจนทำให้ไขว้เขวว่าเช็ดไปกี่ก้อนแล้ว สะอาดแล้วหรือยัง

[180] หมายถึงการร่วมประเวณี

[181] มลทินคือ หะดัสทั้งเล็กและใหญ่

[182] คือไม่มีน้ำละหมาด

นอนหลับท่าตะแคงเสียน้ำละหมาด นอนหนับนอนหงาย(ก้นแนบพื้น)ไม่เสียน้ำละหมาด


 

[184] นอนหลับท่าตะแคงเสียน้ำละหมาด

[185] ลมตดจะเล็ดลอดออกมาได้ เมื่อนอนตะแคงข้าง

[186] การที่มือไปสัมผัสอวัยวะเพศและรูทวารนั้นทำให้เสียน้ำละหมาด (มีระยะหลังๆ ท่านนบีกล่าวอ้างว่า มันก้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไม่แตกต่างจากส่วนไหน ท่านจึงไม่ได้อาบน้ำละหมาดอีก หลังจากสัมผัสอวัยวะเพศโดยไม่ได้ตั้งใจไปโดนมัน)

ตามเชิงอรรถที่182


 

[188] การสัมผัสอวัยวะเพศและทวารหนัก มีสามหะดีษ สองหะดีษแรก เสียน้ำละหมาด ส่วนอีกหะดีษหนึ่งไม่เสียน้ำละหมาด หะดีษใหม่ยกเลิกหะดีษเก่าไป ด้วยคำอ้างที่ว่า “อวัยวะเพศของเขา) ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าเนื้อก้อนหนึ่งจากร่างของเขา หรือเป็นอวัยวะหนึ่งจากตัวเขา”

[189] การอาเจียน และเลือดกำเดาไหลออกมาทำให้เสียน้ำละหมาด ตามทรรศนะฮัมบัลและฮะนาฟี ส่วนทรรศนะของท่านอื่นไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด ส่วนท่านนบีที่อาบน้ำละหมาดใหม่หลังจากอาเจียนนั้นมิใช่ท่านเสียน้ำละหมาด แต่ท่านทำให้น้ำละหมาดสมบูรณ์

[190] การกินเนื้ออูฐเป็นการทำให้เสียน้ำละหมาด เป็นทรรศนะของอะห์มัด และชาฟิอีกล่าวที่แบกแดด ส่วนชาฟิอีกล่าวที่ไคโรว่า การกินเนื้ออูฐไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด

[191] ตามมัสฮับทั้งสี่ การกินอาหารที่กระทบไฟไม่ทำให้เสียน้ำละหมาด (เรื่องน้ำละหมาดนี้อาจไปกินความหมายเรื่องบะรอกะห์การอาบน้ำละหมาดก่อนและหลังการรับประทานอาหารในบทก่อนๆ)

[192] สองหะดีษนี้เป็นหะดีษเศาะฮีหะห์

[193] ที่มีน้ำไม่ถึงสองกุละห์(190ลิตร)  

[194] อะห์มัดและอะบูดาวูด การกล่าว”บิสมิลลาห์”ก่อนอาบน้ำละหมาดเป็น วาญิบ                                                            

[195] จะลำบากถ้าท่านเราะซูลุลลอฮ์กำหนดให้แปรงฟันด้วยขณะอาบน้ำละหมาด แต่ปัจจุบันก็มีพวกอาหรับจะถูฟันด้วยไม้มิสวากที่ทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยก่อน

[196] แนวทางอันเก่าแก่ของท่านนบีและเหล่าเศาะฮาบะห์และมุอ์มินเรื่อยมาจนเป็นนิสัยติดตัว

[197] ขลิบหนวดจนเห็นริมฝีปาก 

[198] ใช้น้ำอย่างไม่ประหยัด และขอดุอาอ์เพ้อเจ้อ

[199] เอาน้ำรดบนผ้านุ่งเพื่อทำให้ชัยฏอนไขว้เขว ที่มันจะทำให้รู้สึกมีปัสสาวะเล็ดลอดออกมาอีก

[200] ชัยฏอนที่ทำหน้าที่ให้มุสลิมไขว้เขวเรื่องการทำสะอาด

[201] ด้วยการขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ และไม่สนใจกับคำตำหนิของชัยฏอนว่าล้างอวัยวะยังไม่ทั่ว

[202] หมายถึงอวัยวะที่ต้องล้างต้องเช็ด

[203] เวลาที่ยังมีน้ำละหมาดอยู่ ขณะที่ยังไม่เกิดมลทิน(เสียน้ำละหมาด)

[204] เป็นคำสั่งถือว่าวาญิบ จึงมีผลทำให้ต้องล้างอวัยวะทั้งสี่ที่กล่าวในโองการนี้ รวมทั้งการเรียงลำดับดังปรากฏในโองการนี้เป็นฟัรฎู(กฎ) ของการอาบน้ำละหมาด

[205] ทั้งศีรษะหรือบางส่วน อย่างแรกเป็นทรรศนะของมาลิกและอิบนุฮัมบัล ส่วนหลังเป็นของหะนาฟีและชาฟิอี

[206] เราะกะอัตเป็นพหูพจน์ของ”เราะกะอะห์”

[207] ทำอย่างละสามครั้ง ซึ่งหะดีษก่อนไม่ได้กล่าวถึง

[208] ศาสนาที่ให้ทำสามครั้ง

[209] ทุจริตตัวเองที่ใช้น้ำอย่างสิ้นเปลือง

[210] ด้วยการประสานกันตามง่ามนิ้ว

[211] นิ้วก้อยมือซ้าย

[212] ต้องเช็ดที่ผมเสียก่อนจึงจะเช็ดบนผ้าโพกหัวได้

[213] กลับไปล้างอย่างทั่วถึงทั้งสองเท้า

[214] วาญิบเฉพาะ นบีเท่านั้น

[215] รองเท้าหุ้มข้อเท้าถึงตาตุ่มกันความหนาวเย็นและสิ่งสกปรกได้

[216] ก่อนสวมรองเท้านบีมีน้ำละหมาดสมบูรณ์อยู่แล้ว

[217] พื้นรองเท้าสัมผัสนะยิสมากกว่าด้านบน แต่หะดีษ นบี เคยกล่าวมาแล้วว่า พื้นมันจะถูกทำสะอาดโยดินแห้งที่สะอาดไปในตัวเองได้ มีแต่เพียงคราบฝุ่นผง ซึ่งสะอาดพอที่จะละหมาด ความคิด อะลีจึงด้อยค่าไป

[218] ทำจากหนังนุ่มที่ใช้แทนคุปส์(รองเท้าหุ้มข้อ)

[219] เกี่ยวกับเวลาของการเช็ด

[220] หะดัษใหญ่ อันเนื่องจากการหลั่งอสุจิ หรือการร่วมประเวณี

[221] วาญิบ(จำเป็นอย่างยิ่งยวด) ที่ต้องชำระมลทินเสียก่อน

[222] ทั้งหญิงและชายห้ามละหมาดและเข้ามัสญิด

[223] เรียกได้ว่า ร่วมประเวณีเข้าไปเพียงรอยขลิบ(หัวอวัยวะเพศชาย) และระหว่างปากช่องคลอดก็ตาม

[224] เนื่องจากการร่วมประเวณีถึงแม้อสุจิจะไม่หลั่งก็ตาม

[225] ฝันว่าเสพสังวาสจนถึงจุดสุดยอด(Climax)

[226] คือเห็นน้ำ “มะนี”ออกจากอวัยวะเพศหล่อน

[227] คือน้ำ “มะนี (น้ำหล่อลื่นในระยะเสียวสุดยอด)

[228] ที่ผ้านุ่ง หรือขาอ่อน หรือที่นอน ว่าเป็นน้ำอสุจิหรือเปล่า

[229] ตื่นมาพบรอยเปียกโดยไม่รู้ว่าน้ำอะไรเปียก ให้อาบน้ำญูนุบ (ชำระมลทินหะดัษใหญ่)

[230] ที่ภาคบังคับศาสนาเท่าๆกัน

[231] ญูนุบมีความหมายว่า มีมลทินใหญ่(การหลั่งอสุจิหรือการร่วมสังวาส)

[232] ต่างคนต่างไม่ได้มองอวัยวะเพศซึ่งกันและกัน

[233] คือไม่ปฏิเสธคำขอ

[234] ปกปิดความเสื่อมเสียของบ่างพระองค์ไม่ให้ใครล่วงรู้

[235] คือสถานที่ที่มีน้ำร้อนน้ำเย็นไว้บริการ (เตอร์กิชบาซ”ซึ่งมีมาตั้งแต่สมันโรมัน” - Turkish baths)

[236] เท่ากับได้เข้าไปอบไอน้ำร้อน หรือเรียกภาษาบ้านเราว่า “อยู่ไฟ”

[237] เพื่อให้สะอาดยิ่งขึ้น

[238] ก่อนที่จะราดน้ำทั่วร่างกาย

[239] พร้อมด้วยน้ำเพื่อขยี้โคนผมให้เปียกโดยทั่งถึง

[240] จนแน่ใจว่าหนังศีรษะและเส้นผมเปียกจนทั่งแล้ว

[241] คือให้อยู่อาศัยร่วมปะปนกับหล่อนได้

[242] จะแยกหล่อนไว้ใรที่ที่หล่อนอยู่ตามลำพัง

[243] คือเป็นสิ่งสกปรกโสโครก ก่อให้เกิดความรำคาญกับผู้ใกล้ฃิด เนื่องจากกลิ่นเหม็นของมัน

[244] ไม่ได้ห้ามผู้มีประจำเดือนเดินผ่านมัสญิด

[245] ให้บริจาคหนึ่งหรือครึ่งเหรียญทองก็ได้ เพื่อไถ่บาปจากการร่วมประเวณีกับภรรยาที่มีประจำเดือน

[246] นั่นคือ อิสลาม

[247] เป็นสิ่งบอกเหตุว่าหมดประจำเดือน

[248] พวกที่เชื่อว่าต้องละหมาดใช้ขณะมีประจำเดือน

[249] เพราะปีหนึ่งมีครั้งเดียว

[250] เป็นความเมตตายิ่งของอัลลอฮ์ ที่ไม่ต้องละหมาดใช้ เพราะวันหนึ่งมีห้าเวลา จะสร้างความลำบากแก่บ่าวหญิงเป็นอย่างมาก

[251] เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งสีเหลืองใช้ย้อมผ้าหรือทาตัวได้

[252] ไม่ได้ทำละหมาด

248 เป็นกำหนดเวลาล่วนใหญ่ที่ผู้หญิงมีน้าคาวปลา

[254] สำหรับคนทั้งสองโดยตั้งเจตนาว่าจะอ่านอัลกุรอาน

[255] ในสมัยท่านนบีพวกซอฮาบะห์มักสร้างบ้านอยู่ใกล้ๆ มัสญิด โดยหันประตูบ้านเข้ามัสญิด เมื่อเปิดประตูก็เข้ามัสญิด ดังนั้นผู้ที่เดินผ่านมีทั้งผู้มีมลทินและไม่มี ท่านนบีจึงสั่งให้รื้อประตูออกจากมัสญิด

[256] บินติ แปลว่าลูกสาว (บิน หรือ อิบนิ แปลว่าลูกชาย)

[257] ซ.บ.. ย่อมาจาก ซุบฮานะ ฮูวะ ตะอาล่า ซุบฮานะแปลว่าพระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ผุดผ่อง, “ฮูวะ”แปล่า เขา, ตะอาล่าแปลว่าผู้ทรงสูงส่ง

[258] ในสิ่งที่ท่านต้องการ

[259] อัลอะห์ซาบ คือเผ่ากุเรช และพันธมิตรอันได้แก่เผ่า ฆะตอฟานและพวกยิว ได้ผนึกกำลังกันทำสงครามกับนบีที่มะดินะห์ ที่เรียกว่า “ศึกคอนดัก”

[260] ดังนั้นผู้ใดทิ้งละหมาด เขาคือกุฟุร(ผู้ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์)

[261] คนที่ทิ้งละหมาดคือ กาฟิร นี่เป็นมติของมุสลิมทุกคน ถ้าหากเขาทิ้งละหมาดพร้อมปฏิเสธว่าละหมาดคือไม่ใช่หน้าที่ แต่ถ้าหากเขาทิ้งละหมาดเพราะความเกียจคร้าน ตามทรรศนะอุละมาส่วนใหญ่ ถือว่า ยังไม่เป็รกาฟิร เป็นเพียงมุนาฟิก ต้องให้เขาเตาบะห์ตนเพื่อเข้ามาอยู่ในร่มเงาอิสลามต้องละหมาด ถ้าหากเขาไม่ยอมเตาบะห์ เขาต้องถูกลงโทษด้วยการประหารชีวิต

[262] อ.ล. ย่อมาจาก อ้าลัยฮิสลาม “ขอความศานติมีแด่เขา” 

[263] เงาสั้นเท่าเชือกผูกรองเท้า

[264] ความยาวของเงาจะยาวเท่ากับวัตถุที่ส่งเงานั้น

[265] ยังถือว่าอยู่ในเวลาดุห์รีบั้นปลาย

[266] ใกล้เวลามักริบมากแล้ว

[267] ญิบรีลได้สอนท่านนบีละหมาดทั้งรุ่นเก่าก่อนและรุ่นปัจจุบันให้ท่านนบีทราบว่าต่างกันอย่างไร

[268] รีบละหมาดเมื่อเข้าเวลามักริบ 

[269] เพราะเริ่มมีแสงพอมองเห็นหน้ากันแล้ว

[270] พวกเขาละหมาดอัสรีที่มะดินะห์ต้นๆเวลา พอดีที่กุบาอ์ยังเพิ่งจะเริ่มอะซาน

[271] ท่านกลัวว่าจะไม่ตื่นละหมาดอิชาอ์

[272] เพราะเกรงว่าจะคุยกันจนดึกดื่น ไม่สามารถลุกมาละหมาดฟัจรีได้

[273] รีบจัดการโดยเร็วในสามอย่างนี้

[274] ได้รุกัวะอย่างสุขุมตามอิหม่าม ถือว่าได้เราะกะอัตนั้นแล้ว

[275] ถือได้ว่าทำละหมาดญะมะอะห์(ละหมาดร่วมกันเกินกว่าสองคน)

[276] การนอนหลับ อัลลอฮ์จะยังไม่เอาโทษจนกว่าจะตื่น

[277] ละหมาดญะมะอะห์(جَمَعَ) คือรวมเอาเวลาดุหริรวมอัศรี แปดเราะกะอัต  มักริบรวมอิชาอ์ เจ็ดเราะกะอัต

[278] ป่วย มีธุระติดพัน มีแขกมาเยี่ยม มีธุระสำคัญที่ต้องใช้เวลาอธิบายยาวนาน ทำให้เป็นสุนัตว่าทำเช่นนั้นได้ไม่มีข้อห้าม

[279] รวมสองละหมาดตามอำเภอใจ โดยไม่มีเหตุการณ์จำเป็นมาเป็นอุปสรรค

 

[281] จนกว่าเส้นแสงสีขาวจะจั

บขอบฟ้าอย่างชัดเจน (ไม่เล็กเป็นเส้นด้าย)

[282] ช่วงที่ห้า ในหกส่วนของคืนหนึ่ง

[283] คือไม่เอาผิดกับสามคนนี้

[284] คือเมื่อเกิดหะดัส(มลทิน) (ผายลม เลือดกำเดาไหล) ในขณะอยู่ในแถวละหมาด ให้ใช้มือซ้ายบีบจมูก แล้วเดินออกจากแถวไปเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าเสียน้ำละหมาด การละหมาดต้องร่างกาย จิตใจต้องสะอาดตลอดจากต้นจนจบกระบวนการละหมาด

[285] คือมะดีนะห์อยู่ทางทิศเหนือของมักกะห์ ตะวันออกกับตะวันตกก็คือทิศใต้กับเหนือ

[286] นอกจากเกิดอุปสรรค เช่น ป่วย กลัวอันตราย ฝนตก แต่ ก็จำเป็นต้องหันไปตักบีรสู่กิบลัตก่อน

[287] อย่านุ่งผ้าผืนเดียวแบบมีแต่ท่อนล่างเหมือนนุ่งผ้าเช็ดตัว ผ้าขาวม้า ผ้าผืนเดียวที่ท่านนบีกล่าวไว้ คือ ผ้าผืนยาวนุ่งด้วยคลุมไหล่ได้ด้วย

[288] ผ้าไหมเป็นผ้าที่ทอจากใยไหมที่เป็นสัตว์ จึงมีความเงางาม ทนทาน ดูสง่างาม หรูหรา ฟุ่มเฟือยเพราะแพงมาก ท่านนบีจึงรู้สึกไม่เหมาะแก่ผู้ตักวาต่ออัลลอฮ์

[289] เป็นเอาร็อตผู้ชาย

[290]  ซ.บ. ย่อมาจาก ซุบบะฮานะ ฮูวะ ตะอาลา

[291] สถานที่ระหว่างมักกะห์และมะดินะห์

[292] หันขวาเมื่อกล่าว หัยยา อะลัศ เศาะลาห์ หันซ้ายเมื่อกล่าว หัยยา อะลัฟ ฟะลาห์

[293] อะซานฟัจรี ก่อนแสงตะวันจะขึ้น

[294] เข้าใจว่าอิบนิ อุมมิ มักตุม จะอะซานตอนแสงอรุณจับขอบฟ้าแล้ว

[295] คือตำแหน่งสูงส่งในวีนกิยามะห์

[296] เขาอาจจะไม่ตั้งใจละหมาด หรือเขาอาจจะออกไปอาบน้ำละหมาดใหม่ก็ได้

[297] คือเขตหวงห้ามมิให้ใครเดินผ่านเข้ามา

[298] ประมาณสามศอก

[299] ท่านนบีใช้เสากลมเป็นเครื่องกั้น(มีก็อต)

[300] เป็นการประกาศว่าไม่ได้ละหมาดเพื่อท่อนไม้ เสาไม้ ต้นไม้ที่อยู่กลางแจ้ง

[301] เสียสมาธิในการละหมาด

[302] คำว่า 40 ผู้เขียนคาดเดาเดาว่า 40 อึดใจ

[303] นอกเขตที่ปักไว้

[304] ไม่ได้ทำให้เสียสมาธิและขาดความต่อเนื่องของละมหาด

[305] ท่านล้อเล่น

[306] ในการให้ดังๆมากๆ

[307] การที่ท่านอะนัสไม่ใด้ยินใครอ่านบิสมิลลาฮิฯ เพราะพวกเขาอ่านด้วยเสียงที่เบา 

[308] ตักบีเราะตุลเอียห์รอม

[309] ตักบีรชณะเปลี่ยนอิริยาบถ

[310] เป็นทรรศนะบางท่าน

[311] คือดุอาอ์ที่อ่านถัดจากตักบีเราะตุลเอียห์รอม

[312] หลังได้กล่าวอามีนแล้ว อิหม่ามควรหยุดเพื่อเป็นมารยาท ให้มะอ์มูมอ่านฟาติฮะห์จนจบ

[313] ซุเราะห์อัตตักวีร

[314] หลัง คอ หน้าขนานกับพื้น

[315] อ่านแต่ตะชะฮูด ไม่ได้อ่านเศาะละวาตนบี

[316] อยู่ในอาการสงบนิ่ง

[317] ท่านนบีได้สะอึกสะอื้นในหัวอก ด้วยความยำเกรงอัลลอฮ์

[318] ด้วยความสำรวม และเพ่งกสิณมุ่งจิตใตวิญญาณสู่อัลลอฮ์

[319] เพ่งกสิณไปที่อัลลอฮ์

[320] ท่านเราะซูลลุลลอฮ์เคยส่งนักกอรี(ท่องจำอัลกุรอาน-قُرَّاءِ)เจ็ดสิบคนไปหาพวกบะนีสุลัยม์ แต่พวกนี้ทรยศได้สังหารนักกอรีทั้งหมดตาย ท่านนบีจึงวิงวอน(ขอดุอาอ์กุนูต)ให้พวกสุลัยม์พินาศย่อยยับ ท่านขอดุอาอ์อยู่ประมาณหนึ่งเดือน

[321] ดุอาอ์กุนูตทรรศนะชาฟิอีและมาลิกถือว่าให้อ่านทุกเช้า 

[322] ฉกชิงสมาธิในการละหมาด

[323] การตบก้อนกรวดที่โผล่จากพื้นทรายเพียงเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องตบลงให้ราบ ถ้าใหญ่มากให้ปรับก่อนที่จะละหมาด

[324] อาอิชะห์สงสัยว่าทำไมท่านนบีรีบละหมาดสุนัตฟัจรีเร็วมาก

[325] สี่เราะกะอัตหลังดุหร์

[326] ปิดท้ายหลังละหมาดกิยามุลลัยล์

[327] เป็นเวลาที่ยอดเยี่ยม ในการละหมาดตะฮัดญุดและวิติร

[328] ซูเราะห์อัลอะลัก(กุลอะอูซูบิรอบบิล อะลัก)และซูเราะห์อันนาส (กุลอะอูซูบิรอบบิลนาส)

[329] การหนีทัพเป็นบาปใหญ่ เช่น ทำชิริก ซินา ลักขโมย ฆาตกรรม ฯลฯ

[330] ซูเราะห์อิคลาศ ซูเราะห์อัลอะลัก และซูเราะห์อันนาส

[331] ขอจากอัลลอฮ์ให้พ้นภัยจากนรก และขอให้ได้เข้าสวรรค์

[332] ให้นับที่น้อยกว่า

[333] คือสุญูดหกคู่ ก็จะเป็นเลขคู่ตามละหมาดเลขคู่ ถ้าละหมาดเลขคี่ ก็จะกลายเป็นสุญูดคี่

[334] แต่เขาก็ไม่มีเจตนาจะนั่งลง ทั้งนี้เพื่อสอนหุกุม(ข้อกำหนด)หะดีษนี้ ให้อนุญาตทิ้งสิ่งที่เป็นสุนัตได้โดยเจตนา และชดเชยด้วยสองสุญูด

[335] หะดีษนี้สุญูดหลังให้สลาม แต่บางหะดีษส่วนใหญ่บอกให้สุญูดก่อนสลาม

[336] ท่านทำเราะกะอัตที่สี่ แล้วให้สลาม แล้วจึงสุญูดสองครั้ง และให้สลามอีกครั้ง แสดงว่า จะให้สลามก่อน หลังก็ได้ ท่านนบีทำทุกแบบ

[337] หะดีษนี้ให้อ่านตะชะฮูดอีกครั้งหลังสุญูโซะห์วี

[338] การสุญูดหนึ่งครั้งเมื่ออ่านอัลกุรอานถึงอายะ ”สัจญะดะห์”

[339] คนที่ได้ยินอายะห์สัจญดะห์ ก็จะก้มสุญูดพร้อมๆกับคนอ่าน จนเต็มพื้นที่

[340] คืออายะห์ที่ 18 และ 77 ซูเราะห์อัลฮัจญ์

[341] คืออ่านในเราะกะอะห์แรกอ่านซูเราะห์อัสสัจญดะห์ และซูเราะห์อัลอินซาน

[342] คืออายะหืที่ว่า “วะ ค็อรเราะ รอกิอัน วะ  อะนาบ

[343] คืออายะหืที่ว่า “วะ ค็อรเราะ รอกิอัน วะ  อะนาบ

 

[344] فَٱسۡجُدُواْ لِلَّهِ وَٱعۡبُدُواْ ۩ (٦٢) ดังนั้น พวกเจ้าจงสุญูดต่ออัลลอฮ์เถิด และจงเคารพภักดีต่อพระองค์เถิด

[345] คือซูเราะห์อัลนัจม์

[346] การกล่าวซุบฮานัลลอฮ์ (ตัสบีฮะ)สำหรับผู้ชายนั้นหมายถึง บอกกล่าวอิหม่ามว่าผิดอิริยาบถ ส่วนผู้หญิงให้ใช้ตบมือหรือหลังมือ

[347] ขณะละหมาด ครุ่นคิดใดๆก็ได้ แต่ไม่ทำให้เสียละหมาด

[348] ให้อยู่ห่างมัสญิด แต่มามัสญิดทุกเวลาทั้งห้า

 

[350] เมื่อมาถึงได้ละหมาดสุนัตเคารพมัสญิด2เราะกะอัต

[351] การละหมาดในมัสญิดกุบาอ์จะได้ผลบุญเท่ากับทำอุมเราะห์หนึ่งครั้ง

[352] ความมืดก่อนแสงอรุณขึ้น แสดงถึงละหมาดศุบฮิกันเร็วและต้นๆเวลา แสงจึงยังไม่ขึ้น

ไม่ควรที่จะขัดแย้งกับคำสั่งท่านนบี (ซ.ล.) ที่อนุญาตพวกนางไปมัสญิดเพื่อละหมาด มักริบ อิชาหรือศุบฮิได้


 

[354] หมายถึงมัสญิดนบี

[355] เป็นการทำให้มัสญิดเปรอะเปื้อนด้วนน้ำลายก็เป็นหะรอม

[356] ถ้าจะไม่ให้บาปก็คือถมน้ำลายแล้วกลบด้วยดินหรือทราย

[357]              คือขจัดสิ่งอันตรายออกทางสัญจร เช่น หนาม ก้อนหิน เป็นต้น

[358] หะดีษนี้แสดงว่าอนุญาตให้กาฟิรเข้าไปในมัสญิดได้

[359] นบีสุลัยมาน บินดาวูด อ.ล.

[360] มัสญิดมีเพื่อทำอิบาดะห์ ไม่ใช่สถานที่โอ้อวดฐานะ

[361] ผักชนิดหนึ่งคล้ายต้นหอม แต่ใบแบน (คาดว่าจะเป็นต้นกระเทียม)

[362] พวกปั้นรูปปั้น

[363] แพะเป็นสัตว์ในสวรรค์ ไม่พยศง่าย  ผู้ละหมาดก็จะไม่เสียสมาธิ

[364] ทั้งกลางและริมถนน เพราะขาดสมาธิ เนื่องจากมีสิ่งสัญจรผ่านไปมา

[365] โองการนี้ลงมาเพื่อให้ละหมาดญะมาอะห์และจัดแบ่งสองกลุ่ม ในยามสงคราม

[366] ออกไปจากบ้านหรือร้านค้าของเขา

[367] เช่น ในยามหนาวจัด ยามหวาดกลัวอันตราย

[368] ขอทางนำไปสู่อิสลาม เพื่ออัลลลอฮ์ทรงพอพระทัย

[369] ด้วยการให้คิดหลงผิด หรือเป็นกาฟิร

[370] จงจดจำนำไปศึกษาและสั่งสอนลูกหลาน และผู้อื่นต่อไป

[371] จากพวกที่ไม่มาละหมาด

[372] ผลบุญอันใหญ่หลวง

[373] อุปสรรคคือ ความร้อนจัด หนาวจัด พายุลมแรง ฝนตกหนัก ความมืดมิด ความกลัวอันตรายจากคนและสัตว์ ตนหรือคนในครอบครัวป่วยไม่มีคนดูแล ถ้าหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นจากที่กล่าวมา ก็ไม่จำเป็นต้องทำญะมาอะห์และไม่สุนัต 

[374] เคยทำหน้าที่อิหม่าม

[375] ในตอนสายขณะที่ตะวันขึ้นแล้ว

[376] เป็นคำเปรียบเปรย(กินายะห์) หมายถึงละหมาดเขาจะไม่ถูกพิจารณา

[377] คนที่ละหมาดตามหล่อนคือคนอะซานที่เป็นชาย หะดีษนี้จึงเป็นหลักฐานให้นักวิชาการบางส่วนยึดถือว่า ผู้หญิงนำละหมาดให้ผู้ชายได้ แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ยินยอมให้ผู้หญิงนำละหมาดผู้ชาย โดยอ้างหลักฐานจากอิบนุมายะห์ที่ว่า “(หญิงจะเป็นอิหม่ามนำผู้ชายละหมาดไม่ได้” ที่อุมมุ วะรอเกาะห์นำละหมาดนั้น เข้าใจว่าเป็นการนำละหมาดคนในบ้านหล่อนที่มีแต่ผู้หญิงทั้งหมด (หล่อนจึงไปขอให้นบีแต่งตั้งคนมาอะซานให้ในบ้านหล่อน)

[378] การละหมาดญะมาอะห์ข้างหลังอิหม่ามมุสลิมทุกคนเป็นสิทธิ์ และถือว่าใช้ได้ ถึงแม้ผู้นำจะเป็นคนไม่ดีก็ตาม

[379] ละหมาดตะฮัจญุด และเข้าใจหะดีษนี้ได้ว่า การละหมาดญะมาอะห์ อย่างน้อยสุดต้องมีผู้ตามหนึ่งคน ผู้ตามที่เป็นชายจะยืนด้านชิดขวามือต่ำถัดลงไปหนึ่งหรือสองคืบ

[380] ต้นเหตุหะดีษนี้คือ ท่านนบี ซ.ล. ตกจากหลังม้า สีข้าง ข้างขวาของท่านบาดเจ็บ เหล่าเศาะฮาบะห์ได้พากันมาเยี่ยม จนได้เวลาละหมาด ท่านจึงได้นั่งละหมาด พวกเขาเหล่านั้นก็นั่งละหมาดด้วย

[381] ตามตัวบทที่ อะบู ฮุร็อยเราะห์ชี้ว่า ให้มะอ์มูมปฏิบัติตามอิหม่ามที่นั่งละหมาด ถึงแม้ว่าผู้ตามจะไม่มีอุปสรรคใดๆเลย  นี่เป็นทรรศนะนักปราชญ์กลุ่มหนึ่ง แต่นักปราชญ์ส่วนใหญ่กล่าวว่า ไม่อนุญาตให้มะอ์มูมนั่งละหมาดตามอิหม่าม โดยอาศัยหลักฐานจากอะนัส เพราะเป็นรายงานที่ล่าสุด และไปยกเลิกรายงานเก่าๆ

[382] เพราะเกรงว่าผู้หญิงจเงยหน้าขึ้นมาเร็วจนผู้ชายไม่ทันยืนตรง อวัยวะเพศโผล่เพราะผ้านุ่งสั้น

[383] นับได้ว่าที่รุกั๊วะอ์ทันเราะกะอะห์นั้นๆ ได้ทำครบเราะกะอะห์นั้นแล้ว

[384] คือละหมาดอยู่ในแถวแรกที่ติดอิกม่าม

[385] นะซาอีได้รายงานไว้ว่า ท่านนบีได้กล่าวว่า “ได้มอบบรรดาโองการต่างๆ ที่อยู่ตอนท้ายซูเราะห์บะกะเราะห์ เป็นคลังสมบัติที่เก็บไว้ใต้บัลลังค์(อะรัช) โดยมิได้ประทานแก่ผู้ใดมาก่อนข้าพเจ้าและหลังข้าพเจ้า”

[386] ล่าช้าที่จะขึ้นไปสู่แถวแรก

[387] จากผลบุญอันยิ่งใหญ่และตำแหน่งที่สูงส่ง

[388] คือตั้งแถวระหว่างเสาสองเสา ทำให้แถวขาดจากกัน

[389] จะระวังมิให้เกิดการเข้าแถวระหว่างเสาขึ้น

[390] เมื่อท่านให้สลามแล้ว

[391] ส่วนมากหันหน้าท่านมาทางมะอ์มูม แต่บางครั้งหันไปซ้าย และบางครั้งหันไปทางขวา

[392] ให้อิหม่ามเปลี่ยนที่ยืนละหมาดสุนัตไปที่ยืนใหม่

[393] เปลี่ยนที่ยืนละหมาดสุนัตไปจากที่เดิมที่ละหมาดฟัรฎูแล้ว

[394] ละหมาดที่บ้านแล้วเป็นฟัรฎู ส่วนละหมาดญะมาอะห์ที่มัสญิดเป็นสุนัต

[395] ทั้งในละหมาด(เพราะเกิดเหตุเสียน้ำละหมาดไปกะทันหัน) และก่อนเริ่มละหมาด

[396] คือแสดงออกตรงข้ามกับภายใน ความต้องการของอาอิชะห์คือ ไม่ต้องการให้บิดา(อะบูบักร์)นำละหมาดแทนนบี ซ.ล. เพราะประชาชนจะเห็นเป็นลางร้ายว่าท่านกำลังจะลาโลกไป เหมือนกับท่านหญิงสุลัยคอที่เชิญพวกผู้หญิงมาเป็นแขกและแสดงออกว่าให้เกียรติหล่อน แต่ ความต้องการที่แท้จริงของหล่อนคือ ให้พวกผู้หญิงเหล่านั้นได้เห็นความงามท่านนบียูซุฟ อ.ล. เพื่อพวกหล่อนจะได้ไม่ตำหนิที่นางหลงรักท่านนบียูซุฟ

[397] จนท่านนบี ซ.ล. เสียชีวิต

[398] ในหะดีษทั้งสองชี้ชัดว่า ท่านนบีละหมาดตามอะบูบักร์ โดยเป็นคนละครั้งกับครั้งแรกที่ว่า อะบูบักร์ละหมาดตามนบี ซ.ล.

[399] คือละหมาดศุบฮิ

[400] วันศุกร์ (ญุมอะห์)

[401] วันเสาร์ (อัลซับตุ Sabatto)

[402] วันอาทิตย์ (อัลอะฮัด)

[403] หลายวันศุกร์

[404] เพื่อลบล้างที่ทิ้งละหมาดวันศุกร์

[405] ผู้ชายที่บรรลุศาสนภาวะ(มีน้ำอสุจิแล้ว) เป็นเอกราชไม่ใช่ทาส มีสุขภาพสมบูรณ์ เป็นคนประจำท้องถิ่น ไม่ใช่คนเดินทาง(ไม่มีที่พักพิง) บุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติตามนี้ ไม่จำเป็นต้องละหมาดวันศุกร์ แต่ถ้าหากเขาละหมาดก็ถือว่าแทนละหมาดดุฮริได้

[406] ผู้ชายที่บรรลุศาสนภาวะ(มีน้ำอสุจิแล้ว)

[407] อาบน้ำวันศุกร์หรือเรียกรวมๆว่าอาบน้ำ ญะนาบะห์ หรือญูนุบ หรืออาบน้ำยกหะดัสใหญ่นั่นเอง

[408] น่าบิต คือ อัมร์ บินมาลิก

[409] คือท่านนบี ซ.ล.

[410] เป็นสิ่งที่ควรกระทำในวันศุกร์ เพราะเป็นวันพบปะรื่นเริงประจำสัปดาห์

[411] อันได้แก่ การโกนขนใต้ร่มผ้า การถอนหรือโกนขนรักแร้ ตัดเล็บ ขลิบหนวดเครา

[412] น้ำมันใส่ผมและทาผิว

[413] เพราะอาจไปทำความรำคาญแก่เขา

[414] ที่เป็นเช่นนี้ เพราะอิหม่ามคุตบะห์สั้นๆ และละหาดสั้นๆ ไม่ยืดเยื้อ จึงเสร็จเร็ว โดยยังไม่มีร่มให้หลบแดดได้

[415]  คือคำปฏิญาณตนทั้งสองประโยค “อัชหะดุ อัน ลาอิลาหะ อิลลัลลอฮุ” “วะ อัชหะดุ อันนะ มุฮัมมัดัรเราะซูลุลลอฮ์”

[416]  คือกุดด้วน บกพร่อง ไม่มีศิริมงคล

[417]  ละหมาดสุนัตหลังละหมาดวันศุกร์ ทำสี่เราะกะอัต

หมายเลขบันทึก: 643403เขียนเมื่อ 18 ธันวาคม 2017 06:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 2 สิงหาคม 2022 18:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท