"อนุสารีย์ร้อยเอกถวิล นิยมเสน"
วันนี้เป็นวันครบรอบปีที่ 76 ที่ยุวชนทหารและผู้บังคับบัญชาได้เสียสละเลือดเนื้อและชีวิต เพื่อปกป้องอธิปไตย ในโอกาสแรกที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา สงครามโลกครั้งที่ 2 ณ บริเวณเชิงสะพานท่านางสังข์ ตำบลบางหมาก อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
ขอเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่ยังตอกย้ำความทรงจำของคนรุ่นหลัง และทายาทผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัว จากเหตุการณ์ที่เกิดจากการสู้รบระหว่างกองกำลังฝ่ายไทยและกองกำลังฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งคนที่เกิดในจังหวัดชุมพรคงเคยได้ฟังเรื่องราวจากปู่ย่าตายาย หรือคนรุ่นเก่า ๆ ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวมาบ้างแล้ว แต่หลายคนก็ยังไม่ทราบว่าที่มาของอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นมาอย่างไร
เหตุการณ์ในวันนั้นมีอยู่ว่า
เช้าวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 เวลาดึกประมาณ 02.00 น. ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบริเวณปากอ่าวบางสน ตำบลท่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร แต่พื้นที่อ่าวบริเวณดังกล่าว เป็นดินเลน ทำให้ทหารญี่ปุ่นติดเลน และขึ้นฝั่งได้ช้ากว่าที่กำหนดไว้ กว่าจะรวมพลได้ก็เป็นเวลา 06.00 น. แล้วเคลื่อนกำลังเข้าสู่ตัวเมืองชุมพร
ฝ่ายไทย เมื่อทราบข่าว จึงได้ส่งกำลังตำรวจเป็นหน่วยรบที่ 1 ไปยึดเชิงสะพานท่านางสังข์ ซึ่งเป็นเส้นทางของทหารญี่ปุ่นจากอ่าวบางสนเข้าตัวเมืองชุมพร และได้เกิดปะทะกันระหว่างไทยกับญี่ปุ่น
ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ครูฝึกยุวชนทหาร ซึ่งได้สั่งการให้สิบเอกสำราญ ควนพันธ์ุ (ชื่อและนามสกุลอาจสะกดไม่ถูกต้อง )ไปตามยุวชนทหารที่บ้าน และไปสถานีตำรวจพร้อมกันเพื่อรับอาวุธประจำกายและกระสุนปืน แบ่งกองกำลังออกเป็น 2 ฝ่าย คือ แยกไปทางด้านเหนือเพื่อสกัดข้าศึกที่เข้าใจว่ายกพลขึ้นที่อ่าวพนังตัก ส่วนร้อยเอกถวิล นิยมเสน คุมยุวชนทหารไม่น้อยกว่า 30 คน เป็นหน่วยรบที่ 2 ไปทางทิศตะวันออกยึดคอสะพานท่านางสังข์ และไปสมทบกับตำรวจที่อยู่ก่อนหน้านี้อีกส่วนหนึ่ง และสนามรบก็ดำเนินไปจนร้อยเอกถวิลฯ ได้ตรวจการณ์พบว่าข้าศึกมีกำลังมาก และหากยิงต่อสู้ในขณะที่ไม่เห็นตัวข้าศึกจะทำให้เสียกระสุนปืนเสียเปล่า จึงวางแผนไปยึดสะพานฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นข้าศึกแล้วค่อยยิง และออกคำสั่งกับยุวชนทหารว่า "ตามข้าพเจ้ามา" โดยออกวิ่งนำแถวข้ามสะพาน และลงที่กำบัง พร้อมสั่งยิงทหารญี่ปุ่น เป็นการรบกันในระยะประชิดมาก ห่างกันไม่ถึง 20 เมตร อาศัยว่าต่างฝ่ายต่างอยู่ในที่กำบังมิดชิด จึงไม่อาจทราบว่ายิงกันโดยเป้าหรือไม่ ร้อยเอกถวิลฯ ได้สังเกตว่าทหารญี่ปุ่นได้เคลื่อนข้ามถนนมาแล้ว จึงสั่งให้สู้รบเป็นแนวหน้ากระดานต่อสู้ ตามระเบียบการฝึกทหารราบในสมัยนั้น ที่ว่าถ้าแนวอยู่ห่างข้าศึกประมาณ 200 เมตร จะต้องติดดาบปลายปืน เตรียมเข้าตะลุมบอน
เช้าวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ยุวชนทหารอยู่ห่างข้าศึกเพียง 20-30 เมตร ร้อยเอกถวิลฯ จึงไม่รีรอที่จะตะโกนสั่งติดดาบ ตะลุมบอน แล้วส่งเสียงไชโยโห่ร้องก้องดัง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กำลังพล เป็นผลทำให้ทุกคนลุกขึ้นวิ่งอย่างไม่รีรอข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม แต่ทหารญี่ปุ่นได้ระดมยิงใส่กลุ่มยุวชนทหาร จึงต้องพุ่งเข้าหาที่กำบังเหมือนเดิม แต่ต่อมาร้อยเอกถวิลฯ ได้สั่งระดมยิงหนักอีกครั้ง และนำเข้าตะลุมบอนอีกครั้ง ทุกคนวิ่งข้ามไป ทิ้งตัวลง แล้วปรับแนวเป็นหน้ากระดานหันหน้าไปทางทิศตะวันออกทางข้าศึกเป็นการยิงระยะใกล้เหมือนเดิม ทุกคนอาศัยโคนต้นมะพร้าวเป็นที่กำบังกระสุน
ขณะนั้นเวลา 07.00 น. ฝนตกหนัก แต่ลมสงัด สิบเอกสำราญ ควนพันธ์ุ ร้องสั่งยุวชนทหารให้บอกต่อว่า ถ้าเห็นพุ่มไม้เคลื่อนไหวให้ยิงใส่ เพราะนั่นคือการพรางตัวของ ข้าศึก ปรากฎว่ายุวชนทหารยิงทหารญี่ปุ่นตายไปไม่น้อย
ต่อมาไม่นาน ยุวชนทหารได้ส่งข่าวให้สิบเอกสำราญฯ ทราบว่า ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ได้โดนทหารญี่ปุ่นยิงเสียชีวิตแล้ว สิบเอกสำราญสั่งปิดข่าว เพื่อไม่ให้ขวัญกำลังใจยุวชนทหารเสียและอำนวยการรบต่อไป จนตัวเองโดนยิงที่แขนจนกระดูกแตก ยิงต่อสู้ไม่ได้ ต้องคอยส่งกระสุนและปลอบขวัญทหารให้ต่อสู้ต่อไป
หน่วยรบที่ 3 เป็นทหารจากกองพันทหารราบที่ 38 ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า "ค่ายเขตอุดมศักดิ์" มีกำลังเพียง 3 หมู่ แต่จัดเป็นกองปืนเบาเต็มอัตราเคลื่อนที่ด้วยรถยนต์ กวาดไล่ทหารญี่ปุ่นลงไปจนถึงวัดท่ายางกลาง และได้ประเมินสถานการณ์ว่าทหารญี่ปุ่นมีมากมายอยู่ที่วัดท่ายางใต้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก จึงลงจากรถยนต์จัดหมู่เข้ารบระดมยิงด้วยปืนกลเบา ไม่ให้ทหารญี่ปุ่นทันระวังตัว
กำลังรบทั้ง 3 หน่วย ต่อสู้กับทหารญี่ปุ่นตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง จนได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้ปล่อยทหารญี่ปุ่นผ่านประเทศไทยไปประเทศพม่าได้ จึงหยุดต่อสู้กัน
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ได้สูญเสีย ร้อยเอกถวิล นิยมเสน ครูฝึกยุวชนทหาร และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร อีกหลายนาย การสูญเสียนี้นับเป็นวีรกรรมที่ควรแก่สดุดีอย่างยิ่ง เพราะกองกำลังของไทยทุกคน ยอมสละชีวิต เลือดเนื้อ เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยด้วยความกล้าหาญเยี่ยงบรรพบุรุษไทยแต่โบราณ
" ยุวชนทหารในปัจจุบัน ก็คือนักศึกษาวิชาทหาร นั่นเองค่ะ"
และน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสพบกับคุณปู่เจริญ มหาเจริญ อดีตยุวชนทหาร ซึ่งปัจจุบันท่านอายุ 95 ปี และได้เดินทางมาร่วมพิธีสดุดีวีรชนทหารกล้าในปีนี้เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา
คุณปู่เจริญ มหาเจริญ อายุ 95 ปี แต่งกายเครื่องแบบยุวชนทหาร