คมเคียว....


คมเคียว....มิได้เกี่ยวเพียงรวงข้าวเท่านั้น หากมันยังได้ช่วยเกี่ยวเกาะหัวใจของผู้คนให้เชื่อมร้อยกันไปด้วย ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยกันสานต่อวิถีแห่งการเป็นอยู่แบบไทยๆ สิ่งที่ทำมิได้ทำในสิ่งใหม่แต่มันเป็นการนำเอาภูมิปัญญาและวิถีแห่งการยังชีพของคนรุ่นเก่าก่อนมาสืบทอดต่อ....ยินดีและภูมิใจในทุก ๆ วัน ณ ที่แห่งนี้ บ้านฉันก็บ้านเธอ....

                                                                   -ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 แล้วสำหรับกิจกรรมการทำนาของครอบครัวเล็ก ๆ ของผมครับ บนพื้นที่ไม่มากนักแต่ก็พยายามที่จะใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนๆ พื้นที่แห่งนี้จึงมีกิจกรรมที่จะต้องทำอยู่ตลอดเวลาครับ...และเมื่อถึงฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยว วันนี้(25 พ.ย.2560)ผมจึงชวนเพื่อนบ้านและเพื่อนฝูงที่มีเวลาว่าง มาช่วยกันเกี่ยวข้าว เอาเป็นว่าบรรยากาศจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น พร้อมแล้วตามผมไปชมพร้อมๆ กันกับบันทึกนี้ "คมเคียว..."ครับ..

1.หลังจากลงมือดำนาไปเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมา ตามบันทึกนี้ รากแก้วของชีวิต...นาดำ.ดำนา.. ก็ครบ 105 วัน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่พอดีกับการเพาะปลูกข้าวตั้งแต่การปักดำไปถึงวันเก็บเกี่ยวครับ....โดยปีนี้ผมก็ยังคงปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 เหมือนกับเช่นทุกๆปี เพราะตั้งใจเอาไว้ว่าจะปลูกข้าวเพื่อเก็บเอาไว้บริโภคเองในครัวเรือน แม้ว่าจะได้ข้าวในปริมาณไม่มากนัก แต่สิ่งที่ได้มากกว่าปริมาณของข้าวนั่นก็คือ"ความภาคภูมิใจ"และ"มิตรภาพ"ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมตามวิถีพื้นบ้านที่ไม่อาจะประเมินมูลค่าได้นั่นเองครับ...

2.ปีนี้เราเริ่มลงมือเกี่ยวข้าวกันในเวลาประมาณ 09.09 น. อาจจะสายไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอุปสรรคสำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวในแปลงนาที่มีพื้นที่ไม่มากนักเช่นนี้ครับ...โดยทีมงานที่มาร่วมในวันนี้ก็เป็นทีมงานที่เคยมาช่วยดำนานั่นเองครับ นำทีมโดย"ยายทอง/พี่ตึ๋ง/พี่ปรานอม/พี่ยุ/พี่ต๊วน/ผช.เล็ก"ครับ...เมื่อได้เวลาทีมงานก็เริ่มลงมือกันทันทีครับ...

3.ทีมงานที่ตามมาสมทบการเกี่ยวข้าวในวันนี้ ก็ตามมาติดๆ กับ"ป้าเงาะ/ป้าแจ๊ว/นายกอล์ฟ/ผญ.อ๊อด(ยุทธนา วรรณะ)/เจ๊ตูน"ที่วันนี้ขอมาร่วมเรียนรู้ประสบการณ์การเกี่ยวข้าวกับเราด้วยล่ะครับ หลายคนที่มาในวันนี้ล้วนแล้วแต่บอกกับผมว่าไม่ค่อยได้มีโอกาสที่จะได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบนี้บ่อยนัก ทั้งนี้ก็เพราะว่าวิถีชีวิตส่วนใหญ่ก็จะปรับเปลี่ยนไปตามเส้นทางเดินของชีวิตที่ประกอบอาชีพเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเองนั่นเองครับ...

4.ส่วนทีมสุดท้ายก็คงจะไม่ต้องแนะนำตัวกันสำหรับตัวผมและคนข้างกาย(มดตะนอย) ส่วนอีก 2 คนที่เหลือนั้น ก็ต้องขอนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักกันสักหน่อยครับ คนแรกชื่อน้องท้อป(เสื้อสีดำ) คนน้ี้ถือเป็นเกษตรกรตัวอย่างในหลายๆ ด้าน ซึ่งตัวผมเองได้เคยเขียนบันทึกเอาไว้หลายเรื่อง ติดตามได้จากที่นี่ครับ รวมเรื่องราวของ Ysf ส่วนน้องสาวอีกคนหนึ่งที่ภูมิใจนำเสนอนั่นก็คือ"น้องมิ้ม(ยืนยิ้มแป้น มือถือรวงข้าว)นั่นเองครับ 555  เธอคนนี้ถือเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ผันตัวออกมาจากเมืองหลวงเพื่อกลับมาค้นหาและเดินตามวิถีของคนรุ่นเก่าก่อนครับ...สำหรับเรื่องราวของน้องมิ้ม ยังมีอะไรที่น่าสนใจและน่าค้นหาอีกมากมาย เอาเป็นว่าวันนี้ขอแนะนำเธอให้ผู้อ่านได้รู้จักกันในเบื้องต้นก่อน เอาไว้หากมีโอกาสผมจะได้นำเอาเรื่องราวและกิจกรรมของเธอมาบันทึกให้ได้ติดตามกันต่ออีกครั้งหนึ่งก็แล้วกันนะคร้าบ 555

5.กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เห็นจะเป็นจริงนะครับ..ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมการด้านเสบียง ผมจึงขอหนีขึ้นมาตามติดภารกิจของ"แม่ครัว"กันสักหน่อย วันนี้เราได้แม่ครัวฝีมือดี"พี่ปราณี"ดาราประจำบ้านไร่ของเรานั่นเองครับ โดยวันนี้"พี่ปราณี"บอกกับผมว่าขอเป็นแม่ครัวดีกว่าเพราะว่าหากต้องลงไปช่วยเกี่ยวข้าวแล้วคงจะไม่ไหว เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว"พี่ปราณี"จึงลงมือจัดเตรียมปรุงเมนูเด็ดๆ ไว้สำหรับเป็นอาหารมื้อกลางวันในวันนี้ครับ ว่าแต่จะอร่อยหรือไม่นั้น เดี๋ยวรอเฉลยพร้อมๆ กับทีมงานคนเกี่ยวข้าวดีกว่านะคร้บ 5555

6.ฝ่ายเสบียงพร้อมแล้ว...ทีนี้ก็ตามผมไปดูการเรียนรู้เรื่องการเกี่ยวข้าวกันต่อดีกว่าครับ...วันนี้"พี่ยุ(เสื้อสีขาว)และ"น้องมิ้ม"ได้เรียนรู้วิธีการทำ"ข้าวเน็ต"ด้วยล่ะครับ "ข้าวเน็ต"คืออะไรนั้น ผมขออธิบายแบบคร่าวๆ ดังนี้ครับ เป็นการใช้ต้นข้าวทำสายรัดฟ่อนข้าว นั้นเองครับ แต่มีวิธีการทำที่ไม่ง่ายนัก ซึ่งจะใช้ต้นข้าวที่ยาวๆ มาสานทับต่อกันให้ยาวๆ วิธีนี้ถือเป็นการใช้ทดแทนการใช้"ตอกมัดข้าว"ครับ แม้ว่าจะดูง่ายๆ แต่ก็ไม่ง่ายเลยนะครับ 555 ภูมิปัญญาดี ดี แบบนี้เราคงต้องช่วยกันรักษาเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้ด้วยนะครับ..

7.ทีมงานเข้มแข็งแบบนี้ สามัคคีคือพลัง ดังนั้นกิจกรรมการเกี่ยวข้าวจึงเสร็จเรียบร้อยในเวลาประมาณ 11.30 น.ครับ สองชั่วโมงกว่าๆ สำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวในแปลงนาพื้นที่ประมาณ 2 งานถือว่าไม่มากเกินไปนักสำหรับคนในปริมาณมากเช่นนี้ครับ หากแต่ต้องเกี่ยวข้าวในแปลงนี้ใช้แรงงานเพียง 2-3 คน รับรองได้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกันเลยทีเดียวครับ...และนี่ก็คือเหตุผลของการ"ลงแขก"ครับ เพราะหากเรามีแรงงานมากพอเราก็จะได้เก็บเกี่ยวหรือทำกิจกรรมนั้น ๆ สำเร็จลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็วและลดการสูญเสียของผลผลิตต่างๆ ได้นั่นเองครับ...และที่สำคัญเราจะได้เกิดความรักและสามัคคีกันมากขึ้นนั่นเองครับ...

8.เมื่อได้เวลาเราก็มาร่วม"ล้อมวง"กันทันทีครับ5555 อาหารมื้อนี้ได้รับความร่วมมือจาก"แม่ครัว"(พี่ปราณี)ที่ลงมือปรุง แถมยังได้รับการสมทบเมนูอร่อยๆ เป็น"ไก่ย่าง"จาก"ผู้ใหญ่ยุทธนา หรือ ผญ.อ๊อดและเจ๊ตูน"อีกด้วยล่ะครับ ทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยและเต็มไปด้วยมิตรภาพและความทรงจำดีๆ ที่มีให้กันและกันในยามนี้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ...สำหรับความอร่อยนั้น คงไม่ต้องบรรยายเป็นตัวหนังสือ เอาเป็นว่าขอบรรยายด้วยภาพก็แล้วกันนะคร้าบ 555

9.และนี่ก็คือกิจกรรมดี ดี  ที่ก่อเกิดขึ้น ณ บ้านไร่ Hi Hug House(ไฮ่ ฮัก เฮา)ของผมครับ..ต่อจากนี้ก็รอให้รวงข้าวที่เกี่ยวเอาไว้ตากแดดให้แห้งประมาณ 3-4 วันก่อน แล้วก็จะนำเอารวงข้าวมาทำการ"นวด"หรือ"ตี"เพื่อเอาเมล็ดข้าวอีกครั้งหนึ่งครับ ซึ่งผมจะได้เก็บภาพบรรยากาศมาบันทึกให้ได้ร่วมติดตามกันอีกครั้งหนึ่งครับ...

สำหรับวันนี้ สิ่งที่ได้นอกเหนือจากผลผลิตที่จะใช้หล่อเลี้่ยงชีวิตต่อไปนั้น มันมีมากเกินกว่าที่ตัวผมเองจะนำเอามาร้อยเรียงเป็นตัวหนังสือได้ครับ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 สำหรับการลงมือ ลงแรง ลงใจ กับกิจกรรมการเกษตรในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมากมายจากผู้คนในชุมชนแห่งนี้  สิ่งที่ตั้งใจมิได้ต้องการทำให้ยิ่งใหญ่เหมือนใคร ๆ  เพราะถือว่าการใช้ชีวิตให้เป็นไปตามจังหวะของบทเพลงแห่งชีวิตที่บรรเลงไปตามฤดูกาลต่างๆ เหล่านี้ต่างหากที่มันจะส่งผลและแบ่งปัน"ความสุข"มายังครอบครัวเล็กๆ ของผมให้ได้ก้าวเดินและอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้อย่างอบอุ่นใจ นั่นเองครับ..

ขอขอบคุณทุกท่าน ที่มาร่วมสานต่อวิถีแบบไทยๆ "คมเคียวเกี่ยวใจ"ณ บ้านของฉัน..มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ..

                                                                              สวัสดีครับ

                                                                              เพชรน้ำหนึ่ง+มดตะนอย

                                                                             26/11/2560

หมายเลขบันทึก: 642089เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2017 15:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2017 15:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

มาร่วมใจ..เคียวเกี่ยวใจ..จ้า..(เสียดาย..ที่ไม่ได้มาร่วมเกี่ยว..ยังต้องเลื่อนการเดินทางกลับออกไป..เป็นหวัด อย่างแรง..๕๕๕๕  ..อนิจังวัฏรสังขารา...)

กลิ่นข้าวใหม่คงหอมนะครับคุณเพชร


สามัคคี คือ พลังจริง ๆ   อบอุ่น  อบอวล  อิ่มอร่่อย

หอมข้าวใหม่มาถึงนี่เลยจร้า

ทั้งสนุก ทั้งมีความสุข

บรรยากาศแบบไทย ๆ 

" ลงแขกเกี่ยวข้าว"  

นับวันแต่จะหาดูได้ยากยิ่งแล้วจ้ะ

ดูแล้วมีแต่รอยยิ้มนะจ๊ะ

ส่งใจ  ส่งรักมาทักทายน้องมด น้องเพชรจ้ะ

คิดถึงจัง

เป็นกิจกรรมที่ดีมากเลย

อยากมีโอกาสทำกิจกรรมแบบนี้บ้าง

ขอบคุณมากๆครับ

อิ่มในเนื้อหา  สุขในภาพที่งดงามเหลือเกิน  ทำให้คิดถึงบ้านเกิด

คิดถึงบรรยากาศบ้านนาที่จากมา  ห่างหายจากบ้านหลังนี้ไปนานมาก

คิดถึงทุกคนเสมอค่ะ ขอบคุณนะคะที่นำความงดงามมาให้

-สวัสดีครับยายธี

-รอวันได้กลับเมืองไทยแล้วก็มาเยี่ยมเยียนกันได้นะครับ

-ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำตามวิถีพื้นบ้านครับ

-ขอบคุณครับ

-สวัสดีครับท่าน พ.แจ่มจำรัส

-ข้าวใหม่ปลามันครับท่าน

-รอต้อนรับท่านนะครับ

-ขอบคุณครับ

-สวัสดีครับพี่หมอธิ

-กลิ่นข้าวใหม่ลอยไปไกลเลยนะครับ 55

-เมื่อไหร่จะมาลิ้มรสข้าวใหม่ด้วยกันครับพี่หมอ

-วิถีไทย ๆที่น่ามองมากๆ ครับ

-สวัสดีครับพี่ครูมะเดื่อ

-ลงแขกเกี่ยวข้าว

-สนุกมากๆ ครับ

-ได้ทั้งความรู้และสืบสานวิถีแบบไทยๆ ครับ

-ขอบคุณที่มาเยือนนะครับ

-สวัสดีครับครูขจิต

-ครูหาเ่วลาว่างรอเลยครับ

-ผมจะชวนมาทำกิจกรรมการเกษตร

-ด้วยความระลึกถึงครูครับ

-สวัสดีครับคุณอิงจันทร์

-ยินดีต้อนรับกลับบ้านแห่งการเรียนรู้นะครับ

-ด้วยความระลึกถึงครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท