ต่อไปก็จะกล่าวถึงในเนื้อหาเกี่ยวกับ ภาคเกษตร โดยจะกล่าวถึงการค้าเสรีไทย – จีน
โดยในเรื่อง การค้าเสรีไทย-จีนนั้น ซึ่งรัฐบาลไทยยกเหตุผลในการเปิดเขต การค้าเสรีกับจีนว่าจะมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยอ้างว่าจีนมีประชากรจำนวนมาก ถือเป็นตลาดใหญ่ ซึ่งในเรื่องนี้ผู้เขียนได้แสดงความเห็นว่าประเทศไทยนั้นจะต้องมีอุปสรรคในเรื่องการส่งออกผัก-ผลไม้ไปจีนเพราะการนำเข้า ผัก-ผลไม้ไปจีนนั้นต้องดำเนินการผ่านผู้นำของจีนเท่านั้น ซึ่งการออกใบอนุญาตแต่ละครั้งใช้เวลานาน และมีการควบคุมการนำเข้าอย่างเข้มงวด ทำให้ผล-ผลไม้ตกค้างที่ด่านจนเน่าเสียและการกระจายสินค้าในประเทศจีนไม่สะดวกรวดเร็ว
นอกจากนี้หลังจากที่ไทยทำเอฟทีเอกับจีน ทำให้ผัก-ผลไม้ของไทยขาดดุลการค้าอย่างมากเพราะผัก-ผลไม้ จากจีนสามารถจงตลาดในประเทศไทย
ดังนั้นจึงมีข้อเท็จจริงที่ควรคำนึงคือ
1. ประเทศจีนมีการปกครองแบบสังคมนิยม จึงเป็นเรื่องยากที่จะให้มีวิธีปฏิบัติในเรื่องต่างๆเช่นเดียวกับประเทศไทย
2. ประเทศไทยไม่ใช้แหล่งนำเข้าสินค้าเกษตรแต่เพียงอย่างเดียวของจีน โดยไทยยังมีคู่แข่งอีกหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ไต้หวัน ออสเตรเลีย และสหรัฐฯเป็นต้น
3. การเปิดเสรีระหว่างไทยกับจีนนั้นเป็นการเปิดเสรีเฉพาะสินค้า ผักและผลไม้ มิได้หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเสรีโดยสิ้นเชิง
4. ปัจจุบันจีนเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตร มีสินค้าเกษตรเพียงไม่กี่อย่างที่จีนต้องนำเข้าจากภายนอก
จากปัญหาทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลไทยเร่งเปิดเสรีกับจีนล่วงหน้าเพียง 3 เดือน ทำให้ไทยไม่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน เช่น เกษตรกรเพิ่งรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเปิดเสรีกับจีน ภายหลังจากที่เปิดเสรีกับจีนเป็นเวลาหลายเดือน ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจงานแผนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ประเทศจีนยังมีความพร้อมกว่าไทยมาก เช่น ความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจ ด้านเทคโนโลยี ดังนั้นจึงทำให้เกิดการค้าเสรีที่เป็นธรรมได้ยาก
ต่อไปในเรื่องของสินค้าเทคโนโลยีชีวภาพ จะกล่าวถึงสินค้าจีเอ็มโอที่สหรัฐฯจะส่งออกมายังประเทศไทย ซึ่งมี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ อาหารแปลงพันธุกรรม และพันธ์พืชแปลงพันธุกรรม โดยบทความนี้จะกล่าวเฉพาะประเด็นหลังเป็นสำคัญ เนื่องจากหากรัฐบาลไทย เปิดให้มีการนำพืช ดังกล่าวเข้ามาปลูกจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญต่อระบบการผลิตเกษตรกรรมของไทย
ดังนั้นรัฐบาลไทยต้องไม่ยินยอมให้สหรัฐฯ ผลักดันให้ประเทศยอมรับมีการปลูกพืชจีเอ็มโอในเชิงพาณิชย์โดยเด็ดขาด ทั้งนี้เนื่องจากการอนุญาตให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอในประเทศได้หรือไม่นั้น ไม่ใช้สื่อสารการค้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อม สุขภาพและอนาคตของประเทศ การปลูกพืชจีเอ็มโอแม้เพียงบางส่วนก็อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนทางพันธุกรรม และเป็นการทำลายฐานความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานสำหรับชีวิตและเศรษฐกิจของเรา
1. ในกรณีการผลักดันจีเอ็มโอของบรรษัทข้ามชาติเข้ามาปลูกในประเทศนั้น รัฐบาลไทยต้องยืนยันว่าการปลูกพืชจีเอ็มโอนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้าเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางการเกษตรเรื่อความปลอดภัยของฐาน ทรัพยากรชีวภาพของประเทศ ดังนั้นการตัดสินใจในการห้ามปลูกจีเอ็มโอในประเทศไทยไม่อาจอ้างเงื่อนไขในข้อตกลงองค์การการค้าโลกว่าประเทศไทยกำลังกีดกันสินค้าของสหรัฐได้
2. ที่จริงแล้วข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลกในหลายมาตรา ก็เปิดช่องให้ประเทศต่าง ๆ ห้ามิให้ปลูกพืชจีเอ็มโอในประเทศของตน เช่น ในมาตรา 20 ของแกตต์ 1994 อนุญาตให้ประเทศสมาชิกไม่ต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันทั่วไปของ WTO ได้ในกรณีที่ต้องออกมาตรการเพื่อการปกป้องชีวิตและสุขภาพของมนุษย์และสัตว์ อนุรักษ์ทรัพยากร ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยในฐานะประเทศอธิปไตย ย่อมมีสิทธิในการกำหนดนโยบายเกษตรกรรมของตนเองในการจะปลูกพืชอะไรหรือไม่ปลูกพืชอะไร
ในเรื่อง ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนได้เขียนในประเด็นเรื่องยา ซึ่งยาและสาธารณสุขเป็นเรื่องของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ และเป็นสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นยุทธศาสตร์การเจรจาแลกเปลี่ยนต้อง อยู่บนหลักการว่าเกิดผลกระทบทางลบต่อการเข้าถึงยา และระบบสุขภาพหรือไม่ โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับข้อเสนอหลักการผลประโยชน์จากการค้าที่ได้รับเพราะชีวิตมีค่าเกินกวาที่จะนำไปเปรียบเทียบเป็นตัวเงิน มีต่อ.....(4)
ไม่มีความเห็น