เมื่อปีก่อน ในช่วงสายของวันอาทิตย์ ต้นเดือนกันยายน ณ วัด ม่อนพญาแช่ ลำปาง ในเช้าวันนั้น เป็นวันแข่งขันจักรยานเสือภูเขา ที่วนอุทยานม่อนพญาแช่ วันนั้นจำได้มีคนเข้าร่วมแข่งขันหลายร้อยคน ผู้คนคึกคักต่างจากวันอาทิตย์ก่อน รถยนต์จอดเต็มลานจอดของวัด จักรยานหลากสีสวยๆ แปลกๆ นักกีฬาแต่งชุดนักปั่นจักรยานหลากหลายสีสันหลากหลายสไตล์ นักกีฬาท่าทางทะมัดทะแมงอุปกรณ์กีฬาน่าสนใจผมไม่เคยเห็นมาก่อน
ด้วยความซุกซนอยากรู้อยากเห็นของผมและภูมิเพื่อนรุ่นน้องในวันนั้น ด้วยผมไม่เคยรู้จักกติกาการแข่งขันจักรยายเสือภูเขา ไม่เคยเห็นสนามแข่งขัน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ผมจำได้แม่นเป็นวันที่ผมและเพื่อนๆได้มาเรียนภาษาอังกฤษ LEARN AND PLAY กับครูนิ และ ครู PETER ตามปกติทุกวันอาทิตย์ วันนั้นพวกเราได้ไปร่วมงานปล่อยตัวนักกีฬา เพื่อให้กำลังใจนักกีฬาและได้เรียนรู้ไปด้วย ในครั้งนี้มีนักกีฬาทั้งคนไทยและชาวต่างชาติร่วมแข่งขันด้วย
ด้วยความอยากมีประสบการณ์ ของผมกับเพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งอายุอ่อนกว่าผม 1 ปี เหตุการณ์การหลงป่าเริ่มเกิดขึ้น เราสองคนคุยกันถึง “หมาสีดำ ชื่อม่อน” มันฉลาดสอนได้ ให้คาบไม้ คาบบอล ที่ผมโยนแล้วนำกลับมาคืนให้ผม แต่วันนี้ไม่เห็นมันเลยอาจเพราะคนมากและตื่นคนเพราะคนมาก จึงชวนกันไปเดินตามหาเพื่อเล่นกับเจ้าม่อนหมาสีดำ เราเดินไปหาตามทางการแข่งขันจักรยานเสือภูเขา ครั้งแรกคิดว่าเดินไปไม่ไกลแล้วก็จะเดินกลับมาเรียนภาษาอังกฤษต่อ และแล้ว...
ความตื่นเต้นกระตุ้นให้ผมเดินต่อ ผมอยากเห็นสนามแข่งชันจักรยาน อยากเห็นป่า ผมเดินไปสักพักสิ่งแวดล้อม ต้นไม้ ก้อนหิน ป่าไม้ ต้นไม้ หลายขนาด ใหญ่บ้างเล็กบ้าง มีต้นใหญ่ต้นสูง มีกิ่งใบต่างกันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ทุกอย่างที่เห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ผมเดินเข้าป่ารู้สึกว่าอากาศเย็นสบาย ผมเดินด้วยความเพลิน ในใจคิดว่าแค่แป๊บเดียวในป่า ต้นไม้เหมือนต้นไม้ ภูเขาเหมือนภูเขา หินเหมือนหิน เส้นทางเหมือนเส้นทาง ผมนึกถึงว่าจะต้องเรียนภาษาอังกฤษและจะต้องกลับห้องเรียนให้ทัน ตอนนี้ความกลัวกับความหิวน้ำเข้ามาแทนความอยากรู้อยากเห็น จะกลับก็กลับไม่ได้ จะไปต่อก็กลัวหลงทาง คำถามเกิดขึ้นในใจตามมาอีกมากมาย
1. งานนี้ผิดข้อตกลงกับพ่อที่ไม่ได้ขออนุญาต
2. กลัวครูนิ และ Teacher Peter เสียใจที่โดดเรียนภาษาอังกฤษ
3. กลัวกลับบ้านไม่ถูก
ผลของการซุกซนในวันนั้นกลับมาผมถูกพ่อลงโทษด้วยเหตุผลที่ผิดข้อตกลง จนทำให้เกิดอันตรายต่อตนเองและคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อนตามหาผมกับเพื่อน ครั้งแรกที่พ่อให้ผมตัดสินใจว่าจะถูกตีกี่ทีผมบอกว่า 3 ที ครั้งแรกผมยอมรับและทำใจได้เพราะผมเองทำผิด ผมไม่ร้องให้เลยแต่พอครูนิเดินเข้ามาปลอบผมว่าไม่เป็นไร “พ่อเป็นห่วงลูก” ผมก็ร้องไห้โฮออกมาเลย โดยไม่อายใคร อยากจะกลั่นไม่ให้สะอึกสะอื้นแต่ก็ทำไม่ได้
ช่วงเวลาแค่แป๊บเดียวผมหลงเข้าป่าไป 4 กิโลเมตร โชคดีที่ตัดสินใจหยุดอยู่กับที่ ลุงแดงใจดีผ่านมาพบพาผมกับเพื่อนออกจากป่าผมดีใจและโล่งใจ
จากวันนั้นผมจึงศึกษาการเอาชีวิตรอดจากป่า จากการอ่านหนังสือ วิธีง่ายๆ คือใช้ก้อนหิน และ กิ่งไม้เป็นสัญลักษณ์ เครื่องหมายการเดินป่า เพื่อไม่ให้หลงทาง
1. ใช้ก้อนหิน 3 ก้อน
2. ใช้กิ่งไม้
การใช้ก้อนหินนำทางเมื่อต้องการเดินทางตรง ให้ซ้อนก้อนหินทั้ง 3 ก้อน ถ้าต้องการเลี้ยวซ้ายก็หยิบก้อนหิน 1 ก้อนไว้ที่ด้านซ้ายเช่นกัน ถ้าต้องการเลี้ยวขวาก็วางก้อนหินไว้ด้านขวา 1 ก้อน หรือใช้ไม่ทำเครื่องหมายกากบาททางตันหรืออันตราย ผมศึกษาการเอาชีวิตรอดจากป่าจาก อ.เสกสรร พืชกินได้จากป่าจากป้ายุพินและพ่อผม
ผมชอบเรียนรู้เชิงประสบการณ์ ผมได้ทำจริงได้เดินป่าจริงได้ลองจับลองชิมรสชาติใบไม้จริง เช่น สำรวจธรรมชาติมีป่าสวย ต้นไม้ขนาดใหญ่ ได้วิ่งขึ้นดอยหัวโล้น ผมเดินป่าเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ตื่นเต้นที่เห็นต้นมะค่าหลวง ต้นใหญ่ได้รู้จักหญ้ารีแพ รู้จักหญ้าสาบเสือ เห็นสิ่งต่างๆ สนุกมากเลยครับ
-สวัสดีครับน้องชาย
-สุดยอดเลยกับประสบการณ์ชีวิตแบบนี้
-ประสบการณ์ชีวิตและช่วยสอนเราและจะทำให้เราใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิตครับ
-น่าฮัก...ละอ่อนน่อยห้อยกิ่งไม้ ครับ 555
เก่งนะนี่ มีทักษะชีวิตเยอะ
มาทักทายคนเก่งจ้ะ
ยินดีที่ได้ทักทายจ้ะ