นิสิต “ปักกฐิน” ด้วยตนเอง –
ใช่ครับ, ฟังดูแปลกแปร่ง แต่ก็จริง เพราะล่าสุดกลุ่มนิสิตมอน้ำชี (พรรคมอน้ำชี) มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้จัดโครงการ “ฮีต 12 ฉลองบุญใหญ่ มอน้ำชีร่วมใจ ทอดกฐินสามัคคี” ณ วัดใหม่สามัคคีธรรมบ้านหนองโน ต.เขวาใหญ่ อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม
กิจกรรมดังกล่าวขับเคลื่อนภายใต้วัตถุประสงค์สำคัญๆ คือ 1) เพื่ออนุรักษ์และสืบสานประเพณีบุญกฐินตามครรลองสังคมไทย หรือสังคมอีสาน คือ “ฮีต 12 คอง 14” และ 2) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ประกอบด้วยแนวคิดสำคัญๆ ของการดำเนินงาน เช่น
จากการสอบถามเหล่าบรรดาแกนนำพรรคมอน้ำชีทำให้รู้ที่มาที่ไปอย่างน่าชื่นชม เนื่องเพราะกิจกรรมครั้งนี้ต่อยอดมาจากรายวิชา “ภาวะผู้นำ” ซึ่งเป็นรายวิชาในหมวดศึกษาทั่วไปที่กาลครั้งหนึ่งกองกิจการนิสิต หรือผมและทีมงานเคยรับหน้าที่ทีมกระบวนกรที่จัดการเรียนรู้ในรายวิชานี้
ครั้งนั้น – แกนนำของพรรคมอน้ำชีที่ลงทะเบียนเรียนในวิชาภาวะผู้นำได้เลือกที่จะจัดกิจกรรมเรียนรู้คู่บริการ ณ วัดใหม่สามัคคีธรรม ภายใต้รูปแบบง่ายงามและไม่ซับซ้อน เช่น ถอดผ้าป่า ปรับภูมิทัศน์และการปลูกต้นพยุงพร้อมๆ กับการถมตลิ่งเพื่อป้องกันมิให้พื้นที่ของวัดพังถล่มไปกับการกัดเซาะของแม่น้ำชี
ภายหลังการจัดกิจกรรมผ่านรายวิชาภาวะผู้นำ นิสิตก็ยังไปมาหาสู่กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการติดต่อสื่อสารกับหลวงปู่เรืองศิลป์ กตปุญโญ เป็นระยะๆ จึงทำให้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของวัดและชุมชนอย่างไม่ขาดห้วง เช่นเดียวกับการมองเห็นถึงความเข้มแข็งของวัดและชุมชนที่ผนึกเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงขั้นต้องการจัดซื้อที่ดินบริเวณด้านหน้าของวัดเพิ่มเติมอีก 4 ไร่จากเดิมที่มีอยู่ 3 ไร่ เพื่อหนุนกระบวนการขึ้นทะเบียนเป็นวัดให้ถูกต้อง
นี่คือเหตุปัจจัยอันสำคัญที่ทำให้เหล่าบรรดาแกนนำของพรรคมอน้ำชีหวนกลับไปยังวัดฯ และชุมชนอีกครั้งในรูปของการจัดประเพณีบุญกฐินร่วมกัน โดยร่วมกำหนดวันเวลาและรูปแบบ หรือแม้แต่กระบวนการทั้งปวงร่วมกันโดยไม่แบ่งแยกว่า “ใครคือนิสิต ใครคือชุมชน” ประหนึ่งทั้งสองส่วนก็คือ “คนบ้านเดียวกัน” ยังไงยังงั้นเลยก็ว่าได้
นี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จของการจัดการเรียนรู้ของหมวดศึกษาทั่วไปที่บ่มเพาะความเป็นผู้นำผ่านการเรียนรู้คู่บริการโดยใช้นิสิตและชุมชนเป็นฐานการเรียนรู้ ก่อเกิดเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างนิสิตกับชุมชน หรือมหาวิทยาลัยกับชุมชนไปโดยปริยาย กระทั่งนำมาสู่กิจกรรมสร้างสรรค์ใน “วิถีบุญ” ร่วมกันอย่างน่ายกย่อง
ในด้านของรูปแบบ-
กิจกรรมครั้งนี้ดำเนินการบนกรอบแนวคิดของฮีต 12 คอง 14 อย่างค่อยเป็นค่อยไป มีชุมชนเป็นผู้นำทางแนวคิดในเรื่องจารีต หรือวิถีปฏิบัติ ขณะที่นิสิตก็บูรณาการความรู้ของตนเองเข้ากับชุมชน มีกระบวนการ “บอกบุญ” ผ่านวิธีการที่นิสิตสันทัด เช่น ตีกลองร้องลำ แหล่อีสานเพื่อเชิญชวนคนร่วมทำบุญเป็นระยะๆ ภายในมหาวิทยาลัย กระทั่งจัดวัน “โฮมบุญ : มื้อโฮมบุญ” (ตั้งองค์กฐิน) ขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 2560 ณ บริเวณตลาดน้อย พิธีเจริญพระพุทธมนต์ และแสดงพระธรรมเทศนา และสวดมนต์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9
จากนั้นในวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2560 จึงเคลื่อนองค์กฐินไปถวาย หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า “ทอดกฐิน” โดยรวมกับชุมชนได้ในวงเงิน จำนวน 238,769 บาท (สองแสนสามหมื่นแปดพันเจ็ดร้อยหกสิบเก้าบาทถ้วน)
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่านี่คือความกล้าหาญบนฐานแห่งศรัทธาอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผมโตมากับวาทกรรมชวนเชื่อที่ว่า “บุญบ่หลาย บารมีบ่พอ สร้างกฐินบ่ได้ดอก” ซึ่งมันก็มีส่วนจริงอยู่มาก เพราะกฐินไม่ได้ทำได้ทุกฤดูกาลเหมือน “ผ้าป่า” ปีหนึ่งๆ จัดได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จัดแต่ละปีแต่ละครั้งมันต้องใหญ่โตพอสมควร ส่วนจะใหญ่โตด้วยอะไรบ้าง ตรงนี้ขอละข้ามไม่กล่าวถึงละกัน (นะครับ)
ผมชื่นชมหัวใจอันกล้าแกร่งของนิสิตในเรื่องนี้เป็นที่สุด ย้อนอดีตผมก็ใครพานิสิต “ปักกฐิน” ในชุมชนรอบมหาวิทยาลัยมาแล้วเหมือนกัน หากแต่เป็น “จุลกฐิน” หรือ “กฐินแล่น” อันเป็นที่มาของวาทกรรมสำคัญของผมที่ว่า “ใจนำพาศรัทธานำทาง”
หรือในอีกวาทกรรมที่ผมชอบพูดถึงก็คือ “หอมกลิ่นกฐินใจ”
นอกจากนี้ยังชื่นชอบในประเด็นการ “ต่อยอด” จัดกิจกรรมในพื้นที่เดิม เสมอเหมือนการกลับไปตรวจทานผลงานเดิมว่ายังคงอยู่ หรือแตกดับไปแล้ว หรือกระทั่งการยืนยันว่านิสิตกับชุมชนยังคงติดต่อสื่อสารไปมาหาสู่กันอย่างไม่ขาดหาย ตอบโจทย์วาทกรรมที่ผมเปรยพูดเสมอมาว่า “ไม่ใช่ญาติ ก็เหมือนญาติขาดไม่ได้”
รวมถึงชื่นชอบและชื่นชมประเด็นของที่ปรึกษาที่เข้ามาหนุนเสริมอย่างใกล้ชิด ทั้งภาพงานในมหาวิทยาลัยและการตะลุยชุมชน เช่น อาจารย์อารีรัตน์ รักษาศิลป์ ดร.นวลละออง อรรถรังสรรค์ ผศ.คะนอง พิลุน นายสวัสดิ์ วชิระโภชน์
เช่นเดียวกับประเด็น “ศิษย์เก่า” ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมประทับใจ เพราะเท่าที่รู้และพบเจอด้วยตนเองก็คือกิจกรรมครั้งนี้มีศิษย์เก่า (พี่พรรค) กลับมาร่วมทำบุญกับน้องๆ หลายคน ที่ไม่ได้มาก็ส่งเงินมาร่วมทำบุญอย่างมากมาย
นี่คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชี้ให้เห็นว่า “กิจกรรมสร้างคนและสังคม” อย่างไม่บิดเบี้ยว และบนถนนสายกิจกรรมก็ก่อให้เกิดมิตรภาพระหว่างคนอย่างมหัศจรรย์
จะว่าไปแล้ว การกลับมาของศิษย์เก่าเช่นนี้ ก็คืออีกหนึ่งของความงามที่สัมผัสได้ว่าศิษย์เก่ายังคงรักและผูกพันกับมหาวิทยาลัยฯ หรือบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน –
ครับ- นี่คืออีกหนึ่งกิจกรรมที่อดจะเขียนถึงไม่ได้
เป็นกิจกรรมที่ทำด้วยหัวใจอันกล้าแกร่ง ... ไม่แน่จริงคงไม่อหังการ์ปักกฐิน !
นี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จของกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือกิจกรรมเรียนรู้คู่บริการบนฐานวัฒนธรรม หรือที่ผมเรียกเองว่า “ฮีต 12 คองสังคม : ฮีต 12 คองกิจกรรม (คองนิสิต)”
หรือแม้แต่ความสำเร็จของกระบวนการบ่มเพาะนิสิตสู่อัตลักษณ์ “เป็นผู้ช่วยเหลือสังคมและชุมชน” รวมถึงค่านิยมการเป็นนิสิตที่ว่า “MSU FOR ALL : พึ่งได้” ที่หมายถึงการที่นิสิตสามารถพึ่งตนเองได้และสามารถเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ เสมอเหมือนการรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน สอดรับกับปรัชญามหาวิทยาลัยฯ “ผู้มีปัญญาพึงเป็นอยู่เพื่อมหาชน”
แถมยังอบอวลไปด้วยความเป็นจิตอาสา จิตสาธารณะ สำนึกรักษ์บ้านเกิด หรือเยาวชนจิตอาสาอย่างชัดแจ้ง
เหนือสิ่งอื่นใด ผมคงไม่หยั่งคิดเป็นอื่นในยอดเงิน 238,769 บาท ต่อชุมชนจำนวน 30 กว่าครัวเรือน รวมถึงวัดที่มีพระสงฆ์จำวัดเพียงรูปเดียว เพราะสิ่งที่นิสิตและชุมชนได้รังสรรค์ขึ้นมีความดีงามและงดงาม
และมีความสมบูรณ์บนฐานใจเกินความจำเป็นใดๆ ที่ต้องประเมินผล –
เอาเป็นว่า ชื่นชมและให้กำลังใจ นะครับ.....
หมายเหตุ
ภาพ : พรรคมอน้ำชีเขียน : วันที่ 20 ตุลาคม 2560
สวัสดีครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งนะครับว่าการเติบโตของลูกศิษย์ลูกหาคือรางวัลชีวิตของความเป็นครูอย่างแท้จริง บางทีครูก็เหมือนต้นไม้ที่มีรากแก้วอันแข็งแกร่ง กิ่งก้านสาขาก็ถูกทาบกิ่ง ดอก-ผล ก็ถูกนำไปขยายพันธุ์
บางทีก็อดเทียบเคียงในมุมเช่นนี้ไม่ได้เหมือนกันครับ
เป็นงานที่ส่งเสริมพุทธศาสนา ศิลปะ ประเพณีอันดีเลยครับ
ขอชื่นชม พรรคมอน้ำชี
ขอบคุณมากๆครับ
เป็นแนวคิด ดีงามค่ะ และขอชื่นชม ผลงานนิสิต มมส. ค่ะ