ในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ได้ออกลงพื้นที่ ทดลองสอน ของวิชาการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร มีที่ปรึกษา คือ รศ.ดร.ชวลิต ชูกำแพง เพื่อเก็บข้อมูลสภาพปัญหาและปัญญาต่างๆ เพื่อมาเป็นต้นทุนในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรของตัวเอง โดยผมได้สอน ๒ วิชา ได้แก่ วิชาประวัติศาสตร์ไทย เนื้อหา รัชกาลที่๔-๖ ระดับชั้น ม.๓ และวิชาพระพุทธศาสนา เนื้อหา นิทานชาดก ระดับชั้น ม.๖ ณ โรงเรียนศรีสมเด็จพิมพ์พัฒนาวิทยา อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด คุณครูพี่เลี้ยง คือ คุณครูศุภวรรณ แก้วขอนแก่น และ คุณครูเมธี อนุมลฑล
ก่อนลงพื้นที่ "คิดว่าตนเองเตรียมกิจกรรมแน่นมาก" แต่ก็เชื่อมั่นว่าเด็กจะทำได้ ตามชั่วโมงเรียน ๕๐ นาที ซึ่งมีสื่อการสอน มีเครื่องมือ KM และมีการสรุปผล กล่าวคือ "ครบถ้วนกระบวนการ" โดยเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้ ดังนี้
วิชาพระพุทธศาสนา เนื้อหา นิทานชาดก (ม.๖)
กิจกรรมเตรียมความพร้อม : .ใบ้ให้สุดโลก"
สื่อ : วิดีทัศน์ นิทานชาดก เรื่อง พระเวสสันดร พระมหาชน
เครื่องมือ KM : Mild map
กระบวนการ ดังนี้
วิชาประวัติศาสตร์ไทย เนื้อหา รัชกาลที่ ๔-๖ (ม.๓)
<p>กิจกรรมเตรียมความพร้อม : สันทนาการ สัตว์บก-สัตว์น้ำ
สื่อ : QR Code
เครื่องมือ KM : Timeline
กระบวนการ มีดังนี้
เมื่อเดินทางไปถึงพื้นที่โรงเรียนก่อนสอน มีข้อจำกัดเข้ามา คือ วันนั้นจะมีคาบลดเวลาเรียน แต่ละคาบของทุกวิชาจะลดเหลือ ๔๐ นาที “แน่นอนว่าไม่พอแน่ๆ” แต่ถึงอย่างไรวันนี้ก็มาเรียนรู้เพื่อพบสภาพปัญหาและปัญญา ถือว่าเป็นข้อเรียนรู้อย่างหนึ่งของผมเลยทีเดียว ปกติผมจะชินอยู่กับห้องกิจกรรมที่ไร้เก้าอี้ ให้ทำเด็กเคลื่อนตัวง่ายจับกลุ่มง่าย สนใจกระบวนกร แต่ที่นี้เราไม่ได้มีบทบาทเป็นนักกิจกรรม บรรยาห้องเรียนไม่ใช่ค่ายกิจกรรม เรามาในบทบาทครูผู้สอน ซึ่งมันจะแตกต่างกันมาก จากเดิมที่ One man Show แล้วเด็กๆเขาพร้อมจะเล่นตาม มายืนตรงนี้กลับกัน เพราะเป็นห้องเรียน ไม่ใช่ห้องกิจกรรมและห้องติว ผมรู้สึกว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่ผิดพลาดแน่ๆ
ในช่วงระหว่างสอน ผมใช้วิธีการพูดคุยเพื่อละลายพฤติกรรมเข้าผมและนักเรียนเข้าหากัน ทำให้เลยเวลาสันทนาการ จึงไม่ได้ทำ แต่ก็ประเมินแล้วว่า เด็กเริ่มจดจ่อกับครูมากกว่าโทรศัพท์ จึงเริ่มคลาส ภายใต้การสอนดำเนินไปปกติ มีข้อจำกัด คือ ระยะเวลา กับกิจกรรมที่อัดแน่น ทำให้ผมได้เรียนรู้อีกข้อ คือ กิจกรรมมันแน่นเกินไป ธรรมชาติของเด็กเขาต้องใช้เวลาคิด และการถกเถียง อย่างค่อยเป็นค่อยไป ผมก็เลยเดินคลาสไปช้าๆ พยายามเว้นจังหวะให้คิดคำตอบอยู่เรื่อยๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาอีก คือ โปรเจคเเตอร์ฉายไม่ได้ ก็เลยเปลี่ยนให้เด็กหาข้อมูลจากโทรศัพท์แทน แต่ว่าต้องให้ตอบคำถามภายใต้ชุดคำถามดังกล่าว เพื่อจะเขียนสรุปองค์ความรู้ที่ได้ ด้วยชุดเครื่องมือ KM ต่างๆ ปัญหาต่อมา คือ เด็กผู้ชาย "มึนๆ ไม่ทำ เดินรอบห้อง "ทำไงดี" ผมก็เรียกออกมานอกห้อง แล้วมาอ่านชุดข้อมูลให้เพื่อนฟัง "เพื่อนๆก็ขำกันใหญ่" กลายเป็นห้องเรียนที่เสียงดังที่สุด มีเด็กๆห้องข้างๆประมาณ ๗ คน มานั่งฟังด้วยหลังห้อง "คงไม่เคยเห็นครู" ฮ่าๆๆ ปัญหาสุดท้าย คือ ระยะเวลาที่จำกัด ทำให้ได้เพียงแค่การนำเข้าข้อมูล และการถอดบทเรียนไม่กี่ข้อเพียงเท่านั้น
จากสิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้(มิติการออกแบบและพัฒนากระบวนการ)
ไม่มีความเห็น