29. การดำรงอยู่คือเป้าหมายหนึ่งเดียวของชีวิต


29. การดำรงอยู่คือเป้าหมายหนึ่งเดียวของชีวิต


ภาม  การประสบความล้มเหลวในโยคะ หมายความว่าอย่างไร?

ใครคือผู้ล้มเหลวในโยคะ (yoga bhrashta)? 

ตอบ  มันเป็นเพียงคำถามของความไม่สมบูรณ์

บุคคลที่ไม่สามารถทำโยคะของเขาให้สมบูรณ์ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด เรียกว่าเป็นผู้ล้มเหลวในโยคะ

การล้มเหลวดังกล่าวเป็นแค่ชั่วคราว เพราะในโยคะไม่มีการพ่ายแพ้

สงครามนี้จะถูกชนะเสมอ เพราะมันเป็นสงครามระหว่างความจริงและความจอมปลอม

ความจอมปลอมไม่มีโอกาสชนะได้เลย

 

ถาม  ใครล้มเหลว? บุคคล (vyakti)  หรือตัวตน (vyakta)?

ตอบ  เธอตั้งคำถามผิด

มันไม่มีคำถามเกี่ยวกับความล้มเหลว ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว

มันเหมือนการเดินทางบนถนนที่ยาวไกลและลำบากในประเทศที่เธอไม่รู้จัก

ไม่ว่าเธอจะก้าวเดินมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่มันมีเพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้นที่นำเธอไปสู่จุดหมายปลายทาง

แต่เธอจะไม่คิดว่าจำนวนก้าวทั้งหมดก่อนหน้านั้นเป็นความล้มเหลว

แต่ละก้าวนำเธอเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เมื่อเธอต้องหันกลับเพื่อข้ามผ่านอุปสรรค

ในความเป็นจริง แต่ละก้าวนำพาเธอไปสู่จุดหมาย เพราะการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา การเรียนรู้ การค้นพบ การตีแผ่ คือโชคชะตาอันเป็นนิรันดร์ของเธอ

การดำรงอยู่คือเป้าหมายหนึ่งเดียวของชีวิต

ตัวตนที่แท้จะไม่ผูกตัวเองไว้กับความสำเร็จหรือความล้มเหลว – ความเชื่อว่าจะเป็นนี่เป็นนั่น เป็นสิ่งไม่มีอยู่ในความคิด

ตัวตนที่แท้ เข้าใจว่าความสำเร็จและความล้มเหลวเป็นสิ่งสัมพัทธ์และเกี่ยวข้องกัน ทั้งสองอย่างคือด้ายยืนและด้ายพุ่งของชีวิต

เรียนรู้จากทั้งสองอย่างและไปให้เหนือมัน

ถ้าเธอยังไม่เรียนรู้ ให้ทำซ้ำอีก

 

ถาม  ผมต้องเรียนรู้อะไร?

ตอบ  เรียนรู้ที่จะมีชีวิตโดยไม่สนใจตัวเอง

การจะทำเช่นนี้ได้ เธอต้องรู้จักธรรมชาติเดิมของเธอ (swarupa) ว่ามันไม่ย่อท้อ ไร้ความกลัว และประสบชัยชนะเสมอ

เมื่อใดที่เธอรู้ด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถก่อปัญหาให้เธอ นอกจากจินตนาการของเธอเอง เธอจะไม่สนใจความอยากและความกลัว แนวคิดและความเห็นของเธอ และอยู่ด้วยความจริงแท้เท่านั้น

 

ถาม  อะไรคือเหตุผลที่ทำให้บางคนสำเร็จและบางคนล้มเหลวในเส้นทางโยคะ?

มันคือโชคชะตา หรือบุคลิก หรือแค่โดยความบังเอิญ?

ตอบ  ไม่มีใครที่ล้มเหลวในเส้นทางโยคะ

มันเป็นแค่อัตราเร็วของความก้าวหน้า

ตอนเริ่มต้นมันจะช้า และตอนจบจะเร็วมาก

เมื่อบุคคลมีความพร้อมเต็มเปี่ยม การบรรลุธรรมจะระเบิดขึ้นในทันที

มันจะเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง หรือไม่มีสิ่งบอกเหตุแม้แต่น้อย

การบรรลุธรรมในฉับพลันทันที ไม่ได้ดีกว่าการค่อยเป็นค่อยไป

การที่ผลไม้สุกอย่างช้าๆ และการที่ดอกไม้บานอย่างรวดเร็ว จะเกิดขึ้นสลับกันไป

ทั้งสองอย่างล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติและถูกต้อง

แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวที่ใจสร้างขึ้นเท่านั้น

ตามความเห็นของฉัน มันไม่มีอะไรแบบนั้นเลย

ในกระจกบานใหญ่ของความรู้ตัว ภาพจะเกิดขึ้นและดับไป มีเพียงความทรงจำเท่านั้นที่ทำให้มันกลายเป็นความต่อเนื่อง

และความทรงจำนี้เป็นเหมือนวัสดุ – แตกทำลายได้ เสื่อมสลายได้ คงอยู่แค่ชั่วขณะ

บนพื้นฐานอันบอบบางนี้ เราสร้างความรู้สึกของการมีอยู่ของอัตตาตัวตน – อย่างเลือนลาง ไม่สม่ำเสมอ เหมือนความฝัน

การโน้มน้าวที่คลุมเครือนี้ บอกว่า “ฉันเป็นนั่น ฉันเป็นนี่” และบดบังสภาวะที่ไม่เปลี่ยนแปลงเกิดดับของความตระหนักที่บริสุทธิ์ และทำให้เราเชื่อว่าเราเกิดมาเพื่อมีความทุกข์และตาย

 

ถาม  เด็กๆต้องเติบโตอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ ผู้ใหญ่ก็ถูกผลักดันโดยธรรมชาติให้ก้าวไปข้างหน้า

แล้วทำไมต้องมาออกแรงพัฒนาตนเอง?

ความจำเป็นที่ต้องมี โยคะ อยู่ตรงไหน?

ตอบ  ความก้าวหน้ามีอยู่ตลอดเวลา

ทุกสิ่งทุกอย่างก่อให้เกิดความก้าวหน้า

ต่มันเป็นความก้าวหน้าของความไม่รู้

วัฏจักรของความไม่รู้อาจกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ แต่มันก็ยังคงเป็นการยึดติดเช่นเดิม

เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม กูรูปรากฏขึ้นเพื่อสอนและสร้างแรงบันดาลใจให้เราฝึกโยคะ และการสุกงอมเกิดขึ้นเมื่อความมืดอันยาวนานของความไม่รู้ละลายหายไปก่อนอรุณรุ่งเนื่องจากดวงอาทิตย์แห่งปัญญา

แต่ในความเป็นจริง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ดวงอาทิตย์อยู่ตรงนั้นเสมอ ความมืดไม่เคยมีอยู่ ความมืดบอดของใจเกิดจากความคิดว่า “ฉันคือร่างกาย” ที่ปล่อยเส้นใยแห่งมายาออกมาอย่างไม่สิ้นสุด

 

ถาม  ถ้าทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการธรรมชาติ แล้วตรงไหนที่ต้องการความพยายาม?

ตอบ  แม้แต่ความพยายามก็เป็นส่วนหนึ่งของความไม่รู้

เมื่อความไม่รู้กลายเป็นความดันทุรังและแข็งกระด้าง และบุคลิกเปลี่ยนแปรไปในทางที่ผิด จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ความพยายามและพบความเจ็บปวด

ความเชื่อฟังอย่างไร้ข้อแม้ต่อธรรมชาติเท่านั้นที่ไม่ต้องการความพยายาม

เมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเติบโตในความเงียบและในความมืดจนถึงเวลาของมันซึ่งถูกกำหนดไว้แล้ว

 

ถาม  เราได้เจอบุคคลที่ยิ่งใหญ่หลายคน เป็นผู้มีอายุมากแล้ว กลับมีพฤติกรรมเหมือนเด็ก ทำตัวไร้ความสำคัญ ชอบหาเรื่อง เจ้าคิดเจ้าแค้น

เขาเสื่อมลงไปมากขนาดนั้นได้อย่างไร?

ตอบ  พวกเขาไม่ได้สมบูรณ์แบบ โยคีที่มีร่างกายภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์

หรือพวกเขาอาจไม่สนใจที่จะปกป้องร่างกายจากการเสื่อมสลายตามธรรมชาติ

เราไม่ควรสรุปโดยไม่เข้าใจเหตุปัจจัยทั้งหมด

ที่สำคัญ เราไม่ควรพิพากษาความด้อยกว่าหรือความเหนือกว่า

ความเป็นหนุ่มสาวเป็นเรื่องของพลังชีวิต (prana) มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของปัญญา (jnana

 

ถาม  คนเราอาจแก่ลง แต่ทำไมต้องสูญเสียความว่องไวและความสามารถในการแยกแยะ?

ตอบ  ความรู้ตัวและความไม่รู้ตัว ในขณะที่มันอยู่ในร่างกาย จะขึ้นอยู่กับสภาพของสมอง

แต่ธรรมชาติเดิมอยู่เหนือทั้งสองอย่าง เหนือสมอง เหนือใจ

ความบกพร่องของเครื่องมือไม่ใช่ภาพสะท้อนของผู้ใช้เครื่องมือ

 

ถาม  มีคนบอกผมว่าผู้บรรลุธรรมแล้วจะไม่ทำสิ่งใดที่ไม่สมควร

เขาจะประพฤติตนสมควรเอาเป็นแบบอย่างเสมอ

ตอบ  ใครเป็นผู้กำหนดตัวอย่าง?

ทำไมผู้ที่เป็นอิสระหลุดพ้นแล้วต้องทำตามขนบ?

ทันทีที่เขาทำตัวเหมือนคนทั่วไป เขาจะไม่สามารถเป็นอิสระ

อิสรภาพของเขาอยู่ที่ความอิสระที่เขาจะทำสิ่งที่เติมเต็มความต้องการในแต่ละขณะ เพื่อตอบสนองความจำเป็นของสถานการณ์

อิสรภาพที่จะทำตามสิ่งที่บุคคลชอบ จริงๆแล้วมันคือการยึด ในขณะที่การมีอิสระที่จะทำสิ่งต้องทำ ทำสิ่งที่ถูกต้อง นั่นต่างหากคืออิสรภาพที่แท้จริง

 

ถาม  แต่มันก็น่าจะมีวิธีที่จะบอกว่าใครบรรลุธรรมแล้ว และใครยังไม่บรรลุ

ถ้าไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้บรรลุธรรมกับคนทั่วไป แล้วเขาจะมีประโยชน์อะไร?

ตอบ  ผู้ที่รู้จักตัวเองจะไม่มีความสงสัยว่าตนคืออะไร และท่านก็ไม่สนใจว่าคนอื่นๆจะรู้หรือไม่รู้สภาวะของท่าน

หายากมากที่ผู้รู้เห็นธรรมแล้วจะเปิดเผยการรู้เห็นของท่าน และนั่นนับเป็นโชคดีสำหรับผู้ที่ได้พบท่าน เพราะท่านทำเช่นนั้นเพื่อความผาสุกตลอดกาลของเขาเหล่านั้น

 

ถาม  เมื่อมองไปรอบๆ บางคนอาจตกใจเมื่อเห็นปริมาณของความทุกข์อันไม่จำเป็นที่ดำเนินอยู่

ผู้คนที่ควรได้รับการช่วยเหลือไม่ได้รับการช่วยเหลือ

ลองจินตนาการถึงห้องผู้ป่วยขนาดใหญ่ในโรงพยาบาล คลาคล่ำไปด้วยผู้ป่วยที่รักษาไม่หาย ร้องกระวนกระวายและครวญคราง

ท่านได้รับมอบอำนาจที่จะฆ่าเขาทั้งหมด และทำให้เขาพ้นจากความทรมาน ท่านจะไม่ทำเช่นนั้นหรือ?

ตอบ  ฉันจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของพวกเขา

 

ถาม  แต่ชะตากรรมของเขาคือการรับทุกข์เช่นนั้นหรือ?

ท่านสามารถแทรกแซงชะตากรรมได้อย่างไร?

ตอบ  ชะตากรรมของพวกเขาคือสิ่งทีเกิดขึ้น

ไม่มีการขัดขวางใดๆของชะตากรรม

ที่ท่านพูด หมายความว่าชีวิตของทุกคนถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดเช่นนั้นหรือ?

ช่างเป็นความคิดที่แปลกอะไรเช่นนั้น

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง พลังที่กำหนดชะตากรรมนั้นควรจะเป็นไปในลักษณะที่ว่าไม่มีใครที่ต้องทนทุกข์

 

ถาม  ผมอยากถามเกี่ยวกับเหตุและผลว่าท่านเห็นอย่างไร?

ตอบ  แต่ละขณะจะบรรจุทั้งหมดของอดีตและสร้างทั้งหมดของอนาคต

 

ถาม  แต่อดีตและอนาคตมีอยู่จริงหรือ?

ตอบ  มีอยู่จริงเฉพาะในใจเท่านั้น

เวลามีอยู่ในใจ ที่ว่างมีอยู่ในใจ

กฏของเหตุและผลก็เป็นเพียงวิธีคิด

ในความเป็นจริง ทุกสิ่งมีอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ และทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว

ความมากมายและความหลายหลากมีอยู่ในใจเท่านั้น

 

ถาม  อย่างไรก็ดี ท่านยังคงชอบที่จะบรรเทาความทุกข์ แม้จะด้วยการทำลายร่างกายที่ป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่ได้

ตอบ  เธอมองจากภายนอกอีกแล้ว ในขณะที่ฉันมองจากภายใน

ฉันไม่เห็นผู้อื่นทนทุกข์ ฉันคือผู้ทนทุกข์

ฉันรู้จักเขาจากภายในและทำสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่ต้องคิดและไม่ต้องใช้ความพยายาม

ฉันไม่ทำตามกฎใดๆ และฉันก็ไม่กำหนดกฏเกณฑ์ใดๆ

ฉันเลื่อนไหลไปตามชีวิต – ด้วยความศรัทธาและไม่ขัดขืน

 

ถาม  ท่านดูเป็นคนมองโลกตามความเป็นจริงและสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมโดยรอบตัวท่านได้อย่างเต็มที่

ตอบ  แล้วเธอคิดว่าฉันเป็นอะไร?  คนที่ไม่มีความเหมาะสมอย่างนั้นหรือ?

 

ถาม  แต่ท่านก็ไม่สามารถช่วยคนอื่นได้มากเท่าไหร่

ตอบ  ฉันช่วยได้อยู่แล้ว เธอเองก็ช่วยได้เช่นกัน ทุกคนช่วยได้

แต่ผู้ทนทุกข์ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา

มนุษย์สามารถทำลายรากเหง้าของความเจ็บปวดภายในได้ด้วยตัวเอง

คนอื่นช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ แต่ช่วยเรื่องสาเหตุของความเจ็บปวดไม่ได้ ซึ่งสาเหตุที่ว่านี้คือความโง่เขลาอย่างสุดประมาณของมนุษยชาติ

 

ถาม  ความโง่เขลานี้จะจบสิ้นลงได้ไหม?

ตอบ  ได้แน่นอน สำหรับความโง่เขลาในบุคคล ได้ทันทีทุกเมื่อ

แต่ความโง่เขลาในมนุษยชาติ – ตามที่เรารู้จัก – คงต้องรอไปอีกหลายปีมาก

ในการสร้าง – ไม่มีทางเป็นไปได้

เพราะการสร้างนั้นมีรากคือความโง่เขลา สสารนั้นเองคือความโง่เขลา

การไม่รู้ และการไม่รู้ว่าตนไม่รู้ คือสาเหตุของความทุกข์ไม่สิ้นสุด

 

ถาม  มีคนบอกเราเกี่ยวกับอวตารผู้ยิ่งใหญ่ ผู้กอบกู้โลก

ตอบ  แล้วเขาช่วยโลกได้ไหม?  พวกเขามาแล้วก็ไป – และโลกก้าวเดินต่อไป

ก็จริงที่พวกเขาได้ทำหลายอย่าง และเปิดมิติใหม่ๆในใจคน

แต่การพูดเกี่ยวกับการกอบกู้โลก นั่นเกินความจริงไปหน่อย

 

ถาม  เราจะไม่มีทางกอบกู้โลกได้เลยหรือ

ตอบ  โลกไหนล่ะที่เธอต้องการกอบกู้?

โลกที่เธอสร้างภาพขึ้นเองน่ะหรือ?

เธอกอบกู้มันเองเถอะ

โลกของฉันน่ะหรือ?

ชี้ให้เห็นสิว่าโลกของฉันอยู่ตรงไหน และฉันจะจัดการมันเอง

ฉันไม่รู้สึกว่ามีโลกไหนที่แยกต่างหากจากความเป็นฉัน ซึ่งฉันเป็นอิสระที่จะกอบกู้มันหรือไม่

มันเรื่องอะไรของเธอที่จะต้องไปกอบกู้โลก ในขณะที่ทั้งหมดที่โลกต้องการคือได้รับการกอบกู้จากเงื้อมมือของเธอ?

ออกมาจากภาพที่เธอสร้างซะ แล้วดูสิว่ามีอะไรเหลืออยู่ให้กอบกู้

 

ถาม  ดูเหมือนท่านจะเน้นว่าถ้าไม่มีท่าน โลกของท่านจะตั้งอยู่ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่ท่านทำให้โลกได้คือจบการแสดงซะ

นี่ไม่ใช่ทางออก

แม้ว่าโลกจะเป็นภาพที่ผมสร้างขึ้น ความรู้อันนี้ไม่สามารถกอบกู้มันได้

มันแค่อธิบายความเป็นโลก

คำถามของผมก็ยังเหมือนเดิม – ทำไมผมจึงสร้างโลกที่น่าอนาถอย่างนั้น และผมควรทำอย่างไรจึงจะเปลี่ยนแปลงมันได้?

ท่านเหมือนจะบอกว่า – ลืมมันให้หมด และยกย่องความรุ่งโรจน์ของท่าน

แน่ละ ท่านไม่ได้หมายความอย่างนั้น

คำอธิบายเกี่ยวกับโรคและสาเหตุของโรคไม่สามารถรักษาโรคได้

สิ่งที่เราต้องการคือยาที่ตรงกับโรค

 

ตอบ  คำอธิบายเกี่ยวกับโรคและสาเหตุของโรคคือวิธีการรักษาโรคที่เกิดจากความทึ่มและความโง่

โรคขาดอาหารสามารถรักษาได้ด้วยการกินสิ่งที่ขาดฉันใด โรคของการมีชีวิตสามารถรักษาได้ด้วยการปล่อยวางด้วยปัญญา (viveka-vairagya) ฉันนั้น

 

ถาม  ท่านไม่สามารถกอบกู้โลกโดยการเทศนาสั่งสอนเกี่ยวกับความสมบูรณ์แบบ

ผู้คนก็เป็นอย่างที่พวกเขาเป็น

พวกเขาจำเป็นต้องทนทุกข์ด้วยหรือ?

ตอบ  ตราบใดที่พวกเขายังเป็นอย่างที่เขาเป็น ก็ไม่มีทางหลบหนีจากความทุกข์ได้

เธอต้องกำจัดความรู้สึกแปลกแยก อัตตาตัวตน และจะไม่มีความขัดแย้งใดๆ

 

ถาม  ข้อความที่ได้รับการตีพิมพ์ อาจเป็นแค่กระดาษและหมึก

ที่สำคัญคือตัวข้อความ

เมื่อเราวิเคราะห์แยกโลกออกเป็นธาตุองค์ประกอบและคุณลักษณะของมัน เราพลาดสิ่งสำคัญที่สุด – ความหมายของมัน

การที่ท่านลดความสำคัญของทุกสิ่งลงเหลือแค่การเป็นความฝัน ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างความฝันของแมลงและความฝันของกวี

ผมยอมรับว่าทุกอย่างคือความฝัน

แต่ไม่ทุกอย่างที่เท่าเทียมกัน

ตอบ  ความฝันต่างๆไม่เท่าเทียมกัน แต่ผู้ฝันคือคนเดียวกัน

ฉันคือแมลง ฉันคือกวี – ในความฝัน

แต่ในความเป็นจริง ฉันไม่เป็นทั้งสองอย่าง

ฉันอยู่เหนือความฝันทั้งปวง

ฉันคือแสงสว่างที่ความฝันทั้งหมดเกิดขึ้นและหายไปภายในนี้

ฉันอยู่ทั้งภายในและภายนอกความฝัน

เหมือนคนที่กำลังปวดหัว รู้ความปวด และรู้ว่าเขาไม่ใช่ความปวด ฉันก็เช่นกัน ฉันรู้ความฝัน รู้ว่าตัวเองกำลังฝัน และรู้ว่าตนเองไม่ได้ฝัน – ทั้งหมดนี้ในเวลาเดียวกัน

ฉันเป็นสิ่งที่ฉันเป็นก่อน ระหว่าง และหลังจากความฝัน

แต่ฉันไม่ใช่สิ่งที่ฉันเห็นในความฝัน

 

ถาม  ทั้งหมดนี้มันเป็นแค่จินตนาการเท่านั้นหรือ

คนจินตนาการว่าเขากำลังฝัน อีกคนจินตนาการว่าเขาไม่ได้ฝัน

ทั้งสองนี้ไม่เหมือนกันหรอกหรือ?

ตอบ  เหมือนกันและไม่เหมือนกัน

การไม่ฝัน ในลักษณะของช่องว่างระหว่างความฝัน ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของความฝันด้วย

การไม่ฝัน ในลักษณะของการคงอยู่ที่ไร้กาลเวลา นิ่งเงียบ และมั่นคง อยู่ภายในความจริงแท้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการฝัน

ในลักษณะเช่นนั้น ฉันไม่เคยฝัน และจะไม่มีวันฝัน

 

ถาม  ถ้าความฝันและการหนีออกจากความฝันเป็นแค่จินตนาการ อะไรคือทางออก?

ตอบ  ไม่จำเป็นต้องมีทางออกใดๆเลย

เธอไม่เห็นหรือว่าทางออกก็เป็นส่วนหนึ่งของความฝัน?

ทั้งหมดที่เธอต้องทำก็คือ เห็นว่าความฝันคือความฝัน เท่านั้นเอง

 

ถาม  ถ้าผมเริ่มฝึกการปล่อยวางทุกอย่าง ว่ามันเป็นแค่ความฝัน มันจะพาผมไปที่ไหน?

ตอบ  ไม่ว่ามันจะพาเธอไปที่ไหนก็ตาม มันก็ยังคงเป็นความฝัน

ความคิดที่จะออกจากความฝัน นั้นก็เป็นเพียงภาพมายาเช่นกัน

ทำเธอต้องไปที่ไหนเล่า?

แค่ตระหนักว่าเธอกำลังฝันในความฝันที่เธอเรียกว่าโลก และหยุดมองหาทางออก

ความฝันไม่ใช่ปัญหาของเธอ

ปัญหาของเธอคือเธอชอบควมฝันส่วนหนึ่ง แต่ไม่ชอบอีกส่วนหนึ่ง

รักทุกส่วนของความฝันของเธอ หรือไม่ก็ไม่มีส่วนใดเลยที่เธอรัก และหยุดบ่น

เมื่อเธอได้เห็นว่าความฝันคือความฝัน เธอได้ทำทุกอย่างที่ต้องทำแล้ว

 

ถาม  การฝันเกิดจากความคิดหรือเปล่า?

ตอบ  ทุกอย่างเป็นแค่การแสดงของความคิด

ในสภาวะอิสระจากความคิด (nirvikalpa samadhi) ไม่มีสิ่งใดให้รับรู้

ต้นเค้าความคิดคือ – “ฉันเป็น”

มันสั่นคลอนสภาวะความรู้ตัวที่บริสุทธิ์ และติดตามมาโดยความรู้สึกและการรับรู้ อารมณ์ละความคิดจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งหลอมรวมกันเป็นองค์ประกอบของพระเจ้าและโลกของพระองค์

“ฉันเป็น” เหลืออยู่ในลักษณะของผู้รู้ผู้เห็น แต่การที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า

 

ถาม  ทำไมจึงไม่ใช่ความต้องการของผม?

ตอบ  เธอแบ่งแยกตัวเองอีกแล้ว – แยกเป็นพระเจ้าและผู้รู้ผู้เห็น

ทั้งสองอย่างคือหนึ่งเดียว

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 635160เขียนเมื่อ 29 สิงหาคม 2017 22:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม 2017 22:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท