การตีความ Article XX ภายใต้ GATT 1947
การที่แต่ละประเทศออกมาตรการใดๆที่ขัดต่อหลักการของ GATT นั้น ในการอ้างข้อยกเว้นทั่วไปตามArticle XX ขึ้นอ้างในส่วนภาระการพิสูจน์ตกเป็นของประเทศที่อ้างข้อยกเว้นตาม Article XX ดังกล่าว ซึ่งคณะพิจารณา ( Panel )ตีความ Article XX นี้อย่างแคบและไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีใดๆต่อคณะพิจารณา( Panel ) ให้มีหน้าที่ต้องหยิบยก Article XX นี้ขึ้นมาใช้ประกอบการพิจารณาเว้นแต่คู่กรณียกขึ้นอ้าง แต่อย่างไรก็ตามการตีความถ้อยคำต่างๆที่ยังมีความเคลือบคลุม กำกวมนั้นต้องตีความอย่างใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยต้องตีความในการใช้ประมาตรการให้เป็นมาตรการที่เป็นการจำกัดน้อยที่สุดหรือมาตรการที่ขัดต่อ GATT น้อยที่สุด ( least restrictive alternative )[1] ข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการใช้มาตรการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมาตรการที่เกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์ที่ได้รับการตัดสินชี้ขาดจำนวน 6 คดี[2] แต่ในที่นี้ผู้เขียนจะหยิบยกมากล่าวไว้เฉพาะบางคดีเท่านั้น ดังต่อไปนี้
1. Fish Export Ban Case[3] ( US versus Canada )
คดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างสหรัฐอเมริกากับแคนาดา รายงานเสนอแนะของคณะพิจารณาได้รับการรับรองในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1988[4] คดีนี้สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายนำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการระงั บข้อพิพาท โดยกล่าวหาว่ามาตรการจำกัดการส่งออกตามพระราชบัญญัติการประมงปีค.ศ. 1976 ของแคนาดา ที่บัญญัติห้ามประเทศอื่นส่งออกปลา pink salmon และปลา sockeye herring ที่ยังไม่ได้ผ่านการแปรรูปไปยังแคนาดา ส่งผลให้การส่งออกปลาแซลมอนและ herring บางชนิดที่จะนำไปจำหน่ายในแคนาดาได้จะต้องผ่านการแปรรูปในแคนาดาก่อนส่งออกเท่านั้น เป็นมาตรการที่ขัดกับหลักการห้ามจำกัดปริมาณภายใต้ GATT 1947 Article XI และกล่าวว่ามาตรการนี้มีวัตถุประสงค์แอบแฝง คือเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมแปรรูปปลาทั้งสองชนิดจากการถูกแข่งขันจากสินค้าภายนอก แคนาดาได้โต้แย้งว่ามาตรการจำกัดการส่งออกดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดการทรัพยากรประมงที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการสงวนพันธุ์ปลา[5] ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ได้รับการยกเว้นตาม Article XX (g) ในคดีนี้คณะพิจารณาให้ความเห็นว่า ถึงแม้ว่าปลา pink salmon และปลา sockeye herring จะเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ที่อาจสูญพันธุ์ หรือหมดสิ้นไป (exhaustible natural resources ) แต่มาตรการของแคนาดาก็ขัดแย้งกับ GATT 1947 Article XI:1 และไม่เป็นไปตามหลักการของ Article XI:2 (b ) และ Article XX (g) อันจะได้รับการยกเว้น โดยคณะพิจารณาได้ตีความ Article XX (g) ว่ามาตรการที่ถือว่า “เกี่ยวกับ ( relating to ) การสงวนทรัพยากรธรรมชาติที่สูญสิ้นได้” นั้นต้องเป็นมาตรการที่มีวัตถุประสงค์หลัก ( primarily aimed at ) ในการสงวนทรัพยากรธรรมชาติ แคนาดามาไม่สามารถพิสูจน์ให้คณะพิจารณาเห็นว่ามาตรการห้ามนำเข้าดังกล่าวเป็นมาตรการที่มีวัตถุประสงค์หลักในการ สงวนทรัพยากรธรรมชาติคือปลา pink salmon และปลา sockeye herring
2. Cigarettes Case[6] (US versus Thailand )
คดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างสหรัฐอเมริกากับไทยซึ่งรายงานเสนอแนะของคณะพิจารณาได้รับการรับรองในวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 คดีนี้สหรัฐอเมริกาได้นำข้อพิพาทเข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาท โดยอ้างว่ามาตรการห้ามการนำเข้าบุหรี่ และยาสูบภายใต้พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 ของไทยขัดกับ GATT 1947 เนื่องจากยังคงอนุญาตให้มีการขายบุหรี่ที่ผลิตภายในประเทศ ไทยโต้แย้งว่ามาตรการจำกัดการนำเข้าบุหรี่จากสหรัฐอเมริกาดังกล่าวเข้าข้อยกเว้นตาม Article XX (b) เนื่องจากเป็นมาตรการที่ดำเนินไปเพื่อปกป้องชีวิต และสุขภาพอนามัยของประชาชน เพราะสารเคมีและสารปรุงแต่งอื่นที่อยู่ในบุหรี่ของสหรัฐอเมริกาอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าบุหรี่ที่ผลิตภายในประเทศ[7] คดีนี้คณะพิจารณาตัดสินว่า มาตรการจำกัดการนำเข้าของไทยไม่สอดคล้องกับ Article XI:1 และไม่เป็นไปตามหลักการตาม Article XI:2 (c ) อีกทั้งยังลงความเห็นว่าการจำกัดการนำเข้าดังกล่าวไม่ถือเป็นมาตรการที่ “จำเป็น” (necessary ) ภายใต้ความหมายที่กำหนดไว้ใน Article XX (b)[8] เนื่องจากประเทศไทยยังสามารถดำเนินมาตรการอื่นที่ขัดต่อ GATT น้อยกว่าได้ ( least restrictive alternative )
3. Tuna-Dolphin I Case ( Mexico versus US )
คดีนี้เป็นคดีพิพาทระหว่างเม็กซิโกกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งรายงานเสนอแนะของคณะพิจารณาได้มีการเวียนให้ภาคีคู่สัญญาของGATT ในปี1991 แต่ไม่ได้รับการรับรอง ดังนั้นรายงานเสนอแนะฉบับนี้จึงไม่มีผลบังคับผูกพันให้คู่กรณีที่พิพาทต้องปฏิบัติตาม ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากมีประเด็นที่เกี่ยวพันกับเรื่องสิ่งแวดล้อมโดยตรง เนื่องมาจากกฎหมายของสหรัฐอเมริกา คือ MMPA ได้กำหนดมาตรฐานในการปกป้องปลาโลมาสำหรับการทำประมงของสหรัฐอเมริกาและประเทศที่เรือประมงเข้าไปจับปลาทูน่าครีบเหลืองในน่านน้ำเขตร้อนฝั่งตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยสหรัฐอเมริกาอ้างว่าฝูงปลาทูน่าครีบเหลืองมักว่าอยู่ใต้ฝูงปลาโลมา ดังนั้นเมื่อจับปลาทูน่าครีบเหลืองด้วยอวนล้อมจับ ปลาโลมามักติดมาด้วยและมักตายถ้าไม่ถูกปล่อยออกไป รัฐบาลสหรัฐอเมริกาห้ามนำเข้าปลาทูน่าจากประเทศที่ส่งออกปลาทูน่ามายังสหรัฐอเมริกา หากประเทศเหล่านั้นไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ประเทศผู้ส่งออกเหล่านั้นได้ดำเนินมาตรการปกป้องปลาโลมาตามที่กำหนดในกฎหมายสหรัฐอเมริกา ซึ่งข้อพิพาทนี้สหรัฐอเมริกาได้ห้ามนำเข้าปลาทูน่าจากเม็กซิโก อีกทั้งยังขยายไปถึงประเทศที่เป็นทางผ่านของสินค้าปลาทูน่า ( Intermediaries Countries )[9] ดังกล่าวด้วย เม็กซิโกได้นำข้อพิพาทเสนอต่อองค์กรระงับข้อพิพาทของ GATT โดยเม็กซิโกอ้างว่า การห้ามนำเข้าปลาทูน่าและผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าของสหรัฐอเมริกานั้น ขัดกับบทบัญญัติของ GATT 1947 Article XI:1 ซึ่งคณะพิจารณา( Panel ) ก็ตัดสินว่ามาตรการดังกล่าวของสหรัฐอเมริกาเป็นการกระทำที่ขัดต่อ Article XI:1 ของ GATT 1947 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ห้ามรัฐสมาชิกจำกัดปริมาณการนำเข้า แต่สหรัฐอเมริกาได้ยกข้อยกเว้นตาม Article XX (b) และ Article XX (g) ว่ามาตรการดังกล่าวเป็นไปเพื่อคุ้มครองชีวิตและสุขอนามัยของมนุษย์สัตว์และพืช และเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติคือปลาโลมา แต่คณะพิจารณา( Panel )ตัดสินว่า มาตรการจำกัดทางการค้าของสหรัฐอเมริกานั้นยังไม่ถือเป็นมาตรการที่ “จำเป็น” ตาม Article XX (b) ดังกล่าว เนื่องจากสหรัฐอเมริกาไม่ได้แสดงให้เห็นว่าได้ใช้มาตรการอื่นที่มีผลเป็นการจำกัดทางการค้าน้อยกว่าที่จะใช้มาตรการดังกล่าว คณะพิจารณา( Panel ) เห็นว่าสหรัฐอเมริกายังสามารถใช้ความร่วมมือระหว่างประเทศในการปกป้องปลาโลมาได้แต่ก็มิได้ใช้[10] โดยอาจทำโดยทำเป็นความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมกับประเทศอื่นๆและในส่วน Article XX (g) นั้นคณะพิจารณา( Panel )กล่าวว่า จะต้องเป็นมาตรการที่มีวัตถุประสงค์ในการปกป้องสิ่งแวดล้อมเฉพาะในรัฐที่ใช้มาตรการจำกัดทางการค้าเท่านั้น และจะต้องเกี่ยวโยงสัมพันธ์กับมาตรการจำกัดการผลิตและการบริโภคภายในเขตอำนาจรัฐตนเท่านั้น GATT มิได้อนุญาตให้ใช้อำนาจนอกอาณาเขต(extra-territoriality )อีกทั้งการห้ามนำเข้านั้นจะต้องมีวัตถุประสงค์หลัก (primarily aimed at) ในการทำให้มาตรการจำกัดผลิตและบริโภคภายในประเทศดังกล่าวได้ผล
4. Tuna-Dolphin II Case ( EU versus US )
คดีนี้เป็นคดีที่พิพาทระหว่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยสหภาพยุโรปได้นำข้อพิพาทเสนอต่อGATT โดยมีเหตุมาจากมาตรการจำกัดการนำเข้าปลาทูน่าของสหรัฐอเมริกาตาม MMPA (สืบเนื่องจากคดี Tuna-Dolphin I ) ซึ่งคดีนี้คณะพิจารณา( Panel ) ก็ตัดสินว่ามาตรการห้ามนำเข้าของสหรัฐอเมริกาขัดต่อ Article XI:1 และไม่สามารถอ้างข้อยกเว้นตาม Article XX (b), (d ), (g) ได้
ไม่มีความเห็น