ข้อเสนอของ บวท. เรื่องระบบวิจัย เสนอต่อ รมต.
กระทรวงวิทยาศาสตร์
เมื่อเดือนกันยายน
๒๕๔๘ บวท. ได้นำหนังสือฉบับนี้ไปยื่นต่อ รมต.
กระทรวงวิทยาศาสตร์ ผ่านปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ (ศ. ดร. ไพรัช
ธัชยพงษ์) ทาง บวท.
อนุญาตให้ผมนำมาเผยแพร่
มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
Thai Academy of Science and Technology
Foundation
73/1
อาคาร สวทช. ถ.พระรามหก ทุ่งพญาไท ราชเทวี กทม. 10400 โทร:
0-2584-7000 ต่อ 1428 แฟกซ์: 0-2584-7000 ต่อ 1427
73/1 NSTDA Building Rama VI Road, Phyathai Bangkok 10400 Thailand.
Tel: 0-2584-7000 ext.1428 Fax: 0-2584-7000 ext. 1427
ข้อเสนอจาก
มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
(บวท.)
เรื่อง
การปรับระบบวิจัยพัฒนา สร้าง กระจาย
จัดการความรู้
และนำความรู้มาสู่การปฏิบัติของประเทศ
การวิจัยและพัฒนามีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะเป็นการสร้างฐานความรู้เพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจการแข่งขัน
การอยู่ดีมีสุข ลดปัญหาความยากจน
และเป็นฐานที่ทำให้สังคมพึ่งตนเองได้อย่างพอเพียง กระนั้นก็ดี
ยังมีปัญหาสำหรับประเทศ เพราะกำลังคนและนักวิจัยมีน้อยเกินไป
การสนับสนุนไม่ใคร่ต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีปัญหาในการจัดการ
ที่มาและความสำคัญ
การวิจัย
อาจถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ค่อนข้างใหม่ในสังคมไทย
แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้นก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีรากฐานมานานแล้ว
เฉกเช่นเดียวกับนานาอารยประเทศ
รัฐบาลไทยมีวิสัยทัศน์เห็นความสำคัญว่าการวิจัยทุกสาขาเป็นการสร้างองค์ความรู้ใหม่
และเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ
โดยได้สนับสนุนการวิจัยให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
เริ่มตั้งแต่มีการจัดตั้งสภาวิจัยแห่งชาติขึ้น (พ.ศ. 2502)
เพื่อทำหน้าที่ทั้งจัดทำนโยบายการวิจัยและให้การสนับสนุนการวิจัยตามสาขาวิชาเป็นหลัก
ต่อมารัฐบาลได้ตระหนักถึงการนำผลงานไปใช้
จึงได้จัดตั้งสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย
(พ.ศ. 2506) โดยเป็นรัฐวิสาหกิจ และตั้งกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและการพลังงานขึ้น (พ.ศ. 2522)
ซึ่งกระทรวงฯได้เห็นว่าต้องมุ่งเน้นการวิจัยเฉพาะด้าน
จึงจัดตั้งศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (พ.ศ. 2526)
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ
ในเวลาต่อมา เพื่อให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา
อันมุ่งเป้าหมายสู่การประยุกต์ใช้ในด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นสำคัญ
เพื่อประสิทธิภาพประสิทธิผลและเพื่อความคล่องตัว
รัฐบาลต่อมาได้นำทั้ง 3 ศูนย์นี้
รวมกันภายใต้กฎหมายพิเศษเป็นสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) (พ.ศ. 2534) และได้เพิ่มศูนย์นาโนเทคโนโลยีขึ้นมาภายหลัง
สวทช.
จัดเป็นองค์กรที่ไม่ใช่ส่วนราชการและไม่ใช่รัฐวิสาหกิจแต่อยู่ในกำกับของรัฐบาล
เป็นหน่วยงานที่ทั้งให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาแก่หน่วยงานต่างๆภายนอก
และดำเนินการวิจัยและพัฒนาเองด้วย
เพื่อเชื่อมโยงการวิจัยพื้นฐานไปสู่การประยุกต์เป็นเทคโนโลยีและการนำไปใช้ประโยชน์
ต่อมาเพื่อให้ความสำคัญของการวิจัยและการนำผลการวิจัยไปใช้ได้แผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
รัฐบาลจึงได้จัดตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) (พ.ศ.
2535) ขึ้น
นักวิจัยส่วนใหญ่ซึ่งทำงานในสถาบันการศึกษาโดยเป็นอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถสูง
มีความกระตือรือร้น และต้องการการสนับสนุนอย่างจริงจังและเต็มที่
สกว.
เน้นระบบที่เชื่อมโยงการวิจัยพื้นฐานทุกด้านตลอดจนจัดการนำการวิจัยพื้นฐานไปสู่การปฏิบัติ
อีกทั้งเสริมสร้างการผลิตนักวิจัยในประเทศไทย
เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีความเป็นอิสระไม่ยึดติดกับระบบเดิมๆ
มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูง
สร้างสรรค์ให้สังคมตระหนักถึงความมีเกียรติของอาชีพนักวิจัย โดย สกว.
ให้การสนับสนุนการวิจัยทุกสาขารวมทั้งสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ซึ่งได้มีการทำวิจัยอย่างจริงจังตั้งแต่ระดับรากหญ้า ชุมชน
จนถึง
นักวิจัยทุกระดับในสถาบันต่างๆ
ก่อให้เกิดสังคมแห่งความรู้ที่เป็นปึกแผ่นเจริญก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน
เกิด “เครือข่าย” อันประกอบด้วย มหาวิทยาลัย
หน่วยราชการ ภาคเอกชน และประชาชน
โดยระบบสนับสนุนใหม่เน้นการเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิต ผู้ใช้ผลงานวิจัย
และประชาชน แสดงให้เห็นว่า
การวิจัยของไทยได้ผ่านยุคที่การวิจัยมีบทบาทหลักในการสร้างความรู้พื้นฐานทั่วไป
ไปสู่ยุคที่การวิจัยและพัฒนามีจุดหมายและบทบาทในเชิงพัฒนาด้วย
แม้การวิจัยไทยจะได้ก้าวไปไกลพอสมควรเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
แต่เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังอยู่ห่างไกลกันอีกมาก
ทั้งปริมาณนักวิจัย ผลงานวิจัย การจดสิทธิบัตร
และการสนับสนุนด้านการเงินของรัฐบาลซึ่งน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วประมาณ
10-50 เท่า
ในขณะที่การแข่งขันเชิงการค้าระหว่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้น
ทำให้นักวิจัยต้องขวนขวายมากขึ้น
เพื่อให้งานวิจัยไทยสามารถนำไปสู่นวัตกรรมในการผลิตและบริการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ดียิ่งขึ้น
ในยุคที่เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นมาบ้างแล้ว
เป็นช่วงสำคัญที่ประเทศไทยต้องสร้างความสามารถใหม่ขึ้น
ซึ่งในด้านนโยบายและการจัดการนั้น
รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเทคโนโลยีสารสนเทศถึงกับจัดตั้งกระทรวงใหม่ขึ้นเพื่อดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
ยังได้แสดงเจตนารมณ์สนับสนุนวิทยาการใหม่ๆ เช่น นาโนเทคโนโลยี
เทคโนโลยี ดิจิตัล และวิทยาการจีโนมิกส์
และได้เน้นบทบาทของเทคโนโลยีเหล่านี้ในเศรษฐกิจและสังคมยุคใหม่
ยังขาดก็แต่เพียงด้านพลังงานและด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นล่ำเป็นสัน
พัฒนาการทั้งหมดนี้แม้จะเกิดขึ้นในทิศทางที่ดีโดยรวม
แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่มาก
และบางครั้งก็ถึงกับชะงักงันจากความไม่พร้อมในการสนับสนุนด้านต่างๆ
อย่างสอดคล้องกัน
ข้อเสนอจาก
บวท.
มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.)
ประกอบด้วยนักวิจัย อาจารย์ นักอุตสาหกรรม ผู้ร่วมสร้าง กระจาย
จัดการความรู้และนำความรู้มาสู่การปฏิบัติของประเทศที่มีผลงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อเนื่องในวิชาชีพของตนมาเป็นเวลานาน
โดยรวมตัวกันแบบองค์กรที่ไม่ใช่ของรัฐ
เพื่อนำประสบการณ์ความรู้ความสามารถมาส่งเสริมผลักดันความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของชาติ
ได้ติดตามการดำเนินงานของรัฐบาลในการปรับโครงสร้างของระบบวิจัย พัฒนา
สร้าง กระจาย จัดการความรู้และนำความรู้มาสู่การปฏิบัติของประเทศ
ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
จากการที่ได้คลุกคลีใกล้ชิดอยู่ในวงการวิจัยนี้ บวท.
จึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะช่วยให้การปรับโครงสร้างนี้ประสบความสำเร็จ
อันจะส่งผลดีเป็นอย่างยิ่งต่อสังคมโดยรวม
เนื่องจากความรู้ที่จำเป็นทั้งต่อการอยู่ดีมีสุขของประชาชนและต่อการเพิ่มพูนความสามารถของประเทศในสังคมแห่งการแข่งขันนั้นมีส่วนครอบคลุมในหลายมิติ
จากประสบการณ์ที่ยาวนาน บวท.
จึงขอยืนยันในหลักการว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์ และศาสตร์อื่นๆนั้น
มีความเชื่อมโยงกันอยู่อย่างมีเอกภาพ
แม้ว่าจะมีความแตกต่างในเชิงรายละเอียด
โดยทั้งหมดนี้ล้วนมีด้านที่เป็นความรู้พื้นฐานและด้านที่นำไปประยุกต์ใช้ได้
ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ นายก รัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
ก็ตระหนักถึงความสำคัญของความรู้ที่เป็นบูรณาการชัดเจนอยู่แล้ว
สมาชิก/ภาคีสมาชิก บวท. ดังรายนามที่แนบมานี้
จึงใคร่ขอเสนอแนะแนวทางที่จะปรับโครงสร้างระบบวิจัยไทยต่อไป
อันมีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
1.
รัฐบาลควรมีนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัย พัฒนา สร้าง
จัดการความรู้และนำความรู้มาสู่การปฏิบัติของประเทศที่มีเอกภาพ
มุ่งทั้งในการสร้างความสามารถของประเทศในการแข่งขัน ความอยู่ดีมีสุข
ลดความยากจน
และในการสร้างสังคมที่พึ่งตนเองได้อย่างมีความพอเพียง
2.
รัฐบาลควรมีการสนับสนุน
และมีแนวทางการดำเนินงานที่เอื้อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุ ผล
โดยต่อยอดจากความสำเร็จที่ได้เกิดขึ้น
และได้ประเมินมาแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
และปรับปรุงระบบและแนวทางที่ไม่เอื้อให้นำไปสู่ความสำเร็จอย่างเต็มที่
เช่น ระบบที่มีขั้นตอนมากอันทำให้เกิดความล่าช้า
ระบบที่ขาดความเชื่อมโยงระหว่างกัน
หรือการบริหารจัดการโดยผู้ที่อาจจะไม่มีประสบการณ์จริงในด้านนั้นๆ
เป็นต้น
3.
ระบบการวิจัยของประเทศจะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพได้
ก็ต้องมีการจัดการที่ดี มีระบบ ทั้งในด้านความคล่องตัวและความโปร่งใส
มีอิสระในการพิจารณาให้การสนับสนุนการวิจัย
รวมถึงความสามารถในการติดตามตรวจสอบผลงานวิจัยให้อยู่ในมาตรฐานที่คาดหวัง
4.
การพิจารณารวมหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไว้ด้วยกันนั้น
ควรกำกับดูแลให้แต่ละหน่วยงานสามารถทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โดยเลือกระบบบริหารที่เหมาะสมที่สุดกับภารกิจของแต่ละหน่วยนั้น
มีการประเมินคุณภาพ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ทั้งนี้
ต้องใช้ข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายประกอบการพิจารณา
5.
หากรัฐบาลเลือกที่จะรวมหน่วยงานด้านวิจัยและพัฒนาเข้าด้วยกัน
ก็ไม่ควรแยกการวิจัยด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ออกจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโดยสิ้นเชิง
รวมทั้งไม่ควรแยกการวิจัยพื้นฐานออกจากการวิจัยประยุกต์และการพัฒนาโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้
เพราะโดยธรรมชาติของความรู้และการจัดการนำความรู้สู่การปฏิบัตินั้น
ในสาขาต่างๆมีการเกี่ยวโยงและเสริมซึ่งกันและกันอยู่
6.
หน่วยงานที่สนับสนุนให้ทุนการวิจัยทั้งเพื่อการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ทั้งในด้านความอยู่ดีมีสุข ลดความยากจน สร้างเศรษฐกิจพอเพียง
ควรจะมีความเป็นอิสระตามวิสัยทัศน์ของคณะกรรมการในการที่จะจัดสรรทุนและในการที่จะแต่งตั้งผู้บริหาร
7.
รัฐบาลควรตระหนักว่าขั้นตอนจากการวิจัยและพัฒนาไปสู่การประยุกต์ใช้นั้น
แต่ละขั้นล้วนมีความสำคัญ
อาจใช้เวลาและล้วนต้องการการสนับสนุนทั้งสิ้น
โดยไม่สามารถจะเลือกแต่เพียงการประยุกต์ใช้แต่เพียงอย่างเดียวได้
เปรียบกับการปลูกต้นไม้ที่ต้องปลูกทั้งต้น
ไม่สามารถปลูกเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งได้
วิทยาศาสตร์เปรียบได้กับรากต้นไม้ที่จะต้องบำรุงให้แข็งแรงก่อนที่จะเติบโตออกดอกผลเป็นเทคโนโลยีให้ประเทศชาติเก็บเกี่ยวได้
และการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพนั้น
ต้องการระบบจัดการที่เหมาะสม
ด้วยความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลซึ่งมีวิสัยทัศน์ของ
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จะพิจารณาใคร่ครวญข้อเสนอเหล่านี้อย่างรอบคอบ
การนำเสนอความเห็นนี้เป็นการดำเนินการโดยเจตนาบริสุทธิ์ด้วยสำนึกในความรักและหวงแหนประเทศชาติของทุกคน
โดย บวท.
พร้อมที่จะปวารณาตนในการที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการผลักดันให้เกิดระบบจัดการความรู้ของชาติให้เกิดขึ้น
การปรับปรุงระบบ
เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมพื้นฐานความรู้ที่ดี
โดยมีการวิจัย พัฒนา การสร้าง
จัดการความรู้และนำความรู้มาสู่การปฏิบัติของประเทศเชิงบูรณาการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพต่อไป
ทั้งหมดนั้นเป็นเอกสารที่ บวท.
นำไปยื่น
ผมดีใจที่องค์กรทางวิชาการที่มีเกียรติสูงส่งออกมาเสนอความเห็นต่อระบบที่สำคัญยิ่งต่อบ้านเมือง
คือระบบวิจัย
วิจารณ์ พานิช
๓ พย. ๔๘
“”
(.) .
.1.
2.
3.
4.
5.
6.
7.
.