นายหัว
นาย เจ้าชาย ณ เมืองห้วยแร่

สิ้นคำพิพากษาค้ามนุษย์โรฮิงญา : ผู้ชั่วช้าเบื้องหลังยังคงอยู่ ?


ข่าวครึกโครมใหญ่โตในปี ๒๕๕๘ มีการพบหลุมฝังศพจำนวนมากบนเทือกเขาแก้ว บ้านตะโละ   อำเภอปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา ถัดมากลายเป็นประเด็นร้อนขยายผลนำสู่การทลายเครือข่ายค้ามนุษย์  ขนานใหญ่ องคาพยพของรัฐต่างดิ้นกันพล่าน เพราะมีคนของรัฐระดับใหญ่ๆโตๆหลายต่อหลายคน มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่อมาศาลจังหวัดนาทวี ได้ออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกสีทุกวงการจำนวน ๑๕๓ ราย มีการโอนคดีไปพิจารณาที่แผนกคดีค้ามนุษย์ของศาลอาญา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2558 สืบสาวกันยาวพรืด รวมๆกัน ทั้งหมดมีจำเลยในคดีทั้งสิ้น 103 คน ตายไป 1 คน เหลือ 102 คนที่ได้ไปต่อ

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา ศาลอาญา แผนกคดีค้ามนุษย์ ได้อ่านคำพิพากษา คดีประวัติศาสตร์แบบมาราธอน “คดีค้ามนุษย์โรงฮิงญา” ซึ่งเป็นคดีใหญ่ที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจอย่างมาก (หรือลืมไปแล้ว) ผลออกมาดังนี้ ศาลท่านได้อ่านคำพิพากษาลงโทษจำเลย 62 รายในฐานความผิดต่างกัน โดยให้ลงโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 94 ปี ทั้งนี้ โทษของจำเลยใดที่รวมทุกกระทงเข้าแล้วเกินกว่า 50 ปี ให้ลงโทษจำคุกจำเลยนั้นมีกำหนด 50 ปี โทษแบบว่าเอาให้แก่ตายกันในคุกกันเลยทีเดียว เออ   ลืมไปบ้านเรามีการลดโทษกันเรื่อยๆครับ จากโทษหนักประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต จากจำคุกตลอดชีวิต ลดมาๆ แล้วก็ออกมา จะสำนึกหรือไม่สำนึกก็อยู่ที่แต่ละคนละครับ

ข่าวที่ว่าดังความปังมันอยู่ที่จำเลยเด็ด เด็ดยังไงที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ พลโทมนัส คงแป้น อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบก/อดีตผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42/อดีตผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนแยกที่ ๑ ระนอง  ซึ่งเป็นนายทหารยศนายพลเพียงคนเดียวที่ถูกดำเนินคดี และนายปัจจุบัน อังโชติพันธุ์ หรือ "โกโต้ง" อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงอดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกเทศมนตรี ข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจอีกจำนวนมาก พูดได้ว่าเครือข่ายใหญ่โตมโหฬาร ครบเครื่องทุกสีทุกวงการ พี่เอ่ย นี่ไม่ใช่บราซิล เม็กซิโก มันสยามเมืองยิ้มนะเว้ยเฮ้ย

ปังต่อ ปังยังไงเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์       จันทร์โอชา เกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ที่มีพลโทมนัส คงแป้น เข้าไปเกี่ยวข้องจะกระทบกับภาพลักษณ์กองทัพหรือไม่  ไม่ต้องเดามาท่านจะตอบยังไง ปัดโธ่ ท่านก็วีนใส่สิครับพี่น้องที่เคารพ จัดมาหนึ่งดอก “ไอ้มนัสเพียงคนเดียว จะทำให้กองทัพเจ๊งเลยหรืออย่างไร ” อันนี้เราก็ไม่ทราบได้ว่าคนเดียวเจ๊งหรือไม่เจ๊ง ปลาเน่าตัวเดียวก็เน่าตัว เดียวไปสิ จะเน่าทั้งเข่งได้ไง ท่านนายกขวัญใจชาวไทยก็พูดถูกของท่านนะครับ

ถึงเวลาอ่านคำพิพากษา ตัดสินแล้ว จบ ผู้เกี่ยวข้องได้ถูกลงโทษจำคุก และบ้างก็ยกฟ้อง หลายท่าน บอกว่ามันจบแล้ว แต่ก็มีอีกหลายๆท่านยังไม่เคลียร์ ยังมีคำถามค้างคาใจ ขบวนการค้ามนุษย์มันจบแค่นี้หรือ มันน่าจะมีไอ้โม่ง ไอ้บิ้มเบิ้มบงการอีกหรือเปล่า? อดหวั่นใจไม่ได้เมื่อย้อนกลับไปถึงเรื่องความด่างพร้อย      ของคดีนี้ คีย์แมนคนดัง พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภาค 8 ที่สื่อมวลชน ประชาชนรู้จักกันดี ท่านและครอบครัวกลับต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ทำไม??? เจอตอ ตอใหญ่มากขนาดไหน?? ผู้ที่เป็น หัวหน้าชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ ยังถูกคุกคาม ข่มขู่ฆ่า เฮ้ยขนาดขู่ฆ่านายพลตำรวจ!!           ทราบในภายหลังว่าท่านลี้ภัยไปประเทศออสเตรเลีย หวั่นใจนะครับ ไม่แน่จริงอยู่สยามเมืองยิ้มไม่ได้  

เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียน รายงานว่า พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และอดีตหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา เปิดเผยว่า ชุดสอบสวนของเขาในคดีเครือข่ายค้ามนุษย์สามารถเปิดโปงการกระทำผิดของตำรวจและทหารระดับสูงในประเทศไทย ทำให้เขาวิตกถึงภัยอันตรายต่อชีวิต จึงมีแผนขอลี้ภัยทางการเมืองในออสเตรเลียนั่นเอง สอดคล้องกับบทความของสำนักข่าวอิศรา เขียนไว้ว่า พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวว่า “ตลอดช่วงของการทำคดี ถูกข่มขู่คุกคามจากผู้มีอิทธิพลและคนมีสีหลายครั้ง เพราะมีการออกหมายจับนายทหารยศพลโท และนายทหารสัญญาบัตรอีก     4 นาย มีการข่มขู่พยานไม่ให้เข้าให้การ ขณะที่การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจชั้นนายพล ก็ไม่มีตำรวจในชุดสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่ดีขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว ท่านยื่นหนังสือลาออกจากราชการเมื่อเดือนพฤศจิกายน หลังถูกสั่งย้ายไปประจำที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศพร้อมครอบครัวด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของตัวเอง”

Oldman Onsea กล่าวไว้ในบทความของเขา ว่ารัฐบาลไทยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาโรฮิงญาที่เข้ามาในประเทศไทย แต่ก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเมื่อไม่สามารถที่จะใช้อำนาจของตนในการควบคุมกับขบวนการนอกกฎหมาย (บางทีก็เป็นคนของรัฐ) ที่กลายเป็นกลุ่มที่พยายามเบียดขับหน่วยงานของ รัฐและใช้ อำนาจควบคุมเหนือชีวิตชาวโรฮิงญาที่หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยในช่วงปี 2556-2558 กล่าวได้ว่าชาวโรฮิงญาที่เข้ามาในประเทศไทยก็เริ่มเข้าสู่การปกป้องคุ้มครองตามกฎหมายในฐานะอื่นๆ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองก็ตาม

แม้จะมีการพิพากษาจบไปแล้ว แต่ความค้างคาใจหลายๆอย่างยังคงอยู่ มีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับรัฐไทยว่า ชาวโรฮิงญาที่เหลือไปอยู่ที่ไหนและรัฐจะมีมาตรการหรือแผนจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรต่อ ซึ่งรัฐบาลไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ในช่วงระหว่างปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ นักวิชาการ นักสิทธิ  มนุษยชน และผู้เฝ้าสังเกตการณ์ ได้พบว่า มีการลักพาตัว ข่มขู่พยานเป็นจำนวนมาก ซึ่งการกระทำดังกล่าว    เป็นการกระทำเป็นขบวนการโดยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคนมีส่วนเกี่ยวข้อง มีการรายงานมาอย่างต่อเนื่อง     ถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนและไต่สวนคดีนี้ได้รับการข่มขู่หลายต่อหลายครั้ง แม้จะมีการนำเรื่องไปแจ้งต่อ  หน่วยงานของรัฐ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจใดๆทั้งสิ้น มันสะท้อนอะไรหลายอย่างถึงความเอาใจใส่และความไม่ชอบมาพากลมากมายที่ยังคงอยู่ ผลลัพธ์คืออะไร คือ พยานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้หลายคนต้องหลบหนี     ภัยมืด และชาวโรฮิงญาจำนวนมากที่โดนคุมขังคุมตัวอยู่ในสถานที่ต่างๆทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย ไม่สามารถรู้ชะตากรรมของตัวเองได้

คำพิพากษาที่สิ้นสุดลง ความค้างคาใจนับร้อยนับพันข้อสงสัยไม่ได้จบลงเลย คำถามที่ยังคงอยู่ ทำไมรัฐบาลไม่พูดถึงกรณีพล.ต.ต. ปวีณ เลยแม้แต่น้อย ใครขู่ฆ่าท่าน? ท่านลี้ภัยไปทำไม? ขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงญาสิ้นสุดจบลงเพียงบิ้กบอสพลโทมนัสและโกโต้งเท่านั้นหรือ? หรือว่ายังคงมีบิ้กเบิ้มไอ้โม่งตัวเขื่องที่อยู่เบื้องหลังอีกหรือเปล่า? ยังไงก็แล้วแต่แม้นกฎหมายไม่สามารถจัดการผู้ที่อยู่เหนือกฎหมายได้ แต่เรื่องกฎแห่งกรรมมันจริงแท้และแน่นอน ผู้ที่อธรรมต่อชีวิตและทรัพย์สินของเพื่อนมนุษย์ย่อมได้รับความฉิบหาย นี่แช่งเลย!

                                                                                                                                                                                              สำนักนายหัว 

                                                                                                                                                                                           20 กรกฎาคม 2560   

อ้างอิงข้อมูล จาก

สำนักข่าวอิศรา, ๒๕๕๘, รองฯ ปวีณ อยู่ไม่ไหว ตัดสินใจลาออกราชการ!จากเว็ปต์สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/content-page/67-south-slide/42553-paween.html 

สำนักข่าวอิศรา, ๒๕๕๘, “ปิดฉาก? ผบ.ตร. อนุมัติ พล.ต.ต. ปวีณ ออกราชการ”,จากเว็ปต์สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/content-page/67/42769-paween_42769.html

สำนักข่าวอิศรา, ๒๕๕๘, “ค้ามนุษย์พ่นพิษ เมืองไทยอยู่ไม่ไหว ... “ปวีณ” ขอลี้ภัยออสเตรเลีย,จากเว็ปต์สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/content-page/67-south-slide/43305-traffik_43305.html

สำนักข่าวอิศรา, ๒๕๖๐, “โทษ ๒ เท่า “พล.ท.มนัส-โกโต้ง”พัวพันธ์ค้ามนุษย์” ,จากเว็ปต์สำนักข่าว  อิศรา https://www.isranews.org/south-news/other-news/58152-human.html

สำนักข่าวอิศรา, ๒๕๖๐, “ “พล.ต.ต. ปวีณ” ลี้ภัยออสซี่...อีกคีย์แมนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาที่ถูกลืม”จากเว็ปต์สำนักข่าวอิศรา https://www.isranews.org/south-news/documentary/58153-paween_58153.html

          มติชนออนไลน์ ,๒๕๖๐, ข่าวอ่านคำตัดสินมาราธอน ๑๓ ชั่วโมง ค้ามนุษย์โรฮีนจา จำคุก ๒๗ ปี “พล.ท.มนัส” ส่วน“โกโต้ง” อ่วมคุก ๒๕ ปี เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐, จากเว็ปต์มติชนออนไลน์ https://www.matichon.co.th/news/606693

ข่าวไทยพีบีเอส, ๒๕๖๐,“ข่าวคดีประวัติศาสตร์ตัดสิน “พล.ท.มนัส” ค้ามนุษย์โรฮิงญา ๒๗ ปี”,  เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ จากเว็ปต์ไทยพีบีเอส http://news.thaipbs.or.th/content/264519

Oldman Onsea , 2016 ,“อับดุลเมี๊ยะ การเดินทางและชีวิตของคนไร้รัฐชาวโรฮิงญาในประเทศไทย”,จากเว็ปต์ประชาไทย http://prachatai.org/journal/2016/09/68067

หมายเลขบันทึก: 631370เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2017 10:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 กรกฎาคม 2017 10:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท