ออกจากเมืองนาโงย่าแต่เช้า ไม่ร่ำไร เรามุ่งไปเมืองอิเสะ Ise ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็น คาบสมุทรชิมะ อันอุดมสมบูรณ์ ย่านนี้เป็นตั้งของทั้งศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์และเมืองตากอากาศที่คนนาโงย่าและโอซาก้าพากันมาเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย
ภาพจาก http://ajapper.com/the-leading-shrine-ise-jingu-is-the-sanctum-of-japanese-god
ศาลเจ้าแห่งเมืองอิเสะ มีความสำคัญต่อจิตวิญญาณของคนญี่ปุ่นมาก ชื่อที่เรียกขานก็บ่งบอกค่ะ ภาษาอังกฤษที่เขาแปลจากภาษาญี่ปุ่นที่ใช้เรียกศาลเจ้าอิเสะคือ Grand Shrine of Ise/ Ise Grand Shrine
ชื่อที่เป็นทางการใช้คำว่า The Shrine แสดงความเป็น อภิศาลเจ้า และรัฐบาลญี่ปุ่นจัดให้เป็น สมบัติของชาติ
ก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีศาสนาชินโต อยู่แล้วและมีเทพเจ้ามากมายไปหมด มีเทพเจ้าอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างกันเลยล่ะค่ะ ศาลเจ้านี้เป็นศาลเจ้าสำคัญที่สุดของศาสนาชินโต
คณะเราไม่ใช่วัยวิ่งหาวัด วิ่งหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรอกนะคะ แต่ที่ต้องไปเพราะเป็นที่เลื่องลือในความงาม ทั้งบริเวณที่ตั้ง สถาปัตยกรรม และความเก่าแก่ ปีหนึ่งๆมีผู้เดินทางไปสักการะศาลเจ้าศักดิ์สิทธ์ถึง 7 ล้านคน (และคงรวมนักท่องเที่ยวเข้าไปส่วนหนึ่งด้วย)
เรานั่งรถไฟคินเท็ทสึจากนาโงย่าไปลงสถานี Isuzugawa กว่าจะถึงก็เป็นชั่วโมง แต่ไม่เบื่อเลย รถไฟแสนสบาย ที่นั่งอย่างที่เห็นในภาพด้านซ้ายมือ ชมวิวนอกเมืองเป็นธรรมชาติสบายตาค่ะ
นั่งรถไฟแล้วก็ไปต่อรถบัสอีกหน่อยค่ะไม่เกิน 15 นาทีก็ถึง พอลงก็เจอกับย่านการค้าร้านรวง ตั้งใจว่าชมเสร็จก็จะออกมาหาข้าวกลางวันทานกันและเดินเล่นสบายๆ ตอนนี้มุ่งเข้าสู่ศาลเจ้าก่อนค่ะ
ภาพจาก http://photoguide.jp/pix/displayimage.php?pid=48677
ศาลเจ้าอิเสะตั้งอยู่ในป่าสนญี่ปุ่น Japanese Cypress หรือที่หลายท่านอาจเคยได้ยินชื่อ สนฮิโนกิ Hinoki นั่นแหละค่ะใช่เลย เป็นไม้สนมีค่าเนื้อแน่นทนทานแข็งแรงและมีความหอมของเนื้อไม้ด้วย บริเวณป่าสนที่ตั้งศาลเจ้าอิเสะนี้เขาถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
The Shrine นี้เป็นกลุ่ม (complex) ของศาลเจ้า มีศาลเจ้าหลัก 2 ศาล และศาลเจ้าบริวารกว่าร้อยแห่งกระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่ป่าอันไพศาลถึง 5500 เฮคเตอร์ หรือ 55 ตารางกิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำอีซุซุ หรือ Isuzugawa
ศาลเจ้าหลักแบ่งเป็น ศาลเจ้าชั้นนอก กับ ศาลเจ้าชั้นใน ศาลทั้งสองอยู่ห่างกัน 6 กิโลเมตร
จะชมทั้ง 2 ศาลคงเดินไม่ไหว เราเลยเลือกที่จะชม ศาลเจ้าชั้นใน หรือNaigu ซึ่งเก่าแก่ที่สุดและสำคัญที่สุด
ศาลเจ้าชั้นใน Inner Shrine สร้างมาก่อนมีอายุถึง 2000 ปี ส่วนศาลเจ้าชั้นนอก สร้างทีหลังราวห้าร้อยปี จึงมีอายุแค่ 1500 ปี แหมเห็นข้อมูลอย่างนี้แล้วอยากไปชมให้เห็นเป็นบุญตาว่าเขารักษาได้อย่างไรใช่ไหมคะ
ดูจากแผนที่จะเห็นสะพานทอดข้ามแม่น้ำจากฝั่งมนุษย์ (ตรงหมายเลข 3) ผ่านเสา Torii เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า เราเดินตามฝูงชนเข้าไปค่ะ ได้ยินเสียงคนไทยกลุ่มอื่นไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น
สะพานไม้นี้ชื่อว่า Uji Bridge และมีความยาว 100 เมตร มีเสาโทริอิไม้อยู่ปลายสะพานแต่ละด้าน
เมื่อเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธ์ ทุกคนจะต้องทำความสะอาดที่บ่อน้ำ ทั้งบ้วนปากและล้างมือ เขามีวิธีต้องทำให้ถูกต้อง และต้องทำอย่างสงบด้วยค่ะ และมีบริเวณริมแม่น้ำที่สามารถไปทำการชำระล้างก่อนไปเคารพศาล
การชำระล้าง เขาใช้คำภาษาอังกฤษที่ให้ความรู้สึกน่ายำเกรงมากค่ะ คือ Cleansing & Purification เป็นการเตรียมตัวทั้งกายและใจเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แม่น้ำอีซูซุ ได้รับการนับถือว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ น้ำใสแจ๋ว เย็นเจี๊ยบค่ะ เราไปเป็นช่วงฤดใบไม้ผลิเห็นแต่สีเขียว
ให้ชมภาพแม่น้ำในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี งดงามมาค่ะ
ภาพจาก http://www.japan-guide.com/e/e4300.html
แค่เข้ามาเดินในบรรยากาศป่าสนอายุนับพันปีช่างให้ความรู้สึกสงบ อิ่มใจ และนอบน้อมต่อธรรมชาติโดยยังไม่ต้องเจอเทพองค์ไหนเลยค่ะ
จะค่อยๆเฉลยเล่าไปว่าทำไมศาลเจ้าชั้นในนี้จึงสำคัญที่สุดและได้รับการนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด และ
ศาลเจ้าอายุเกินสองพันปีทำไมจึงยืนยง
คำตอบของคำถามแรกก็คือ ศาลเจ้าชั้นใน นี้เป็นที่สถิตของเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ Sun Goddess สุริยเทพี - อะมาเตราสุ โอมิกามิ (Amaterasu Omikami) น่าสนใจที่คนญี่ปุ่นยกให้เทพผู้หญิงเป็นเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ที่ใหญ่สุด ส่วนดวงจันทร์นั้นเป็นเทพผู้ชายค่ะ
กว่าจะไปถึงตัวศาลเจ้าชั้นใน ก็ผ่านเหล่าอาคารซึ่งดูสวยงามดีแบบญี่ปุ่น แสนประทับใจกับต้นสนใหญ่ๆที่เรียงรายตามทางเดิน เขาว่าต้นสนยักษ์เหล่านี้ในพื้นที่ราวหนึ่งตารางกิโลเมตรรอบศาลเจ้าชั้นใน และ หนึ่งตารางกิโลเมตรรอบศาลเจ้าชั้นนอก อยู่มาตั้งแต่กำเนิดศาลค่ะ ไม่มีการตัดต้นไม้ในพื้นที่รอบศาลเจ้าหลักค่ะ
ศาลเจ้าชั้นในจะต้องขึ้นบันไดหินนี้ไป และเมื่อเข้าไปด้านในเขาห้ามถ่ายรูป และก็ใช่ว่าเราจะเห็นศาลเจ้าชั้นในทั้งอาคารนะคะ เขาทำรั้วล้อมรอบไว้หมดหลายชั้นเสียด้วย เห็นแค่เพียงหลังคา ผู้ที่ไปสักการะก็ไหว้กันอยู่นอกรั้วชั้นนอกสุด ผู้เขียนไม่ทันเห็นป้ายห้ามและไม่ทันฟังหลานสาวบอก กดไอโฟนไปหนึ่งแชะแล้วก็เลยรีบทำเฉยๆ ขออภัยค่ะ
ภายในศาลเจ้าชั้นใน ไม่เพียงแต่จะเป็นที่สถิตของสุริยเทพี เท่านั้นหากแต่ยังเป็นที่เก็บสมบัติศักดิ์สิทธิ์มีค่าสูงสุดหนึ่งใน 3 อย่างของสมเด็จพระจักรพรรดิ์และชาวญี่ปุ่น นั่นคือ กระจกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสุริยเทพีมอบให้แก่ปฐมกษัตริย์ของญี่ปุ่น
กระจกศักดิ์สิทธิ์ นั้นมีความหมายถึง Wisdom หรือ ปัญญา ค่ะ
ผู้ที่จะเข้าไปในศาลเจ้าชั้นในได้จะต้องเป็น ภิกษุชินโตขั้นสูงสุด และ ภิกษุณีชินโตขั้นสูงสุด หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เท่านั้น และที่นี่ ภิกษุณีชินโตขั้นสูงสุด มีฐานะสูงกว่าภิกษุชินโตขั้นสูงสุด
กล่าวกันว่า ภิกษุณีชินโตขั้นสูงสุด นั้นสมัยก่อนจะถูกคัดเลือกมาจากเจ้าหญิงที่ไม่ได้แต่งงาน (หรือว่าเพราะถูกเลือกเลยไม่ได้แต่งงานก็ไม่ทราบนะคะ) แต่ยุคนี้ก็คัดจากสมาชิกเพศหญิงครอบครัวของราชวงศ์ ดูๆก็ให้ความสำคัญแก่เพศหญิงเลยทำให้คนนอกอย่างเราสับสนว่าทำไมญี่ปุ่นจึงเป็นสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่มาก
ภิกษุณีชินโตขั้นสูงสุดนี้ก็มีหน้าที่ร่วมสวดกับภิกษุชินโตอ้อนวอนต่อสุริยเทพีให้ดูแลพระพลานามัยของสมเด็จพระจักพรรดิ์ สันติสุขของญี่ปุ่นและของโลก
นี่ก็น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ญี่ปุ่นถือว่าตนเป็น ลูกพระอาทิตย์ นะคะ
เล่าถึงศาลเจ้าชั้นนอกสักนิดค่ะ ศาลเจ้าชั้นนอกเป็นที่สถิตของ
Toyouke
Okami
เทพีแห่งอาหาร การเกษตร เสื้อผ้าและที่อยู่อาศัย เทพีองค์นี้ถูกอัญเชิญมาสถิตย์ที่อิเสะก็เพื่อมา ดูแลอาหารที่จะถวายแก่สุริยเทพี
อาหารถวายกันวันละ 2 ครั้ง หุงต้มจากไม้ฟืนแบบโบราณ น้ำที่ใช้ก็ต้องมาจากบ่อศักดิ์สิทธิ์
พิธีการเยอะมากค่ะ ที่น่าทึ่งคือทำเช่นนี้ทุกวันมา 1500 ปีแล้ว
มาถึงคำถามสำคัญคำถามที่สอง ศาลเจ้าหลักทั้งชั้นนอกและชั้นใน สร้างด้วยไม้และหลังคามุงหญ้าหนา อยู่ทนทานมาได้อย่างไร 1500-2000 ปี
คำตอบคือ เขาสร้างใหม่ทุก 20 ปี ค่ะ เป็นการสะท้อนปรัชญาของชินโตในเรื่องความไม่จีรังและการเกิดใหม่ของธรรมชาติ
ศาลใหม่จะมีการเตรียมการล่วงหน้า 8-10 ปี เป็นพิธียิ่งใหญ่เรียกว่า Shikinen Sengu ศาลใหม่จะต้องสร้างให้เหมือนศาลเดิมเป๊ะเลยนะคะ เป็นการสร้างแบบสถาปัตยกรรมโบราณที่สืบทอดโดยช่างฝีมือกันมาเป็นทอดๆ ไม่ใช้ตะปูเลยแม้แต่ตัวเดียว เป็นการเข้าเดือยเข้าสลักไม้ทั้งหมด (เรือนไทยเราก็สร้างโดยไม่ใช้ตะปูเช่นเดียวกันนะคะ แต่ช่างฝีมือเรือนไทยแทบจะไม่เหลือแล้ว) ไม้จากศาลเก่าที่เป็นเสาหลักก็จะนำไปเปลี่ยน โทริอิ ที่อยู่ปากทางสองฟากของสะพานข้ามแม่น้ำ และไม้ที่เหลือก็ถูกส่งไปศาลเจ้าอื่นๆทั่วญี่ปุ่นไปใช้ในการซ่อมสร้างศาลของตนค่ะ
พิธีการขึ้นศาลเจ้าใหม่ ครั้งต่อไปเป็นครั้งที่ 63 จะมีในปี คศ. 2033
เขายังมีโครงการปลูกป่าสนฮิโนกิทดแทนในปริมาณที่จะทำให้พิธีสร้างศาลใหม่ทุก 20 ปีนี้ยังคงทำต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 200 ปี
(เก็บเรื่องราวมาเล่าต่อจาก http://www.sacred-destinations.com/japan/ise-shrine)
มาเยือนศาลเจ้าอิเสะ
ได้สัมผัสบรรยากาศและศึกษาเรื่องราวที่เล่ามา ทำให้ต้องชื่นชมที่คนญี่ปุ่นเห็นคุณค่าของการสืบทอดสิ่งที่มาจากสมัยโบราณ
ประเพณี Shikinen
Sengu ที่ทำสืบทอดกันอย่างจริงจัง ไม่ขาดช่วง ทำให้
ภูมิปัญญายังคงอยู่
ความรู้ถูกส่งผ่านช่างฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น ไม่สูญหาย
และการปลูกป่าเตรียมไม้ไว้ใช้ยังเป็นการสร้าง-รักษาพื้นที่สีเขียว
รักษาแม่น้ำและสิ่งแวดล้อมให้อยู่ได้อย่างสมบูรณ์
อิ่มใจกันแล้ว ข้ามสะพานกลับสู่แดนมนุษย์
ไปหาสิ่งอิ่มท้องกันค่ะ ที่ย่านถนนคนเดิน
Oharamachi ที่มีชีวิตชีวาด้วยอาหารการกินจากทะเล เนื้อวัวดำ และเนื้อวัวมัตสึซากะอันแสนแพง
(เมืองมัตสึซากะอยู่ใกล้ๆ)
ชิมเนื้อมัตสึซะกะย่างหนึ่งไม้ก่อนค่ะว่าจะอร่อยคุ้มค่าไหม ชิมแล้วตัดสินใจเข้าไปนั่งในร้านสั่งข้าวหน้าเนื้อย่าง คนไม่ทานเนื้อก็สั่งหมู หรือ ไก่ได้ค่ะ
เสร็จอาหารคาว เดินชมร้านรวงพักหนึ่ง แล้วต่อด้วยของหวาน Soft Cream & Donut อะไรก็อร่อยไปหมดค่ะ นำ้หนักไปลดกันทีหลัง
ภาพรถไฟที่เห็นบนขั้นบันไดคือรถ Limited Express แบบหนึ่งของบริษัทคินเท็ทสึค่ะ เข้าใจใช้พื้นที่โฆษณา
อิ่มเอมทั้งใจและกาย ก็กลับกันได้แล้วค่ะ
สวยจังค่ะ ข้อมูลลึกซึ้ง ... อิ่มใจ เหมือนท้องอิ่มไปด้วยค่ะ อาจารย์
ไปเที่ยวกับอาจารย์นุช ได้เห็นสิ่งสวยงาม อาหารอร่อย และได้ความรู้ด้วยค่ะ