การแต่งสมดุลร่างกายด้วยธาตุ ๔(1) โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ


       ชีวิตที่สมดุล
       
       
โดยปกติแล้วธรรมชาติของมนุษย์ สัตว์ทุกประเภท วัตถุทุกอย่าง สรรพสิ่ง สรรพชีวิต และสรรพวัตถุทั้งหลายในโลกหล้า ในปฐพี และจักรวาล มีองค์ประกอบของธาตุสี่ทั้งนั้น อย่างเช่น เหล็กหนึ่งท่อนก็มีธาตุสี่ แต่ว่าธาตุอะไรมันนำหน้าธาตุอะไรเท่านั้นเอง ถ้าถามว่าเหล็กหนึ่งท่อนมีธาตุสี่ได้ยังไง ก็ลองเอาเหล็กไปวิเคราะห์แยกอณู แยกชั้นของก๊าซ ของความแข็ง ความหนา ของโมเลกุล ภายในเหล็ก เราจะเห็นว่าเนื้อเหล็กนั้นก็ยังมีความชื้น ยังมีความอบอุ่น ความร้อนอยู่ในตัว มีความแข็ง-กร้าวอยู่ในตัว เพราะฉะนั้นธาตุทั้งสี่มันมีอยู่ทุกที่ พื้นที่ที่เรานั่งก็มีธาตุสี่ เว้นแต่ธาตุใดมันจะปรากฏเฉพาะหน้า คือยิ่งใหญ่ มีอำนาจเหนือกว่าธาตุทั้งปวงในขณะนั้นเวลานั้น
       
       
หรืออย่างแก้วน้ำจัดว่าเป็นธาตุดิน เพราะแข็ง แต่ว่าในแก้วน้ำมีธาตุน้ำไหม ก็ยังมีธาตุน้ำ แต่มีน้อยกว่าธาตุดิน มันจึงแข็งเราจึงจับต้องได้ น้ำเป็นสิ่งที่เอิบอาบ ลื่นไหล เราจะสัมผัสได้ด้วยความเย็น นุ่มนวล และก็ละเมียดละไม เพราะฉะนั้นกระบวนการของการมีธาตุสี่นี้มันมีไปทุกที่
       
       
ในกระบวนการแห่งองค์ประกอบในธาตุสี่หรือธรรมชาติในธาตุทั้งสี่นี้ พระพุทธเจ้าเรียกว่า มหาภูตรูปสี่
       
       
มหาภูตรูป คือ รูปอันยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมไปทุกอนันตจักรวาล มหาภูตรูปสี่มีอะไรบ้าง ก็คือมีดินเป็นรูป มีน้ำเป็นรูป มีลมเป็นรูป มีไฟเป็นรูป มันมีอยู่ทุกสรรพสิ่ง สรรพสัตว์ สรรพชนิด สรรพวัตถุ และสรรพ-ชีวิตอย่างชนิดปฏิเสธมันไม่ได้
       
       
เรื่องการปรับสมดุลของธาตุสี่ทั้งภายในและภายนอก เราต้องเข้า-ใจอย่างหนึ่งว่า ถ้าเรารู้จักความหมายของคำว่า ธรรมชาติ หรือธรรมะแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น หลวงปู่เชื่อโดยความรู้สึกและสำนึกของความเป็นพุทธในพระองค์ว่า พระองค์ไม่ได้เอามาจากใคร แต่เอามาจากธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือธรรมะ
       
       
ธรรมะคือการทำหน้าที่ถูกต้อง ไม่บกพร่อง และธรรมชาติก็คือการรักษาสมดุลที่ถูกต้องไม่บกพร่อง รวมเรียกกันว่า คำสอนของพระพุทธะ แต่จริงๆแล้วมันมีอยู่ก่อนพระพุทธะ ไม่ใช่ว่าพระพุทธะเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมา เพราะฉะนั้นพระพุทธะทุกพระองค์นำเอาของดีที่มีอยู่แล้วขึ้นมาเพื่ออบรม ถ่ายทอด และส่งมอบกันต่อๆมา เราก็มีหน้าที่ที่จะสืบทอด ทะนุบำรุง และก็ระวังรักษา และก็สร้าง ถ่ายทอดเจตนาและอุดมการณ์นั้นๆต่อๆไปในชั้นคนหลังๆ และลูกหลานต่อๆไป
       
       
ดังนั้น กระบวนการของธรรมะทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น หลวงปู่เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทุกพระธรรมขันธ์ ด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย ด้วยสำนึกและความรู้สึกที่อยากให้สรรพสัตว์และพลโลก ประชาชาติ และสัตว์โลก อยู่ด้วยตัวเองและอยู่ร่วมกันด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย คือพึ่งพิงอิงแอบอาศัยตัวเอง และก็พึ่งพิงอิงแอบอาศัยสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ และก็สรรพชีวิต ภายในและภายนอกกายตัวเอง
       
       
เราอาศัยสรรพสิ่ง สรรพสิ่งอาศัยเรา เราอาศัยธรรมชาติ ธรรมชาติอาศัยเรา ธรรมชาติเป็นบิดามารดาเกิดแห่งเรา เราก็ทะนุบำรุงบิดามารดาเกิดเหล่านั้น มันต้องเต็มพร้อมและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทรและการุณย์ เหมือนดั่งสายลมและแสงแดด การุณย์ต่อเพื่อนมนุษย์ พืชพันธุ์ธัญชาติ และสรรพสิ่งทั้งปวง สร้างไออุ่น ให้การปรุงอาหาร ทำให้เกิดกระบวนการสันดาบในวิถีแห่งการเคลื่อนไหว พลังงานในกายและรอบกาย ทำให้มีชีวิต วิญญาณในความรื่นเริง สดชื่น บันเทิง ไปต่อกระบวนการต่างๆ ของการดำรงชีวิตนั้นๆ
       
       
เมื่อสายลมแสงแดดเอื้ออาทรต่อสรรพสัตว์และธัญชาติ ธัญชาติก็เอื้ออาทรต่อสายลมและแสงแดด รับเอาสิ่งดีๆ จากสายลมแสงแดดนั้นมาปรับเปลี่ยน ประยุกต์ใช้กับตนเอง ทำให้มีชีวิต อินทรีย์ ที่เจริญรุ่งเรือง เติบโต งอกงาม ไพบูลย์ ผลิดอกออกใบ ให้หว่านพืชผลวงศ์วานให้เจริญรุ่งเรืองในแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินชุ่มชื้น ทำให้เกิดกลิ่นอายของความสดชื่นแจ่มใส ทำให้เกิดกระบวนการเจริญงอกงาม ไพบูลย์ของสรรพสิ่ง สรรพวิญญาณ สรรพวัตถุรอบกายตน
       
       
ชีวิตมนุษย์ สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะขบวนการของกรรมนำเอาวิญญาณมาเกิด เมื่อมีการเกิดขึ้นก็มีลมหายใจ ลมหายใจเกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมีผู้ควบคุม ลมนี่ต้องถือว่ามีพลังชนิดหนึ่งที่เรียกว่าพลังจิต-วิญญาณเป็นผู้ควบคุมความรู้สึกนึกคิด วิญญาณที่ภาษาธรรมะมันแยกออกเป็นความรู้สึก ความรู้ ความรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกตัว เพราะฉะนั้นเมื่อความรู้สึกเราหมดไป ลมมันก็จะหาย
       
       
ความรู้สึกหมดมีอยู่สองชนิดคือ หมดลึกๆกับหมดข้างนอก หมดลึกๆคือหมดแล้วตายเลย แต่หมดข้างนอกนี้หมดแบบโดนไม้หน้าสามแล้วสลบ หมดความรู้สึก หมดแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการควบคุมธาตุลม การหมดความรู้สึกลึกๆเรียกว่าตาย นั่นแหละธาตุลมมันจะหาย
       
       
ปกติธาตุลมทำหน้าที่ควบคุมธาตุไฟ มีลมที่ไหน ไฟลุกที่นั่น มีลมที่ไหน ไฟก็ดับได้ที่นั่นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลมเป็นเครื่องพยุงให้ไฟลุก เมื่อลมหายไฟก็ดับ ไฟควบคุมธาตุน้ำ น้ำซึ่งมีอยู่จำนวนมากในร่างกาย อย่างน้ำเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามร่างกายนี้ก็เป็นการแสดงออกของกิริยาของน้ำ อาการแห่งน้ำ และกระบวนการของน้ำที่แสดงออกมา น้ำดี น้ำ-เสลด น้ำลาย น้ำมูก น้ำปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำหนอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ว่ากันว่ามีมากถึงประมาณ ๗๐ % ภายในกาย
       
       
น้ำในร่างกายทำหน้าที่อะไร เมื่อลมมีจิตวิญญาณควบคุม ลมคุมไฟ ไฟก็คุมน้ำ ไฟช่วยเผาผลาญทำให้น้ำออกไป กลายเป็นน้ำเหงื่อ น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำลาย ของเสีย ขับถ่ายทิ้งไป ส่วนใหญ่แล้วมันจะถูกควบคุมด้วยธาตุไฟภายในกายเรา เมื่อไฟควบคุมธาตุน้ำ น้ำก็ยังมีดินห่อหุ้มไว้อีก
       
       
เพราะฉะนั้น คนที่ตายแล้ว สัตว์ที่ตายแล้ว เราจะเห็นว่าไม่มีลม-หายใจ ก็เพราะว่าเขาไม่มีจิตวิญญาณ เมื่อไม่มีจิตวิญญาณก็ไม่มีลมหาย-ใจ พอไม่มีลมหายใจ ไฟก็ดับ พอไฟดับ น้ำไม่มีผู้ควบคุม มันก็จะเบ่งบาน เพราะไม่มีตัวไปกดทับมันไว้ มันก็ทำการละลายดิน สัตว์ที่ตายแล้วจึงขึ้นอืด เขียว พอง น้ำเหลืองไหลออกมาตามผิวหนังที่บอบบาง น้ำเหลืองเหล่านี้ก็คือธาตุน้ำ ผิวหนังที่บอบบางก็คือธาตุดิน ดินในส่วนของร่างกายที่บางที่สุด เป็นทำนบกั้นที่บางที่สุด มันก็จะโดนน้ำทำลายออกมา
       
       
องค์ประกอบของกายที่บอกว่ามีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ นั้น ในแต่ละดิน แต่ละน้ำ แต่ละลม แต่ละไฟ ก็ยังมีองค์ประกอบของเซลล์ต่างๆมากมายมหาศาล เป็นหมื่นเป็นล้านเป็นร้อยๆล้านชีวิต ที่มันเกาะกลุ่มและสะสมเป็นกระบวนการของชีวิต และรูปร่างที่เราสัมผัสจับต้องพิสูจน์ได้
       
       
องค์ประกอบเหล่านี้มันก็มีเสียบ้าง ดีบ้าง พร่องบ้าง สมบูรณ์บ้าง สมดุลบ้าง ขาดสมดุลบ้าง หน้าที่ของการมีชีวิตของพวกเราก็คือรักษามันให้คงไว้ซึ่งความดีและสมดุล รักษาไว้ซึ่งความไม่พร่องและถูกต้อง ไม่บกพร่องในหน้าที่
       
       
แล้วธาตุสี่นี้ล่ะตั้งอยู่ได้ด้วยอะไร ก็ด้วยอาหาร องค์ประกอบของธาตุสี่ ในอาหารเหล่านั้นก็มีองค์ประกอบของธาตุสี่เหมือนกัน มาสนับ-สนุนส่งเสริมทดแทนสิ่งที่เสีย ซ่อมแซมสิ่งที่บุบสลาย แล้วก็สร้างเสริมสิ่งที่กำลังจะเจริญเติบโต
       
       
กระบวนการของธาตุสี่อย่างนี้เมื่อเราได้มันอย่างสมบูรณ์แล้วมันจะเกิด หลวงปู่ไม่แน่ใจว่าภาษาอังกฤษเขาเรียกมันว่าอะไร แต่หลวงปู่เรียกว่า พลังงาน คือผลพลอยได้ คือการสันดาป เช่น เรากินอาหารเข้าไปอย่างถูกต้อง ดำรงไว้ซึ่งความสมดุลของธาตุทั้งสี่ มันจะเกิดกระบวนการพลังชนิดหนึ่งซึ่งคนจีนเขาเรียกว่าปราณ
       
       
คำว่าปราณตัวนี้ มันเกิดได้ด้วยสองชนิด ชนิดแรกคือเกิดจากสมดุลแห่งธาตุทั้งสี่ ชนิดที่สองคือเกิดจากกระบวนการของสมดุลแห่งสภาวะจิตที่สงบ สมดุลแห่งจิตที่ไม่กระเพื่อม ทั้งสองชนิดนี้ถ้ามันปรากฎขึ้นมันจะเกิดพลังชนิดหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่าปราณ ปราณตัวนี้จะมีอำนาจและมีพลังที่ควบคุมและก็กำหนดการเกิด การตาย ของเซลล์ทั้งหลายภายในกายนี้ หลวงปู่ไม่แน่ใจว่ามันจะถูกผิดตามหลักของแพทย์หรือไม่ แต่นี่คือความรู้จากประสบการณ์ทางวิญญาณที่ตัวเองค้นคว้า ค้นพบ และพิสูจน์สัมผัสได้
       
       
เมื่อปราณตัวนี้ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงเซลล์ทั้งหลายภายในกายนี้ ซึ่งภาษาแพทย์อาจจะเรียกว่าสารหรือมวลสารแห่งอาหารที่ร่างกายดูดซึมแล้วก็ได้ แต่หลวงปู่หรือว่านักจิตศาสตร์เขาเรียกมันว่าปราณ แต่มันก็ยังไม่ถึงคำว่าพลังแห่งจิต รวมแล้วสมดุลแห่งกายนี้จะรักษาได้ประเภทที่หนึ่งคือพลังปราณ ต้องมีปราณและปราณนั้นเกิดได้จากการรักษาสมดุล ประเภทที่สองจิตไม่กระเพื่อม สองชนิดนี้เท่านั้นที่จะรักษาสมดุลย์แห่งธาตุทั้งสี่ หรือธรรมชาติแห่งธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้คงไว้ซึ่งสมดุล
       
       
สมมติว่าเซลล์ในกายเรา เช่น เซลล์ในเส้นผมมันมีชีวิตแค่ ๑ นาที แล้วเราไม่รักษาสมดุลของมัน ไฟมันมากไปมันก็เผาผลาญเซลล์ในเส้นผมหรือเส้นขนของเราให้มันมีชีวิตแค่ครึ่งนาที ร่างกายนี้ก็จะต้องสร้างสิ่งที่มีชีวิตขึ้นมาเพื่อจะสร้างเซลล์ รักษาชีวิตเซลล์ขึ้นใหม่ เพื่อจะทดแทนสิ่งที่ตายไปเร็วขึ้น พลังงานของกายเราก็จะต้องใช้มากขึ้น แล้วเราก็จะต้องสูญเสียพลังชีวิตเยอะขึ้น ปราณก็จะหมดเร็วขึ้น อาหารก็ต้องทดแทน หาได้มากขึ้น เมื่อเราสูญเสียและเผาไหม้ไปกับกระบวนการที่ไร้สาระ กับการที่เราคอยระแวดระวังไม่ให้เซลล์เส้นผมหนึ่งเส้นมันตายก่อนจะถึงหนึ่งนาที เราทำสมดุลของมันให้มีชีวิตยืนยาวจนครบหนึ่งนาที จนสิ้นอายุขัยมัน แล้วจึงจะเกิดเซลล์ใหม่
       
       
ถ้าเราฝึกตัวเองจนสามารถควบคุมองค์คุณแห่งธาตุสี่ได้ ฝึกตัวเองจนสามารถควบคุมองค์ประกอบของสมดุลแห่งธาตุได้ และก็ฝึกตัวเองจนกำหนดอายุขัยแห่งเซลล์ภายในกายได้ คือควบคุมอายุขัยแห่งเซลล์ภายในกายได้ นั่นก็คือที่มาของสูตรสำเร็จของการได้มีชีวิตอย่างมีสาระ การสร้างชีวิตให้ได้สาระ หรือได้ชีวิตจากการสร้างสาระ และก็นำเอาชีวิตที่มีและดีอยู่นี้ ไปทำให้เกิดประโยชน์สุข นั่นคืออีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือธรรมชาตินอกกายและในกายที่จะสร้างสัมพันธภาพต่อกันในโอกาสต่อไป
       
       
ธรรมชาติภายในกายกับธรรมชาตินอกกาย ต้องสมดุลกัน ต้องสื่อ-สัมพันธ์ ทำให้เกิดกระบวนการมีสัมพันธภาพอันดีต่อกัน ทีนี้เราก็จะรู้ได้ทันทีว่า ยาทุกชนิด น้ำทุกหยด ข้าวทุกเมล็ด อาหารทุกจาน เกลือทุกก้อน อากาศทุกครั้งที่เราสูดเข้าไป มันเหมาะสมพอดีกับเรามากน้อยอย่างไร แค่ไหน อย่างเช่น ถ้าหากว่าธรรมชาติภายในกายร้อน แล้วธรรมชาติภายนอกกายไม่ได้แก้ความร้อน สิ่งที่ต้องทำเวลานี้ก็คือโบกมือพัด แล้วธรรมชาตินอกกายคืออะไร ก็คือลมที่อยู่รอบกาย ส่วนธรรมชาติในกายคืออะไร ก็ไฟที่ทำให้ร้อน ดังนั้นจึงต้องเอาลมเข้าไปกำราบ ทำให้มันลดน้อยถดถอยลง นี่คือกระ-บวนการของการมีชีวิต

หมายเลขบันทึก: 62880เขียนเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2006 17:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท