บทที่ 2
หลักประกันสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญาตามกฎหมายไทย
2.1 แนวความคิดรากฐานเรื่องสิทธิ
2.2 ฐานะของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาในประเทศไทย
การดำเนินกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทยในสมัยก่อนยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการประกันสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญามากนัก เนื่องจากแนวคิดในการค้นหาความจริงจะมองว่าผู้ต้องหาเป็นเพียงวัตถุแห่งคดี อีกทั้งผู้ต้องหาก็จะถูกสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจนกว่าจะเป็นฝ่ายพิสูจน์ให้ศาลว่าตนนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ และเนื่องจากการตกเป็นวัตถุแห่งคดี กระบวนการยุติธรรมสมัยนั้นจึงนำโทษลักษณะต่างๆมาใช้กับผู้ต้องหา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้นั้นเจ็บปวดทรมานและยอมรับสารภาพว่าได้กระทำผิดต่างที่ถูกกลาวหา วิธีการเช่นนี้เรียกว่าจารีตนครบาล เช่น การเฆี่ยนถามคำให้การโจร ตบปากคู่ความ จำขื่อผู้ขัดหมาย จำขื่อผู้ร้ายที่ยังไม่รับ มัดแช่น้ำตากแดดเร่งสินไหม ตบปากผู้อุทธรณ์เกินกำหนด เป็นต้น รวมทั้งยังมีการประจาน ผู้ถูกกล่าวหาในระหว่างสอบสวนและพิจารณาคดีด้วย เช่น
- เมื่อมีการกล่าวหาว่าผู้ใดกระทำความผิด ศาลจะส่งให้ไพล่หลวงนำผ้าขาวไปผูกคอผู้ต้องหามา นำไปที่ทิม (ห้องแถวหรือศาลาแถวที่ใช้พักและไว้ของ) หรือที่คุมขังชั่วคราวแล้วล่ามโซ่ตีตรวนไว้
- ถ้าจำเลยปฏิเสธข้อกล่าวหา และลูกขุน ณ ศาลหลวงเห็นว่าจำเลยมีพิรุธมากให้ตระลาการส่งตัวจำเลยไปจำไว้หน้าคุกฐานผู้ร้ายใจแข็ง
วิธีการตามตัวอย่างต่างๆข้างต้นล้วนแสดงให้เห็นว่ากฎหมายในสมัยนั้นยังไม่ได้คำนึงถึงความว่าสิทธิของผู้ต้องหาเท่าที่ควร ผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นกรรมในการดำเนินกระบวนการพิจารณา จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับวัตถุชิ้นหนึ่ง
ต่อมาประเทศไทยประสบกับปัญหาสิทธิสภาพอนาเขต ผลจากปัญหาดังกล่าวทำให้ประเทศไทยต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างหนักเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย สิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆก็ถูกหยิบยกมาเปรียบเทียบกับชาติตะวันตกซึ่งพัฒนาแนวคิดดังกล่าวล่วงหน้าไปก่อน เช่น การเลิกทาส การให้เสรีภาพทางการค้า เป็นต้น แต่ถึงอย่างไรกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้นก็ยังมีความล้าหลังป่าเถื่อนรุนแรง และมีหลักเกณฑ์การปฏิบัติที่ไม่แน่นอนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพิจารณาคดีความแบบจารีตนครบาล ดังนั้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพัฒนากฎหมายวิธีพิจารณาความให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ
กระบวนการพิจารณาที่เปลี่ยนแปลงไปพึ่งพาอาศัยพยานหลักฐานมากกว่าแต่ก่อน และประการสำคัญก็คือการแยกอำนาจตุลาการออกจากฝ่ายบริหารในคดีอาญา รวมถึงมีการบัญญัติสิทธิต่างๆอันมีลักษณะประกันสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญาและการบัญญัติข้อจำกัดการใช้อำนาจรัฐทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและศาลไว้ด้วย ทำให้สภาพความเป็นกรรมในคดีของของผู้ถูกกล่าวหาหมดสิ้นไป ต่อมาจึงได้มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยจึงได้มีการประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งสิทธิที่รับรองดังกล่าวก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย มากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับสภาพทางการเมืองของรัฐบาลแต่ละยุคสมัย
2.3 การคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาที่จะไม่ถูกกระทำในลักษณะประจาน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2540) คุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลและควบคุมการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐไว้ ดังนี้
มาตรา 4 “”
มาตรา 26 “”
มาตรา 30 วรรค 1 “”
และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังได้บัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสิทธิในชื่อเสียงเกียรติยศและความเป็นอยู่ส่วนตัว ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 ว่า “”
ดังนั้นกรณีผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ปรากฏว่ามีการกระทำที่เป็นการประจานผู้นั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อบทบัญญัติที่คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาหรือจำเลย ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 33 ว่า “” ทั้งนี้เพราะการประจานเป็นวิธีปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาดูเสมือนเป็นผู้กระทำผิด ซึ่งหลักการดังกล่าวได้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2492) โดยขณะที่กำลังประชุมยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.2492) อยู่นั้น องค์การสหประชาชาติอยู่ในระหว่างการจัดทำปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและได้จัดทำจนแล้วเสร็จ ประกาศใช้เมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ.2491 จึงได้มีการนำหลักการในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมาบรรจุลงในหมวดที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย เป็นผลให้อิทธิพลของแนวคิดเรื่องการสันนิษฐานความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญาตามที่กำหนดไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษย์ชน ได้สืบทอดต่อมายังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยถึงทุกวันนี้
ไม่มีความเห็น