ผู้ว่าการ ธปท. ย้ำบาทแข็งไม่กระทบส่งออก จี้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญบริหารความเสี่ยงจาก อัตราแลกเปลี่ยน เอกชนร้องรัฐเร่งสางกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า "โฆสิต" ยันเศรษฐกิจพอเพียงดันจีดีพีโตได้ถึง 5% "ศุภวุฒิ" หวั่นรัฐตั้งงบใช้หนี้จนขาดเม็ดเงินกระตุ้นลงทุน
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปีประมาณ 12.80% แข็งค่ามากสุดในภูมิภาคในช่วง 2 ปี เป็นผลจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ จากที่สหรัฐขาดดุลการค้าถึง 798,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินทุนไหลเข้าแถบเอเชียต่อเนื่อง โดยไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดช่วง 9 เดือนปีนี้ 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่ขาดดุล 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ช่วงเดียวกันปีก่อน "แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่พบว่าการแข็งค่าของเงินบาททุก 1% กระทบต่อมูลค่าการส่งออกลดลง 0.1% เท่านั้น ขณะที่การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยทุก 0.07% การส่งออกของไทยจะเพิ่มขึ้น 1.44% ดังนั้น จึงไม่เห็นว่าการแข็งค่าของเงินบาทจะมีผลกระทบต่อการส่งออก" นางธาริษากล่าว
ดังนั้น ภาคเอกชนจำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน และในอนาคต ธปท. อาจพิจารณาผ่อนคลายมาตรการด้านเงินทุนให้คล่องตัวมากขึ้น เพื่อให้ตลาดมีความกว้างเพียงรองการไหลเข้าออกของเงินทุน
นางธาริษากล่าวว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีหน้ามีโอกาสทรงตัวในระดับปัจจุบันที่ 5% หรืออาจลดลง ขึ้นอยู่กับระดับราคาน้ำมันในตลาดโลก ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มชะลอลงจากระดับ 2-2.5% ปีนี้ เป็น 1.5-2.5% เศรษฐกิจปี 2550 น่าจะเติบโต 4.5-5.5%
นายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เชื่อว่าการแข็งค่าเงินบาทจะกระทบกับธุรกิจหลักในทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมส่งออก แต่เชื่อว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงบ้างจากปัจจุบัน ที่แข็งค่าขึ้นมาก
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขกฎระเบียบที่ยังเป็นอุปสรรคต่อการค้า รวมทั้งต้องการให้พัฒนาเอสเอ็มอีให้สามารถแข่งขันได้เพิ่มมากขึ้น
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวในงานสัมมนา "เศรษฐกิจพอเพียง : การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs ไทย" ในโอกาสครบรอบ 5 ปีการก่อตั้งสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ว่า นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ขัดกับระบบเศรษฐกิจเสรี แต่จะทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็งและมีความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการ SMEs จำเป็นต้องนำมาประยุกต์ใช้ในภาวการณ์แข่งขัน ที่รุนแรง "เมื่อเศรษฐกิจไทยปรับเข้าสู่เศรษฐกิจพอเพียง คาดว่าอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจจะยังคงอยู่ระดับ 5% แต่จะมีการกระจายมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่ได้มากขึ้น และการไม่ก่อหนี้เกินความสามารถ เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาหนี้เอ็นพีแอลได้" นายโฆสิตกล่าว
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการและประธานสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า ภาพเศรษฐกิจปี 2550 ปัจจัยการเมืองยังมีความสำคัญ ที่เป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล แต่มีการตั้งงบใช้หนี้มาก ๆ นั้น จะทำให้เหลือเม็ดเงินสำหรับไปกระตุ้นการลงทุนได้เท่าไร
ไทยโพสต์ 24 พ.ย. 2549
ไม่มีความเห็น