ความรู้อยู่ที่ไหน มาจากที่ใด
ครั้งหนึ่ง มี นศ. คนหนึ่งมาที่โต๊ะผม แล้วโยนหนังสือเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะผม
เกี่ยวกับข้อมูลโครงงาน เรื่อง “xxxx” (แทน) และต่อไปนี้คือบทสนทนาระหว่างผมกับ นศ.
นศ.--- อาจารย์ ไหนบอกว่าเรื่อง “xxxx” อยู่ในหนังสือเล่มนี้ไง
ผมก้มหน้าอ่านรายงานอยู่ ก็เงยหน้ามอง นศ. โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
นศ.--- อาจารย์ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ 5 รอบ แล้ว ไม่เห็นมีเรื่อง “xxxx” เลย (เขาคิดว่าผมไม่รู้จริงแล้วบอกเขาส่งๆ)
อ. --- นั่งก่อนสิ (แล้วผมก็ก้มอ่านรายงานต่อ)
นศ.--- ถ้าอาจารย์ไม่เชื่อก็ถามเรื่องอะไรก็ได้ในหนังสือผมบอกได้หมด (ดูท่าทางที่ผมไม่สนใจเขาก็ยิ่งอารมณ์เสีย)
อ. --- ผมมองหน้าเขาอีกครั้ง ยกมือผสานที่ท้ายทอย ยิ้ม แบบตลกๆ
นศ. --- อาจารย์ เรื่องที่อาจารย์บอกผมว่าจะค้นได้จากหนังสือเล่มนี้น่ะ ไม่มีสักหน่อย (ดูเหมือนเขาจะเริ่มเดือดดาน)
อ. --- คุณจะบ้าหรือ (นศ. ทำหน้า งง) ถ้าเป็นผมอ่านรอบแรกไม่เจอผมก็เปลี่ยนเล่มแล้ว อย่างมากก็อ่านอีกรอบดูว่าจะตกหล่นไป
นศ. --- ก็ผมอ่านจนรู้ว่าเรื่องอะไรอยู่ไหน ไม่มีเรื่องที่ผมต้องการเลย อาจารย์บอกผมไม่ถูก (มั่ว แล้วยังมาแกล้งอีก) ท่าทางเขาก้าวร้าวขึ้น โมโห้ ที่ถูกหลอก
อ. --- คุณรู้ไม๋ ว่าหนังสือเรื่อง “xxxx” ที่คุณอ่านมีกี่เล่ม ….
นศ. --- ….. (ขมวดคิ้ว เริ่มคิด ดูเหมื่อว่าจะเริ่มสงบลง)
อ. --- หนังสือในเรื่องต่างๆนั้น มีหลายคนแต่ง คนแต่งก็มักจะแต่งไม่เหมื่อนกันในแต่ล่ะเรื่อง หัวข้อในแต่ล่ะเรื่องของหนังสือก็ต่างกันบาง เนื่องจากแต่ล่ะคนแต่งหนังสือนั้น มีความถนัดในแต่ล่ะเรื่องไม่เหมือนกัน เรื่องที่เขาถนัดเขาก็จะเขียนดี เขียนเยาะ บางเรื่องที่เขาไม่ถนัดก็จะเขียนน้อย หรือไม่กล่าวถึงเลย นั้นคือ คุณสมบัติเฉพาะของผู้เขียน ทำให้เกิดคุณสมบัติเฉพาะของหนังสือ คุณลองไปดูในห้องสมุดสิครับ หนังสือวิชาเดียวกัน มีคนแต่งกี่คน
นศ. เขากลับออกไป แล้วไปหาอ่านใหม่ (ภายหลังค้นในห้องสมุดมีหนังสือเรื่องนี้ อยู่ 5 เล่ม 3 คนแต่ง บางเล่มขึ้นกับวาระเวลานั้นๆ)
นศ. ในเวลาต่อมา ด้วยความรู้สึกเสียฟอร์ม ไม่ยอม ต้องเอาคือจากผมให้ได้ นศ. กลับมาอีกครั้ง
นศ. --- อาจารย์ ผมอ่านไป 5 เล่ม แล้วก็เจอหัวข้อที่ต้องการ อาจารย์รู้ใช้ไม๋ว่าอยู่เล่มไหน ทำไมอาจารย์ไม่บอกผมว่าของใคร ใครแต่ง อาจารย์หลอกผม ทำให้ผมเสียเวลาเปล่า อย่างนี้ผมก็อ่านเก้อ แกล้งผมนิครับ
อ. --- (ผมมองเขา นวดคางตัวเอง ด้วยความรู้สึกว่าคนอย่างนี้สิต้องได้รับการปรับแต่ง) คุณรู้ไม๋ การที่คุณอ่านเจอเป็นเล่มสุดท้ายดีแค่ไหน
นศ. --- อาจารย์หมายความว่าไง (คิด “อ้าวอาจารย์ตะแบง”)
อ. --- ถ้าคุณอ่านเจอในเล่มแรก อีก 4 เล่มคุณก็ไม่ได้อ่านจริงไม๋
นศ. --- พยักหน้า ทำไมล่ะ (ทำหน้าไม่พอใจ)
อ. --- การที่คุณได้อ่าน 4 เล่มก่อนหน้านี้ที่ว่าไม่มีประโยชน์นั้นน่ะ คิดให้ดีสิครับ ว่าความรู้ที่ได้จากการอ่านนั้นไปอยู่ที่ไหน …. อยู่ที่คุณน่ะแหละ ความรู้ที่ได้นั้นไม่ได้เสียเปล่า แม้ไม่ได้ใช้ตอนนี้ก็ตาม แต่ได้เข้าไปอยู่ในสมองคุณแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ถูกใช้ หรือต้องการในตอนนี้เท่านั้น อย่างเช่นว่า คุณมีปัญหา ถ้าคุณอ่านเจอเลยคุณอยากรู้ เรื่องแรกเลย คุณก็จะหยุดอ่าน คุณก็จะรู้เรื่องเดียว แต่ถ้าคุณอ่านไปร้อยเรื่องไปเจอที่ต้องการ เท่ากับคุณอ่านไปร้อยเรื่อง คุณมีความรู้ร้อยเรื่อง ประโยชน์ตกอยู่กับใคร ? ที่ว่าอ่านไปเก้อไม่มีประโยชน์นั้น อย่างให้คุณคิดใหม่น่ะ เรื่องที่คุณอ่านไม่ได้เป็นเรื่องที่คุณต้องการตอนนี้ไม่ใช้เรื่องไร้สาระ เป็นเพียงเรื่อง หรือความรู้ ที่ยังไม่ได้ใช้ตอนนี้เท่านั้น ณ เวลาต่อมา โอกาสหน้าคุณบังเอิญต้องการรู้เรื่องบางอย่างพอดี แล้วเรื่องนั้นได้เคยอ่านมาแล้วจากที่คุณว่าไม่มีโยชน์นั้นแหละ จะปรากฎขึ้นมาในสมองโดยอัตโนมัติ แลัวคุณก็ใช้ความรู้นั้นได้ทันที โดยไม่ต้องไปค้นคว้าอีก คุณได้รับคำชม ได้ยกย่อง จากความรอบรู้ และประสพความสำเร็จ
อ. --- แต่ ณ เวลานั้น คุณกลับไม่เคยคิดย้อยว่าความรู้ที่ได้นั้น ไม่มาจากที่ไหน ได้จากการที่อาจารย์หลอกให้ค้นคว้าหาอ่าน ซึ่งในเวลานั้นโมโห้อาจารย์สะด้วยซ้ำ ฉะนั้นคุณเชื่อไม๋ ว่ามีรุ่นพี่ของคุณหลายคนคิดออก บางคนก็ยังโกรธผมอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขาคิดออก เวลาเขาพบผมเขาแทบจะก้มลงกราบผมด้วยซ่ำ ว่าเขาประสพความสำเร็จได้ในวันนี้จากใคร
**** แล้วผมก็เล่าเรื่องการเดินทางบนรถไฟให้เขาฟัง ซื่งเป็นที่มาของกระบวนการสอนในครั้งนี้ ถ้าจะอ่านเรื่องการเดินทางบนรถไฟ คงต้องรอครับ เพราะนี้ก็ยาวไปหน่อยแล้ว แล้วผมอาจจะเล่าให้อ่าน ขอบคุณ !!! *****
ไม่มีความเห็น