เมื่อเช้าประชุมน้องๆในแผนกตามปกติทุกวันศุกร์ ผู้เขียนเปิดการประชุมโดยกล่าวสวัสดี พร้อมเกริ่นนำเล่าเรื่องในหลวงสวรรคตว่า เวลาเราทำงานเราก้จะลีมเรื่องราวอื่นๆที่เกิดขึ้น อารมณ์สมาะิจะอยุ่กับงาน วุ่นวายกันทั้งวัน พอเลิกงานขับรถกลับบ้านเปิดวิทยุ ได้ยินเสียงมโหรีประโคมย่ำยาม ก็พลันฉุกคิดได้ว่าองค์ในหลวงได้จากเราไปแล้วหรือ
เหมือนไม่เชื่อตัวเอง เหมือนพระองค์ยังอยู่กับเราอย่างที่ผ่านๆมาตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน แต่พอระจักษ์ความจริงว่าพระองค์ได้จากเราไปแล้ว ก็รู้สึกใจหายทุกครั้งที่คิดแบบนี้ พระองค์จากพวกเราไปแล้วจริงๆหรือ?
ผู้เขียนกล่าวต่อไปว่า ทุกครั้งที่เกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์กาย ทุกข์ใจ หากมีสติระลึกได้ในปัจจุบันขณะ ผู้เขียนจะนึกถึงธรรมะของพระพุทธเจ้า และนึกถึงในหลวง ในเรื่องที่ใกล้เคียงกันคือ การปล่อยวางจิตใจ การทำใจให้รู้สึกพอเพียง
เมื่อจะนำธรรมะมาปลอบประโลมให้หายทุกข์ใจ ก็จะมีการปล่อยวาง หากแต่ไม่ได้หมายถึงการปล่อยทิ้ง
เมื่อจะน้อมนำคำสอนของในหลวง คงหนีไม่พ้นความพอเพียง
ผู้เขียนยกตัวอย่างตัวเองที่สร้างกับดักฝังรากแน่นในเมืองหลวงแห่งนี้ ด้วยคิดว่าสิ่งที่ทำไปนั้นคือความต้องการที่จีรังยั่งยืน และสมบูรณ์ถูกต้อง หากไม่สมหวังก็เกิดทุกข์ และหนีออกจากกรงขังไม่ได้สักที ขณะที่เพื่อนที่อยู่บ้านต่างจังหวัดอยู่กับท้องไร่ท้องนา ต่างมีความสุขตามอัตถภาพท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม
นั่นคือความพอเพียง พอดี ของชีวิตพวกเขา
และกรงขังกับดักตังตนเอง คือความไม่พอดี ไม่พอเพียงของเราเอง
ผู้เขียนบอกกับน้องๆว่า ชีวิตที่พอเพียง เป็นเรื่องที่ทำได้จริงแท้แน่นอน หากทุกข์ขอให้นึกถึงพระองค์ นึกถึงความพอเพียง เมื่อใจเราพอเพียงก็เกิดสุขคลายทุกข์ลงได้
ก่อนจบผู้เขียนขอให้ทุกคนหลับตาถวายความอาลับให้ในหลวงเป็นเวลา 1 นาที 9 วินาที
....................
อยู่ที่ใจ นะคะ รู้จักพอ ก็หยุด นะคะ
ขอบคุณพี่เปิ้นครับ