ความเป็นมาของวันหยุดของไทย
การหยุดราชการของไทยนั้นมีมาช้านาน แต่ไม่ได้กำหนดให้มีวันหยุดราชการตรงกัน ซึ่งราชการแต่ละหน่วยงานต่างก็กำหนดวันหยุดราชการกันเองแตกต่างกันไปไม่เป็นระเบียบเดียวกัน[1] ทั้งนี้ประเทศไทยเริ่มมีการกำหนดวันหยุดประจำชาติอย่างเป็นทางการเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา กล่าวคือมีประกาศพระบรมราชโองการเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการลงในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 30 เมื่อ วันที่ 30 มีนาคม 2456 ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้อ้างถึงการกำหนดให้มีวันหยุดว่ามีวัตถุประสงค์ 3 อย่างคือ[2]
ในประกาศราชกิจจานุเบกษาเล่มดังกล่าวระบุว่ากำหนดให้มีวันหยุดราชการดังต่อไปนี้[3]
ทั้งนี้วันพระราชพิธีฉัตรมงคลนั้นกำหนดตามวันที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (Coronation) คือวันที่ 11 พฤศจิกายน 2453 ส่วนวันเฉลิมพระชนมพรรษานั้นกำหนดตามวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มกราคม 2423 ดังนั้นวันหยุดราชการอย่างเป็นทางการของประเทศไทยเริ่มแรกจึงมีทั้งหมด 40 วัน โดยวันที่มีการกำหนดตามทางสุริยคติ (Solar calendar) ก็กำหนดให้หยุดตามวันนั้นทุกปี ส่วนวันที่เกี่ยวกับทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นการกำหนดตามทางจันทรคติ (Lunar calendar) ก็เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปีแล้วแต่ว่าจะตรงกับวันที่เท่าไหร่เดือนอะไร[4] และยังเปิดให้หน่วยงานราชการแต่ละหน่วยพิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับการดำเนินการในวันหยุดรวมทั้งสามารถกำหนดวันหยุดพิเศษเองได้
ต่อมามีประกาศพระบรมราชโองการลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2457 เล่มที่ 31 ระบุให้กระทรวงยุติธรรมสามารถหยุดราชการได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมถึงวันที่ 27 เมษายนรวมเป็นหนึ่งเดือน โดยให้เหตุผลว่าข้าราชการกระทรวงยุติธรรมนั้นทำงานหนักกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีคดีฟ้องร้องกันมากขึ้น ทำให้ต้องอยู่ทำงานเกินเวลาเป็นประจำ จึงสมควรได้รับวันหยุดยาวเป็นพิเศษในช่วงพระราชพิธีตะรุษะสงกรานต์ แลนักขัตฤกษ์เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน[5] นับเป็นการประกาศให้มีวันหยุดเฉพาะหน่วยงานเป็นครั้งแรก
การกำหนดวันหยุดราชการมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวคือได้มีประกาศราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการนักขัตฤกษ์ประจำปี เล่มที่ 42 วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2468 ให้ยกเลิกการหยุดใหญ่ในต้นปีคือช่วงตรุษสงกรานต์ลงโดยระบุว่าระเบียบกระทรวงต่างๆก็ได้อนุญาตให้ข้าราชการได้ลาหยุดกันได้อยู่แล้ว รวมทั้งแก้ไขวันหยุดอื่นๆอีก โดยกำหนดให้มีวันหยุดราชการใหม่ดังนี้
ทั้งนี้วันหยุดราชการในช่วงตรุษสงกรานต์ลดลงจากวันที่ 28 มีนาคม – 15 เมษายนรวม 19 วัน เหลือเพียงให้หยุดราชการแค่วันที่ 31 มีนาคม – 3 เมษายนรวม 4 วัน โดยเพิ่มวันที่ระลึกมหาจักรีคือวันที่ 6 เมษายน คงวันวิสาขะบูชาไว้ 3 วันเท่าเดิม แต่ลดวันเข้าปุริมพรรษาจากเดิมให้หยุด 7 วันเหลือเพียง 3 วัน คงวันสวรรคตแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไว้ 1 วันเท่าเดิม ตัดวันมาฆะบูชาจาตุรงค์สันนิบาต วันทำบุญพระบรมอัษฐิ และพระราชพิธีฉัตรมงคลของรัชสมัยเดิมออก ทั้งนี้เนื่องจากการประกาศวันหยุดในราชกิจจานุเบกษาอยู่ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้นจึงมีการกำหนดวันหยุดราชการในพระราชพิธีฉัตรมงคลใหม่เป็นวันที่ 24 – 26 กุมภาพันธ์ รวม 3 วัน ตามวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งตรงกับวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2468 (นับศักราชแบบเก่า) และเปลี่ยนวันหยุดเฉลิมพระชนมพรรษาจากเดิมคือวันที่ 30 ธันวาคม – 3 มกราคมซึ่งกำหนดตามวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เคยให้หยุดราชการ 5 วัน เหลือเพียง 3 วันคือวันที่ 7-9 พฤศจิกายนซึ่งกำหนดใหม่ตามวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน 2436 ทำให้วันหยุดราชการตามประกาศราชกิจจานุเบกษาใหม่รวมแล้วเหลือเพียง 18 วัน
ปี 2477 มีการเปลี่ยนรัชสมัยมาสู่การครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลหลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราชสมบัติแล้ว ต่อมาในปี 2478 คณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เห็นควรให้มีการกำหนดวันหยุดราชการ และการประกอบพิธีทางราชการที่เกี่ยวกับวันหยุดราชการให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อพิจารณาในการกำหนดวันหยุดราชการซึ่งประกอบด้วย[8]
และในเวลาต่อมามีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดวันหยุดราชการตามมติคณะรัฐมนตรี[9] ได้แก่
การเปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการดังกล่าวทำให้จำนวนวันหยุดราชการลดลงไป 3 วันเหลือเพียง 15 วัน กล่าวคือวันหยุดในช่วงตรุษสงกรานต์หายไป 1 วันคือวันที่ 3 เมษายน ลดวันหยุดเนื่องในวันวิสาขะบูชาไป 1 วันคือลดวันขึ้น 14 ค่ำ ซึ่งเป็นวันก่อนถึงวันวิสาขะบูชา และลดวันหยุดเนื่องในวันเข้าพรรษาไป 1 วันคือลดวันขึ้น 14 ค่ำ ซึ่งเป็นวันก่อนถึงวันเข้าพรรษา นอกจากนี้ยังไม่มีวันหยุดเนื่องในวันวันสวรรคตแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง (23 ตุลาคม) อย่างเช่นในปีที่ผ่านๆมา รวมทั้งไม่มีการกำหนดวันหยุดเนื่องในพระราชพิธีฉัตรมงคลทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลขึ้นครองราชย์ในขณะทรงพระเยาว์และทรงประทับอยู่ต่างประเทศเพื่อศึกษาต่อจึงยังไม่ได้มีพระราชพิธีราชาภิเษก และได้เปลี่ยนวันหยุดราชการเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาจากเดิม 7 – 9 พฤศจิกายนตามวันพระราชสมภพของรัชกาลก่อนหน้ามาเป็น 20 กันยายนตามวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลซึ่งลดจำนวนวันหยุดราชการเนื่องในวันดังกล่าวจากเดิม 3 วันเหลือเพียง 1 วัน อย่างไรก็ตามในประกาศดังกล่าวได้มีการเพิ่มวันหยุดราชการใหม่เพิ่มเข้ามา 4 วันได้แก่ วันขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ (24 มิถุนายน 1 วัน) วันรัฐธรรมนูญชั่วคราว (27 มิถุนายน 1 วัน) วันรัฐธรรมนูญ (9 – 11 ธันวาคม 3 วัน) และวันมาฆะบูชา 1วัน[11]
ในปี พ.ศ. 2481 ได้มีประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดทำงานของธนาคารประจำปี 2481-2482 โดยมีวันหยุดของธนาคารดังต่อไปนี้[12]
และในปีเดียวกันกระทรวงการคลังได้มีประกาศเพิ่มเติมให้วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน 2481 เป็นวันหยุดธนาคารอีกหนึ่งวัน เนื่องจากช่วงดังกล่าวเป็นวันที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตพระนคร[14][15] ซึ่งในปีต่อๆมาก็มีประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดธนาคารมาโดยตลอดทุกปี
ส่วนการเปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการนั้นมีขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2482 ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศเวลาทำงานของราชการอย่างเป็นทางการ โดยวันจันทร์ถึงวันศุกร์ให้เริ่มงานเวลา 9.00 น. ถึง 16.00 น.* และให้หยุดพักรับประทานอาหารกลางวันเวลา 12.00 น. ถึง 13.00 น. ส่วนวันเสาร์นั้นให้หยุดครึ่งวันคือทำงานตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 12.00 น.[16] โดยให้อำนาจหน่วยงานราชการมีระเบียบพิเศษสามารถเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานได้ตามความสะดวกแต่เมื่อรวมเวลาทำงานแล้วต้องไม่น้อยกว่าเวลาทำงานหนึ่งสัปดาห์ตามประกาศนี้ รวมทั้งยังยังกำหนดให้วันอาทิตย์เป็นวันหยุดประจำทุกๆสัปดาห์ทั่วราชอาณาจักร แต่ยังยกเว้นให้สำหรับโรงเรียนที่อาศัยสถานที่วัดเป็นสถานศึกษาที่ให้หยุดวันพระแทนวันอาทิตย์ ส่วนโรงเรียนที่ไม่ต้องอาศัยวัดก็ให้หยุดวันอาทิตย์ นอกจากนี้ยังกำหนดวันหยุดราชการไว้ด้วย โดยกำหนดให้มีวันหยุดราชการ ดังนี้[17]
ตามประกาศใหม่ทำให้มีวันหยุดราชการรวม 16 วัน โดยให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2482 โดยวันหยุดราชการดังกล่าวประกาศใช้เพียง 2 ปีเท่านั้นคือปี 2482 และ 2483 เนื่องจากมีพระราชบัญญัติปีปฏิทินพุทธศักราช 2483 ซึ่งได้กำหนดให้เริ่มปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมและสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม ดังนั้นจึงมีการการออกประกาศกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการออกมาใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2483 เพื่อให้สอดคล้องกับปีปฏิทินกล่าวคือได้กำหนดวันขึ้นปีใหม่เป็น 1 มกราคมแทนวันเดิมที่ใช้วันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่ ทั้งนี้เวลาต่อมาได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พระบรมวงศานุวงศ์ คณะสงฆ์และประชาชนถือเอาวันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่และให้ถือเป็นจารีตประเพณีของชาตินับแต่นั้นมา[18] โดยในประกาศดังกล่าวมีวันหยุดดังนี้[19]
ทำให้มีวันหยุดราชการตามประกาศดังกล่าวทั้งหมด 17 วัน นอกจากนี้ในประกาศยังคงกำหนดวันเวลาทำงานตามเดิมคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ให้เริ่มงานเวลา 9.00 น. ถึง 16.00 น. และให้หยุดพักรับประทานอาหารกลางวันเวลา 12.00 น. ถึง 13.00 น. ส่วนวันเสาร์นั้นให้หยุดครึ่งวันคือทำงานตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 12.00 น. ส่วนวันหยุดประจำสัปดาห์นั้นยังคงกำหนดให้เป็นวันอาทิตย์ตามเดิมและระเบียบการหยุดราชการของโรงเรียนก็ให้เป็นไปตามเดิม
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2484 ได้มีประกาศวันหยุดราชการเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรีให้ถือวันลงนามในสัญญาพักรบระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดจีนฝรั่งเศสซึ่งตรงกับวันที่ 28 มกราคมโดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 57 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2484[20] และต่อมาในสมัยที่นายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้มีการยกเลิกให้วันดังกล่าวเป็นหยุดราชการในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 61 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2487 เท่ากับว่าวันลงนามในสัญญาพักรบระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดจีนฝรั่งเศสเป็นวันหยุดราชการของปี 2485 และ 2486 เท่านั้นทำให้สองปีนี้มีวันหยุดราชการทั้งสิ้น 18 วัน
ในปี 2488 ได้มีประกาศเกี่ยวกับการกำหนดวันหยุดราชการอีกครั้ง โดยมติคณะรัฐมนตรีกำหนดให้มีวันหยุดราชการดังนี้[21]
หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเมื่อ 9 มิถุนายน 2489 และได้อัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชขึ้นครองราชย์ต่อ คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นจึงได้แก้ไขวันหยุดราชการให้มีความเหมาะสมกับรัชสมัยกล่าวคือได้มีการเปลี่ยนวันเฉลิมพระชนมพรรษามาเป็นตามวันพระราชสมภพของรัชกาลปัจจุบันและมีการเปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการบางวัน โดยมีวันหยุดราชการรวม 18 วันดังนี้[22]
ทั้งนี้รัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้เพิ่มวันประกาศสันติภาพเป็นวันหยุดราชการด้วยโดยวันสันติภาพไทย คือ วันที่ 16 สิงหาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันที่ระลึกถึงการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเมื่อย้อนไปในปี พ.ศ. 2488 ก็เป็นวันที่รัฐบาลไทยออก “ประกาศสันติภาพ” อันมีใจความสำคัญส่วนหนึ่งว่า
“การประกาศสงครามเมื่อวันที่ 25 มกราคม พุทธศักราช 2485 ต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งการกระทำทั้งหลายซึ่งเป็นปรปักษ์ต่อสหประชาชาตินั้น เป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของประชาชาวไทย และฝ่าฝืนขืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายบ้านเมือง ประชาชนชายไทยทั้งภายในและภายนอกประเทศ . . . ได้กระทำการทุกวิถีทางที่จะช่วยเหลือสหประชาชาติดังที่สหประชาชาติส่วนมากย่อมทราบอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนชาวไทยอีกครั้งหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยต่อการประกาศสงคราม และการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติดังกล่าวมาแล้ว”
ผลคือ ประเทศไทยยุติความเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายสัมพันธมิตร พร้อมให้ความร่วมมือ และสนับสนุนการหวนคืนมาของสันติภาพ โดยตัวประกาศมีผู้ลงนามคือ นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการคือ นายทวี บุณยเกตุ ประกาศสันติภาพนั้นมีส่วนสำคัญในการช่วยไม่ให้ประเทศไทยต้องตกเป็นชาติผู้แพ้สงคราม[23]
ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีได้มีการประกาศเรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการของสี่จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี สตูล ยะลาและนราธิวาสให้สอดคล้องกับทางลัทธิศาสนา โดยให้หยุดราชการประจำทุกๆสัปดาห์ในวันพฤหัสบดี หยุดครึ่งวัน ตั้งแต่เวลา 12.00 น. และวันศุกร์หยุดเต็มวัน[24] โดยประกาศ ณ วันที่ 26 เมษายน 2491 และในปีเดียวกันก็มีประกาศอีกฉบับลงในราชกิจจานุเบกษาเรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ พ.ศ. 2491 ที่ให้ยกเลิกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการที่ผ่านมาทั้งหมด และให้ใช้ตามระเบียบใหม่ โดยเรื่องเวลาทำงาน ให้เริ่ม 9.00 น. ถึง 16.00 น. หยุดรับประทานอาหารกลางวัน เวลา 12.00 น. ถึง 13.00 น. ส่วนวันเสาร์นั้นหยุดครึ่งวัน ทำงานตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 12.00 น. โดยให้วันหยุดประจำสัปดาห์คือวันเสาร์ครึ่งวันตั้งแต่ 12.00 น. และวันอาทิตย์ ส่วนการหยุดของโรงเรียนให้ใช้ระเบียบเดิมคือถ้าโรงเรียนใดอาศัยวัดเป็นสถานที่ในการศึกษาให้หยุดวันพระเพื่อเป็นการสะดวกของทางวัด ถ้าโรงเรียนใดไม่อาศัยวัดก็ให้หยุดวันอาทิตย์ ส่วนการหยุดของสี่จังหวัดทางภาคใต้คือปัตตานี สตูล ยะลาและนราธิวาสให้หยุดราชการประจำทุกๆสัปดาห์ในวันพฤหัสบดี หยุดครึ่งวัน ตั้งแต่เวลา 12.00 น. และวันศุกร์หยุดเต็มวัน ส่วนเรื่องวันหยุดราชการ ได้กำหนดให้มีวันหยุดราชการรวม 20 วัน ดังต่อไปนี้[25]
ประกาศวันหยุดนี้ถูกยกเลิกในปี 2493 เนื่องจากมีมติคณะรัฐมนตรีให้กำหนดวันหยุดราชการใหม่อีกครั้งตามประกาศเรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2493 ดังนี้[26]
ตามติใหม่ของคณะรัฐมนตรีทำให้มีวันหยุดราชการทั้งหมด 23 วัน โดยมีวันหยุดใหม่เพิ่มเข้ามาคือวันสหประชาชาติ
ต่อมามีการออกประกาศเรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2494 ตามติคณะรัฐมนตรีที่ให้แก้ไขวันหยุดราชการใหม่ โดยมีวันหยุดราชการรวม 27 วัน ดังนี้[27]
และต่อมาในปีเดียวกันมีการประกาศเปลี่ยนแปลงวันหยุดราชการเนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาเป็น 5 – 7 ธันวาคม[28]
คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยกเลิกวันหยุดราชการเดิม และให้แก้ไขวันหยุดราชการใหม่ โดยเพิ่มวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดให้มีวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินีเป็นวันหยุดราชการ ดังนั้นจึงมีวันหยุดราชการรวม 28 วันดังต่อไปนี้[29]
ปี 2497 ทางคณะรัฐมนตรีเห็นว่าวันหยุดราชการมีมากเกินไป ไม่เหมาะกับการบริหารราชการในสมัยนั้น เนื่องจากกระทบกับเศรษฐกิจของชาติ จึงได้ลงมติให้แก้ไขวันหยุดราชการอีกครั้ง โดยลดวันหยุดราชการแต่ละวันให้เหลือเพียงแค่ 1 วันจากเดิมที่วันหยุดบางวันนั้นมีการกำหนดให้ติดต่อต่อกัน 2-3 วัน และยกเลิกวันหยุดราชการในวันสงกรานต์ วันปิยมหาราชและวันสหประชาชาติ[30] แต่ต่อมาในปีเดียวกัน ได้มีประกาศให้วันที่ 24 ตุลาคมซึ่งเป็นวันสหประชาชาติเป็นวันหยุดราชการเหมือนเดิม[31] ดังนั้นจึงมีวันหยุดราชการ 12 วันดังนี้
อีก 2 ปีต่อมาได้มีมติคณะรัฐมนตรี ประกาศ ณ วันที่ 14 เมษายน 2499 ให้เพิ่มวันหยุดราชการอีก 2 วันคือวันที่ 15 เมษายน ซึ่งกำหนดให้เป็นวันแม่ และวันจันทร์สัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม ซึ่งกำหนดให้เป็นวันเด็ก[32] นับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดวันแม่และวันเด็กให้เป็นวันหยุดอย่างเป็นทางการ แต่ในการจัดฉลองวันเด็กแห่งชาตินั้น รัฐบาลได้จัดให้มีขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2498 ซึ่งจัดขึ้นพร้อมกับวันเด็กสากลทั่วโลกคือวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้ได้ตระหนักถึงความสำคัญและความต้องการของเด็ก[33] ส่วนการจัดงานวันแม่นั้นจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 จนมีมติคณะรัฐมนตรีในปี 2499 ให้วันที่ 15 เมษายน เป็นวันหยุดราชการเนื่องในวันแม่ และถูกยกเลิกในปีต่อมา[34] ส่วนการจัดงานวันแม่ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน จนในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา[35]
ต่อมาก็มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2500 อนุมัติให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้เด็กและครูหยุดราชการในวันเด็ก (จันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปี) และวันครู (วันที่ 16 มกราคมของทุกปี) ได้เช่นกัน แต่ก็ได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2503 เปลี่ยนแปลงวันเด็กจากจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมของทุกปีแทน[36]
นอกจากนี้ในปี 2499 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแก้ไขวันหยุดราชการประจำสัปดาห์อีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่าการหยุดวันเสาร์ครึ่งวันและวันอาทิตย์เต็มวันนั้น เป็นวันหยุดสากลสำหรับธุรกิจทั่วไป แต่สำหรับประเทศไทยซึ่งมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติและใช้พุทธศักราชนับปีราชการ จึงสมควรที่จะมีวันหยุดเพื่อบำเพ็ญศาสนกิจด้วย ดังนั้นจึงกำหนดให้หยุดประจำสัปดาห์ในวันธรรมสวนะและวันอาทิตย์แทน และยกเลิกการหยุดวันเสาร์ครึ่งวันเสีย ซึ่งวันหยุดราชการประจำสัปดาห์นี้ให้ใช้สำหรับโรงเรียนด้วย นอกจากนี้ยังกำหนดให้สี่จังหวัดภาคใต้ คือ จังหวัดปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาสให้หยุดราชการประจำสัปดาห์ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์แทน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2499 เป็นต้นไป[37] แต่การประกาศให้หยุดราชการในวันธรรมสวนะใช้ได้ไม่นานก็พบว่าไม่สะดวกแก่การปฏิบัติราชการ ดังนั้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2500 จึงได้ประกาศให้กลับไปใช้วันหยุดประจำสัปดาห์ตามเดิมคือ วันเสาร์หยุดครึ่งวันและวันอาทิตย์เต็มวัน และโรงเรียนก็ให้ไปใช้ระเบียบเดิม ส่วนสี่จังหวัดภาคใต้ก็ให้ไปหยุดวันพฤหัสบดีครึ่งวันและวันศุกร์เต็มวันตามเดิม[38] และในปีเดียวกันก็มีการแก้ไขวันหยุดราชการใหม่อีกด้วย โดยเพิ่มวันสงกรานต์ และวันปิยมหาราช และยกเลิกวันสหประชาชาติ ทำให้ตามประกาศมีวันหยุดราชการ 13 วันดังนี้[39]
ถึงแม้วันหยุดราชการจะเป็นหลักให้หน่วยงานอื่นๆได้หยุดตาม แต่การกำหนดวันหยุดทำงานของบางหน่วยงานมีความเป็นพลวัตมากกว่าวันหยุดราชการ เช่น ธนาคารพาณิชย์ กล่าวคือมีการประกาศกระทรวงการคลังให้วันหยุดเพิ่มเติมหรือแตกต่างไปจากวันหยุดราชการตามปกติ เช่น การหยุดในวันที่มิใช่วันหยุดราชการตามปกติ อาทิ วันตรุษจีน วันอีสเตอร์ วันหยุดประจำภาค เป็นต้น รวมทั้งมีการเพิ่มเติมวันหยุดทำงานชดเชยวันหยุดราชการต่างๆ หากวันหยุดนั้นตรงกับวันเสาร์หรืออาทิตย์ เช่น วันหยุดชดเชย เนื่องจากวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี ในปี 2499 ในวันจันทร์ที่ 13 สิงหาคมอีก 1 วัน เนื่องจากวันที่ 12 สิงหาคมตรงกับวันอาทิตย์[40] นอกจากนี้ยังมีการกำหนดให้มีวันหยุดในวาระพิเศษ เช่น ในปี 2500 มีประกาศให้วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นวันหยุดทำงานของธนาคารพาณิชย์อีกด้วย[41] อย่างไรก็ตามนอกจากธนาคารพาณิชย์แล้ว ยังพบว่ามีหน่วยงานราชการอื่นที่ได้กำหนดวันทำงานและวันหยุดของหน่วยงานที่นอกเหนือไปจากประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เช่น กระทรวงการคลัง ได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 28 (พ.ศ. 2500) ออกตามความในพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 เพื่อกำหนดให้วันสงกรานต์ และวันปิยมหาราช เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม และรวมทั้งกำหนดเวลาทำการในวันเสาร์[42] การกำหนดวันหยุดราชการมีการใช้มาช้านาน แต่ใช้เฉพาะหน่วยงานราชการ รวมทั้งบางหน่วยงานที่หยุดตามประกาศเฉพาะ เช่น ธนาคารพาณิชย์ ที่หยุดตามประกาศกระทรวงการคลัง วันหยุดราชการดังกล่าวมิได้บังคับใช้กับลูกจ้างที่มิใช้หน่วยงานราชการ ดังนั้นในปี 2501 จึงได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดเวลาทำงาน วันหยุดงานของลูกจ้าง การใช้แรงงานหญิงและเด็ก การจ่ายค่าจ้างและการจัดให้มีสวัสดิการเพื่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง โดยใช้กับงานที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กำหนดให้มีชั่วโมงทำงานของงานแต่ละประเภท คืองานอุตสาหกรรมมีเวลาทำงานสัปดาห์ละไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมงส่วนงานพาณิชยกรรมเวลาทำงานสัปดาห์ละไม่เกินห้าสิบสี่ชั่วโมง และมีวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 1 วัน วันหยุดงานตามประเพณีตามที่ตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างไม่น้อยกว่าปีละ 12 วัน นอกจากนี้ยังกำหนดให้นายจ้างมีวันหยุดงานพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่า 6 วันให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันมาแล้วครบหนึ่งปีอีกด้วยโดยไม่นำไปนับรวมกับวันหยุดประจำสัปดาห์และวันหยุดตามประเพณีและให้จ่ายค่าจ้างในวันหยุดดังกล่าวให้ลูกจ้างด้วย อันเป็นการริเริ่มกำหนดให้ลูกจ้างได้รับเงินค่าจ้างในวันหยุด (Paid Holiday) ในประเทศไทย กับมีการกำหนดการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาในวันทำงานปกติและค่าล่วงเวลาในวันหยุดอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก[43] และต่อมาในปี 2502 มีประกาศเรื่องกำหนดวันหยุดงานประจำสัปดาห์ของลูกจ้างในงานอุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรมที่ใช้ลูกจ้างไม่ถึงสิบคนออกมาด้วย[44]
ในปี 2502 ได้มีประกาศเปลี่ยนแปลงเวลาทำงานและวันหยุดราชการอีกครั้ง เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ กล่าวคือคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่าเวลาทำงานและวันหยุดราชการในขณะนั้น คือเวลาทำงานที่ให้เริ่ม 9.00 น. ถึง 16.00 น. หยุดรับประทานอาหารกลางวัน เวลา 12.00 น. ถึง 13.00 น. ให้วันหยุดราชการประจำสัปดาห์ในวันเสาร์ครึ่งวันและวันอาทิตย์เต็มวันยังไม่เหมาะสม จึงลงมติให้กำหนดเวลาทำงานใหม่เป็น เริ่ม 8.30 น. ถึง 16.30 น. หยุดกลางวัน เวลา 12.00 น. ถึง 13.00 น. และให้หยุดราชการประจำสัปดาห์ในวันเสาร์และวันอาทิตย์เต็มวันทั้ง 2 วัน ส่วนสี่จังหวัดภาคใต้ก็ให้ไปหยุดวันพฤหัสบดีและวันศุกร์เต็มวันทั้ง 2 วันเช่นกัน[45] แต่ต่อมามีมติคณะรัฐมนตรีให้ภาคใต้ 4 จังหวัด คือ ปัตตานี สตูล ยะลา และนราธิวาส ให้เปลี่ยนเป็นหยุดในวันเสาร์และวันอาทิตย์เต็มวัน เช่นเดียวกับในจังหวัดอื่น (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2506 เรื่องกำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ ซึ่งปรากฏตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ (ฉบับที่ 16) พ.ศ. 2506)[46]
ในปี 2503 ได้มีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ถือวันพระราชสมภพเป็นวันเฉลิมฉลองของชาติไทย ดังนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยกเลิกวันหยุดราชการในวันที่ 24 มิถุนายน ซึ่งเดิมกำหนดให้เป็นวันชาติ นับแต่นั้นเป็นต้นมา วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีนอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วยังเป็นวันชาติอีกด้วย[47] และในปี 2505 ได้มีประกาศให้หยุดราชการในวันขึ้นปีใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน ทำให้วันหยุดราชการในวันขึ้นปีใหม่มีวันหยุด 2 วันคือวันที่ 31 ธันวาคมและวันที่ 1 มกราคม ซึ่งปรากฏตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ (ฉบับที่ 15)[48]
ประเทศไทยมีการกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นวันหยุดทำงานของลูกจ้างตามสากลนิยม (International Worker’s Day) โดยประกาศของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 27 เมษายน 2504 ซึ่งกำหนดให้เป็น “วันกรรมกรแห่งชาติ (National Labor Day)” ทำให้ต่อมามีการแก้ไขวันหยุดตามประเพณีของลุกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2507) เรื่อง กำหนดเวลาทำงาน วันหยุดงานของลูกจ้าง การใช้แรงงานหญิงและเด็ก การจ่ายค่าจ้าง และการจัดให้มีสวัสดิการ เพื่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง ซึ่งระบุให้ “นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างหยุดงานตามประเพณีนิยมปีละไม่น้อยกว่าสิบสามวัน โดยรวมวันที่ 1 พฤษภาคมด้วย ส่วนวันหยุดงานตามประเพณีนิยมวันอื่นให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ถ้าวันหยุดงานตามประเพณีนิยมวันใดตรงกับวันหยุดงานประจำสัปดาห์ ให้เลื่อนวันหยุดงานตามประเพณีวันนั้นไปหยุดในวันถัดไป”[49]
คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน โดยกำหนดให้วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 แต่ถ้าปีใดเป็นปีอธิกมาส (มีเดือนแปดสองหน) ก็ให้ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 หลัง โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2505 [50] ทั้งนี้เพราะเหตุผลว่าก่อนหน้านี้ทางราชการก็ได้ประกาศให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางราชการและให้ชักธงชาติในวันดังกล่าวไปแล้ว และที่ผ่านมาพุทธศาสนิกชนก็ยินดีนิยมประกอบพิธีบูชาและทำบุญในวันอาสาฬหบูชาอย่างทั่วถึงจึงสมควรที่ทางราชการจะหยุดราชการเช่นเดียวกับวันวิสาขบูชาและวันมาฆบูชา สำหรับจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสตูล นั้น มีวันหยุดราชการเพิ่มขึ้นอีก 2 วัน คือ วันตรุษอีดิ้ลฟิตรี (วันรายอปอซอ) หนึ่งวัน และวันตรุษอีดิ้ลอัฎฮา (วันรายอฮัจยี) หนึ่งวัน อันเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลาม เพื่อเป็นการรักษาขนบธรรมเนียมและประเพณีอันเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ข้าราชการได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามตามสมควร (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2517)[51]
นอกจากนั้นยังมีวันหยุดราชการประจำปีที่ใช้เฉพาะส่วนราชการบางแห่ง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2523 อนุมัติใ ห้ข้าราชการและลูกจ้างในสังกัดกระทรวงกลาโหมหยุดราชการในวันกองทัพไทย (วันที่ 25 มกราคม) ได้ 1 วัน
ในปี 2525 ได้มีการเปลี่ยนแปลงให้วันที่ 6 เมษายน ซึ่งเดิมเรียกกันว่าวันจักรี ให้เป็น “วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจีกรีบรมราชวงศ์”[52]
ในเดือนเมษายน 2532 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กำหนดวันหยุดเพิ่มเติมในวันสงกรานต์ โดยให้หยุดในวันที่ 12-14 เมษายน[53] แต่ต่อมาในปี 2540 คณะรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบให้เลื่อนวันหยุดวันสงกรานต์เป็นวันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน เพื่อให้คนไทยในภาคต่าง ๆ ที่ทำงานต่างถิ่นได้มีโอกาสกลับไปร่วมกิจกรรมให้ตรงกับประเพณีที่สำคัญและยึดถือมาแต่โบราณ[54]
ประเทศไทยมีการประกาศวันหยุดเป็นกรณีพิเศษหลายครั้ง เช่น ในปี 2535 รัฐบาลของพลเอกสุจินดา คราประยูรได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม เวลา 00.30 น. เป็นต้นไป และได้มีมติให้หยุดราชการตั้งแต่วันที่ 18-20 พฤษภาคม เฉพาะปีนั้น เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว[55] ปี 2545 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคมเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเฉพาะปีนั้นอีก 1[56] วันเนื่องจากต้องการให้ประชาชนได้มีวันหยุดยาวในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ปี 2549 มีมติให้วันที่ 19 เมษายน ซึ่งเป็นวันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา เป็นวันหยุดราชการ[57] เพื่อให้ข้าราชการตลอดจนประชาชนได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 กําหนดให้วันจันทร์ที่ 12 และวันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2549 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เฉพาะหน่วยงานที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม) เนื่องในโอกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี[58] และในปีเดียวกันเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ได้มีคำสั่งให้วันที่ 20 กันยายน 2549 เป็นวันหยุดราชการและวันหยุดธนาคาร[59] โดยมีเหตุผลว่าเพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อย กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ต่อมาในปี 2550 มีการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคมเป็นวันหยุดราชการเพื่อสนับสนุนให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความสะดวกในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังมีวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษตามคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2551 กําหนดให้วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2552 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เพื่อให้ประชาชนเดินทางกลับภูมิลําเนา และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศให้ฟื้นตัว[60] และมติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 กําหนดให้วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม 2552 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้เป็นวันหยุดต่อเนื่องยาวจากวันเสาร์และอาทิตย์ไปจนถึงวันหยุดเนื่องในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาคือวันอังคารที่ 7 และวันพุธที่ 8 กรกฎาคม 2552 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและส่งเสริมการท่องเที่ยว[61] และในปี 2553 ก็มีมติคณะรัฐมนตรีให้วันศุกร์ที่ 16 เมษายน เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้มีวันหยุดยาวต่อเนื่องในเทศกาลสงกรานต์และวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2553 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้มีวันหยุดยาวต่อเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ[62] ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งรัฐบาลได้ส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม และรถหุ้มเกราะ เข้าปิดล้อมพื้นที่การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณแยกราชประสงค์ ระหว่างการชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันที่ 19-21 พฤษภาคม 2553 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษในเขตกรุงเทพมหานคร เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศมีความไม่แน่นอนสูง[63] ส่วนปี 2554 ก็มีมติคณะรัฐมนตรีให้วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคมเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเพื่อให้เป็นวันหยุดยาวต่อเนื่องในช่วงวันพืชมงคล (ศุกร์ที่ 13) เสาร์ที่ 14 และอาทิตย์ที่ 15 และวันวิสาขบูชา (อังคารที่ 17) เพื่อสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเชิงครอบครัว[64] จากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย พ.ศ. 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2554 กําหนดให้วันอังคารที่ 3 มกราคม 2555 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวและให้ประชาชนมีเวลาซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ปี 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2555 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เนื่องในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี[65] ปี 2556 คณะรัฐมนตรีได้มีมติกําหนดให้วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม 2556 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้มีวันหยุดต่อเนื่องจากวันเสาร์อาทิตย์ที่ 28 และ 29 ธันวาคมไปจนถึงวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่ในวันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2556 และวันพุธ 1 มกราคม 2557 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และสนับสนุนให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่[66] นอกจากนี้ยังมีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ให้มีวันหยุดเพิ่มอย่างเป็นทางการได้แก่ วันที่ 11 สิงหาคมอีก 1 วัน ในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ วันแม่แห่งชาติ เพื่อให้มีวันหยุดยาว 4 วัน จากวันที่ 9-12 สิงหาม 2557 เพื่อให้ประชาชนได้มีวันหยุดกับครอบครัวในช่วงเทศกาลวันแม่และเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจากการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยว[67] ปี 2558 คณะรัฐมนตรีได้มีมติกําหนดให้วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2558 เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมต่างๆในช่วงเทศกาลปีใหม่[68] และมีมติกําหนดให้วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2558 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมในช่วงวันฉัตรมงคล[69] ปี 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติกําหนดให้วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2559 และวันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม 2559 เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกิจกรรมในช่วงวันหยุดฉัตรมงคลและวันหยุดอาสาฬหบูชา - เข้าพรรษา รวมถึงเพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศอันจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม[70] และล่าสุดในปี 2559 หลังจากที่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันที่ 14 ตุลาคม 2559 เป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนร่วมถวายอาลัย ส่งดวงพระวิญญาณพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร[71]
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการประกาศให้มีวันหยุดราชการในวันสำคัญบางวันเฉพาะบางท้องที่ เช่น ในปี 2555 คณรัฐมนตรีมีมติ ณ วันที่ 10 มกราคม กำหนดให้วันตรุษจีน ซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มอีก 1 วัน ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาสและสตูล[72] และต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556 กําหนดให้วันตรุษอีดิ้ลฟิตรี (วันรายอปอซอ) วันตรุษอีดิ้ลอัฎฮา (วันรายอฮัจยี) และวันตรุษจีน เป็นวันหยุดราชการประจําปีเพิ่มเติมในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพิ่มเติมจากจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล[73]
ตลอดเวลาที่ผ่านมามีผู้เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับวันหยุดหลายครั้ง โดยครั้งหนึ่งเมื่อปี 2528 นายนิยม วรปัญญาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้นได้เสนอให้เปลี่ยนวันหยุดราชการในวันเสาร์และอาทิตย์มาเป็นหยุดในวันโกนวันพระและวันสำคัญอื่นๆทางพุทธศาสนาแทน โดยให้เหตุผลว่า วันหยุดเสาร์อาทิตย์นั้นไม่ตรงกับวันที่ประชาชนจำเป็นต้องปฏิบัติทางศาสนกิจ เหมือนวันพระวันโกน จึงทำให้ข้าราชการหรือนักเรียนไม่มีโอกาสได้เข้าวัดเพื่อฟังพระธรรมคำสอนต่างๆทางพุทธศาสนา ข้าราชการจึงใช้วันเสาร์และวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดไปหาความสำราญและการละเล่นต่างๆ จึงทำให้ประชาชนมีความเชื่อถือในหลักพระธรรมคำสั่งสอนต่างๆของพุทธศาสนาน้อยลงมาก การหยุดในวันพระวันโกนเพื่อให้ข้าราชการได้มีโอกาสเข้าวัดเพื่อทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมและใกล้ชิดกับศาสนามากขึ้น อย่างไรก็ตามรัฐาบาลในขณะนั้นเห็นว่าระยะที่ผ่านมานั้นวันหยุดราชการประจำสัปดาห์นั้นสอดคล้องกับระบบของนานาประเทศซึ่งที่ถือเวลาการปฏิบัติงานตามสุริยคติซึ่งทำให้เกิดความสะดวกและคล่องตัวในการปฏิบัติงาน หากเปลี่ยนไปใช้วันหยุดทางจันทรคติ จะทำให้เกิดความไม่สะดวกในการปฏิบัติราชการเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากประเทศไทยต้องติดต่อกับต่างประเทศซึ่งใช้ระบบทางสุริยคติเกือบทั้งสิ้น ดังนั้นจึงไม่ได้เปลี่ยนวันหยุดประจำสัปดาห์มาเป็นหยุดในวันโกนวันพระตามที่นายนิยม วรปัญญาได้เสนอ[74] นอกจากนี้ในปี 2531 นายนิยม วรปัญญายังเคยเสนอให้เปลี่ยนวันหยุดวันหยุดประจำสัปดาห์ของทางราชการและโรงเรียนมาเป็นหยุดในวันโกนวันพระอีกครั้ง[75] โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นเอกลักษณ์ชาติไทย อย่างไรก็ตามทางรัฐบาลยังคงยืนยันไม่เปลี่ยนแปลงวันหยุดประจำสัปดาห์ตามที่นายนิยม วรปัญญาเสนอด้วยเหตุผลเดิมและเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงวันหยุดที่ผูกพันกับศาสนาพุทธ จะก่อให้เกิดปัญหากับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่นได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความแตกแยกต่อไปในอนาคตได้และอาจเป็นเหตุให้ประชาชนที่นับถือศาสนาอื่นในบางท้องที่เรียกร้องให้มีการหยุดราชการในวันประกอบศาสนกิจประจำสัปดาห์ของตนเองบ้าง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาประการอื่นตามมาด้วย[76] นอกจากนี้ยังมีการเสนอให้กำหนดให้วันพระเป็นวันหยุดทำงานประจำเดือนอีกครั้งหนึ่ง โดยนายเปรมศักดิ์ เพียยุระโดยให้เหตุผลว่าประชากรในประเทศไทยมากกว่าร้อยละ 90 นับถือศาสนาพุทธอีกทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ จึงกล่าวได้ว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของชาติจึงควรส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนคนไทยได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีด้วยการเข้าวัดฟังธรรมในวันธรรมะสวณะโดยการให้เปลี่ยนวันหยุดเสารอาทิตย์มาเป็นวันธรรมะสวณะแทน แต่รัฐบาลในสมัยนั้นก็ยังคงยืนยันให้วันหยุดเป็นวันเสารอาทิตย์เช่นเดิมเพื่อให้สดคล้องกับนานาอารยะประเทศ[77] นายเปรมศักดิ์ เพียยุระยังได้เสนอให้วันสตรีสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันหยุดราชการโดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการให้ความสำคัญแก่สตรีเช่นเดียวกับทั่วโลก ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการจัดงานเพื่อสดุดีและยกย่องระลึกถึงคุณงามความดีของสตรีไทยน้อยมาก หากรัฐบาลประกาศให้วันที่ 8 มีนาคมเป็นวันหยุดราชการจะสามารถจัดงานสตรีสากลได้อย่างกว้างขวาง จะทำให้หน่วยงานราชการและองค์กรต่างๆ ให้การสนับสนุนร่วมกันจัดงานมากขึ้นและเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่รัฐจะต้องส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชาย[78] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้ประกาศให้วันสตรีสากลเป็นวันหยุดโดยให้เหตุผลว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้มีนโยบายสนับสนุบให้จัดงานวันสตรีสากลทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคประจำทุกปี และการกำหนดวันหยุดราชการประจำปีนั้น ทางราชการจะพิจารณากำหนดจากวันที่เป็นสำคัญเกี่ยวกับชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์หรือวันที่เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่สืบต่อกันมา และหากมีวันหยุดราชการเพิ่มอีกอาจทำให้ประชาชนเข้าใจว่ารัฐบาลสนับสนุนให้ข้าราชการทำงานน้อยลง ไม่สอดคล้องกับสภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ จึงไม่สมควรที่จะมีวันหยุดราชการเพิ่มในขณะนั้น นอกจากนี้นายเปรมศักดิ์ เพียยุระยังเคยเสนอให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็น “วันประชาธิปไตย” และให้เป็ยวันหยุดราชการ แต่รัฐบาลเห็นว่าวันที่ 10 ธันวาคมซึ่งเป็นวันที่มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ซึ่งถูกประกาศให้เป็นวันรํฐธรรมนูญและเป็นวันหยุดราชการทุกปีอยู่แล้ว ซึ่งวันที่ 10 ธันวาคมมีความสำคัญมากกว่าวันที่ 24 มิถุนายนซึ่งมีความหมายเป็นเพียงวันเปลี่ยนแปลงการปกครองเท่านั้น[79]
จะเห็นได้ว่าวันหยุดราชการของประเทศไทยนั้นมีประวัติตวามเป็นมาอย่างยาวนาน และการกำหนดวันหยุดยังมีความสอดคล้องกับวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ รวมถึงวัฒนธรรมประเพณี สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมืองและพื้นที่อีกด้วย ดังนั้นวันหยุดจึงไม่ได้มีสถานะที่ตายตัว สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบททางสังคม
รัชกาลที่ 8 |
รัชกาลที่ 8 |
รัชกาลที่ 8 |
รัชกาลที่ 8 |
รัชกาลที่ 8 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
รัชกาลที่ 9 |
|
พหลพลพยุหเสนา |
พิบูลสงคราม |
พิบูลสงคราม |
พิบูลสงคราม |
ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมท |
ปรีดี พนมยงค์ |
จอมพล ป. พิบูลสงคราม |
จอมพล ป. พิบูลสงคราม |
จอมพล ป. พิบูลสงคราม |
จอมพล ป. พิบูลสงคราม |
จอมพล ป. พิบูลสงคราม |
จอมพล ป. พิบูลสงคราม |
พจน์ สารสิน |
จอมพล ส. ธนรัตน์ |
จอมพล ส. ธนรัตน์ |
จอมพล ส. ธนรัตน์ |
พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ |
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ |
|
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 56 วันที่ 10 มกราคม 2480 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 56 วันที่ 4 มีนาคม 2482 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 57 วันที่ 14 กันยายน 2483 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 57 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2484 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 62 วันที่ 25 ธันวาคม 2488 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 63 วันที่ 20 สิงหาคม 2489 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 65 วันที่ 10 สิงหาคม 2491 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 67 วันที่ 12 ธันวาคม 2493 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 68 วันที่ 10 กรกฎาคม 2494 และราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 68 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2494 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 69 วันที่ 9 กันยายน 2495 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 71 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2497 และราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 71 ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2497 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 73 ลงวันที่ 24 เมษายน 2499 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 74 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2500 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 77 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2503 |
2505 |
ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 79 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2505 |
2532 |
2540 |
|
- |
- |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคม – 2 มกราคม) รวม 3 วัน |
- |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคม – 1 มกราคม) รวม 2 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคม – 1 มกราคม) รวม 2 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคม – 2 มกราคม) รวม 3 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคม – 2 มกราคม) รวม 3 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคม – 2 มกราคม) รวม 3 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคม – 2 มกราคม) รวม 3 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (1 มกราคม) 1 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (1 มกราคม) 1 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (1 มกราคม) 1 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคมและ 1 มกราคม) 2 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคมและ 1 มกราคม) 2 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคมและ 1 มกราคม) 2 วัน |
วันขึ้นปีใหม่ (31 ธันวาคมและ 1 มกราคม) 2 วัน |
||
- |
- |
- |
วันลงนามในสัญญาพักรบระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดจีนฝรั่งเศส (27 มกราคม) รวม 1 วัน |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
||||||
วันตรุษสงกรานต์ (31 มีนาคม – 2 เมษายน) รวม 3 วัน |
วันตรุษสงกรานต์และขึ้นปีใหม่ (31 มีนาคม – 1 เมษายน) รวม 2 วัน |
- |
- |
- |
- |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน) รวม 3 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน) รวม 3 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน) รวม 3 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13, 14 และ 15 เมษายน) รวม 3 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 12-14 เมษายน) รวม 3 วัน |
วันสงกรานต์ (วันที่ 13-15 เมษายน) รวม 3 วัน |
|||
วันแม่ (15 เมษายน) 1 วัน |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
||||||||||||
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
- |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
วันจักรี (6 เมษายน) รวม 1 วัน |
||
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
วันพืชมงคล (สำนักพระราชวังจะได้กำหนดเป็นปีๆไป) 1 วัน |
||||||||||
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 ค่ำและวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
- |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันวิสาขะบูชา รวม 1 วัน |
วันวิสาขะบูชา รวม 1 วัน |
วันวิสาขะบูชา รวม 1 วัน |
วันวิสาขะบูชา รวม 1 วัน |
วันวิสาขะบูชา รวม 1 วัน |
วันวิสาขะบูชา รวม 1 วัน |
วันวิสาขะบูชา รวม 1 วัน |
||
วันขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ (24 มิถุนายน) รวม 1 วัน |
วันชาติ (23 – 25 มิถุนายน) รวม 3 วัน |
วันชาติ (23 – 25 มิถุนายน) รวม 3 วัน |
- |
วันชาติ (23 – 25 มิถุนายน) รวม 3 วัน |
วันชาติ (23 – 25 มิถุนายน) รวม 3 วัน |
วันชาติ (24 มิถุนายน) รวม 1 วัน |
วันชาติ (24 มิถุนายน) รวม 1 วัน |
วันชาติ (24 มิถุนายน) รวม 1 วัน |
วันชาติ (24 มิถุนายน) รวม 1 วัน |
วันชาติ (24 มิถุนายน) 1 วัน |
วันชาติ (24 มิถุนายน) 1 วัน |
ยกเลิกวันชาติ |
- |
- |
- |
- |
||
วันรัฐธรรมนูญชั่วคราว (27 มิถุนายน) รวม 1 วัน |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
|
วันอาสาฬหบูชา 1 วัน |
วันอาสาฬหบูชา 1 วัน |
วันอาสาฬหบูชา 1 วัน |
||||||||||||||||
วันเข้าพรรษา (วันขึ้น 15 ค่ำและวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 2 วัน |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 2 วัน |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 2 วัน |
- |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 2 วัน |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 15 และแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 2 วัน |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 3 วัน |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 3 วัน |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 3 วัน |
วันเข้าพรรษา (ขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำและแรม 1 ค่ำ เดือน 8) รวม 3 วัน |
วันเข้าพรรษา 1 วัน |
วันเข้าพรรษา 1 วัน |
วันเข้าพรรษา 1 วัน |
วันเข้าพรรษา 1 วัน |
วันเข้าพรรษา 1 วัน |
วันเข้าพรรษา 1 วัน |
วันเข้าพรรษา 1 วัน |
||
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี (12 สิงหาคม) 1 วัน |
|||||||||||
วันเด็ก (วันจันทร์สัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม) 1 วัน |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
||||||||||||
- |
- |
- |
- |
- |
วันประกาศสันติภาพ (16 สิงหาคม) รวม 1 วัน |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
||
- |
- |
- |
- |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
|||
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
วันสหประชาชาติ (24 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันสหประชาชาติ (24 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันสหประชาชาติ (24 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
วันสหประชาชาติ (24 ตุลาคม) รวม 1 วัน |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
||
- |
- |
- |
- |
- |
- |
- |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) รวม 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) รวม 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) รวม 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) 1 วัน |
วันฉัตรมงคล (5 พฤษภาคม) 1 วัน |
||
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (20 กันยายน) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (20 – 21 กันยายน) รวม 2 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (20 – 21 กันยายน) รวม 2 วัน |
- |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (20 – 21 กันยายน) รวม 2 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 - 6 ธันวาคม) รวม 2 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (4 - 6 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 - 7 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 - 7 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 - 7 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันเฉลิมพระชนม์พรรษา (5 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
||
วันรัฐธรรมนูญ (9 – 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (9 – 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (9 – 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
- |
วันรัฐธรรมนูญ (9 – 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (9 – 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (9 - 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (9 - 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (9 - 11 ธันวาคม) รวม 3 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
วันรัฐธรรมนูญ (10 ธันวาคม) รวม 1 วัน |
||
วันมาฆะบูชา (วันเพ็ญเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (เพ็ญเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (เพ็ญเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 1 วัน |
- |
วันมาฆะบูชา (เพ็ญเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (เพ็ญเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (วันเพ็ญและวันแรมเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันมาฆะบูชา (วันเพ็ญและวันแรมเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันมาฆะบูชา (วันเพ็ญและวันแรมเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันมาฆะบูชา (วันเพ็ญและวันแรมเดือน 3 หรือเดือน 4 แล้วแต่กรณี) รวม 2 วัน |
วันมาฆะบูชา (Makha Buja) 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (Makha Buja) 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (Makha Buja) 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (Makha Buja) 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (Makha Buja) 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (Makha Buja) 1 วัน |
วันมาฆะบูชา (Makha Buja) 1 วัน |
||
15 วัน |
16 วัน |
17 วัน |
เพิ่มเติม |
17 วัน |
18วัน |
20 วัน |
23 วัน |
27 วัน |
28 วัน |
12 วัน |
เพิ่มเติม |
13 วัน |
12 วัน |
13 วัน |
14 วัน |
16 วัน |
16 วัน |
[1] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 30 วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2456 หน้า 533-535
[2] เรื่องเดียวกัน หน้า 534
[3] เรื่องเดียวกัน หน้า 534
[4] เรื่องเดียวกัน หน้า 535
[5] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 31 วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2457 หน้า 57-58
[6] ในประกาศราชกิจจานุเบกษาเขียนทั้งตะรุสะสงกรานต์และตะรุษะสงกรานต์
[7] ในประกาศราชกิจจานุเบกษาเขียนทั้งวิสาขะบูชา และวิศาขะบูชา
[8] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2478 หน้า 2586
[9] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 54 วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2480 หน้า 2338-2339
[10] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 54 วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2480 หน้า 2550 ได้มีประกาศบอกแก้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่องกำหนดวันหยุดราชการให้ติมคำว่า “หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี” ลงในข้อ 3 ให้อ่านได้ความว่า “3. วันวิสาขะบูชา (Visakha Buja) (วันขึ้น 15 ค่ำและวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 หรือเดือน 7 แล้วแต่กรณี) 2 วัน
[11] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 54 วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2480 หน้า 2338-2339
[12] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 55 วันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2481 หน้า 2594-2595
[13] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 56 วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2482 หน้า 230
[14] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 55 วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 หน้า 2757
[15] https://th.wikipedia.org/wiki/พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล_พระอัฐมรามาธิบดินทร (เข้าถึงเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559)
*ในราชกิจจานุเบกษาไม่ได้ระบุว่าวันทำงานคือวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ผู้เขียนอนุมานเอาว่าวันทำงานของราชการที่ทำเต็มวันคือที่ระบุ 9.00 น. ถึง 16.00 น. นั้นหมายถึงวันจันทร์ถึงวันศุกร์เท่านั้น
[16] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 56 วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2482 หน้า 3552
[17] เรื่องเดียวกัน หน้า 3553-3553
[18] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 58 วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 หน้า 31-33
[19] ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 57 วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2483 หน้า 1754-1756
[20] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 57 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2484 หน้า 3957
[21] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 62 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2488 หน้า 1955-1956
[22] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 63 ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2489 หน้า 1130-1132
[23] ภูริ ฟูวงศ์เจริญ. ปกิณกะ: แนะนำวันสันติภาพไทย.
[24] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 65 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2491 หน้า 1618-1619
[25] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 65 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2491 หน้า 2312-2314
[26] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 67 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2493 หน้า 6374-6377
[27] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 68 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2494 หน้า 2811-2814
[28] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 68 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2494 หน้า 5491
[29] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 69 ลงวันที่ 9 กันยายน 2495 หน้า 2919-2922
[30] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 71 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2497 หน้า 1260-1262
[31] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 71 ลงวันที่ 3 สิงหาคม 2497 หน้า 1684-1685
[32] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 73 ลงวันที่ 24 เมษายน 2499 หน้า 1300
[33] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 72 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2498 หน้า 2529-2534
[34] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 74 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2500 หน้า 2466-2467
[35] https://th.wikipedia.org/wiki/วันแม่แห่งชาติ เข้าถึงเมื่อ 18 ตุลาคม 2559
[36] http://www.cabinet.soc.go.th/soc/Program1-4-2.jsp?... เข้าถึงเมื่อ 17 ตุลาคม 2559
[37] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 73 ลงวันที่ 9 ตุลาคม 2499 หน้า 2980-2981
[38] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 74 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2500 ฉบับพิเศษ หน้า 1
[39] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 74 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2500 หน้า 2466-2467
[40] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 73 ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2499 หน้า 2269
[41] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 74 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 หน้า 525
[42] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 74 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2500 หน้า 1387-1390
[43] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 75 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2501 หน้า 691-724
[44] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 76 ลงวันที่ 27 มกราคม 2502 ฉบับพิเศษหน้า 4-5
[45] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 76 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2502 ฉบับพิเศษหน้า 1-2
[46] http://www.cabinet.soc.go.th/soc/Program1-4-2.jsp?... เข้าถึงเมื่อ 17 ตุลาคม 2559
[47] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 77 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2503 ฉบับพิเศษหน้า 1
[48] http://www.cabinet.soc.go.th/soc/Program1-4-2.jsp?... เข้าถึงเมื่อ 17 ตุลาคม 2559
[49] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 81 ลงวันที่ 7 เมษายน 2507 ฉบับพิเศษหน้า 214-232
[50] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 79 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2505 ฉบับพิเศษหน้า 1375-1376
[51] http://www.cabinet.soc.go.th/soc/Program1-4-2.jsp?... เข้าถึงเมื่อ 17 ตุลาคม 2559
[52] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 99 ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2525
[53] เรื่องของวันหยุด ที่มากกว่า...วันหยุด (ตอน ๑) http://www.oknation.net/blog/tumkrubb/2012/12/31/e...
[54] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 114 ลงวันที่ 1 เมษายน 2540 หน้า 53
[55] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 109 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2535 หน้า 6
[56] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 119 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2545
[57] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 122 ลงวันที่ 30 ธันวาคม 2548
[58] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 123 ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2549
[59] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 123 ลงวันที่ 20 กันยายน 2549
[60] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 125 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2551
[61] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 126 ลงวันที่ 19 มีนาคม 2552
[62] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 127 ลงวันที่ 1 เมษายน 2553
[63] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 127 ลงวันที่ 16 กันยายน 2553
[64] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 128 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2554
[65] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 129 ลงวันที่ 12 มีนาคม 2555
[66] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 130 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556
[67] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 131 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557
[68] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 131 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557
[69] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 132 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2558
[70] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 132 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2558
[71] ประกาศมติ ครม.ให้วันที่ 14 ต.ค.59 เป็นวันหยุดราชการ งดจัดงานรื่นเริง 1 เดือน http://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.as... เข้าถึงเมื่อ 18 ตุลาคม 2559
[72] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 129 ลงวันที่ 26 มกราคม 2555 หน้า 4
[73] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 130 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2556
[74] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 102 ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2528 ฉบับพิเศษ หน้า 55-60
[75] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 105 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2531 ฉบับพิเศษ หน้า 8-9
[76] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 105 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2531 ฉบับพิเศษ หน้า 10-13
[77] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 120 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2546 หน้า 39-40
[78] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 118 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2544 หน้า 37-38
[79] ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 118 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2544 หน้า 36-38
ไม่มีความเห็น