หากถามฉันว่าโลกใบใหม่ของฉันสีอะไร คงจะเป็นสีเหลืองนะฉันว่า เพราะโลกของฉันนั้นตอนนี้มีแต่พระกับเณร หลับตาลงก็เห็นแต่สีจีวร
เป็นที่แปลกหูเมื่อฉันเรียก พระหนุ่มๆ รุ่นน้องว่า “คุณพระ”...หรือใช้เรียกขาน พระที่ฉันไม่รู้จักชื่อ ไม่สนิท จริงนะถ้าไม่ได้รู้จักฉันไม่สามารถแยกแยะพระได้ ด้วยห่มเหลืองเหมือนกัน โกนหัวเหมือนกัน แยกได้แต่เพียงสูงต่ำดำขาวเท่านั้น“คุณพระ”จึงใช้ในเหตุการณ์แรกๆ ที่เรารู้จักกัน
ผิดตรงไหน สำหรับการใช้คำว่า “คุณพระ” ในการเรียกขาน...ทีครู ยังเรียกว่า คุณครู ตำรวจยังเรียกว่า คุณตำรวจ และเรียกพยาบาลว่า คุณพยาบาล และหลายคนอาจชินหูเมื่อได้ยินคำเรียก เณร ว่าคุณเณร และอาจจะแปลกหูสำหรับที่ผู้เพิ่งเคยได้ยินเมื่อฉันได้ยินคำว่า “พระคร้า” หรือ “คุณพระขา”
มันไม่ใช่ศัพท์บัญญัติใหม่ มิกล้าขนาดนั้น เพียงแต่ฉันใช้ศัพท์ที่คนไม่คุ้นหู แต่ก็น่าแปลกนะ พอเรียกแล้วคุณพระทั้งหลายจะเข้าใจได้ทันทีว่าคำที่ฉันเอ่ยปากออกไปนั้นหมายถึงใคร...ทำให้เราไม่มีปัญหาในการอยู่ร่วมกัน หลายครั้งที่รถของฉันมีผู้โดยสารเต็มคันรถเป็นพระเป็นเณร...อิป้าก็ขับรถให้ท่านหวาดเสียว จีวรปลิวไปกิจต่างๆหลายครั้ง ระยะเวลาชั่ว 3 เดือนนี้ฉันรู้สึกสนิทกับพระหลายรูป แต่ฉันไม่รู้นะว่าพระท่านรู้สึกสนิทกับฉันไหมนะ...เอาเป็นว่า มันเป็นความรู้สึกของฉันฝ่ายเดียวก็ได้
...แม้ไม่ใช่สายวัดป่าหากต่พิจารณาดีๆแล้วความสามารถในการปฏิบัติกรรมฐาน เจริญภาวนาอาจจะเป็นสมรรถนะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของของพระสงฆ์(ระดับบุคคล) และของวัด(ระดับองค์กร)ก็ได้...วันนี้วัดอาจจะต้องหันมาถามตัวเองเหมือนหลายๆ องค์กรว่า วัดตัวเองเก่งอะไร เด่นอะไร...ไม่ใช่เพื่อการแข่งขันหรือหาปัจจัย แต่เพื่อทิศทางที่ชัดเจนในการพัฒนาและนำศรัทธาญาติโยม ก่อนที่ช้างตัวใหญ่ตัวนั้นจะลากไป...หญิงที่ชื่อสิริพร...รำพึง(ดังๆ)
“...การเป็นผู้นำไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นหัวหน้าใคร ไม่ต้องเป็นลูกพี่ เพียงแต่รู้ตนว่า ตนควรจะทำอะไร อย่างไร เมื่อไหร่ ได้อย่างเหมาะสมกับวาระและโอกาส โดยไม่ต้องรอให้ใครสั่ง....”หญิงที่ชื่อสิริพรคนเดิมได้กล่าวประโยคนี้ไว้ ณ เพลาหนึ่ง
อีกรูปที่ไม่สนิท แต่วันหนึ่งฉันไปตามหาพระเพื่อไปทำกิจให้หลวงตา มีโอกาสได้เจอกัน (แบบ 2 ต่อ 2 …หุหุ ) ท่านพูดกับฉันถึง 15 นาที ระหว่างที่เราสนทนาถึงเป้าหมายของชีวิตและสิ่งที่ได้จากการมาบวชที่เกือบจะครบ 1 ปี ท่านบอก...ผมก็ไม่รุว่าจะได้อะไร... ฉันอดที่จะชำเลืองดูลายสักที่ปรากฏอยู่เต็มตัวของท่านไมได้ ก็นะฉันมันพวก Tattoo Lover หลงใหลลายสักนี่นา (กิกิ หลายคนขนานนามฉันว่าอาร์ตตัวแม่)...เวลาสั้นๆทำให้ฉันรู้ว่า คนเราต้องมีเป้าหมายในชีวิตบ้าง สักเล็กน้อยก็ยังดี เหมือนกับลงลายสักบนร่างกาย หากมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ลายสักจะลงตัว มีความสวยงาม สอดคล้องสัมพันธ์กัน เพื่อที่เราจะไม่ได้ปล่อยชีวิตเราไปกับลมหายใจ และข้อคิดอีกข้อที่ฉันได้จากเวลา 15 นาทีคือ ทุกช่วงวัยของชีวิตคือการเรียนรู้
...”มนุษย์เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้...เป็นคำตอบของหญิงที่ชื่อสิริพรได้ตอบคำถามที่ถามว่า มนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไร?”
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังเรียนรู้ชีวิต ฉันเองก็เรียนรู้มาจนชักจะขี้เกียจกับชีวิตวัยกลางคน สนุกบ้าง ไม่สนุกบ้างก็ว่ากันไปตามสภาวะธรรม
พระอีกรูปที่ไม่ได้สนิท แต่ได้ใช้เวลาอยู่กับท่านมากคือ หลวงตากาบ...ท่านเป็นทั้งอาจารย์ และผู้ดูแล ฉันชอบความคิดและการคืนให้สังคมของท่านนะ ท่านเป็นคนหนึ่งที่มีพลังจากการคิดเชิงบวก ท่านเป็นพระที่เทียบเท่า Project Manager Engineer ทีเดียวเชียวฉันได้อะไรหลายอย่างในการวิเคราะห์ต้นทุนและควบคุมงานก่อสร้าง ท่านเป็นนักการตลาดที่ทำงานด้วยใช้ความเมตตาและการให้ความสำคัญเป็นเครื่องมือ ใช้สติกำกับความอดทนเป็นตัวอย่างที่เยี่ยมยอด และจากรางวัลคนดีศรีมหาสารคามปี 2558 ที่ท่านได้รับคงไม่ต้องอธิบายมากว่าท่านเป็นตัวแบบที่ดีอย่างไร ท่านไม่ใช่อาจารย์สอนกรรมฐานเพียงอย่างดี สั้นๆ ท่านเป็นอาจารย์ค่ะ...อาจารย์ของการใชีชีวิต การต่อสู้ การให้โอกาส และทำให้ฉันสร้างแรงบันดาลใจจากคำว่า "ตนคือเหตุแห่งความเพียร" ช่วงท้ายๆ ของการปฏิบัติธรรมท่านชอบหนีบฉันไปไหนมาไหนด้วย แต่ที่ฉันโวยวายคือการเอาตัวฉันไปแบบที่เรียกว่า “จับตัวเรียกค่าไถ่” โดยไม่ได้แจ้งคิวฉันล่วงหน้า...มันทำให้ฉันไม่ได้อาบน้ำและกินกาแฟไม่ทัน...ขอร้องเถอะกาแฟ 3 in 1 เอาฉันไม่อยู่ แล้วฉันก็จะเกิดอาการไก่ป่วย ปวดหัวทั้งวันหากไม่ได้อาบน้ำในช่วงเช้าและไมไ่ด้กินกาแฟ แม้จะมีผู้บอกว่าไม่เป็นไร...จริง คนอื่นบอกไม่เป็นไร แต่หัวของฉันมันปวดไปถึงท้ายทอยและขึ้นไปเบ้าตาแล้ว ฉันเป็นพวกติดกาแฟค่ะ ต้องกาแฟสดเท่านั้น ไม่ใช่หัวสูงแต่คาเฟอีนมันถึง บ่อยครั้งที่ฉันอยากตะโกนว่า "กาบไม่เข้าใจตุ่น" ข้อดีในการติดตามไปกับท่าน คือ มีโอกาสเห็นในส่วนของพิธีกรรม การทำงานกับคนหมู่มาก ความอดทน การได้เข้าสู่วงการพระผู้ใหญ่ และฝึกให้ฉันอยู่ในภาวะถูกควบคุมบ้าง มิฉะนั้นฉันจะหลงใหลอิสระจนเกินไป ตลอดจนได้เรียนรู้วิธีแก้ปัญหา หรือแนวความคิดของท่าน ระหว่างที่เดินทางไปด้วยกัน
มีหลายครั้งที่ฉันแอบ(หลอย)หนีจากท่าน ด้วยบางครั้งที่ท่านว่างเว้นจากภารกิจตลอดวันแล้วกลับมาถึงวัดในเวลาค่ำแล้วท่านอยากเล่นกับญาติโยม จึงมักชวนญาติโยมเล่นในเวลากลางคืน เช่น การทำสมาธิ ที่ไม่มีเวลาแน่นอน ฉันมาจากระบบราชการที่ให้ความสำคัญกับเวลาที่ชัดเจนและเชื่อว่าหลายคนก็ชอบเช่นนั้น บางกิจกรรมก็หัวเราะ หุหุ เพราะเวลามันไม่ใช่! เช่น ไปรดน้ำผักบุ้งนาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติตอน 2 ทุ่ม ไปดูโครงสร้างการก่อสร้างตอนดึก เป็นต้น (หุหุ ฉันว่าถ้าฉันถือศีล 5 ฉันจะมันส์กว่านี้มาก) ระหว่างนั้นท่านก็จะถือโอกาสสอบอารมณ์ และมีคำสอนฝากลูกหลาน บอกแล้วว่าหลวงตาของฉันมีพลังล้นเหลือ ถึงแม้ฉันจะมีเวลาอยู่วัดแบบเหลือเฟือ แต่การบริหารเวลาของฉันและนาฬิการ่างกาย (Body Clock) ของฉันมันแตกต่างจากคนอื่นๆ ภาพลักษณ์ของฉันในสายตาของท่านอาจจะดูเป็นนักเรียนหลังห้องบ้าง ดังนั้นหลายๆ คนที่นั่งสมาธิในโบสถ์ของคืนหนึ่งพยายามอย่างเต็มที่ แต่ฉันหลับภายใน 15 นาทีที่หลวงตาหลังจากบอกว่านอนสมาธิก็ได้..หุหุ มัน 5 ทุ่มแล้วคร้าหลวงตาไม่ง่วงได้งัย แล้วฉันตื่นอีกที่ตี 4 พร้อมความเมื่อยขบ เพราะหลวงตาปลุกเนื่องจากจะมีคนมาบวชที่โบสถ์ แต่ฉันก็เข้าใจหลวงตานะคะ เวลาของท่านมีน้อยเพราะมีกิจมาก ท่านอยากจะดูแลลูกศิษย์ให้ดี เรื่องอย่างนี้มันต้องมีครู
แม้มองไม่เห็นความเพียรแห่งฉันนัก ฉันก็อยากจะบอกกับหลวงตาว่า...จุดรับรู้ (Receptor) ของฉันทำงานได้ดี ฉันพยายามเอาเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟัง ได้เห็น ได้รู้จากวิถีแห่งหลวงตากาบ (Kab's Way) ยัดเข้าไปในรอยหยักของสมองน้อยๆ ของฉันจนมันแทบปริ มันช่วยเติมเต็มความคิดในระบบของฉันได้ดีทีเดียว ฉันยังหวังว่า หากฉันบรรลุ สามารถปฏิบัติเป็นตัวแบบได้ดี ฉันจะช่วยแบ่งเบาภาระหลวงตาในการเป็นพี่เลี้ยงดูแลพวกผู้หญิงที่มาปฏิบัติธรรมต่อไป หรือเป็นทูตเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับวัด ประชาชนกลุมนี้คงไม่ใช่กลุ่มศรัทธาชัดเจน แต่เป็นกลุ่มที่กำลังจะเลือก...และทำให้พุทธศาสนาเข้มแข็งต่อไป
เล่าถึงพระแล้ว...ยังมีเณรที่ฉันสนิทด้วย...วัดนี้มีเณร 2 รูป ฉันสนิทกับเณรเพราะมีระดับสติปัญญาเท่ากัน ฉันตั้งใจจะเอาเณรเป็นของเล่นใหม่ แต่พลิกล๊อก เณรต่างหากที่เอาฉันเป็นของเล่นใหม่ ตั้งฉายาให้ฉัน ล้อเลียนสำนวนการพูดจาของฉัน....”ป้าว่า” เลียนแบบท่าเดินถกผ้าถุง ที่ฉันบอกเณรว่ามันมาจาก Fashion Runway ความน่ารักและความใสของเณรนั้นก็คงเหมือนเด็กทั่วไป หิวตอนเลิกเรียนบ้าง แกล้งฉัน แกล้งหมาของฉันบ้าง กินสมองให้ฉันพาไปซื้ออาหารปลาดุกมาเป็นกระสอบ ชวนกันไปซื้อดินปั้นมาปั้นของเล่นซื้อมาเป็นกระสอบแล้วปั้นควายตัวเดียว แป่ว! ไปซื้อห่วงยางแล้วมาแอบหลวงตาเล่นน้ำในสระ สิ่งหนึ่งที่แสดงว่าเค้าจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดี คือ ความเกรงใจและเป็นผู้มีเกียรติ จากการควักเงินให้ฉันเสมอเวลาที่ฉันซื้ออาหารถวาย...เณรบอกว่า..ป้าตุ่นจะจนตายพอดีหล่ะหากซื้อข้าวถวายเพลบ่อยๆ...น่ารักไหมคะ อิป้าเลยบอก...ถึงป้าไม่รวยแต่ป้าก็ถวายได้คร่า มีน้ำใจเสมอในการหาของกินให้ฉัน...วันหนึ่งฉันเปรยว่า ฉันอยากกินหมูปิ้งจัง เณรบอกปกติในโต๊ะที่พระไปบิณบาตรก็มีเสมอนะ...ฉันบอก ฉันตักไม่ทัน ผ่านไปไม่กี่วัน เณรเอาถุงหมูปิ้งเกือบ 10 ไม้มาวางต่อหน้าฉัน แล้วบอกว่า “ให้แม่ซุนตี่” แปลว่า “ให้แม่ชีตุ่น” บอกให้ฉันกินข้าวเย็นโดยเป็นธุระให้คนขับรถซื้อไส้กรอกจาก 7/11 มาให้เพื่อให้ฉันได้กินยาแก้ไข้ก่อนนอน (พร้อมปลอบใจว่าไม่เป็นไรหรอก กินได้.....ต้องกินยางัย..เณอธิบายกลัวฉันกังวลเรื่องผิดศีล 8)
ช่วง 2 เดือนแรกฉันได้ไปรับ-ส่งเณรไปโรงเรียนบาลีบ้างในบางวัน ห่างจากวัดเกือบ 11 กิโล มีหลายครั้งที่นิมนต์ไปรับเพลที่บ้านของฉันซึ่งอยู่ระหว่างทางไปโรงเรียน เณรน้อยแอบกระซิบว่า อยากกินไข่เจียว...ฉันก็โทรบอกพี่สะใภ้ให้จัดการให้...จึงมีคำพูดว่าไข่เจียวบ้านป้าตุ่นอร่อย...ระหว่างทางในการไปรับ-ส่ง ฉันถูกยุให้ขับแซง ดริฟท์ ด้วยเสียงเชียร์ที่ว่า “เอาเลยโยมแม่ แซงเลยโยมแม่ ชนเลยโยมแม่” 5555 หลายครั้งที่ฉันสอนมรรยาทในการใช้รถใช้ถนน การมีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทางให้กับเณร...ดูฉันจะเป็นนางงามโลกอีกแล้ว และแล้ววันหนึ่งมีรถปาดหน้า ฉันกระพริบไฟเตือนแล้ว ยังพยายามแทรกอีก เท่านั้นหล่ะพุทโธหายไปจากลมหายใจของฉัน...เณรเห็นบทโหดของฉันถึงกับเงียบไปเลยทีเดียว...และหากเณรนึกย้อนกลับไปถึงคำสอนเรื่องมรรยาทการขับรถที่ฉันสอนไป เณรคงจะพูดว่า "ดีแต่พูด"
ชีวิตที่วัด 3 เดือนไม่เคยเหงาเลย...เราเลือกเพื่อนเล่นได้ (แต่บางทีก็น่าเบื่อบ้างหากถูกบังคับให้เล่นด้วยกัน โดยที่ฉันไม่อยากเล่น หรือเล่นแล้วไม่มีกติกา) นอกจากพระเณรแล้ว ฉันยังมีเพื่อนเป็นสรรพสัตว์ ฉันแว่วเสียงญาติธรรมผู้หนึ่งพูดว่า “ดีเนาะ แม่ชีแกลางานมานั่งเล่นกับหมากับแมว” 555 อย่าอิจฉาเลยค่ะ...นี่คือโหมดอนเตอร์เทน แต่โหมดงานวิชาการที่ใครๆ ไม่รู้ว่าฉันทำจากที่รับปากกับหลวงตาไว้ มันก็เอาเวลาของฉันไปมากทีเดียว และยิ่งใกล้เวลาที่จะต้องกลับไปรายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการ ฉันยิ่ง"งกเวลา"ในการปฏิบัติ เจริญภาวนา...ฉันเหมือนคนที่กำลังจะตายอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเวลาของฉันกำลังจะหมดลง...ดังนั้นจึงสรุปลงตรงที่ว่า ...ตนเป็นเหตุแห่งความเพียร
ก่อนมาอยู่วัด...ฉันถือหรือให้ความสำคัญในการเดินทาง ไปมากับพระสงฆ์องค์เจ้าค่อนข้างมาก ในประเด็นผู้หญิงไม่ควรอยู่กับพระ 2 ต่อ 2
หากแต่อยู่ด้วยกันแล้ว ฉันรู้ว่ามันไม่มีอะไร มันเหมือนคนในบ้าน เหมือนพี่น้อง พ่อ แม่ ความเคร่งครัดผ่อนคลายเป็นความยืดหยุ่นมากขึ้น
-ครั้งหนึ่งตอนหัวค่ำ คุณพระรูปหนึ่งให้ฉันพาไปธุระด่วน มาเรียกฉันที่กุฏิ...ฉันบอก"พี่ไม่อยากไป"ท่านเงียบไปพักหนึ่งแล้วบอก...ไม่ได้ไปกับผม 2 คน...มีพระอีกรูปหนึ่งไปด้วย...โอเครอันนี้ท่านระวังตัวเอง ...วันนั้นฉันไม่อยากไปเพียงแค่ ฉันเพิ่ง"ขับรถเหยียบหมาตาย" จึงไม่อยากขับรถ ก็เท่านั้นเองฉันบอกกับพระไปว่า
-อีกครั้งหนึ่ง เพราะมีการทำถนนจากวัดเข้าเมืองต้องขับรถอ้อมไกลมาก และเณรก็มีภารกิจของหลวงพี่ต่างๆ มากมายจึงเกรงใจที่จะหนีบเณรไปด้วย ในบางโอกาสมันยากมากที่จะหาคนไปเป็นเพื่อน พระจะไปธุระในเมืองจึงต้องติดรถฉันมาเป็นเหตุให้ฉันขับรถไปกับคุณพระด้วยกันสองคน...ฉันไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ...ตำรวจเรียกจอด...จะคิดค่าปรับฉันคงไม่รู้สึกแย่ (หน้าหล่าเลย:ภาษาอีสาน=หน้าเสีย:ภาษากลาง) เท่ากับตำรวจเตือนว่า...มันไม่เหมาะสมที่พระกับผู้หญิง(วัยกลางคน) จะมาด้วยกันสองคนทั้งที่มันเป็นเวลากลางวัน...งานนี้ฉันรู้ว่าฉันกับคุณพระรูปนั้นไม่มีอะไรต่อกัน เราออกแนว Hard Rock ไม่ใช่แนวเพลงหวานกลางกรุง...งานนี้ฉันต้องขออภัยต่อสังคม...ฉันขอโทษ...และขอบคุณคุณตำรวจที่ทำให้ฉันได้หันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง
...ความสนิทหนอ...น้อยไปก็ทุกข์ มากไปก็ทุกข์ ฉันแคร์ขนบธรรมเนียมประเพณีนะ คนหลายรุ่นสั่งสมมาไม่อยากให้จบสิ้นลงเพียงเพราะ คนสมัยนี้ไม่ใส่ใจ
ไม่มีความเห็น