การเรียนรู้ของทีมปลาปาก
(ย้ายมาจาก www.dmplapak.blogspot.com)
สุพัฒน์ สมจิตรสกุล *
การเรียนรู้ของทีมปลาปากจังหวัดนครพนม
เป็นการเรียนรู้ร่วมกับทีมอื่นที่อยู่นอกเครือข่าย เช่น
การเรียนรู้ร่วมกับทีมไผ่ล้อมกับการจัดการปัญหาชุมชน
กับทีมหลักศิลาในการศึกษาปัจจัยและบริบทของกลุ่มสร้างสุขภาพในชุมชน
หรือทีมโคกสูงในการจัดระบบบริการผู้ป่วยเบาหวานในชุมชน
ทั้งหมดนี้เป็นการเข้าไปเรียนรู้ในฐานะผู้ช่วยเหลือให้เกิดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ระหว่างทีมของเจ้าหน้าที่และชุมชน
ซึ่งต่อไปนี้จะเป็นการสรุปบทเรียนจาก 3 กรณี
เรียนรู้จากการหาความหมายร่วมกัน ในการเข้าไปศึกษาของทีมไผ่ล้อม**
(ประกอบด้วยนักวิชาการจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครพนม
นักวิชาการสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ
และนักวิชาการสาธาธารณสุขในสถานีอนามัยบ้านอาจสามารถ อำเภอเมือง
จังหวัดนครพนม )ได้เข้าไปในชุมชนบ้านไผ่ล้อม ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมือง
จังหวัดนครพนม
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเครือข่ายชุมชนในการควบคุมโรคอุจจาระร่วง
เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีการระบาดของโรคอุจจาระร่วง ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ทำให้ทีมถือเป็นโอกาสในการเข้าไปจัดการปัญหา
โดยมีผู้สนับสนุนเป็นกองสุขศึกษา กระทรวงสาธารณสุข
แรกเริ่มทีมเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปประเมินชุมชนโดยการเชิญแกนนำของชุมชน(
ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และกรรมการหมู่บ้าน ) มาร่วมประชุมโดยบอกว่า
ใช้หลักการประชาคมเพื่อค้นหาปัญหา พบว่าในการประชุม
ทีมเจ้าหน้าที่พบว่า การประเมินพบว่า
กลุ่มที่มาประชุมมีความรู้และตระหนักถึงความรุนแรงในโรคอุจจาระร่วงเป็นอย่างดี
แต่เมื่อประเมินในชุมชนก็ยังพบพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย
และมีการตระหนักในการปฏิบัติต่อการเจ็บป่วยน้อย
ทีมเจ้าหน้าที่จึงได้นำปัญหาการจัดการดังกล่าวมาเป็นข้อสนทนากับผู้เขียน
จึงมีข้อเสนอในการพูดคุยกันว่า
ผลที่เกิดในชุมชนเช่นนั้นอาจเป็นเพราะเรา(ทีมเจ้าหน้าที่ ) กับชุมชน
ในความหมายในคำจำกัดความของโรคอุจจาระร่วง
และท่าทีของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปจัดการปัญหายังคงใช้วิธีการที่มีคำตอบโดยไม่ตั้งคำถามกับชุมชน
หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่คิดคำตอบที่สำเร็จรูป
ชุมชนจึงมองเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องจัดการเอง
ต่อมาทีมได้ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน
โดยยืดหยุ่นวิธีการค้นหาเริ่มต้นจากการค้นหาความหมายของอาการอุจจาระร่วงโดยไม่ยึดกับทฤษฎีหรือกรอบของวิชาชีพ
จากท่าทีของวิธีการค้นหาโดยใช้กระบวนกลุ่มในการพูดคุยกับชุมชน พบว่า
ความหมายในอาการ “ขี้ไหล”(อุจจาระร่วง) ของชุมชน
แตกต่างจากความหมายของเจ้าหน้าที่ เช่น การทานอาหารรสจัดแล้วท้องเสีย
จะไม่ถือว่าเป็นท้องเสีย หรือ
เด็กอายุแรกขวบที่มีอาการอุจจาระร่วงถือว่าเป็น “ ขี้ซุ ”
ชุมชนมองว่าเป็นพัฒนาการของเด็กที่ต้องทำให้ตัวเบาเพื่อให้ง่ายต่อการพัฒนาจากการคลานสู่การยืนและเดิน
ด้วยความหมายที่แตกต่างทำให้วิธีจัดการกับโรคอุจจาระร่วงของชุมชนจึงแตกต่าง
จากการที่ได้เรียนรู้กับชุมชน
ทีมจึงได้เรียนรู้กับชุมชนในการจัดการปัญหาของชุมชนด้วยวิธี “
ไม่จัดการ “ หมายถึง
การปล่อยวางและเป็นเพียงผู้สร้างบรรยากาศของการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชน
ทำให้การประชุมปรึกษาหารือกันระหว่างสมาชิกในชุมชนเปิดกว้างให้สมาชิกอื่นเข้ามาร่วมมากขึ้น
เช่น กลุ่มที่ไม่ใช่ผู้นำที่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน
กลุ่มผู้ที่เคยมองว่า เป็นผู้ไม่มีศักยภาพในการช่วยเหลือ( ผู้พิการ
หรือ จิตไม่สมประกอบ) ก็ได้เข้าร่วมในกิจกรรมของชุมชน
วิธีจัดการของชุมชนคือ การร่วมพูดคุย หาแนวทางปฏิบัติร่วมกัน
แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆในชุมชน
ที่มากกว่าการจัดการโรคอุจจาระร่วง
ชุมชนมองภาพใหญ่มากกว่ารูปแบบของเจ้าหน้าที่ที่มองแค่กรอบของโรค
แต่ภาพที่สรุปโดยชุมชนมองว่า โรคอุจจาระร่วงหรือขี้ไหล
มันเป็นแค่ส่วนปลายของปัญหา แต่แท้ที่จริง ปัจจัยก็คือ
สิ่งแวดล้อมในชุมชน ทำให้เกิดแผนในการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น
การทำแผนจัดการสิ่งแวดล้อมโดยเริ่มที่บ้านของสมาชิกในชุมชน
ขยายไปยังรอบบ้าน บริเวณคุ้ม และในชุมชน
แผนการหาแหล่งประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาเช่น อบต. จากเดิมชุมชนมอง
อบต.เป็นเพียงนักการเมืองธรรมดาที่คอยคิดแผนตามกรรมการ ไม่เคยทำแผนขอ
แต่ชุมชนได้ทำแผนของบประมาณ การจัดกิจกรรมในชุมชน การสร้างเตาเผาขยะ
เป็นต้น นอกจากนี้ชุมชนนี้ได้มองไปถึงปัจจัยด้านบุคคล
และได้จัดทำแผนของการพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการจัดการสิ่งแวดล้อม
โดยการจัดทำกลุ่มประชุมแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ
จากการเข้าร่วมเรียนรู้ครั้งนี้ ผู้ใหญ่บ้านไผ่ล้อม บอกว่า “
ตั้งแต่เป็นผู้ใหญ่บ้านมา ไม่มีใครบอกว่า
วิธีการจัดการกับปัญหาของชุมชน มีแต่สั่งให้ทำโน่นทำนี่
ผมสนุกมากกับการทำงานแบบนี้ “ การเรียนรู้ของทีมในบ้านไผ่ล้อมคือ
การปล่อยวางจากความเป็นเจ้าหน้าที่ที่เต็มไปด้วยคำตอบ
เป็นผู้จัดกระบวนการให้เกิดการเรียนรู้
กระตุ้นตั้งคำถามมากกว่าการบอกวิธีการ
ช่วยให้ชุมชนค้นหาศักยภาพของตนและแหล่งประโยชน์ในการพัฒนาชุมชน
เรียนรู้จากบทเรียนที่ล้มเหลว การเรียนรู้ของทีมโคกสูง***
เดิมโรงพยาบาลปลาปากได้มีการจัดระบบคลินิกเบาหวาน
ในโรงพยาบาลโดยมีผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการจัดบริการ ต่อมาในปี ๒๕๔๕
เมื่อมีโครงการ UC
ทำให้เครือข่ายบริการมองว่าสอ.ที่อยู่ติดกับเขตอำเภอเมือง
จึงได้จัดบริการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
เพื่อกันมิให้ผู้ป่วยไปรับบริการในเขตบริการที่อื่น โดยจัดรูปแบบ
Extended OPD โดยมี แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล
ออกให้บริการในสถานีอนามัยกุตาไก้ มหาชัย โพนสวาง นามะเขือ
บริการสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง หมุนเวียนกันไป แต่ดำเนินการได้เพียง ๑
ปีต้องยกเลิกด้วยเหตุปัจจัยทั้งทางโรงพยาบาลและสถานีอนามัย
เมื่อได้วิเคราะห์พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้มีการล้มเหลวคือ
- การเตรียมพร้อมในด้านผู้ให้บริการ
- การเตรียมระบบการดูแลผู้รับบริการไม่สอดคล้องกับความต้องการ เช่น
การเจาะเลือดรอล่วงหน้า
- รูปแบบที่ดำเนินการเป็นระบบพึ่งพาโรงพยาบาลมากเกินไป
ต่อมาในปี ๒๕๔๖ ผู้ป่วยที่เคยร่วมโครงการพัฒนาระบบบริการคลินิก
ได้พยายามขอให้ทางโรงพยาบาลจัดระบบริการในสถานีอนามัย
ทางทีมได้ร่วมพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
และนำบทเรียนการจัดบริการที่ผ่านมาเป็นข้อพิจารณาในการปรับเปลี่ยนระบบบริการ
บริบทของผู้ป่วยบ้านโคกสูง เป็นคนเผ่าไทโส้ที่อพยพมาจากอำเภอกุสุมาลย์
จังหวัดสกลนคร มีความเชื่อและนับถือผีบ้านผีเรือน เวลาเจ็บป่วย
จะมีการ”มอ” คือการให้หมอผีวินิจฉัยว่าเกิดจาสาเหตุใด
หากพบว่าเกิดจากการปฏิบัติผิดผี ก็จะมีการเยา คือการปฏิบัติรักษา เช่น
การปฏิบัติแก้ที่ผิดผี การนำเครื่องไปบูชา หรือให้หมอผีแก้
หากมีกิจกรรมพิเศษ จะมีการเลี้ยงผีปู่ตา
ที่ดอนปู่ตา(สถานที่ป่าสาธารณะในหมู่บ้าน)
ส่วนประเพณีอื่นๆก็นับถือตามประเพณีอีสาน ถือฮีตสิบสองคองสิบสี่
ส่วนบ้านนกเหาะ ส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าผู้ไท มีประเพณีเช่นชาวผู้ไท
การถือฮีตสิบสองคองสิบสี่ แต่วิถีการบริโภคของทั้ง ๒
หมู่บ้านมีความคล้ายคลึงกัน การพึ่งแหล่งอาหารจากภายนอกชุมชน
มีพ่อค้าแม่ค้าในชุมชนออกไปซื้ออาหารสำเร็จรูปจาก อ.นาแก จ.นครพนม และ
ตำบลท่าแร่ จ.สกลนคร อาหารที่นำมาจำหน่าย เช่น น้ำเต้าหู้ แกงเผ็ด
ผัดหมี่ ผัดพริก หรือ แม้แต่ อาหารพื้นบ้าน เช่น แจ่ว แกงอ่อม เป็นต้น
ผู้ป่วยบอกว่า น้อยคนที่จะทำอาหารรับประทานเอง เพราะราคาถูกกว่า
และส่วนใหญ่จะทำงานในสวนปลูกมะเขือส่งโรงงาน
กลุ่มผู้ป่วยที่เข้าร่วมกิจกรรมเป็นหมู่บ้านโคกสูง และบ้านนกเหาะ
ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ห่างจากโรงพยาบาลประมาณ ๘-๑๐ กม.
ถนนที่ติดต่อกับอำเภอเป็นถนนลูกรัง
ผู้ป่วยที่ไปรับบริการต้องตื่นแต่เช้าตี ๓ ตี๔
เพราะต้องรวบรวมกันเหมารถในหมู่บ้านมารับบริการ
แต่กระนั้นก็ยังได้คิวบริการที่ ๓๐ ถึง ๔๐
เริ่มแรกเราได้คิดผลักผู้ป่วยในเขตตำบลโคกสูง จำนวน ๑๕๐-๑๖๐ คน
การดำเนินการเริ่มต้นด้วยการพูดคุยกัน ระหว่างผู้ป่วย
เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการในคลินิก (แพทย์ พยาบาล ห้องปฏิบัติการ)
และเจ้าหน้าที่สอ. ถึงความเป็นไปได้
คัดเลือกเจ้าหน้าที่เข้ามาเรียนรู้การดูแลผู้ป่วยเบาหวาน การจัดยา
โดยใช้เวลา ๑ เดือน(เรียนตามสะดวกของเจ้าหน้าที่ สอ.) โดยสอนในคลินิก
และห้องเรียน การดำเนินการ เริ่มแรกเรากะจะผลักผู้ป่วยตำบลโคกสูงทั้ง
๑๕๐ กว่าคนกลับไป ซึ่งพบว่า การจัดการในครั้งแรกยุ่งยาก
เนื่องจากผู้ป่วยบางรายต้องการมารับบริการที่โรงพยาบาล
เพราะเดินทางสะดวก และปัจจัยความเชื่อมั่น
ต่อมาจึงได้ปรับโดยจัดเลือกเฉพาะพื้นที่หมู่บ้านที่ใกล้เคียงกับสอ.
ตกลงบริการกับผู้ป่วย ที่อยู่ในเขตบ้านโคกสูง และบ้านนกเหาะ
ซึ่งอยู่ใกล้ สอ.โคกสูง ไม่เกิน ๒ ก.ม.
– บริการเฉพาะผู้ป่วยเก่า
– ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
– ผู้ป่วยควบคุมโรคได้ดี
– ผู้ป่วยต้องไปตรวจสุขภาพที่รพ.ปีละ ๑ ครั้ง
– และผู้ป่วยสมัครใจที่จะรับบริการที่สถานีอนามัย
ทีมรพ.(ประกอบด้วย แพทย์ และพยาบาล) ลงพื้นที่ไปช่วยจัดระบบบริการ
โดยกำหนดวันบริการเป็นวันอังคาร โดยมีขั้นตอนดังนี้
– ผู้ป่วยรับการเจาะเลือดตรวจ ระดับน้ำตาล โดยลูกจ้างสอ.
(เสร็จแล้วจะกลับบ้านก่อนก็ได้)
– ตรวจรักษาโดยเจ้าหน้าที่สอ.
(ระยะเริ่มแรกจะมีแพทย์นั่งเป็นที่ปรึกษา แต่ไม่ตรวจ
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจแก่เจ้าหน้าที่ และผู้รับบริการ)
– รับยาโดยผู้ตรวจรักษา
ซึ่งทำให้สามารถอธิบายการใช้ยาและพูดคุยเรื่องการควบคุมโรคกับผู้ป่วยได้ด้วย
ระยะเตรียมการนี้ใช้เวลา ๒ เดือน
การจัดบริการในปัจจุบัน หลังได้ดำเนินการมาได้กว่า ๑ ปี
– ให้บริการทุกวันอังคาร
– เจาะเลือดโดยลูกจ้างสอ.(ที่รพ.จ้างให้)
– ตรวจรักษาโดย จนท.
สอ.(กำลังปรับให้พยาบาลที่ปฏิบัติในสอ.ตรวจ)
– ระบบการนัด จะนัดเป็นหมู่บ้านตามความสะดวกของผู้ป่วย
– การส่งต่อกลับกรณี ควบคุมโรคไม่ดี (ระดับน้ำตาลสูง
หรือต่ำเกินไป)
– ตรวจสุขภาพประจำปีที่รพ.
– ใช้แบบบันทึกแบบเดียวกันกับคลินิกในรพ. และจัดทำสมุดประจำตัว
ผลการดำเนินการ(๑) ผู้ป่วยที่รับบริการ
มีความสุขในการบริการที่ใกล้บ้าน รู้สึกใกล้ชิดกับผู้ให้บริการ
บอกความต้องการ
“ มันใกล้บ้าน ถีบจักรยานมาก็ถึง อยากได้อะไรก็บอก
เพราะเป็นหมอบ้านเราเอง “
ผู้ป่วยที่ส่งกลับไปรับบริการที่รพ. มีน้อยเพียง ๒-๓ ราย
การคัดกรองผู้ป่วยในชุมชน
ทำโดยไม่ต้องลงพื้นที่(ผู้ป่วยบอกญาติไปตรวจเอง)
เจ้าหน้าที่สอ.ผู้ให้บริการ ได้ใกล้ชิดกับชุมชน
สามารถเปิดบริการที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชน เจ้าหน้าที่สอ.
มีความต้องการพัฒนาระบบบริการ เช่น การพัฒนาระบบการให้ความรู้
การศึกษาวิถีชีวิตผู้ป่วยเบาหวานในเผ่าโส้ ในชุมชน สิ่งที่ได้ทำต่อ
มีพื้นที่สอ.อื่นๆ มีความสนใจที่จะเปิดบริการผู้ป่วยเบาหวานในพื้นที่
เช่น สอ.มหาชัย สอ.กุตาไก้ (ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยล้มเหลวมาแล้ว)
แต่ต้องพูดคุยกับผู้ป่วย และผู้จัดระบบ สิ่งที่ได้เรียนรู้
การจัดระบบบริการจำเป็นต้องมีการเตรียม
– ผู้รับบริการ
– เจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการ และผู้ให้การสนับสนุน
– ระบบที่เอื้อต่อการส่งต่อ การสนับสนุนสิ่งของ และวิชาการ
รวมทั้งการเสริมกำลังใจ
ความสม่ำเสมอในการสนับสนุน รูปแบบการจัดบริการ ต้องหลากหลาย ไม่ตายตัว
ยืดหยุ่นต่อบริบทของชุมชน และสถานบริการ
เรียนรู้การทำงานในชุมชนจากเครื่องมือวิจัยเชิงคุณภาพ
ในการทำงานภายใต้กรอบนโยบาย ทำให้เกิดภาพลวงตาในความสำเร็จในงานว่า
สามารถดำเนินการพัฒนาหรือแก้ปัญหาในชุมชนได้ตามเป้าหมาย
กิจกรรมการสร้างสุขภาพของชมรมสร้างสุขภาพของบ้านหลักศิลา
ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
ซึ่งทีมได้เข้าไปเรียนรู้โดยตั้งคำถามในการเข้าไปเรียนรู้ในเริ่มแรก
ว่าปัจจัยใดที่ทำให้ชมรมสร้างสุขภาพ บ้านหลักศิลา จึงประสบความสำเร็จ
เริ่มต้นทีมได้ชักชวนเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เพื่อให้เป็นสมาชิกทีมเข้าไปเรียนรู้
และได้ช่วยกันพัฒนาทักษะในการวิจัยเชิงคุณภาพให้แก่สมาชิกทีม
และได้ร่วมกันวางแผนจัดเก็บข้อมูล โดยวางกรอบของการจัดเก็บข้อมูล
สร้างแนวคำถาม กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นแหล่งข้อมูล (Key
informant) และเลือกวิธีการในการจัดเก็บข้อมูล ในการเริ่มต้น
เราได้ทดลองใช้แนวคำถามระหว่างสมาชิกในทีม หรือ
กลุ่มเป้าหมายแล้วนำมาปรับเปลี่ยน
ระหว่างนั้นได้มีการเรียนรู้การตรวจสอบข้อมูลระหว่างกัน (
Triangulation ) ทำให้เกิดการตั้งคำถามภายในทีมว่า
สิ่งที่แหล่งข้อมูลบอกเป็นภาพที่จริงของชุมชนหรือเปล่า เช่น
แหล่งข้อมูลบอกว่า
ภายในชุมชนมีการจัดกิจกรรมการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
และมีผู้เข้าร่วมหลากหลาย
แต่จากการทำแผนภูมิของความสัมพันธ์ของสมาชิกกลุ่มต่างๆในชุมชนพบว่า
สมาชิกมักจะซ้ำๆกัน และแกนนำส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้นำ
เมื่อตรวจสอบจากการเข้าไปสังเกตในชุมชนของทีมพบว่า
ยังมีสมาชิกชุมชนส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการหรือกิจกรรมภายในชุมชน
เช่น ผู้ป่วยจิตเวช ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
เมื่อเราถามแหล่งข้อมูลที่ได้จัดเตรียมมาว่า
กิจกรรมสุขภาพมีรูปแบบใดบ้าง พฤติกรรมบริโภคเป็นอย่างไร
สิ่งที่ได้จากแหล่งข้อมูลบอกว่า ในชุมชนมีกิจกรรมสร้างสุขภาพ เช่น
ปลูกผักโดยไม่ใช้สารเคมี และเน้นใช้แรงงานคน
เมื่อเข้าไปสังเกตและสอบถามจากบุคคลอื่นในชุมชนพบว่า
ยังมีการใช้สารเคมีในการปลูกผัก
และส่วนใหญ่ก็จะใช้เครื่องจักรกลในการจัดทำ
นอกจากนี้ตามที่ทีมไปสังเกตพบว่า
ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของชมรมสร้างสุขภาพของชุมชน
แต่มีกิจกรรมการสร้างสุขภาพของตนเอง เช่น คุณป้าอายุ 60
กว่าปีวิ่งออกกำลังกายรอบสระหน้าโรงเรียน คุณลุงอายุเกือบเจ็ดสิบปี
ถีบจักรยานออกกำลังกายทุกเช้า
และในชุมชนยังมีกลุ่มคนเหล่านี้อยู่เป็นจำนวนมาก
ทีมจึงได้ตั้งคำถามว่า “ ทำไมจึงมีคำตอบอยู่ 2 ฟาก เช่นนี้ “
จากการวิเคราะห์เบื้องต้น
ทีมสรุปว่าเกิดจากมุมมองของคนภายในชุมชนที่แตกต่างกัน
หรืออาจเป็นเพราะความต้องการรักษาสถานภาพของกลุ่มผู้นำที่ต้องการรักษาภาพของชุมชนที่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาจากการสรุปและวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ขั้นตอนต่อไปคือ
การนำเสนอข้อมูลแก่ชุมชน เพื่อการตรวจสอบ
และวิพากษ์ข้อมูลที่ทีมไปจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำไปสู่การมองภาพร่วมกันในการวิเคราะห์ปัญหาชุมชนร่วมกัน
บรรยากาศในการนำเสนอข้อมูลพบว่า
วันนั้นมีทหารพัฒนาเข้ามาร่วมประชุมด้วย
และบรรยากาศการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกในชุมชนเป็นไปอย่างเงียบเหงา
ทำให้ทีมต้องตรวจสอบข้อมูลพบว่า
หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นหมู่บ้านชายแดนที่ได้รับการพัฒนาจากหน่วยทหารพัฒนาและเคยประกวดหมู่บ้านและได้รางวัลมาแล้ว
ในปีนี้หมู่บ้านกำลังจะถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมประกวดอีกครั้ง
เท่าที่สอบถามสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมและสรุปได้ว่า
ตอนนี้ทางทีมทหารยังไม่ต้องการให้โชว์ข้อมูลด้านลบของชุมชนออกมาเพราะกลัวว่า
เมื่อถูกประเมินคะแนนจะต่ำ ทีมต้องกลับมาทบทวนว่า
ข้อมูลอีกครั้งและปรับวิธีการนำเสนอข้อมูลให้แก่ชุมชน
และผู้เกี่ยวข้องได้อย่างไร สมาชิกในทีมบางคนบอกว่า “
รอให้ทหารกลับไปก่อน แล้วค่อยเข้าไปประชุมชาวบ้าน อีกครั้ง “
แต่เมื่อทบทวนกับสมาชิกในทีม ได้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า “
เราต้องถือโอกาสที่ทหารเข้ามา เข้าไปให้ข้อมูลแก่ทหาร
เพราะทหารมีศักยภาพพร้อมบารมีและเคยร่วมกับชาวบ้านพัฒนามาก่อน
เพื่อให้มีการดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาหมู่บ้าน
ไม่เช่นนั้นเมื่อเราออกจากพื้นที่ไปแล้ว
ผู้ที่เป็นภาระก็จะเป็นชาวบ้านที่ต้องหันซ้ายหันขวา
ตามผู้ที่เข้ามาในหมู่บ้าน “ จากความคิดดังกล่าว
ภายในทีมจึงได้วางแผนไปเสนอข้อมูลให้แก่ทีมทหารพัฒนา
เพื่อจะได้รับมุมมองร่วมกัน
และสรุปเป็นประเด็นเพื่อเสนอแก่ชุมชนต่อไป
สิ่งที่ได้เรียนรู้ของทีมจากพื้นที่บ้านหลักศิลา คือ
ข้อมูลที่ได้รับจากชุมชน จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ
การใช้เครื่องมือในการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ได้ดี
เช่น การสนทนากลุ่ม
และนำประเด็นที่น่าสนใจในกลุ่มไปเป็นแนวคำถามในการสัมภาษณ์เชิงลึก
นอกจากนี้การใช้ทักษะการสังเกตเพื่อตรวจสอบข้อมูลเป็นระยะๆ
และข้อมูลที่ได้มาจำเป็นต้องได้รับการนำเสนอให้แก่ชุมชนรับทราบเพื่อตรวจสอบและวิพากษ์
ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชุมชน
เพื่อให้เกิดการร่วมมือกันค้นหาศักยภาพและแหล่งประโยชน์เพื่อนำมาพัฒนาชุมชนต่อไป
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในรอบปีที่ผ่านมา เครือข่ายของทีมปลาปาก
เป็นการเข้าไปเรียนรู้ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ
โดยใช้ประสบการณ์ที่ได้เข้าไปเรียนรู้กับทีมอื่นๆร่วมทั้งการจัดประสบการณ์ที่ทาง
สวสช.ได้จัดขึ้น
ทำให้เกิดโอกาสการเรียนรู้กับทีมอื่นโดยไม่ได้มองเพียงในกรอบในที่ทำงาน
ได้พบสิ่งดีๆที่เกิดขึ้น พบศักยภาพในชุมชน ในตัวเจ้าหน้าที่
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ การปล่อยวางตัวตน
การยอมรับในความผิดพลาดและใช้ความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ในการจัดการปัญหา
ทั้งหมดนี้เป็นความรู้ที่ได้เรียนรู้ในรอบปีที่ผ่านมา
การวางแผนต่อไป ได้ร่วมกับเครือข่ายสถานีอนามัยโคกสว่าง ****
ได้วางแผนเข้าไปเรียนรู้พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน
ในเขตบ้านศรีธน ตำบลโคกสว่าง อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างทีมโรงพยาบาลปลาปากกับทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขภายในพื้นที่อำเภอปลาปาก
คาดว่า
จะเกิดการเรียนรู้ระหว่างชุมชนและเจ้าหน้าที่เพื่อให้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่
การเรียนรู้ศักยภาพตนเองของชุมชน
ไปสู่การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในชุมชนต่อไป
* พยาบาล โรงพยาบาลปลาปาก อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม
** ประกอบด้วย นางมารดี วิทยดำรงชัย นายปัญญา ไตรปกรณ์กุศล และ
นายสงกรานต์ นักบุญ
*** ประกอบด้วย ทีมโรงพยาบาลปลาปาก แพทย์หญิงชื่นฤดี ราชบัญดิษฐ์
นายสุพัฒน์ สมจิตรสกุล นางมติกา สุนา และทีม สถานีอนามัยโคกสูง
นายจิระชาย ประสบธัญญา นางจารุวรรณ วงค์ศรีชา และนายทวี ดีละ
**** ประกอบด้วย นายสุพัฒน์ สมจิตรสกุล นายธวัชชัย แสงจันทร์ และ
เจ้าหน้าสาธารณสุข อำเภอปลาปาก