ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากท่าน ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช มอบหนังสือ..."ขอบฟ้าใหม่ในการจัดการความรู้"...เป็นหนังสือที่ข้าพเจ้าบรรจงอ่านด้วยความละเมียดละไม...
ได้เกิดตัวรู้ในตนเองเกิดขึ้นว่า
"R2R ควรจะเป็นปรากฎการณ์การไหลของความรู้อย่างไม่รู้ตัว ไม่เป็นภาระที่เจือปนความสนุก"...
ขับเคลื่อนไปบนฐาน KM 3.0
เมื่อมองดูแนวคิดการขับเคลื่อน R2R อยู่บนพื้นฐานเครื่องมือที่นำมาช่วยคนทำงานให้คลายทุกข์จากการทำงาน ดังนั้นปรากฎการณ์ของการทำ R2R ต้องไม่ใช่การไปเพิ่มภาระหรือความกดดันให้กับคนหน้างาน ซึ่งประเด็นนี้คุณอำนวย(R2R Facilitator)ต้องใคร่ครวญและทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งและรอบด้าน บางครั้งเราไปมุ่งเอาผลลัพธ์ของการทำวิจัยมาก จน R2R กลายเป็นเรื่องการเบียดเบียนและเพิ่มความทุกข์ใจให้กับคนหน้างาน
แต่บนวิถีของการขับเคลื่อนไม่ได้หมายถึงความย่อหย่อนในเชิงความรู้ วิชาการหรือความมักง่าย แต่กระบวนการหรือวิธีการของการจัดการเรียนรู้ต้องให้ความรู้สึกถึงความง่ายงามและเป็นอิสระจากความบีบคั้นกดดัน คุณอำนวยทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรที่คอยเอื้อเฟื้อสนับสนุนและเกื้อกูลการขับเคลื่อนไปได้
ที่สุดของการทำ R2R จะต้องเกิดปัญญาและมีความเบิกบานในจิตใจ
สนุกและมีพลังที่จะทำต่อไปอย่างมิรู้จบ "สนุก ใคร่รู้และอยากทำ"...แล้วคนทำงานจะเกิดความรู้สึกว่า การทำงานในแต่ละวันมีคุณค่าและมีความหมาย
จากในหนังสือ พูดถึงเครื่องมือ IT ยุค 2.0
ข้าพเจ้าเลยย้อนกลับมามองเครื่องมือที่ใช้บ่อยในการทำกระบวนการและการขับเคลื่อน R2R มันเป็นเรื่องที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจะยุติการใช้ IT ถ้าทำเช่นนั้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้เรียนจะได้เพียงกลุ่มเล็กๆ ในความเป็นจริงของชีวิตสำหรับเรื่อง IT เราสามารถรู้เท่าทันและหยิบมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
หลายครั้งในการทำกระบวนการข้าพเจ้าให้ผู้เรียนสืบค้น Literature Review ผ่านมือถือ ดูเหมือนจะสนุกกว่าการสืบค้นผ่านคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ก เพราะให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นทางการมาก และดูเหมือนว่าผู้คนจะคุ้นชินกับการเขี่ยหน้าจอสมาร์ทโฟน...
และทุกครั้งของการจัดกระบวนการเรียนรู้ข้าพเจ้ามักจะมีกระบวนการ Reflection สะท้อนข้อมูลกลับสู่ผู้เรียนอันเป็นบทสรุปของการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น บางครั้งอาจจะเป็น Mind Mapping คลิปวีดีโอสั้นๆ ...
สิ่งที่ยังขาดหายไปและน่าสนใจที่จะทำเพิ่มคือ การตีความ การให้ความหมาย และการสังเคราะห์ความรู้ที่เกิดขึ้น...นี่เป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้า
จำได้ว่าในเวที HA Forum ครั้งที่ 17 อ.โจ(อ.จิตติ อาพิบูลย์ จาก มจธ.บางมด) เน้นความต่างของ KM 3.0 ว่าต้องสะท้อนกลับในช่วงเวลานั้นๆ ข้าพเจ้ามองตนเองว่าได้สะท้อนข้อมูลคืนกลับผ่าน IT แต่ยังไม่ชัดทั้งในแง่ห้วงเวลาและการสังเคราะห์ข้อมูล/ความรู้
...
๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๙
ตามอ่านทุกครั้ง ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นเสมอค่ะ
สะท้อนกลับอย่างสนุกแลเบิกบาน
ขอบพระคุณค่ะ...ขณะเขียนสะท้อนกลับในห้วงเวลานั้นก็เปี่ยมไปด้วยพลังค่ะ
...