เมื่อวันหยุดยาวเนื่องในวันมาฆะบูชาที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสกลับบ้านเกิดเมืองนอน หลังไม่ได้กลับติดต่อมานานเกือบ 3 ปี ไปครั้งนี้แตกต่างจากทุกๆครั้งเพราะไม่ได้มีภรรยาและลูกสาวไปด้วย ครั้งนี้ผู้เขียนไปกับเพื่อนสมัยเรียนอยู่ที่ชุมแพศึกษา โดยถูกขอร้องแกมบังคับให้ช่วยขับรถให้
ถ่ายรูปเป้นที่ระลึกบนกุฏิอาจารย์สานิต.......
คณะเพื่อนที่เดินทางได้พาขึ้นเขาลูกเตี้ยๆที่สามารถขับรถขึ้นไปยังสำนักสงฆ์ได้อย่างสบายๆ หลังจากนั้นก็เดินลัดเลาะไปตามทางเล็กเพื่อไปชมอ่างน้ำที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติในฤดูอันแห้งแล้ง แต่พอเดินลงมาได้สักพักก็ได้ไอเย็นที่โชยชื่นใจให้หายร้อน
สภาพป่าไม้อันแห้งแล้ง ต้นไม่ใหญ่แทบมองไม่เห็น...
พระอาจารยืสานิตเล่าว่า ที่ของสำนักสงฆ์เป็นพื้นที่อุทยานที่ได้รับการขออนุญาตอย่างถูกต้อง ตั้งสำนักสงฆ์เพื่อให้มีที่ปฏิบัตธรรมของพระเณรและชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธา อีกอย่างก็เพื่อป้องกันการทำลายป่าที่ไม่เหลือไม้ใหญ่ให้ตัดแล้ว จะเหลือเพียงไม้เล็กๆก็ยังตัดไปทำถ่านสังเกตุจากมีซากเตาเผาถ่านอยุ่หลายหลุม
ภาพหนองน้ำหรืออ่างน้ำที่โพงโก...
อาจารย์เล่าว่าหนองน้ำนั้นกลางคืนยังมีฟาน(สัตว์ป่าคล้ายละมั่ง)ลงมากินน้ำอยุ่บ้างแสดงว่าการอนุรักษ์ป่าพอจะมีความหวังอยุ่บ้าง ฝันอยากเห็นต้นไม้ใหญ่ๆเพื่อเป็นต้นกำเนิดแหล่งน้ำะรรมชาติให้สัตว์ป่า ต้นไม้ลำธาร กลับมาอุดมสมบูรณ์อย่างอดีตกาล
ยินดีด้วยครับ คุณ พ.
สมัยที่คุณมะเดื่อยังเป้นเด็กน้อย แถว ๆ บ้าน
ของคุณมะเดื่อยังมีสัตว์ป่าบางอย่างให้เห็น
เช่น กระต่ายป่า ยังมีเป็นฝูง ๆ ยามค่ำคืน
ได้ยินเสียงหมาในเห่าหอนแว่วมาจากชายทุ่ง
ชะมด เม่น อ้น เสือปลา ฯลฯ มีให้เห็น
อยู่เสมอ นกเงือกเป็นฝูง ๆ เห็นจนชินตา
แต่...นั่นน่ะ...ผ่านมาราว ๕๐ ปี แล้วจ้าา
มันหายไปพร้อม ๆ กับ " ป่า " น่ะแหละ
ไม่ชวนเลยนะครับ บรรยากาศสงบ น่าไปมากครับ สบายดีนะครับ
สวัสดีครับคุณหมอ ทิมดาบ
บรรยากาศสงบ ครับ ไว้ดอกาสดีๆได้หยุดหลายๆวันจะติดต่อคุณหมอเพื่อแวะทักทาย ตัวเป็นสักทีครับ
ขอบคุณคุณแสง คุณมะเดื่อและทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ