มนต์ศักดิ์ ชัยวีระเดช : เชียนถึงเแม่


๑ มกราคม ๒๕๕๙

เวลา ๑๔.๓๐ น.

เขียนที่บ้าน

ถึงแม่

ผ่านมา ๕๖ วันแล้ว วันนี้เป็นวันปีใหม่พอดี ลองนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด ๓ ปีที่ผ่านมา จำได้ว่าครอบครัวเราไปเที่ยวล่าสุดที่ครบทุกคน ช่วงปลายปี ๒๕๕๕ พวกเราไปเที่ยวเคแอล มะละกา ยะโฮร์บารู และสิงคโปร์ เที่ยวแบบสุดเหวี่ยงมาก ไปเลโก้แลนด์ ไปยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ กระหน่ำกินๆๆๆ เที่ยวๆๆๆ ขำสุดที่ทุกคนไปขึ้นเครื่องเล่นทรีดีทรานสฟอร์เมอร์ เหวี่ยงซะจนกลัวแม่จะเป็นลม ต้องคอยจับไหล่แม่ แล้วคอยถามว่าโอเคนะ ป๋ากับแม่ก็ผ่านเครื่องเล่นนี้มาได้อย่างสุดยอดจนต้องยกนิ้วให้ กลับจากทริปนั้นแม่บอกว่าขาบวม คุณลี้เลยพาแม่ไปตรวจ แล้วเราก็ได้รู้ว่าแม่เป็นมะเร็ง วินาทีที่รู้ก็คงไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ เสียใจ กลัว ทำตัวไม่ถูก แอบร้องไห้ กลัวการจากไปมากที่สุด สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือ การอยู่ให้กำลังใจ ถ้าทำได้จะมาโรงพยาบาลกับแม่ทุกครั้ง จูงมือแม่ไปห้องฉายแสง มีเค้ามีป๋า มีคุณลี้ คุณฟุ หลานๆ ไปด้วยทุกครั้ง ทุกคนต่างช่วยสลับกันมาดูแลแม่ เค้ายังจำได้เลยที่แม่บอกว่ามีคนทักแม่ว่าหน้าใสเหมือนไม่ได้เป็นอะไร ทั้งๆ ที่ต้องฉายแสง เค้าได้ทีสำทับไปว่านั่นสิ แม่มีพลังใจดีก็ส่งผลให้อะไรดีๆ เราผ่านปีนั้นมาได้สบายๆ

ปีต่อมางานเยอะมาก เจอเรื่องก็เยอะ แต่ก็ภูมิใจนะที่เค้าก็ยังกลับบ้านมาหาแม่ได้ ได้มาดูแล ได้มากอดให้กำลังใจ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน เค้าได้แต่คิดในใจว่าป๋ากับแม่ช่างเป็นคู่แท้จริงๆ ช่วงนี้แม่นอนโรงพยาบาลบ่อย หลานสาวแซวว่าเค้ากลับมาแทบไม่ได้นอนบ้าน เพราะนอนแต่โรงพยาบาล ทุกครั้งที่กลับหรือโทรศัพท์ไปหา แม่ก็จะบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เค้าได้แต่บอกแม่ทุกครั้งว่าเรื่องไปๆ กลับๆ เนี่ยสบายมาก ดูอย่างป๋าสิ ป๋าแปดสิบแล้วยังนอนเฝ้าแม่ทุกวัน จากคนแมนๆ ไม่เคยทำงานบ้าน ตื่นเช้าทุกวันไปตลาดไปซื้อใบหญ้านาง ผัก ผลไม้ หมู เห็ด เป็ด ไก่ สารพัดมาทำกับข้าว มาปั่นน้ำผักให้แม่กินทุกวัน ซักผ้าให้ อาบน้ำ เช็ดตัวให้ พาเข้าห้องน้ำ เช็ดและทำความสะอาดให้ทุกอย่าง ไม่รักกันจริงคงไม่ทำให้ขนาดนี้ เคยถามป๋าว่าเหนื่อยมั้ย ป๋าบอกว่าก็เหนื่อยบ้าง นอนเดี๋ยวก็หาย อยากดูแล บอกตรงๆ เค้านี่รักป๋าขึ้นมากๆ เลย ป๋าทำทุกอย่างให้แม่ ระหว่างอยู่โรงพยาบาล ป๋าตื่นทุกชั่วโมงมาคอยพลิกตัว แล้วพาเข้าห้องน้ำ พอเค้าและคุณลี้ คุณเพียวมาเปลี่ยน ป๋าก็ได้นอนยาวๆ บ้าง เป็นเรื่องขำๆ ที่คุณลี้อยากให้ป๋ากลับไปนอนบ้าน ป๋าก็ไม่ยอม ต้องทะเลาะกันทุกที เรื่องให้ป๋านอนบ้านนี่ลืมไปได้เลย แต่บอกได้เลยว่าการตื่นทุกชั่วโมงหรือทุกสองชั่วโมงมันก็ไม่ได้สนุกหรอกนะ มาอยู่สักอาทิตย์ก็จะรู้ว่าเหนื่อยทีเดียว แต่ช่วงเวลานั้นมันไม่ได้ลำบากอะไรเลย เค้าบอกแม่ว่าไม่ต้องกลัวว่าเราจะเหนื่อยที่ต้องตื่นมาดูแล เค้าเต็มใจมากเลยรู้ไหมกับการได้นั่งเฝ้าแม่ตัวเอง และได้นวดหลังให้แม่ได้หายปวดตัว ให้แม่ได้นอนหลับสบายๆ เค้ารู้ว่าแม่ต้องบอกว่าไปนอนเถอะ ไม่ต้องห่วง ดูแลตัวเองได้ คนเป็นพ่อแม่พูดเช่นนี้เสมอ แต่รู้ไหมเค้าค้นพบว่าการที่เค้าเลือกกลับมาดูแลแม่มันดีมากๆ สำหรับเค้าเช่นกัน ถึงแม้ว่าเค้าจะเหนื่อยมากๆ ที่ต้องกลับมาเกือบทุกอาทิตย์ แต่ก็รู้ว่ายังมีคนที่เหนื่อยกว่าอีกเยอะอย่างป๋าและคุณลี้ ทุกคนต่างมีภาระ แต่เราก็บริหารจัดการได้เป็นอย่างดี สบายมากเลย เค้ารู้ว่าป๋ากับแม่ลึกๆ แล้วก็ดีใจที่ลูกกลับมา เพราะการได้กอดแม่ก่อนกลับกรุงเทพฯ นั้น แม่มักจะกอดเค้านานมากๆ และไม่อยากปล่อยเลย เค้ารู้ตลอดเลยล่ะ แม่จะจับมือไม่ปล่อยง่ายๆ เลย จนเค้าต้องเป็นฝ่ายปล่อยก่อน แม่มักจะเล่าให้ฟังสมัยเค้ายังเด็กๆ ว่าโตประมาณห้าหกขวบแล้วก็ยังไม่ยอมเดิน ต้องให้แม่อุ้มตลอด พอแม่จะให้เดิน ก็บอกว่าให้ตัดขาเค้าเสียจะได้ให้แม่อุ้มตลอดไป

แม่เป็นคนใจดีและน่ารักมากๆ เราได้รับข่าวดีว่าผลการรักษาได้ผล ก้อนเนื้อยุบลง พวกเราดีใจกันมาก แม่กลับมายิ้มได้อีกครั้ง เพราะตลอดเวลาป๋ากับแม่กังวลกับหมอดูที่ทักว่าหากพ้นช่วงอายุ ๗๐ ปีไปได้แม่จะอยู่ได้นาน พวกเราได้แต่ภาวนา เพิ่งมารู้ว่าคุณฉ่อยก็รักแม่มากๆ เช่นกันถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้แสดงออกผ่านคำพูดมากนัก ก็พยายามไปบนบานให้แม่หายป่วย ทำทุกวิถีทาง คอยสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ เค้าเองก็คิดในใจว่าถ้าแม่หายเค้าจะบวชให้แม่ แต่เค้าคงจำปีผิดเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ผ่านไป เค้าคิดว่าแม่ข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปได้แล้ว เค้าตัดสินใจบวชให้แม่ แค่อยากขอขมาป๋ากับแม่แล้วขอให้ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่าขอผลบุญนี้จงคืนสู่ป๋ากับแม่ที่ให้อภัยลูก แม่มีความสุขมาก เค้าตั้งมั่นว่าเค้าอยากบวช เค้าจะเดินมาให้แม่ได้ใส่บาตรทุกวัน วันที่แม่ใส่บาตรเป็นวันที่เค้ารู้สึกปลื้มปิติมาก มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออก น้ำตาก็ไหลมาเองด้วยความรู้สึกยินดี ได้แต่คิดในใจว่าขอผลบุญนี้จงส่งผลคืนแก่บุพการีเราด้วยเถิด

หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้รับข่าวจากคุณลี้ว่าอาการแม่ทรุดลง การรักษาเป็นการประคับประคองเท่านั้น เลยขอความเห็นว่าจะหยุดการให้ยาและให้แม่จากไปอย่างสงบ เค้ารีบกลับบ้าน และบอกญาติๆ เพื่อมาพูดคุยสั่งลาเป็นครั้งสุดท้าย สองอาทิตย์ที่อยู่โรงพยาบาลพวกเราสวดมนต์ให้แม่ พี่ๆ พยาบาลเพื่อนคุณลี้เข้ามาทำวัตรเช้า เย็น เราปรึกษากันว่าจะให้ป๋าเข้าใจและสั่งลากันได้อย่างไร ช่วงนี้ป๋าตื่นขึ้นมาดูแลแม่ทุกชั่วโมง สลับกับที่เค้า และคุณลี้ตื่นมาช่วยนวดตัวให้แม่คลายเจ็บปวด ป๋าเสียน้ำตาหลายครั้ง ถึงแม้ป๋าจะบอกว่าคุยกับแม่แล้วก็ตาม เราบอกกับแม่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องกลัวอะไร เราจะอยู่ข้างๆ ถ้าแม่พร้อมก็ขอให้แม่เดินทางไปด้วยความสงบ เราเปิดบทสวดมนต์ตลอดเวลาให้แม่ได้ยินและมีสติอยู่กับพระพุทธ จนวันหนึ่งกลางดึก แม่บอกว่าจะไปแล้ว เราก็สวดมนต์ เราได้แต่บอกแม่ว่าถ้าพร้อมก็ไม่ต้องเป็นห่วง ดูแม่ระส่ำระสายมาก เราเลยตัดสินใจยกเลิกวิธีการนั้นไป วันนั้นเค้าร้องไห้หนักมาก เค้ารู้สึกผิดมากเหมือนไปกดดันแม่ให้จากไป เราเลยคุยกับคุณลี้ว่าต่อไปนี้เราจะไม่ทำอย่างนี้แล้ว เราจะอยู่ข้างๆ แม่ ให้แม่มั่นใจว่าเราจะไม่ไปไหนก็พอ ถ้าแม่พร้อมก็จะพร้อมเอง

วันพฤหัสที่ ๕ พฤศจิกายน แม่บอกว่าอยากกลับบ้านพวกเราเตรียมอุปกรณ์ครบทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว เตียงคนไข้ เครื่องทำออกซิเจน เครื่องดูดเสมหะ เพื่อพาแม่กลับบ้าน พวกเราพาแม่กลับบ้านได้อย่างเรียบร้อย แต่เค้าติดงานเพราะลาไม่ได้เลยไม่ได้อยู่ต่อ เค้าเลยกอดแม่แล้วบอกแม่ว่าขอไปทำงานก่อนนะแล้วจะรีบกลับมา เย็นวันที่เค้าทำงานเสร็จกำลังจะกลับบ้าน คุณลี้ส่งไลน์มาบอกว่าแม่หายใจช้าลง อยากให้พวกเราสวดมนต์ส่งใจไปด้วยกัน เค้ารู้สึกใจคอไม่ดี เค้าได้แต่สวดมนต์ในใจ เค้าบอกกับตัวเองว่าอย่าให้เป็นวันนี้เลยนะ หนึ่งทุ่มพี่สาวไลน์มาบอกว่าแม่จากไปแล้วนะ จากไปอย่างสงบเหมือนหลับไป วินาทีนี้มันสั่นสะเทือนไปหมด ภาพความทรงจำต่างๆ กลับเข้ามาเต็มอยู่ในหัว เสียใจที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายกับแม่ คุณลี้เล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ไลน์บอกทุกคนก็เปิดบทสวดมนต์และชวนแม่สวดมนต์ตาม แม่ค่อยๆ หลับไปในที่สุด วันรุ่งขึ้นรีบจองตั๋วกลับบ้าน ป๋านอนเฝ้าแม่ทั้งคืนไม่ไปไหน ป๋าบอกว่าสัญญากับแม่ว่าจะนอนเฝ้าทุกคืนจนกว่าจะส่งแม่ไปสวรรค์ แม่ยังคงเป็นแม่ที่น่ารักเหมือนหลับไปเท่านั้น สีหน้าดูอมยิ้ม เค้าเอามือลูบหน้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาที่ไหลมันอาจจะเป็นความเสียใจ แต่ก็เป็นความยินดีกับการจากไปอย่างสงบของแม่ การจากไปของแม่ทำให้เราได้เรียนรู้สัจธรรมมากมาย คุณค่าความเป็นแม่ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินเมื่อเปรียบกับสิ่งที่เค้าและพี่ๆ ทำให้แม่ เราเกิดมาเพื่อพรากจากกันในที่สุด การจากไปของแม่เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสถานะเท่านั้น เป็นศิลปะและความงดงามของชีวิตที่ทุกคนต้องเจอ moment of death, moment of truth เราไม่มีทางรู้ว่าวันพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน แต่สิ่งสำคัญที่เค้าค้นพบก็คือ การดูแลบุพการีนับเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพราะการได้ดูแลในช่วงเวลาปัจจุบันขณะเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการทำบุญอุทิศให้เมื่อจากไป นี่คือความจริงแท้ และเราต่างก็เป็นผลผลิตจากพ่อและแม่ แม่ไม่ได้จากไปไหนหรอก แต่แม่ได้สร้างตัวแทนขึ้นกับพวกเราทุกคน พวกเราต่างมีแม่อยู่ในตัวเราเอง

เค้าเขียนบันทึกนี้เค้าก็ต้องเสียน้ำตาอีกแล้ว แต่อยากบอกแม่เหลือเกินว่าเค้าไม่ได้อ่อนแอหรอกนะ และการที่แม่บอกว่าแม่ชอบร้องไห้ก็ไม่ได้หมายความว่าแม่อ่อนแอด้วย แต่มันเป็นความอ่อนโยนในหัวใจต่างหาก เป็นความอ่อนโยนที่เก็บรายละเอียดรอบๆ ข้าง แม่เป็นคนละเอียดอ่อนและใส่ใจในความเป็นไปของคนรอบๆ ตัว น้าเล่าเรื่องแม่ให้ฟังว่าตารักแม่มาก และแม่ก็รักตามากเช่นกัน ตอนที่แม่แต่งงานมีพี่ๆ แม่ก็จะอุ้มพี่ๆ ไปหาตาทุกวัน แม่จะจำวันเกิดพวกเราทุกคนได้ แม่จะทำกับข้าวโปรดให้พวกเราและคิดเมนูใหม่ๆ เคยถามแม่ว่าแม่ทำเมนูนี้ได้ยังไง แม่ก็จะบอกว่าใช้วิธีการครูพักลักจำเอา ตอนป่วยแม่ก็ดูแลพวกเรามาตลอด หลังจากที่แม่จากไปบอกตรงๆ เค้าก็ยังทำใจไม่ค่อยได้หรอก เค้าอยากกอดแม่อีกหลายๆ ครั้ง มันเป็นความผูกพัน ก็เค้าเป็นลูกแม่นี่ แต่การได้ทบทวนเรื่องราวของแม่ ทำให้เค้าได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิตเพื่อคนอื่นของแม่ การจากไปของแม่ทำให้เราเข้าใจความจริงของธรรมชาติ ความจริงที่ทุกคนต้องตาย บทเรียนนี้ได้สอนให้คนเป็นอย่างเค้าได้รู้เท่าทันการใช้ชีวิตมากขึ้น เสียใจหรืออ่อนไหวที่นึกถึงเรื่องนี้ได้ แต่เราก็ต้องอยู่และดำเนินชีวิตต่อไป ดูแลและใช้ชีวิตกับคนที่ยังอยู่ การได้อยู่และมีสติกับปัจจุบัน ทำให้เรารู้ว่าชีวิตเรายังต้องเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับคนอื่น มีป๋า มีพี่ๆ มีญาติๆ มีงาน มีเพื่อนรายล้อมอยู่ในวงโคจรเป็นเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กัน หากเราไม่ยึดติดและใช้ชีวิตอย่างเข้าใจในการเปลี่ยนแปลง ชีวิตก็จะง่ายขึ้นและมีชีวิตเพื่อคนอื่นได้เหมือนแม่บ้าง เค้าและพี่ๆ สัญญากับแม่ว่าจะดูแลป๋าให้ดีที่สุด ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย หลับให้สบายนะแม่ เพราะในวันหนึ่งเค้าก็ต้องเจอเรื่องราวแบบนี้เช่นกัน

รักแม่มากที่สุดในโลก

หมายเลขบันทึก: 601806เขียนเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2016 11:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2016 12:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นเรื่องราวที่งดงามมากเลยค่ะ คุณแม่คงภูมิใจในตัวลูกคนนี้มาก...

เราเพิ่งเสียแม่ไปวันที่13 กพ.2016 นี่เองค่ะ ต้องดูแลพ่อเช่นกัน แต่เราไม่สนิทกับพ่อเลย แม่เคยบอกเสมอว่า ถ้าแม่ไปก่อน พ่อจะลำบาก มีวิธีอย่่างไรค่ะที่เราจะเข้ากับพ่อได้ และดูแลท่านได้ดีเท่ากับที่เราดูแลแม่ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท