​รติกร พรอนุวงศ์ : คำพูดประโยคเดียว


ดิฉันมีประสบการณ์การสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำอีกในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ครอบครัวดิฉันมีด้วยกัน 4 คน พ่อ แม่ ตัวดิฉัน และน้องชาย ใครๆ ก็คิดว่าครอบครัวดิฉันอบอุ่น มีความสุข เพียบพร้อม พ่อ แม่รับราชการครู ดิฉันเรียนพยาบาล จบทำงาน ทุกอย่างไปได้สวย เมื่อดิฉันเรียนจบ ทำงาน เหลือแค่น้องชายที่กำลังเรียนปวช. เหตุการณ์ ณ ตอนนั้น น้องชายเป็นความหวังเดียวที่ทุกคนในบ้านทุ่มเท

แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อเพื่อนน้องชายมาที่หน้าบ้านในตอนดึก บอกพ่อกับแม่ว่า น้องชายประสบอุบัติเหตุหลังจากกลับจากทำโมเดลกับเพื่อนที่วิทยาลัย ข่าวร้ายที่เกิด ทำให้พ่อกับแม่ล้มทั้งยืน เมื่อรู้ว่าน้องชายได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งขณะนั้น ดิฉันลงเวรบ่ายไม่เป็นอันได้อยู่ เมื่อทราบข่าว รีบหาทุกโรงพยาบาลในหาดใหญ่ เมื่อพ่อกับแม่มาถึง เหมือนโลกทั้งโลกได้แตกสลายลงไปต่อตา ความมืดมนได้เกิดขึ้นในครอบครัวเล็กๆ นี้ แม่เกิดภาวะซึมเศร้า พ่อ และดิฉันจึงต้องช่วยกันประคับประคอง แม้ว่าต้องนอนร้องไห้คนเดียวก็ตาม จะไม่พยายามให้ครอบครัวรู้ว่า น้องชายสุดที่รักยังคงวนเวียนในความคิด คิดถึงที่สุด แต่ต้องเข้มแข็งเพื่อพ่อและแม่

จากวันนั้น ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้น พ่อกับแม่คาดหวังในตัวดิฉันมาก และมากขึ้น ที่จะให้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์อีกครั้ง จนวันหนึ่งได้เจอชายที่เข้ามาเป็นคู่ชีวิต และร่วมสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่งงานได้ปีกว่าๆ มีลูกน้อย 1 คน พ่อกับแม่แสนจะมีความสุข ลาออกจากราชการเพื่อมาดูแลหลานรัก เนื่องจากดิฉันกับสามีไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด ด้วยภารกิจราชการ เดิมที่เป็นตำรวจ นปส. จ.ปัตตานี พอมีครอบครัว ขอย้ายหน่วยงาน สังกัด บช.ปส. (ปราบปรามยาเสพติด) ได้ย้ายมาอยู่หาดใหญ่ด้วยกัน ช่วยกันเลี้ยงเด็กน้อยอันเป็นที่รักของครอบครัว

แต่แล้ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อดึกวันนั้น มีโทรศัพท์จากรพ.ชุมพรว่า สามีได้ประสบอุบัติเหตุรถพลิกขณะปฏิบัติหน้าที่ทำให้ถึงแก่ความตาย ที่คิดได้ตอนนั้น แล้วลูกล่ะ ยังเพิ่งหัดเดินเองนะ !!!! จะอยู่กันยังไงล่ะทีนี้ ?? ได้แค่กอดลูกน้อยไว้ในอ้อมกอด โลกทั้งโลกล้มสลายลงไปชั่วข้ามคืน

ทำไม ทำไม แล้วก็ทำไม ??????? คำถามที่วนเวียนเข้ามามีมากมาย ... ทำไมต้องเป็นชั้น ? ทำไมต้องเกิดเหตุการณ์นี้กับชั้น ? แล้วชั้นจะอยู่ยังไง ? แล้วลูกล่ะ ยังต้องการการดูแลนะ พูดยังไม่คล่อง เดินยังไม่เก่ง ต้องเป็นกำพร้าพ่อแล้วเหรอ จะอยู่กันยังไง หนี้บ้านเป็นล้าน หนี้รถอีก ดูแลลูกอีก เงินเดือนตอนนั้นแค่หมื่นต้นเองนะ จะอยู่กันยังไง ??? ทำไม ทำไม ทำไม ตั้งหลักไม่ถูกจริงๆ

ความเข้มแข็งหมดไป มีแต่คำถามที่ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง นอนก็นอนไม่หลับ งานก็ทำไม่ได้สับสนวุ่นวายไปหมด เข้าใจคำว่าสติแตกอย่างลึกซึ้ง หันไปมองลูก ก็ได้แต่คิดว่าทำไมเราต้องเจอชะตากรรมที่เลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ได้แต่สงสารลูก แต่ด้วยสติที่หลุดลอยไม่สามารถดูแลลูก และคนในครอบครัวได้รวมทั้งตัวเอง สติแตก.... นอนไม่หลับ อดนอน มือสั่น ล่องลอย แล้วจะทำงานได้อย่างไร เมื่องานที่ทำคือพยาบาลที่ต้องดูแลคนอื่น รับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อชีวิตตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ลาป่วยก็แล้ว ลากิจก็แล้ว

มากมายหลายคำพูดที่คอยให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรนะ ปลงซะนะ” “สู้นะ เดี๋ยวก็ทำใจได้” “เป็นกำลังใจให้นะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น” “ปลงซะนะ” “ทำใจให้สงบนะ ทำสมาธิ สวดมนต์แล้วจะได้ปลงได้” ขอบคุณทุกคนทุกกำลังใจ รู้ว่าทุกคนเป็นห่วง เข้าใจนะ เข้าใจ แต่มันยากมากนะ ทำไม่ได้ ไม่โดนไม่รู้หรอก มันนิ่งไม่ได้ ในเมื่อคำถามมันยังไม่มีคำตอบ ใครช่วยตอบก็เข้าไปในสมอง ในเมื่อใจยังปฏิเสธกับเหตุการณ์ที่เกิด

แล้วก็ตัดสินใจพบจิตแพทย์ ยาก็แล้ว กินไป นอนได้ด้วยฤทธิ์ยา ทำงานได้ก็เพราะยา แต่ยังไม่สามารถทำงานที่ต้องรับผิดชอบสูงๆ ที่เสี่ยงต่อชีวิตผู้อื่นได้ แค่พูด แค่ตอบ แค่ยิ้ม เพราะฤทธิ์ยาเท่านั้น เป็นเช่นนี้ 3 ปีที่ต้องใช้ยาบำบัดจิต ไม่สามารถควบคุมความคิดที่ฟุ้งซ่าน ไม่สามารถควบคุมอาการซึมเศร้าได้เลย

วันหนึ่ง สิ่งที่ละเลยมาตลอด ได้แต่คิดหาคำตอบของชีวิต ที่ไม่มีคำตอบใดๆ เพราะปฏิเสธการสูญเสียมาตลอด จนลูกน้อยร้องเรียกหาแม่ แล้วเดินเข้ามาเช็ดน้ำตาซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วบอกว่า “แม่คับ กอดน้องหน่อย น้องรักแม่”

ตอนนั้นแค่คำพูดประโยคเดียว กับสายตาที่จ้องมองด้วยความรักที่บริสุทธิ์ ทำให้เกิดคำตอบกับตัวเองว่า “ชั้นต้องลุกขึ้นมาแล้วนะ ขาที่อ่อนแรง มือที่ไร้พลังต้องปกป้องชีวิตอีกหนึ่งชีวิตให้รอด"

เวลาทั้งหมดที่มีจึงทำทุกอย่างเพื่อชีวิตน้อยๆ นี้ ล้มลุกคลุกคลานก็ต้องสู้ ตั้งแต่นั้นมา ยาที่เคยใช้เพื่อบำบัดตัวเองก็หยุดเอง หาจุดยืนให้ตัวเองสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองด้วยคำว่า “รักลูก ทุกอย่างต้องสู้” เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่ง ร้องไห้นับไม่ถ้วน เหนื่อยแสนสาหัส กัดฟันสู้ทุกเหตุการณ์ จนทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเหนื่อยมากแค่ไหน กำลังใจสร้างจากคนใกล้ตัวที่สุด พ่อ แม่ ที่เคยสูญเสียลูกชายที่รัก ต้องคอยให้พลังกับลูกที่สูญเสียสามี คอยช่วยเลี้ยงหลานรักอย่างดีที่สุด เพื่อให้ลูกลุกขึ้นสู้ได้อย่างเต็มกำลัง พลังใจที่สำคัญที่สุด คือตัวเอง ที่บอกกับตัวเองตลอดเวลาว่า “ชั้นเก่ง ชั้นต้องทำได้”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เคยมีหลายคนขอให้เขียนเรื่องราวที่ดิฉันได้ประสบมา แต่ไม่สามารถเขียนจนจบได้ด้วยความไม่นิ่งในอารมณ์ เข้มแข็งไม่พอที่จะย้อนไปคิดถึงวันเหล่านั้น แต่เวลาที่ผ่านมาจากวันนั้น ลูกน้อยอายุ 1 ปี 9 เดือน จนวันนี้ เด็กชายคนนั้นโตขึ้น อายุ 12 ปี 3 เดือน เราอยู่ได้ เราทำได้ เราเข้มแข็งขึ้นมาก เราเรียนรู้ที่จะส่งพลังให้ตัวเองและคนรอบข้าง เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง และเผื่อแผ่ความรักให้กับคนรอบข้าง เรียนรู้ที่จะใช้ความสงบนิ่งที่แข็งแกร่งยืนข้างๆ ผู้ที่กำลังอ่อนแรงในจิตใจได้พักพิง กำลังใจสร้างได้จากตัวเองเสมอ

วันนี้ขอบคุณเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา เป็นบทเรียนให้แข็งแกร่ง ต่อจากนี้ทุกวันคือวันสำคัญ ทำเดี๋ยวนี้ เวลานี้กับบุคคลที่รักให้มีความสุขเสมอเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้

รติกร พรอนุวงศ์ (พลรักษ์)

คำสำคัญ (Tags): #Pal2Know#Pal2Know8#bereavement care#grief
หมายเลขบันทึก: 600856เขียนเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2016 18:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2016 18:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งค่ะ .. ใครเลย จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ได้ดีเท่าผู้มีประสบการณ์ตรง ดิฉันขอชื่นชมคุณรติกรนะคะ ที่สามารถประคับประคองตนเองจนลุกขึ้นมาได้เองในที่สุด .. กำลังใจจาก 'เจ้าตัวน้อย' ที่รอคอยอ้อมกอดของ 'แม่' ทุกวัน

ขอบพระคุณที่แชร์ประสบการณ์นี้และแสดงให้เห็นว่า ที่สุดแล้ว คุณก็รวมพลังทั้งหมด เรียนรู้ยอมรับ และผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้อย่างเข็มแข็งนะคะ

7 ปีก่อน...

เราสูญเสียน้องชาย วัย 31 ปี จากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นความทุกข์แรกที่ทำให้ทั้งครอบครัว คือ พ่อแม่ และเรา ไม่อยากดูทีวี ฟังเพลงหรือ รับรู้เรื่องใดๆ ร่วมปี ข่มตาหลับยากมากๆ

จากนั้นมา เราก็พยายาม ศึกษาเรื่อง มรณานุสติ เรื่องเตรียมตัวก่อนตาย หวังเพื่อว่า หากมีความทุกข์จากการสูญเสียคนที่เรารักอีกครั้ง เราจะรับมือและจัดการมันไหว หรือดีขึ้น

30 วันที่แล้ว...

เราสูญเสียสามี วัย 36 ปี จากอุบัติเหตุ ทางรถยนต์ เป็นการสูญเสียอย่างกระทันหัน

เราถึงได้รู้ว่า เราแทบไม่ได้เก่งขึ้นเลยในการรับมือและจัดการความทุกข์ ประสบการณ์ที่เรามีแทบไม่ช่วยอะไรเลย

ความทุกข์เข้ามาในรูปแบบที่ต่างกัน เราไม่ทันตั้งรับเลยจริงๆ

เราคิดแต่ว่า คนเรานั้นจะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อย่างน้อยๆ เราคงมีเวลาได้สั่งเสียกันเหมือนคราวน้องชาย หรือญาติคนอื่นๆในครอบครัว

เราไม่เคยคิดว่าว่าครอบครัวเราจะเป็นเหยื่อบริสุทธิ์ ให้กับผู้ที่ขับรถโดยความประมาท แข่งกันบนท้องถนน ก่อนนอน ยังคุยกัน เรายังมีเขา ตื่นเช้ามา เราไม่มีเขาอีกต่อไปแล้ว

แต่ได้เข้ามาอ่านเรื่องที่คนอื่นแบ่งปัน ก็พอช่วยให้ผ่านแต่ละวันไปได้ค่ะ

ขอบพระคุณทุกท่านที่สละเวลาเขียนเรื่องตัวเอง ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจที่เข้มแข็งนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท