..
เกือบทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้มาสอนสมาธิ..ของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธฺโร ข้าพเจ้าจะเกิดความรู้สึกที่เป็นสุขอย่างประหลาด กับการที่ได้พูดถ่ายทอดมงคลอันสูงสุดที่พระอาจารย์หลวงพ่อฯท่านได้มีเมตตา....มอบให้กับตัวเองไว้เป็น”ทุนรอนของชีวิต”
ความรู้สึกเช่นนี้..........หากไปบอกใครก็คงไม่มีใครเขาเชื่อ?...มันเป็นสิ่งที่เกิดจากข้างใน ...หัวใจมันจึงอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูก
..
แล้วความรู้สึกอิ่มเอิบ...อันนี้..มันเป็นอย่างไรนะ?
..
ความหมายของคำ ๆ นี้... มันเกิดขึ้นกับตัวเองในวินาทีแรก... ที่ใจมันสัมผัสได้
ยกตัวอย่างเช่น ...วันหนึ่ง....วันที่ข้าพเจ้า ได้เข้าไปสอนสมาธิ ให้กับ นักโทษที่เรือนจำไชยา สุราษฎร์ธานี ในวันสุดท้าย
วันนั้น..เป็นวันที่คำพูดของตัวเองได้เข้าไปอยู่ ณ ส่วนลึกในใจ...ของนักโทษหลาย ๆ คน
..
จากคำพูดประโยคนี้ .... คำพูดที่ข้าพเจ้าพูดด้วยหัวใจ....
ข้าพเจ้าพูดกับนักโทษที่ทุกสายตาของพวกเขานั้นนั่งจ้องมองมาที่ตัวข้าพเจ้า...ข้าพเจ้าพูดกับพวกเขาเหล่านั้นว่า...”คนเรานั้นไม่มีที่ไหนเลย..ที่มันไม่มีทุกข์.. หรอกนะ!! …..มันมีทุกข์ทั้งนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่า เราจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย....มันก็เท่านั้นเอง“
ณ. วันนี้ และต่อไปในภายภาคหน้า.... นักศึกษา(นักโทษ)ทุกคนถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสรับเอา “อริยทรัพย์ “ ทรัพย์ที่พระอาจารย์หลวงพ่อฯท่านได้มีเมตตามอบให้นักศึกษานำสิ่งนี้ติดตัวไว้เป็นทุนรอนของชีวิต....
..
อริยทรัพย์...ที่เราสามารถนำติดตัวของเราไปได้ในทุกภพทุกชาติ.....
“แค่นี้มันก็ยิ่งใหญ่เหลือเกินแล้วที่ชีวิตของใครคนหนึ่งพึงมี”
..
และเมื่อวันนั้นมาถึง....นักศึกษาจะทราบครับว่า...ทำไมผู้บรรยายถึงพูดเช่นนี้
“คนเราทุกคน..ไม่มีใครหรอกครับที่ไม่มีทุกข์ ....อยู่ที่ว่าใครจะทุกข์มากหรือทุกข์น้อย ขอให้นักศึกษาจงเอาวิกฤตชีวิตนี้เป็นโอกาสให้กับตัวเอง...สะสมอริยทรัทย์นี้ไว้อย่างแท้จริง และสุดท้ายปลายทางของชีวิต...สิ่งที่เราทำไปนี้...สุดท้ายมิใช่เพื่อใครหรอกครับ....สุดท้ายสิ่งที่เราทำลงไปนั้น...ก็เพื่อตัวของเราอย่างแท้จริง”
ขอเป็นกำลังใจให้กับนักศึกษาทุกท่านนะครับ
..
..
หลังจากที่ข้าพเจ้าพูดจบลง.....ได้มีนักโทษ 2 คน เดินเข้ามาหาข้าพเจ้า ... ข้าพเจ้านั่งมองเขาด้วยสายตาของตัวเอง
ข้าพเจ้าเห็นสิ่งนี้ ครับ ...สายตาและแววตา...ของนักโทษสองคนนั้น ที่เรื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่คลออยู่ นักโทษหนึ่งในสองคนนั้น พูดกับข้าพเจ้าว่า...”อาจารย์ครับ ผมขอเบอร์โทรของอาจารย์ไว้ได้มั้ยครับ?...บ้านของผมอยู่แถวนี้เอง.. บ้านของผมขายพวงมาลัย และหากวันใดที่ผมพ้นโทษออกไป ผมอยากจะโทรหาอาจารย์.. ได้มั้ยครับ?"
..
วินาทีแรกที่ข้าพเจ้าสบสายตาของเขา...นี่แหละคือความสุขอย่างประหลาดที่ข้าพเจ้าได้รับและรู้สึกได้จริง ๆ ...
..
และนี่คือหนึ่งในหลาย ๆ ตัวอย่างกับความรู้สึกของหัวใจที่อิ่มเอิบ...ความสุขที่ข้าพเจ้าได้รับจากนักโทษคนนั้น
..
..
และวันนี้ก็เช่นกันครับ....เป็นอีกวันหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้มาสอนสมาธิ ที่วัดสามัคคีผดุงพันธ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ครั้งนี้เป็นความรู้สึก..ที่ตัวเองได้มองเห็นความงดงามภายในจิตใจของบุคคลท่านหนึ่ง.
..
บุคคลท่านนี้ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน... ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้า.. ข้าพเจ้าไม่คุ้ยเคยและไม่เคยสนใจด้วยซ้ำไปครับว่า..เขาเป็นใคร?
แล้วทำไม?ข้าพเจ้าถึงรู้สึกกับเขาเช่นนี้?...
..
ค่ำคืนวันนั้น...วันที่ข้าพเจ้าได้สอนเสร็จ.. ข้าพเจ้าเดินไปท้ายห้องเรียน เพื่อไปหยิบสิ่งใดสักอย่างหนึ่งและระหว่างที่เดินไปนั้น
ข้าพเจ้าเห็นผู้ชายคนนี้..เดินก้มปิดประตูโบสถ์ หลาย ๆ บาน ที่เปิดทิ้งไว้ให้นักศึกษาเข้ามาเรียน ...ข้าพเจ้าก็ได้แต่ชื่นชมอยู่ในใจว่า.. “แหม!! วันนี้คนปิดประตูโบสถ์ให้กับนักศึกษาเนี่ย!! …เค้าแต่งตัวดีนะ ใจของข้าพเจ้า พาลนึกไปถึงมัคทายกวัดที่คอยดูแลความเรียบร้อยของสถานที่ภายในบริเวณวัด..ไปโน้น
..
แล้วสักพักหนึ่ง...บุคคลท่านนี้ ก็เดินเข้าไปหาผู้ดูแลสาขาหลักสูตรครูสมาธิสาขาที่ 133 วัดสามัคคีผดุงพันธ์แห่งนี้
ใจก็คิดไปอีกว่า... เขาช่างสุภาพนะ...คงจะไปบอกลาผู้ดูแลสาขาตามมารยาท....
แต่ที่ไหนได้!!
..
อาจารย์จรี เสียงแจ้ว.. ท่านเรียกข้าพเจ้ามาและแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักคู่ชีวิตของท่าน...
ข้าพเจ้าอึ้ง .. ทึ่ง...
ข้าพเจ้ารู้จักพี่จรีมาร่วมปีแล้ว... เราเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน.. เป็นอาจารย์สอนสมาธิรุ่นเดียวกัน
แต่ข้าพเจ้าไม่เคยคิดหรือทราบมาก่อนว่า... คน ๆ นี้คือคู่ชีวิตของท่าน
พี่จรี.. อาจารย์ผู้ดูแลสาขาแห่งนี้ เธอไม่เคยบอกอะไรที่เป็นเรื่องครอบครัวของเธอให้กับข้าพเจ้าฟังเลย......หรือว่าข้าพเจ้าไม่เคยสนใจหรือใส่ใจสิ่งใดมากกว่า... การได้พบปะพูดคุยระหว่างกันด้วยหัวใจที่เราสนใจสิ่งมีค่าสิ่งเดียว...ที่เหมือนกัน
..
พี่จรี บอกข้าพเจ้าว่า...คู่ชีวิตของเธอ ท่านเป็นอธิบดีอัยการภาค 8 ท่านชื่อ ธวัชชัย เสียงแจ้ว
ข้าพเจ้าไม่ตกใจหรอกนะครับ...ที่พี่แนะนำกับข้าพเจ้าเช่นนี้....
..
..
แต่สิ่งหนึ่งต่างหาก!! ที่ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึง นั้นคือประโยคนี้...... “ยิ่งสูง..ยิ่งต้องก้มต่ำ”
ท่านทำตัวเหมือนต้นข้าวไม่มีผิดเพี้ยน....ต้นข้าวที่ออกรวงสวยงามพร้อมเก็บเกี่ยว ...ฉันใด รวงของต้นข้าวนั้นย่อมโน้มตัวลงต่ำ...ฉันนั้น...
ความงดงามภายในใจของผู้คนก็เช่นกัน... เพียงแค่ข้าพเจ้าเห็นครั้งเดียว ข้าพเจ้าก็รับรู้ได้ว่า...ใครคนนั้นเขามีหัวใจเช่นใด?
..
และนี่คือความสุข...ความงดงามที่มองไม่เห็น...ของใครคนหนึ่ง.....
ที่ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
ขอบคุณ คุณเพชรมากนะครับ
อ่านแล้วมีความสุข
สาธุๆ
ยิ่งสูงยิ่งก้มต่ำจริงๆครับ
สาธุครับ อาจารย์
ผมต้องเรียกอาจารย์แล้วล่ะครับ
ขอบคุณอาจารย์ต้นมากนะครับ
อนุโมทนาบุญกับการให้ธรรมทานของคุณแสงแห่งความดีด้วยนะคะ
อ่านแล้วก็ปลื้มปิติไปด้วยอย่างประหลาด...
นักปราชญ์ท่านกล่าวไว้ว่า คนเราเกิดมามีอยู่สองวันที่สำคัญที่สุดคือ วันที่เราถือกำเนิดมา และวันที่เรารู้ว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร
คุณแสงได้ผ่านวันเวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิตแล้ว...จริงไหมคะ