อยู่กับปู่ ตอนที่ 9 บทส่งท้ายภาค


อยู่กับปู่ โดย นารีรัตน์ นาคะเวช

ตอนที่ 9 บทส่งท้าย

มาถึงตอนนี้เริ่มหมดแรงบันทึก คิดว่าคงเป็นบันทึกลับที่เก็บไว้กับตัวเราตลอดชีวิต ถึงเวลานั้นใครพบแล้วอ่านเรื่องราวและตัวละครจะกลายเป็นตำนานที่เล่าขานไม่รู้จบ แต่เป็นตำนานที่พิสูจน์ทราบได้ เพราะสถานที่และบุคคลมีจริง และคงมีใครบางคนร่ำร้อง เรียกหา "หลวงปู่พุทธะอิสระ" เหมือนกับเวลานี้ที่คนติดตามหาหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรไม่มีผิด พอฉันหยุดเขียน นำเรื่องให้หลวงปู่อ่าน ท่านอ่านคร่าวๆ แล้ววิจารณ์มากมาย สำหรับเนื้อเรื่องนั้นท่านไม่ท้วงติง เพราะไม่ได้เขียนเกินความ แต่จะท้วงติงท่วงทำนองการเขียนและการดำเนินเรื่องว่า...

การจะเขียนเรื่องเล่าโดยผู้เขียนเป็นคนเล่าเอง แล้วใช้คำแทนตัวว่าอะไรก็ตามทีเถอะ เมื่อเริ่มต้นเรามีการอารัมภบทแนะนำตัวเองว่าเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรในการเขียนนั้นก็ถูก แต่พอเริ่มเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ควรจะตัดคำแทนตัวออกให้มีน้อยที่สุด ไม่ใช่อ่านไปก็เจอแต่คำว่า ฉันๆๆๆ ทุกที่ เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย สัญชาตญาณของคน เขาจะไม่สนใจเรื่องของคนอื่นหรอก ถ้าเขารู้สึกว่าเขาเดินเข้าไปในป่าหรือสวนแห่งหนึ่งหรือพายเรือลัดเลาะไปตามแม่น้ำลำคลอง แล้วแวะชมอะไรไปเรื่อยด้วยตัวเขาเอง และรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวของเขา เขาจะพอใจกว่า ถ้ามึงเขียนได้อย่างนั้น นับว่าเป็นนักเขียนที่ใช้ได้ เสน่ห์ของหนังสืออยู่ตรงนั้น ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่รู้จักมึง ก็เขาอ่านตั้งแต่ต้นแล้ว เขารู้ว่าผู้เขียน เป็นใคร ชายหรือหญิง... "

ฉะนั้น ผู้เขียนต้องก้มลงกราบขอบพระคุณหลวงปู่ไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะท่านได้ให้หลักการเขียนที่ดีที่สุด ชนิดที่ไม่มีตำราเล่มใด สอนมาก่อน บันทึกเล่มนี้ได้รับการแก้ไขตามคำแนะนำของท่าน

อนึ่ง พวกเราชาวถ้ำส่วนใหญ่มีฐานะปานกลาง ไม่ร่ำไม่รวย ฉะนั้นการจัดพิมพ์เรื่องนี้ จึงเป็นเพียงความฝัน จวบจนได้พบกับท่านผู้มีใจอารีและมีศักยภาพเพียงพอท่านหนึ่ง หนังสือ "อยู่กับปู่" จึงได้ออกสู่สายตาประชาชน ไม่ต้องเป็นตำนานลับอีกต่อไป ท่านผู้นี้ คือ "คุณสงบ ปานดอกไม้" อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ขอกราบขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยเช่นกัน

เสียดายที่ฉันคิดว่า บันทึกเล่มนี้คงไม่มีโอกาสพิมพ์เป็นรูปเล่ม จึงหยุดบันทึกกลางคัน ฉะนั้นเรื่องดีๆ เช่น งานหล่อพระ วันออกพรรษา การก่อสร้างเจดีย์เบญจมหาโพธิสัตว์ งานฉลองเจดีย์ การอบรมเยาวชนติดยาเสพติด ฯลฯ จึงปล่อยให้ผ่านเลยไป ไม่มีการบันทึกแต่อย่างใด ตอนนี้จำรายละเอียดไม่ได้อีกแล้ว จึงขอยุติการเล่าเรื่องทั้งหมดไว้ก่อน จวบจนบัดนี้ยังหาความผิดพลาดในตัวหลวงปู่ไม่ได้ ยิ่งค้นหา ยิ่งพบแต่สิ่งมหัศจรรย์อันล้ำลึกสุดจะบรรยายได้ สัมผัสกับความรอบรู้อันไร้ขอบเขต สิ่งที่ได้จากตัวท่าน เราไม่รู้หรอกว่าคืออะไร เพราะท่านไม่ได้ปรุงเป็นอาหารสำเร็จรูปแล้วป้อนเราหรือก็เปล่า ท่านโยนวัตถุดิบให้เราปรุงแต่งกินเองตามแต่จะถนัด เมื่อเราประสบปัญหาชีวิตนั่นแหละ ถึงรู้ว่าเราได้อะไรๆ จากท่านมากมาย อย่างน้อยก็ความมีสติปัญญาในการแก้ปัญหา ความอดทนเข้มแข็ง ความเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน มีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี การมีชีวิตอยู่ด้วยการทำงาน... ทำงาน... และ ทำงาน ฯลฯ

วันเวลาแห่งการลาจากใกล้เข้ามาทุกที... ไม่รู้อีกเมื่อไหร่จะได้พบ "บุรุษแห่งจักรวาล" เช่นนี้อีก น้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์ของชาวถ้ำไก่หล่นได้ไหลพรั่งพรูก่อนท่านจะจากไปเสียอีก นับแต่นี้ต่อไปจะไม่มีเสียงหัวเราะก้องป่าอีกแล้ว ไม่มีผู้ใจอารีคอยปกป้อง บรรดาสัตว์ป่าให้พ้นภัยจากน้ำมือของคนใจโหด ไม่มีเสียงหัวเราะต่อกระซิกของลูกหลานชาวถ้ำไก่หล่นในยามเย็นขณะรับประทานอาหารร่วมกัน เสียงร้องอันไพเราะของหมู่นกจะกลายเป็นเสียงร้องที่ระแวงภัย สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยจะมีแต่ความโศกสลดขดตัวอยู่แต่ในที่หลบภัย ความวังเวงจะเข้ามาแทนที่ ภาพหลวงปู่ในยามที่แสดงธรรมแบบไม่มีพิธีรีตรอง ยามย่างเยื้องไปมา เสียงพูด ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เหลือไว้แค่ความทรงจำในหัวใจของทุกคน.

ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ถ้ำไก่หล่น

ก่อนอื่น ข้าพเจ้าคงต้องขออภัยบรรดาผู้อ่าน และผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านการเขียนทุกๆ ท่าน ข้าพเจ้าไม่มีปัญหาเท่าใดนักที่จะเขียนหนังสือให้ได้เนื้อหาใจความเหมือนกับนักประพันธ์โดยทั่วไป เพียงแต่นึกอยากจะเขียนก็ลงมือเขียน ในลักษณะของประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมากับชีวิตของตนเองเท่านั้น ว่า ....

การที่ได้อยู่ใกล้กับผู้ที่เป็นผู้นำแห่งจิตและวิญญาณแล้วย่อมทำให้ชีวิตของตนเองได้รับแต่ในสิ่งที่เป็นประโยชน์และดีงามอยู่เสมอ ข้าพเจ้าต้องขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านเสียก่อนว่า ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาที่จะอวดรู้ หรือมีปัญญาที่แสดงออกถึงเรื่องที่เก่งกาจสามารถใดๆ เพียงแต่ต้องการจะเขียนเล่าอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ได้สัมผัสมาเท่านั้นเอง หากท่านผู้อ่านสนใจก็ขอให้ใจเย็นๆไว้ก่อนก็แล้วกัน ประเดี๋ยวจะเล่าให้ทุกท่านได้รับฟัง

ประวัติและความเป็นมาของถ้ำไก่หล่น (พอสังเขป)

ถ้ำไก่หล่นอยู่ในเขตพื้นที่ของหมู่บ้านหนองกระทุ่ม หมู่ที่ ๖ ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ห่างจากตัวอำเภอ หัวหินประมาณ ๓๑ กิโลเมตร

หากท่านไม่มีรถส่วนตัวแต่ต้องการจะไปเที่ยวถ้ำ ก็ขึ้นรถโดยสารประจำทางสายหัวหิน-วิลัย พอถึงแยกหนองพลับ ก็ลงแล้ว ต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งจะวิ่งเลี้ยวทางขวามือไปทางถนนยางชุมอันเป็นเส้นทางเดียวกับถนนในหมู่บ้านหนองกระทุ่ม และมีป้ายบอกสถานที่ของถ้ำตั้งอยู่ข้างทาง ท่านก็จะเข้าถึงถ้ำไก่หล่นได้อย่างไม่ลำบาก ถ้าหากมีรถส่วนตัวได้ก็ยิ่งดี สำหรับรายละเอียดนั้นท่านลองหาข้อมูลอีกครั้งหนึ่งก็ได้ เมื่อท่านมาเที่ยวหัวหิน

สาเหตุที่เรียกว่าถ้ำไก่หล่น มีอยู่ว่า เดิมมีพรานป่าชื่อนายบุญ ทิ้งทรัพย์ มาตั้งนิวาสสถานบ้านเรือนอยู่ที่หนองกระทุ่มนั่นเอง ได้ไปเที่ยวในหุบเขาบริเวณที่ถ้ำนั่นแหละ

สมัยก่อนเมื่อประมาณ ๓๐ ปีเศษ ยังเป็นป่าดงดิบมีสัตว์ป่าชุกชุม พรานป่าท่านนี้ได้ใช้ปืนที่ทำเอง ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าปืนแก๊ป ยิงไก่ป่าพญาลอ ยิงถูกแต่ไม่ตาย ไก่ได้บินหนีขึ้นสู่ยอดเขา และตกลงไปในปล่องของถ้ำ พรานป่าก็ได้ติดตามไก่ป่าขึ้นไป จึงได้รู้ว่ามีถ้ำที่สวยงาม จึงได้เรียกถ้ำนี้ตามที่พรานป่าได้เรียกขานตั้งชื่อว่า "ถ้าไก่หล่น"

ต่อมาเมื่อมีข่าวแพร่กระจายออกไปก็ได้มีคนเข้าไปท่องเที่ยวกัน สำหรับความสวยงามในขณะนั้นสวยวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้มากมาย เพราะยังเป็นธรรมชาติเดิมอยู่

ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาที่ดินจัดสรรให้แก่เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ตำบลหนองพลับ ซึ่งเป็นไปตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ความเจริญก็ได้คืบคลานเข้ามาสู่หมู่บ้านและตำบลอย่างไม่น่าเชื่อ "ถ้ำไก่หล่น" ก็เป็นสถานที่ส่วนหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ศูนย์โครงการพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์ หนองพลับ แต่อยู่ในเขตพื้นที่ของหมู่บ้านหนองกระทุ่ม

เพราะฉะนั้นเมื่อมีป่า ภูเขา ถ้ำ และลำธาร ในหุบเขานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้มีพระราชดำริให้จัดทำเขื่อนกั้นน้ำ ขนาดเล็ก ณ บริเวณหุบเขาถ้ำไก่หล่น เพื่อจะเก็บกักน้ำไว้ให้ประชาชนอันเป็นพสกนิกรที่เป็นสมาชิกของโครงการฯ ของพระองค์ ท่านได้มีน้ำไว้ใช้ในยามขาดแคลน จึงทำให้ถ้ำนี้สมบูรณ์ไปด้วยแหล่งน้ำอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ต่อมาหลายๆ ปีเขื่อนมีรอยรั่ว เก็บกักน้ำไว้ไม่อยู่ จึงไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนที่อยู่ภายในหมู่บ้านหนองกระทุ่มได้

เมื่อพระเดชพระคุณเจ้า "หลวงปู่"ท่านได้ธุดงมาพักแรม เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ จึงได้ให้ศิษยานุศิษย์ดำเนินการจัดซ่อมแซมเขื่อนโดยขออนุญาตจากกรมชลประทาน จนกระทั่งเขื่อนสามารถเก็บกัก น้ำไว้ใช้จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน "ถ้ำไก่หล่น" เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอหัวหิน มีนักทัศนาจรมาเที่ยวกันไม่ขาดระยะโดยเฉพาะชาวต่างประเทศ ในขณะเดียวกันสถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาไว้ ด้วยแรงศรัทธาของศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณเจ้า "หลวงปู่" อีกด้วย จึงทำให้ถ้ำแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติ ได้ดีเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

ครั้งแรกที่ได้พบปู่

ข้าพเจ้าขอเท้าความเดิมในเรื่องของส่วนตัวสักเล็กน้อย เพื่อสร้างความเข้าใจกับท่านผู้อ่านอันจะนำไปสู่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ข้าพเจ้าเป็นคนในพื้นที่ตำบลหนองพลับ มีอาชีพรับราชการ ภรรยาของข้าพเจ้านั้นพระเดชพระคุณเจ้า "หลวงปู่" ท่านได้ตั้งชื่อเรียกเล่นๆ ว่า"แหมบ" เพราะฉะนั้นบุคคลใน "ชมรมธรรมะอิสระถ้ำไก่หล่น" รู้จักกันดี เพราะนอกจากจะเป็นคนไม่ค่อยช่างพูดแล้วยังเป็นแม่ครัวหัวป่าที่สำคัญของชมรมฯ ที่ "ถ้ำไก่หล่น" อีกด้วย

ข้าพเจ้าและภรรยาเป็นคนที่ไม่ค่อยจะสนใจไปหาพระเท่าใดนัก เพราะว่าทุกท่านคงทราบดี สมัยนี้พระดีๆ ที่น่าเชื่อถือและศรัทธานั้นย่อมหาได้ยากก็เลยทำให้ไม่ค่อยได้พบพระเท่าใดนัก เพียงแต่ว่าทำบุญตักบาตรในแต่ละวันที่หน้าบ้านหรือตามความสมัครใจไป เมื่อคิดจะทำก็เท่านั้นเอง

ปีพ.ศ. ๒๕๓๖ ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในหน่วยงานได้มีเพื่อนของข้าพเจ้ามาหา ปัจจุบันเพื่อนของข้าพเจ้าเป็นตำรวจพลร่มอยู่ที่ค่ายพระนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ชื่อว่า ดต.เรืองเดช ไชยสิงห์ ได้มาพูดกับข้าพเจ้าว่า

"เฮ้ย! ไอ้ยูร เอ็งเคยได้ยินพระที่มีชื่อว่า หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ไหม" ข้าพเจ้าได้ยินเพื่อนถามดังนั้นก็งง จึงได้ตอบเพื่อนว่าเคยได้ยิน ข้าพเจ้าจึงได้ถามเพื่อของข้าพเจ้าว่า รู้ได้อย่างไรว่าเป็น "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" เพื่อนของข้าพเจ้าจึงได้ร่ายยาวให้ข้าพเจ้าฟังว่า "หลวงพ่อพระอาทิตย์" ซึ่งเป็นพระองค์หนึ่งที่พำนัก อยู่ที่ถ้ำไก่หล่น มาประมาณเกือบ ๕ ปีแล้ว ได้บอกให้เพื่อนของข้าพเจ้าฟัง ซึ่งปัจจุบันหลวงพ่อพระอาทิตย์ได้มรณภาพไปแล้ว ณ วัดเขาลั่นทม อำเภอหัวหิน

เมื่อข้าพเจ้าทราบดังนั้นแล้ว ก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อเท่าใดนัก เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานข้าพเจ้าได้กลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่จังหวัดเพชรบุรีจึงได้เล่าเรื่องดังกล่าวนี้ให้น้องชายของข้าพเจ้ารับฟัง

เออ! ขอบอกนิดนึงว่าน้องชายของข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่ชอบฝักใฝ่ธรรมะ ชอบศึกษาค้นคว้าในเรื่องของธรรมะ พร้อมกันนั้นก็ได้ปฏิบัติธรรมด้วยตนเองมาเป็นเวลานาน เป็นคนที่ชอบศึกษาประวัติของพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างต่อเนื่องตลอดมา จึงได้ทราบเรื่องประวัติของหลวงปู่ได้เกือบโดยละเอียด และบอกให้ข้าพเจ้าลองไปสัมผัสดูและฟัง แล้วท่านจะนำเราไปในทางที่ดี มีกิจกรรมให้ร่วมกันจัดทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั้งสิ้น

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าใช้เวลาว่างขึ้นไปยังถ้ำไก่หล่น กับเพื่อนตำรวจพลร่มเกือบทุกวัน เพื่อจัดทำกิจกรรมพัฒนา

ขอเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เดิมทีปากถ้ำไก่หล่น มีศาลาเก่าแก่สร้างปิดทิศทางและปิดปากถ้ำไว้ ตลอดทั้งยังมีสิ่งกีดขวางทางเข้าออกถ้ำอีกด้วย สร้างความลำบากใจให้แก่ผู้ที่จะเข้าไปเที่ยวชมทัศนียภาพของถ้ำไก่หล่นเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อหลวงปู่ท่านได้มาพำนักหรืออาศัยอยู่ได้ไม่นาน ท่านก็ได้มีดำริกับ ดต.เรืองเดช ไชยสิงห์ เพื่อนของข้าพเจ้า ให้ช่วยจัดหาคนมาดำเนินการโยกย้ายศาลาปิดปากถ้ำออกไป เพื่อความสะดวกแก่นักทัศนาจรที่จะมาเที่ยวชมถ้ำในโอกาสต่อไป

ดต.เรืองเดช ได้มาชักชวนข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้ามีส่วนร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย เพราะเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นบุคคลที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงพอจะเรียกขานคนในละแวกบ้านนี้มาร่วมมือได้ พร้อมกันนั้นก็ได้พูดคุยถึงประวัติหลวงปู่กันพอสมควร และเข้าใจในเจตนารมณ์ของท่าน ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่ามันเป็นเรื่องเป็นราวที่น่าจะช่วยกันปฏิบัติหรือพัฒนา เพราะว่าเห็นเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมว่า ถ้ำไก่หล่นนั้นเป็นสาธารณสมบัติของคนทุกคน หากได้ช่วยกันรักษาไว้จะได้ชื่อว่าช่วยกันอนุรักษ์สรรพสิ่งแวดล้อมอันเป็นสมบัติของประเทศชาติที่มีคุณค่าไปในตัวอีกด้วย นับว่าพระเดชพระคุณเจ้า "หลวงปู่" ได้คิดและมองเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้เริ่มกิจกรรมโดยการพัฒนาถ้ำไก่หล่นให้เป็นรูปธรรมขึ้น

กิจกรรมโยกย้ายศาลาปากถ้ำไก่หล่น

ดังได้กล่าวมาแล้วตั้งแต่ต้นว่าศาลาที่ตั้งปิดปากถ้ำทำให้ถ้ำหมดความสวยงาม จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เกิดขึ้นจากคำดำริของพระเดชพระคุณเจ้าหลวงปู่ หลังจากเสร็จภารกิจจากหน้าที่ของตนแต่ละวันแล้ว ข้าพเจ้ากับเพื่อนจะขึ้นไปช่วยทำงานพัฒนาที่ถ้ำเกือบทุกวัน ซึ่งครั้งแรกๆ จะมีศิษย์แต่ละคนเข้ามาช่วย ต่างคนต่างมาโดยสืบทราบได้ไม่เหมือนกัน จะเห็นได้ว่าลูกศิษย์ที่ถ้ำไก่หล่นส่วนใหญ่จะมีความรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อนเพราะเป็นคนในเขตอำเภอเดียวกัน จะมีเขตและอำเภอจังหวัดใกล้เคียงบ้างก็เนื่องมาจากศิษย์ที่พบท่านครั้งแรกนำไปเล่าสู่กันฟัง จึงได้มาร่วมกันอีกทีหนึ่ง

ในแต่ละวันจะมีลูกศิษย์ที่มาช่วยกิจกรรมพัฒนาถ้ำนั้น เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ ได้แก่ ดต.เรืองเดช ไชยสิงห์, ดต.ประเดิมชัย อินทะสิน, ดต.สมชาย มีเนตรทิพย์, ดต.สมศักดิ์ สุขนาค ตำรวจภูธร อำเภอหัวหิน คุณบุญชูและพี่ไก่ร้านทอง วันเพ็ญ หัวหิน เป็นต้น บุคคลที่ได้กล่าวนามมานี้ล้วนเป็นบุคคลที่ได้ร่วมกันพัฒนา และปรับ สภาพแวดล้อมรอบๆ บริเวณถ้ำในระยะแรกๆ ให้สวยงามมาเท่าทุกวันนี้

จากดำริของหลวงปู่ที่ได้มีกิจกรรมให้ลูกศิษย์ได้จัดทำนั้นนับว่าเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่บรรดาลูกศิษย์ที่ถ้ำไก่หล่นได้เป็นอย่างดียิ่ง จะเห็นได้ว่าความมีน้ำหนึ่งใจเดียว กัน โดยมีองค์หลวงปู่เป็นที่เชื่อมโยงจิตใจ ทำให้ทุกกิจกรรมที่ถ้ำไก่หล่นประสบผลสำเร็จไปด้วยดี ถึงแม้จะมีกลุ่มบุคคลไม่มากก็ตาม

เหลือเชื่อแต่เป็นเรื่องจริง

ข้าเจ้าเป็นคนไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่ายๆ นัก ก่อนที่จะเชื่อต้องมีการพิสูจน์ให้ถ่องแท้เสียก่อน ประกอบกับข้าพเจ้าเป็นคนที่มีนิสัยช่างสังเกตอยู่หน่อยหนึ่ง จึงได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ จึงสามารถสรุปได้ว่า สิ่งที่เราสังเกตนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง ท่านลองพิจารณาดูว่าจริงหรือไม่ ต้องติดตามดู.....

ก่อนวันมาฆะบูชา ปีพ.ศ. ๒๕๓๖ หลวงปู่ได้มาพำนักอาศัย ณ ถ้ำไก่หล่น ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ หลวงปู่ได้ให้ลูกศิษย์ช่วยกันพัฒนาถ้ำไก่หล่นให้สวยงาม ลูกศิษย์ส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการตำรวจพลร่มค่ายนเรศวร หัวหิน จะมีทหารบ้างก็ไม่มาก หลังจัดทำกิจกรรมพัฒนาเสร็จแล้วต่างคนต่างก็จะรีบกลับบ้านเพราะวันรุ่งขึ้นจะต้องเตรียมตัวไปทำงาน คงเหลือแต่ข้าพเจ้ากับ ดต.เรืองเดช ไชยสิงห์ และเพื่อนๆ อีก ๒-๓ คนเท่านั้น ปรากฏว่าหลวงปู่ได้เรียกข้าพเจ้าและเพื่อนมาบอกว่า พรุ่งนี้จะมีคนนำพระพุทธรูปประทับยืนปางประทานพรมาถวายให้ประดิษฐานไว้ ณ ถ้ำไก่หล่น ท่านให้ช่วยจัดหาคนมานำพระพุทธรูปที่ได้นี้ขึ้นสู่ถ้ำด้วย (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในถ้ำ หลวงปู่ท่านได้ลงรักปิดทองอย่างสวยงามสำหรับไว้เป็นที่สักการะบูชาแก่พุทธศาสนิกชนที่พบเห็น ถ้าท่านมาเที่ยวถ้ำไก่หล่น ท่านจะได้พบกับพระพุทธรูปองค์นี้อย่างแน่นอน)

ในขณะที่ท่านบอกให้ช่วยพาคนมายกพระขึ้นถ้ำนั้นเพื่อนๆ และข้าพเจ้าได้เรียนท่านว่า เอ! ไว้เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ ได้ไหม! เพราะจะได้มีเวลา และส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการต้องอาศัยวันหยุด จึงจะได้อย่างเต็มที่ พระเดชพระคุณ "หลวงปู่" ท่านบอกว่าไม่เป็นไร พรุ่งนี้ท่านจะนำขึ้นเอง ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ต่างก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร เพราะตอนที่มีกำลังคนทำงานพัฒนาถ้ำอยู่ยังไม่ได้กลับ หลวงปู่ท่านไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ถ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นก็คงจะไม่เป็นปัญหา เพราะทุกคนที่มาทำงานนี้มีความยินดีร่วมใจกันอยู่แล้ว และเป็นการง่ายต่อการนัดแนะอีกด้วย แต่ท่านก็ไม่ได้บอกเล่าอะไร (ข้าพเจ้าคิดว่าเหมือนกับเป็นการลองใจเพื่อนๆ และข้าพเจ้าว่าจะมีความสามารถหรือไม่ หรืออีกประการหนึ่งท่านอาจจะทำอะไรสนุกๆ ให้พวกข้าพเจ้าได้เห็นแปลกๆ ก็เป็นได้ ข้าพเจ้าคิดเอาเอง) ปรากฏ ว่าเมื่อถึงเวลาที่ท่านกำหนดไว้ (จะโดยบังเอิญหรือเปล่าก็ไม่รู้ท่าน ผู้อ่านลองคิดดู) มีเถ้าแก่ตัดอ้อย ในหมู่บ้านหนองพลับได้พาคนงาน หยุดงานตัดอ้อยและพามาเที่ยวที่ถ้ำไก่หล่น ประมาณ ๓๐ คนเศษ ซึ่งตรงกับที่หลวงปู่ท่านต้องการคนช่วยยกพระขึ้นสู่ถ้ำอยู่พอดี ช่างเหมาะเจาะและเป็นเรื่องที่แปลก ซึ่งเพื่อนๆ และข้าพเจ้าก็ยังงงๆ อยู่ทั้งๆ ที่ท่านหลวงปู่ก็ให้พวกข้าพเจ้าไปทำที่ประดิษฐานพระไว้รอล่วงหน้าด้วย

ทุกอย่างเป็นไปตามที่ท่านได้พูดไว้ตั้งแต่แรก น่าพิศวงจริงๆ ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นได้ ช่างเหลือเชื่อแต่เป็นเรื่องจริง
ประยูร คงประเสริฐ
๒๘ มกราคม ๒๕๔๐

เพื่อนใหม่เพื่อชีวิต

ผมจำได้ว่าปลายปี พ.ศ.๒๕๓๗ ผมได้ปรารภต่อหน้าหลวงปู่ เชิงขอคำแนะนำเรื่อง "ปัญหายาเสพย์ติด" ในโรงเรียนซึ่งขณะนั้นผมเป็นครูหัวหน้าปกครองของโรงเรียนสามร้อยยอดวิทยาคม กิ่งอำเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ทางโรงเรียนได้รับหนังสือด่วนจากกระทรวงศึกษาธิการ แจ้งเรื่องปัญหายาเสพย์ติดให้โทษในโรงเรียน พร้อมได้กำหนดแนวทางปฏิบัติการกรณีที่พบนักเรียนติดสารเสพย์ติดให้โทษในโรงเรียน โดยไม่ให้ไล่นักเรียนออก แต่จะอนุญาตให้หยุดพักการเรียนไปรับการบำบัดรักษาได้โดยให้ผู้ปกครองและโรงเรียนประสานงานโดยตรง กับสถานบำบัด ให้โรงเรียนระลึกเสมอว่านักเรียนที่ติดสารเสพย์ติดไม่ใช่อาชญากร แต่เป็นคนไข้ที่ต้องการความช่วยเหลือในการบำบัดรักษาให้พ้นทุกข์ทรมานจากพิษภัยของสารเสพย์ติดให้โทษ

เมื่อองค์หลวงปู่ได้รับทราบปัญหานี้ ทีท่าของท่านกระตือรือร้น ดวงตาของท่านฉายแววมุ่งมั่นประหนึ่งเป็นงานที่ท้าทาย (ไม่มีงานอะไรที่หลวงปู่ทำไม่ได้ และทำได้ดีเสียยิ่งกว่า...) ท่านขยายผลทันที จัดตั้งโครงการ "เพื่อนใหม่เพื่อชีวิต ต้านภัยยาเสพย์ติด" ให้ผมนำเด็กติดสารเสพย์ติดมาเข้ารับการอบรมบำบัดรักษา

สำหรับผมเริ่มส่อแววทุกข์ วิตกกังวล มองไม่เห็นทางที่จะทำได้เลย ผมจำไม่ได้ว่าได้ตอบชี้แจงหลวงปู่ไปอย่างไรบ้าง แต่สรุปว่าทำไม่ได้หรอกครับ มันเรื่องใหญ่ ปัญหามากมายทั้งเด็ก ผู้ปกครอง ผู้อำนวยการโรงเรียน และปัญหาผลกระทบอื่นๆอีกมากมาย หลวงปู่พูดเชิงแซวเชิงเยาะเย้ย เสมือนหนึ่งให้ผมเกิดความมานะ

"มึงรับสารภาพมาเถอะว่ามึงไม่มีปัญญา"

"ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมกลัวหลายๆ ฝ่ายจะไม่ให้การสนับสนุน ไม่เห็นด้วย เพราะยาเสพย์ติดยังเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ น่าละอายสำหรับความรู้สึกของคนทั่วไป"

"มึงบอกมาเถอะน่า ว่ามึงไม่มีน้ำยา" ท่านพูดไปหัวเราะไป

"ผมกลับไปบ้านนั่งคิด นอนคิด จะทำอย่างไร เริ่มต้นตรงไหนแต่มั่นใจในครูบาอาจารย์ ซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักที่แกร่งดุจหินผา ที่เราสามารถพึ่งพิงอิงแอบได้อย่างมั่นใจและมั่นคง

ผมเริ่มควานหาเด็กที่ติดสารเสพย์ติดในโรงเรียน โดยอาศัยความเป็นกันเองกับเด็ก เห็นคนไหนหน้าตาซีดเซียวสายตาเหม่อเลื่อนลอยไม่สนใจการเรียน ขบกราม เคี้ยวหมากฝรั่ง เข้าข่ายน่าสงสัย ผมจะเข้าไปพูดคุย ถามปัญหาสารทุกข์สุกดิบ ทำตัวเสมือน เพื่อนพี่หรือญาติของพวกเขา เมื่อล้วงความลับได้จากคนหนึ่ง คนที่สอง สาม ก็จะขยายผลออกมาเรื่อยๆ จากกลุ่มพรรคพวกหัวอก เดียวกัน ก็สามารถรวบรวมสมาชิก (ขี้ยา) ได้ทั้งหมด ๑๘ คน เต็มใจ บ้าง ถูกบังคับบ้าง ผู้ปกครองบางคนเมื่อผมไปแจ้งเรื่องจะนำเด็กเข้ารับการอบรมบำบัดรักษายาเสพย์ติด เขาไม่ยอมเชื่อ แถมยังแสดงอาการไม่พอใจ หาว่าผมใส่ร้ายลูกหลานของพวกเขา ผมต้องให้เพื่อนๆ สมาชิกด้วยกันบอกจึงยอมเสียงอ่อยลงนามอนุญาตให้เข้าร่วมโครงการได้ เป็นอันว่าผมทำงานสำเร็จไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว คือมีเด็กเข้ารับการอบรม

สำหรับการปฏิบัติงานในฐานะครูหัวหน้าปกครองของผม นับว่าเป็นความมีโชคของกระผมอย่างยิ่งคือ ท่านผู้อำนวยการ ทองคำ สร้อยทอง (ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผอ.โรงเรียนหัวหิน) ท่านเป็น ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีหลักการและเหตุผล ท่านไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงของสถาบันมากกว่าชีวิตและอนาคตของลูกศิษย์ ผู้อำนวยการของผมถูกมองจากผู้บริหารโรงเรียนหลายๆ แห่งว่า ทำในสิ่งที่ผิด น่าอายขายหน้าประจานโรงเรียนตนเอง คนอื่นเขาพยายามปกปิดสิ่งที่ไม่ดีงาม นี่กลับเอามาเปิดเผย ซึ่งองค์หลวงปู่ท่านเหมือนรู้ว่าอะไรจะเกิดตามมา ท่านสั่งให้ทำโล่ประกาศเกียรติคุณมอบให้ท่านผู้อำนวยการ ทองคำ สร้อยทอง ในโล่เขียนคำประกาศเกียรติคุณว่า เป็นผู้กล้า วิริยะ อุตสาหะ มีธรรมะในการพัฒนาเยาวชน เพื่อให้เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ

ผลที่ตามมาโรงเรียนสามร้อยยอดวิทยาคม ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดรณรงค์ต่อต้านภัยยาเสพติดระดับจังหวัด ได้รับโล่พร้อมเงินรางวัล สำหรับผมได้รับเกียรติบัตรในฐานะครูผู้จัดกิจกรรมดีเด่นระดับจังหวัด หลังจากนั้นผมถูกรับเชิญจากหลายๆ หน่วยงาน อาทิ สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ กองพลบินที่ ๔ กองบิน ๕๓ ประจวบคีรีขันธ์ เป็นวิทยากรแกนนำต่อต้านยาเสพย์ติด ของสามัญศึกษา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ฯลฯ ให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องยาเสพย์ติด เล่าถึงประสบการณ์และงานที่ได้ทำ พร้อมนำเด็กซึ่งผ่านการอบรมบำบัดรักษาไปให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวของตน แต่ละคนกระหยิ่มยิ้มย่อง ภูมิอกภูมิใจเสมือนเป็นวีรบุรุษผู้ผ่านสมรภูมิเลือดก็ไม่ปาน(ประสาเด็กๆ)

หลักสูตร เนื้อหา ระยะเวลาการอบรมองค์หลวงปู่เป็นผู้คิดเองทั้งหมด ท่านให้โอกาสพวกเราระดมความคิดแบ่งเป็นกลุ่ม มีฝ่ายทหารจากค่ายธนรัชต์ ปราณบุรี ตำรวจพลร่ม จากค่ายนเรศวร หัวหิน ครูอาจารย์ จากสถาบันราชภัฏเพชรบุรี และโรงเรียนสังกัด สปช. และสุดท้ายคือฝ่ายพระสงฆ์ มีองค์หลวงปู่เป็นผู้จัดประชุมระดมความคิด จัดหลักสูตรเนื้อหาของแต่ละฝ่าย นำเสนอองค์หลวงปู่ ปรากฏว่าไม่ค่อยเข้าท่า เนื้อหาวิชาที่กำหนดขึ้นดูดี (สร้างภาพพจน์) แต่บางอย่างทำไม่ได้ ผลสรุปหลักสูตรวางกรอบไว้กว้างๆ ต้องคอยปรับเปลี่ยนตลอดเวลาตามพฤติกรรมของเด็ก องค์หลวงปู่จะคอยติดตาม ดูแล กำกับ ควบคุม ทั้งเด็กและครูฝึก ท่านต้องคอยเรียกคณะวิทยากรมาชี้แนะให้คำปรึกษา บางครั้งเรียกนักเรียนมาพบเป็นรายบุคคล จนพี่ๆทหารครูฝึกค่ายธนรัชต์บอกว่า ฝึกทหารเป็นกองพัน ไม่ยากเย็นเท่าฝึกเด็กๆ พวกนี้ ๑๘ คนเลย ทำโทษก็ไม่ได้ แถมยังต้องเอาอกเอาใจตลอด เรียกว่า ฝึกกันแบบประคบประหงมว่างั้นเถอะ

การอบรมแบ่งเป็น ๔ ช่วง ช่วงละประมาณสัปดาห์เศษ ช่วงแรก มีเป้าหมายเพื่อให้รู้จักระเบียบวินัยในตนเอง การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ความเชื่อมั่น และการพึ่งตนเอง โดยคณะวิทยากรทหารจากหน่วย จู่โจมค่ายธนรัชต์ ๔-๕ วันแรกในค่ายธนรัชต์ คณะครูฝึกรู้สึกท้อแท้ รวมทั้งพวกเราผู้ติดตามและคณะแม่ครัว เด็กๆ มีพฤติกรรมต่อต้าน ไม่ยอมรับไม่สนใจ คือ บางคนแกล้งป่วย ขอนอนพักในเต็นท์อย่างดื้อๆ มองหน้าผมอย่างจะกินเลือดกินเนื้อในฐานะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตพวกเขาจนเกินไป เอาพวกเขาทรมานกักขังหน่วงเหนี่ยว ไม่มีอิสระเสรี (สูบบุหรี่ก็ไม่ได้) จนกระทั่งองค์หลวงปู่ออกปากว่า

"อ้ายชาติ มึงอยู่ห่างๆลูกศิษย์หน่อยนะ กูไม่รับรองความปลอดภัยนะโว้ย"

ความเป็นมิตรระหว่างศิษย์กับครูไม่มีเหลือ ฝึกอยู่ในค่ายธนรัชต์ได้ระยะหนึ่ง เนื้อหาวิธีการส่วนใหญ่เป็นการฝึกความมีวินัย ระเบียบ แถว ความรักความสามัคคี การดำรงชีพในป่า และเน้นกิจกรรมนันทนาการ ดนตรี และกีฬา ซึ่งองค์หลวงปู่ตั้งชื่อให้อย่างเพราะพริ้งว่า "ดนตรีบำบัดและกีฬาบำบัด" แต่เสียงดนตรีบางครั้งเกือบทำให้เสียรูปขบวน เรื่องมีอยู่ว่า ในช่วงที่สองได้ย้ายสถานที่ฝึกจากค่ายธนรัชต์ ไปฝึก ณ สนามฝึกถ้ำไก่หล่น อาจารย์มณีรัตน์ ไกรพิบูลย์ จากสถาบันราชภัฏเพชรบุรีซึ่งเป็นขวัญใจของพวกเด็กๆ อาจารย์จะรักและโอ๋ลูกศิษย์มาก เด็กๆ อยากฟังเทป ชื่อว่า "ทีของ เสือ" อาจารย์สั่งคนไปซื้อจากตลาดหัวหินตามคำเรียกร้อง ปรากฏว่าเสียงเพลงจากเทปชุดนี้ดังกระหึ่ม เด็กๆ เริงร่าออกลาย (เก่าๆ) บางคนอยากกลับบ้าน องค์หลวงปู่ซึ่งเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเด็กๆ อยู่ทุกฝีก้าว ออกคำสั่งเก็บเทปเพลง และเพลงจะร้องได้ก็เฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับป่าเขาลำเนาไพร (ป่าดงพงพี) หรือไม่ก็เพลงค่าน้ำนมเท่านั้น (เกือบมั้ยล่ะ)

เมื่อย้ายสถานที่ฝึกจากในค่ายธนรัชต์ไปเกาะสิงโต ซึ่งอยู่กลางทะเลห่างจากสวนสนประดิพัทธ์ประมาณ ๓ กม. เมื่อคณะครูฝึกเรียกแถวเตรียมนำพล (๑๘ คน) ลงเรือยางข้ามฟาก (เรือยางของทหารนั่งได้ ๑๐-๑๕ คน) ปรากฏว่าเด็กหายไป ๒ คน ผมกับภรรยาและพวกพี่ๆ ทหาร ช่วยกันออกติดตามสกัดทุกจุดที่คิดว่าเป็นช่องทางทะลุผ่านถนนเพชรเกษมได้ (ทราบทีหลังว่าเด็กหนีเข้าป่าลัดเลาะชายทะเลไปตามชายหาดสวนสน) ผมตามไปที่บ้านของเด็กทั้งสอง ผู้ปกครองบอกว่าเด็กไม่ได้กลับบ้าน จิตใจผมเริ่มสับสนเหนื่อยอ่อน ถ้าลูกเขาเป็นอะไรไปจะทำอย่างไร เราหนีไม่พ้นความรับผิดชอบ ถึงแม้องค์หลวงปู่จะคิดการณ์รอบคอบ โดยในใบสมัครให้ผู้ปกครองเซ็นอนุญาต ได้มีเงื่อนไขระบุไว้ว่า ถ้าหากเด็กในปกครองของข้าพเจ้าเป็นอันตรายอันอาจถึงแก่ชีวิต ก็จะไม่เอาความผิดกับคณะผู้ดำเนินการฝึกอบรม แต่นี่เด็กไม่ตาย เด็กหายไป จะทำหรือแก้อย่างไรดี

ขณะขับรถกลับจากบ้านเด็กทั้งสอง สมองคิดสับสนวุ่นวาย จากสามร้อยยอดเกือบถึงทางโค้งเข้าตลาดปราณบุรี พลันเหลือบเห็นเด็กทั้งสองคน ขับรถจักรยานเก่าๆ มุ่งหน้ากลับบ้านสามร้อยยอด ผมบีบแตรโบกมือให้หยุด เด็กทั้งสองตกใจหน้าซีด แต่สักพักหนึ่งตั้งสติได้ แสดงอาการไม่หวั่นไหว หนึ่งในสองคนบอกกับผมว่า ผมขอออกจากโรงเรียนนี้ไปเรียนที่อื่น ผมยืนงงต่อคำพูดตัดบทของลูกศิษย์ ตั้งสติได้พูดโพล่งออกไปว่า "เออดี เชิญเลย" ในที่สุดทั้งสองก็ย้ายโรงเรียน

ช่วงที่อยู่เกาะสิงโต (เหลือ ๑๖ คน) ไม่ต้องกลัวว่าใครจะหนี เพราะน้ำทะเลล้อมรอบ ฝึกกายบริหาร เล่นกีฬา ส่วนใหญ่จัดกิจกรรมในน้ำ โปโลน้ำ พายเรือรอบๆ เกาะ ตกกลางคืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศฟลอร์ดิสโก้เธค มีเสียงเพลงมีดวงไฟสว่างไสว น่าดื่ม น่าดิ้น (เต้นรำ) คณะพี่ๆ ครูฝึกไม่ได้ห้ามหรอกนะ อยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่เหมือนไกลสุดขอบฟ้า เพราะมันเป็นเสียงเพลงและไฟราวจากเรือประมงรายล้อมเกาะ มาทอดสมอจับปลาหมึกในเวลากลางคืน มองดูเพลินน่าสนุก เช้าตรู่พี่ๆ ทหารจะพายเรือไปขอซื้อปลาหมึกจากชาวประมง ปลาหมึกสดๆลำตัวฉายแสงเป็นประกายระริก แถมราคาถูก หลวงปู่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วจับปลาหมึกปล่อยลงน้ำทีละตัวๆ มันรีบว่ายแอบตามซอกหินมองดูน่าสงสาร (ลึกๆ ผมนึกเสียดาย) ผมรีบพากระป๋องปลาหมึกหนี หาเศษไม้ก่อกองไฟชายหาดเสียบหมึกย่าง ช่างวิเศษสุด อยู่บนเกาะครั้งละ๒-๓ วัน พวกพี่ๆ ทหารจะรับพวกเด็กๆ ขึ้นฝั่งไปอาบน้ำชำระร่างกายเสียทีหนึ่งแล้วนำสู่เกาะ คณะแม่ครัวจะปรุงอาหารอยู่บน ฝั่งตรงข้าม (ห่าง ๓ กม.) ส่งเสบียงวันละ ๓ เวลา ทุกคนทุกหน้าที่ ต้องยอมรับว่าเหนื่อย และไม่ได้อะไรตอบแทนเลยนอกจากความภาคภูมิใจในการทำงาน และรับหน้าที่ด้วยความร่วมมือร่วมใจและเสียสละ

ช่วงที่สอง ย้ายสถานที่ไปฝึก ณ สนามฝึกอบรมพิเศษ ค่าย ตำรวจพลร่ม ป่าละอู ตำบลห้วยสัตว์ใหญ่ คณะวิทยากรจากกอง กำกับการสนับสนุนทางอากาศ ตำรวจตระเวนชายแดน เป้าหมายเพื่อรู้เรื่องกฎหมายและโทษเกี่ยวกับยาเสพย์ติด เริ่มกิจกรรมแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล ตะกร้อ ระหว่างกลุ่มหรือกับคณะวิทยากรรวมถึงแม่ครัว ระยะนี้พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไปเป็นสนุกสนาน เป็นมิตร เปิดใจ เป็นครอบครัวใหญ่ที่แสนจะอบอุ่น เรื่องนี้ต้องขอยกย่องเชิดชูองค์หลวงปู่อีกตามเคย "เพื่อนใหม่เพื่อชีวิต" ทุกๆ คนเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นญาติ ผู้สนิทสนมกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจนเด็กๆ ไม่อยากกลับบ้าน(เป็นไปได้นิ)

 

หมายเลขบันทึก: 59183เขียนเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2006 12:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 01:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ช่วงที่สาม เป้าหมายเพื่อให้เกิดเจตคติในการดำรงชีพอย่างสงบสุข เข้าใจในสภาพปัญหาครอบครัว สังคม มีสุขอนามัยที่ดี เข้าใจสภาพแวดล้อมและชีวิต คณะวิทยากรจากสถาบันราชภัฏเพชรบุรี เจ้าหน้าที่จากหน่วย "ป้องกันและปรามปรามยาเสพย์ติด" (ปปส.) และคณะพี่ๆ ตำรวจพลร่มเป็นพี่เลี้ยงตลอดการอบรม บรรยากาศช่วงนี้ครื้นเครง เสียงหัวร่อต่อกระซิกนำมาซึ่งความสนุกสนานเบิกบาน แช่มชื่น อบอุ่น และผูกพัน ช่วงนี้หลวงปู่ให้อบสมุนไพรด้วยตัวยาหอมสดชื่น ปิดห้อง ร้องเพลง อบไอน้ำ เมื่อพวกเด็กๆ ออกจากห้องอบ คณะแม่ครัวไม่รอช้าอบต่อทันที (อยากสวยและหุ่นงามกับเขาบ้าง)

ช่วงสุดท้าย เป้าหมายเพื่อให้นักเรียนได้มีหลักการดำเนินชีวิตสู่หนทางวิญญาณอันประเสริฐ คณะวิทยากร คือ คณะพระสงฆ์ จากวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม สถานที่ฝึก ณ อารามธรรมอิสระ วัดอ้อน้อย ผู้เข้ารับการอบรมจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดขาว หลวงปู่ให้แขวนลูกประคำคนละเส้น ทราบข่าวจากพวกพี่ๆ ตำรวจที่พาไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ว่า พวกเด็กๆ เขินอาย อยากกลับวัดเร็วๆ เมื่อบวชพราหมณ์เพื่อชำระจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์ได้ประมาณ ๗ วัน ก็เดินทางกลับสู่ถ้ำไก่หล่น อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทำพิธีปิดและส่งมอบให้โรงเรียน พร้อมมีสมุดบันทึกพฤติกรรมประจำตัวของแต่ละคน ตั้งแต่เริ่มอบรมจนเสร็จสิ้น มอบให้เป็นข้อมูลสำหรับโรงเรียนและครูปกครองเพื่อติดตามเด็กต่อไป

ก่อนพิธีปิด หลวงปู่ได้จัดทำพิธีหุงน้ำมันมนต์ อันเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ เป็นการสร้างพลังจิตยึดเหนี่ยวที่เข้มแข็ง ปกติหลวงปู่จะกวนยาหม่อง หุงน้ำมันมนต์ แจกจ่ายให้ลูกหลานเสมอ เมื่อมีงานเทศกาลต่างๆ เช่น วันวิสาขบูชา วันออกพรรษา โดยนำเอาสมุนไพรหลายๆ ชนิด เท่าที่จำได้ว่ามีว่านหางจระเข้ ข่า ขมิ้น ผิวมะกรูด ดีปลี เปลือกมังคุดแห้ง ใบส้มป่อย การบูน และอีกหลายๆ อย่างจำไม่ค่อยได้ ภรรยาของผมเห็นว่าน้ำมันมนต์ของหลวงปู่มีสรรพคุณในการรักษาโรคได้สารพัด โดยเฉพาะแก้เคล็ดขัดยอก ปวดเมื่อย จึงขอจดสูตรตัวยาไว้บ้าง เผื่อหลวงปู่ไม่อยู่จะได้ทำไว้ใช้เอง หลวงปู่แซวผมว่า

"อ้ายชาติ เมียมึงจะเป็นเกจิ" ผมจึงได้รู้ว่า ถึงจะรู้จักตัวยา ส่วนผสมทุกชนิด ก็ไม่สามารถทำได้ ลืมนึกไปว่าเวลาหลวงปู่ทำน้ำมนต์หรือหุงยาหม่อง ต้องมีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย รอหลวงปู่ทำแจกดีกว่า การทำพิธีหุงน้ำมันมนต์ ต้องมีพิธีกรรมหลายขั้นตอน ตั้งแต่การจัดสถานที่ปะรำพิธี รั้วราชวัตรฉัตรธง โยงสายสิญจน์ การเตรียมการเรื่องนี้ ต้องยกให้พี่เดชกับพี่ดำ แห่งค่ายนเรศวรและค่ายธนรัชต์ เป็นผู้ชำนาญการไปแล้ว

ขั้นตอนการหุงน้ำมันมนต์ ในสายตาของพวกเราเป็นดังนี้ (ขั้นตอนของหลวงปู่ มีพิธีกรรมมากมาย เริ่มตั้งแต่ท่านนั่งกราบ พระประธาน ทำสมาธิ..........) ติดเตาถ่านขนาดใหญ่ ตั้งกะทะทองเหลืองบนเตา เปลวไฟลุกท่วม หลวงปู่ใช้มือจับใบพลูสดๆเช็ดก้นกะทะได้ยินเสียงดังฉ่า ไอร้อนพวยพุ่งจากก้นกะทะ ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ซึ่งแต่งกายชุดขาวคล้ายพราหมณ์ จะเตรียมตัวยาสมุนไพรต่างๆ ส่งให้หลวงปู่ทยอยใส่กะทะลงไปกวนในน้ำมันมะพร้าว ซึ่งกำลังเดือดปุดๆ ด้วยมือของท่านเอง

เมื่อหลวงปู่กวนน้ำมันด้วยมือของท่านได้สักพักหนึ่งก็หันมาพูด กับเด็กนักเรียนว่า ใครมั่นใจว่าตนสามารถลดละเลิกยาเสพย์ติดได้ ก็ให้ขึ้นมายืนใกล้ๆ และพร้อมจะจับมือประสานกับมือของหลวงปู่ จุ่มลงกะทะซึ่งกำลังเดือด เด็กบางคนมั่นใจก้าวฉับๆ ขึ้นไปบนปะรำพิธี ยอมให้หลวงปู่จับมือจุ่มลงกะทะ เหลืออีก ๔ คนไม่ยอมขึ้น ผมเริ่มเดินกระสับกระส่าย มุดหลืบหินซอกหินภายในถ้ำ ก็แต่ละคนก่อนทำพิธียืนรายล้อมภายในสายสิญจน์ใกล้ๆ หลวงปู่ ดูท่าทางมั่นใจเกินร้อย สายตามุ่งมั่นไม่หวั่นไหว แล้วเวลานี้เกิดอะไรขึ้น กลัวมือพอง? (ก็คนอื่นเขาไม่เป็นอะไรนี่) หรือไม่กล้า เพราะไม่แน่ใจว่าจะเลิกยาเสพย์ติดได้ กลัวผิดคำสาบาน อาจารย์บุญล้อมจากสถาบันราชภัฏเพชรบุรี เข้าไปปลอบให้กำลังใจ ก็เฉย ไม่มีใครขยับเขยื้อน ผมตัดสินใจเข้าไปพูดอยู่ครู่หนึ่ง จำได้คำสุดท้ายว่า เธอไม่รักครูหรือได้ผลอีก ๓ คนเดินตามกันไป ยังเหลืออีก ๑ คน ซึ่งคนนี้แหละฤทธิ์เดชมาก (ทราบข่าวว่าเป็นลูกคนเล็กของพ่อแม่ พ่อแม่ตามใจ ขณะฝึกแกล้งป่วยนอนพักเป็นประจำ อะไรไม่ได้ดั่งใจ ก็จะกรีดมือกรีดแขนตัวเอง) ผมต้องใช้ความพยายามยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ในที่สุดยอมประสานมือกับหลวงปู่เป็นคนสุดท้าย น้ำตาแห่งความปลื้มปีติหลั่งมาจากใจของผม มันเป็นคุณค่าอย่างอเนกอนันต์ที่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของศิษย์รักทั้งหมดได้ และน้ำตาแห่งความตื่นตันยินดีเช่นนี้ ได้พร่างพรูออกจากดวงตาอีกหลายๆ คู่ภายในถ้ำ เป็นภาพที่อิ่มเอิบตื้นตันสุดแสนที่จะบรรยาย

นั่นคือพระคุณของหลวงปู่ที่ท่านมีวิธีการให้กำลังใจ ดึงพลังจิตและพลังงานของทุกคนมาสู่ศูนย์รวมแห่งผลสำเร็จเสมอ
สุชาติ ปรีดิ์เปรม
มกราคม ๒๕๔๐

บ้านหลังที่สอง

โอกาสแรกนี้ผมขอนำให้ท่านได้รู้จักและสัมผัส ถ้ำไก่หล่น โดยหลวงปู่ได้จัดเป็น "อุทยานศาสนาและการศึกษา" อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของหมู่บ้านหนองกระทุ่ม หมู่ที่ ๖ ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งนับว่าเป็นแดนเกิดแห่งธรรมะมาหลายยุคหลายสมัย และเสมือนบ้านหลังที่สองของคณะชมรมธรรมะอิสระ

พื้นที่รอบบริเวณมีทิวทัศน์สวยงาม หลวงปู่เล่าให้ลูกหลานฟังอยู่เสมอว่า ถ้ำไก่หล่น นับเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลกที่มีอานุภาพ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจากธรรมชาติ เป็นจุดศูนย์รวม และครบองค์ประกอบทั้งห้า กล่าวคือ มีภูเขา มีถ้ำ มีป่า ที่ยังคงความ สมบูรณ์ให้สัตว์ป่าได้พึ่งพิงอาศัย มีอากาศถ่ายเทบริสุทธิ์ และมีแหล่งน้ำจากธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้กระมังหลวงปู่จึงได้หวนกลับไปถ้ำไก่หล่น (หลังจากที่เคยไปพำนักปฏิบัติธรรมมาแล้วในอดีต) เพื่ออาศัยพลังแฝงสร้างพระสมเด็จปรกโพธิ์ พระบูชาอื่นๆ รวมทั้งหุงยาหม่อง น้ำมันมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีสำคัญๆ ทางศาสนาอีกหลายครั้งหลายครา

จากนี้ไปคงเป็นเรื่องสัพเพเหระ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ไม่มุ่งเน้นในเรื่องหลักการหรือเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยเฉพาะ ทั้งนี้เพื่อความ สะดวกคล่องตัวของผู้เขียน และความเพลิดเพลินของท่านผู้อ่าน ผมขอลำดับภาพเหตุการณ์ความเหมาะสมเท่าที่จำได้เล่าสู่ให้ท่านฟัง ขอเชิญตามอัธยาศัยครับผม

แรกพบ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ผม เพื่อนๆ พร้อมครอบครัว ได้พร้อมใจกันนำอาหารคาว-หวาน สิ่งของเครื่องสังฆทานไปร่วมทำบุญที่ถ้ำไก่หล่น โดยนิมนต์พระ ๗ รูป ลงมาฉันเพลข้างล่าง จากนั้นได้พากันขึ้นเที่ยวชมความงดงามบนถ้ำ พบพระหนุ่มรูปงามองค์หนึ่ง (ท่านไม่ได้ลงไปฉันเพล) กำลังปัดกวาดทำความสะอาดรอบบริเวณ คุณบัวเรียนเห็นสบโอกาสจึงเดินเข้าไปทักทายพร้อมยกมือไหว้ คำสนทนาระหว่างคุณบัวเรียนกับพระหนุ่มรูปงามองค์นั้น ผมจำได้แม่นยำแม้เวลาจะเนิ่นนานมาถึง ๔ ปีแล้วก็ตาม

"หลวงพี่ครับ ผมอยากจะนั่งวิปัสสนา ทำยังไงครับ ฝึกยากไหม และต้องใช้เวลานานไหมครับ"

จบคำถามประโยคแรกและเป็นประโยคเดียวของคุณบัวเรียน หลวงพี่จ้องหน้าแล้วรีบตอบทันทีเสมือนหนึ่งเกรงว่าผู้รอคอยคำตอบจะเสียเวลา

"น้ำหน้าอย่างมึงน่ะเหรอจะนั่งวิปัสสนา ตัวมึงเองยังจะเอาตัวไม่รอด มึงทำหน้าที่ที่มึงได้รับมอบหมายจากทางราชการ และเรื่องงานในครอบครัวให้สมบูรณ์ดีที่สุดก่อนเถอะ แล้วมึงค่อยมาคิดเรื่องวิปัสสนา"

พูดเสร็จหลวงพี่ก็เดินจากไป ผมและคุณบัวเรียนยืนตัวชา มองหน้ากันในลักษณะอาการเหมือนคนใบ้กินอยู่เป็นเวลานาน ผมนึกตำหนิอยู่ในใจ อะไรวะหน้าตาก็ดูออกจะเป็นเณรน้อยด้วยซ้ำ ทำไมถึงได้พูดจาไพเราะเสนาะหูอะไรปานนั้น สำหรับคุณบัวเรียนอาการน่าเป็นห่วงครับ สาหัสกว่าผมหลายเท่าตัว แกพูดเหมือนคนละเมอ...แผ่วเบา ไร้เรี่ยวแรง "พระผีบ้าอะไรวะ ไอ้หะ...! ถามดีๆ เสือกด่า" (ต้องกราบขอโทษหลวงปู่ต่อข้อเขียนประโยคที่ผ่านมา ซึ่งกระผมมิได้มีเจตนาลบหลู่ล่วงเกินแม้แต่น้อย หากแต่เขียนจากประสบการณ์จริงๆ ในครั้งนั้น)

เย็นวันนั้นก่อนลงจากถ้ำ ผมเที่ยวเดินตระเวนหาพระหนุ่มรูปงามองค์นั้น เพื่อจะได้จดจำภาพลักษณ์เป็นข้อมูลพิจารณาประกอบเหตุและผล สรุปประโยคพูดที่ยังคลางแคลงใจอยู่ แต่จนแล้วจนรอดผมตามหาไม่เจอ ต้องลงจากถ้ำไปด้วยความผิดหวัง ขณะเดินทางกลับบ้าน (หัวหิน) ผมครุ่นคิดตลอดทาง พระท่านรู้ได้ ยังไงว่าคุณบัวเรียนเป็นคนไม่เอาไหน สรุปแล้วคือท่านคิดและพูดถูกครับ เพราะก่อนนี้คุณบัวเรียนก็ประเภทหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร อยู่แล้วเรื่องนักเลงสุรา ถึงไหนถึงกัน บ้านช่องไม่สน แต่ปัจจุบันตรงกันข้าม ไม่เคยแตะต้อง เจอเพื่อนๆ ตั้งวงสุราที่ไหน หลีกห่างไกลเป็นไมล์ทะเลเลยละครับ รึว่าเตรียมตัวเตรียมใจฝึกนั่งวิปัสสนา เพื่อเอาชนะคำสบประมาทของหลวงพี่ในครั้งนั้น

วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ผมชวนภรรยาขึ้นไปทำบุญที่ถ้ำไก่หล่น อีกครั้ง พบคุณเรืองเดชกับพระหนุ่มรูปงามองค์นั้นกำลังสาละวนกับงานก่อสร้างศาลาที่พัก ผมเข้าไปไหว้พร้อมกล่าวคำ "สวัสดีครับ หลวงพี่" ท่านตอบว่า "เออ.. " ขณะเดียวกันคุณเรืองเดชกระซิบบอก ผมว่าให้เรียก"หลวงปู่" เอาเข้าให้อีกแล้ว ผมงงครับ ต้องรีบเดินหนี ไปตั้งหลักอีกหลายก้าว เพื่อค้นหาปริศนาที่ต้องเผชิญถึง ๒ ครั้ง สรุปแล้วคือสมองมึนงง แยกแยะอะไรไม่ออก ซ้ำยังหาคำตอบที่ดี ให้กับตัวเองไม่ได้เลย

งานพัฒนา ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ถึงตรงนี้แล้ว ผมกับภรรยาก็ไม่ได้ขึ้นถ้ำเฉพาะเพียงวันหยุดเสาร์อาทิตย์แล้วซีครับ ทุกวันเท่าที่โอกาสจะอำนวย จากสมาชิกที่มีอยู่เพียงไม่กี่คน เริ่มมีการพบปะสร้างความคุ้นเคยกันมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ครู พ่อค้า ประชาชน ต่างสมัครใจเข้าร่วมงานกันด้วยความรักความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นสุดยอดของกำลังที่ยิ่งใหญ่เหนือพลังทั้งปวง งานจะยากลำบากแค่ไหนเพียงใด หลวงปู่ไม่เคยชี้นิ้วสั่งแล้วรอผลงาน หากแต่เป็นผู้นำและทำร่วมกับลูกหลานทุกครั้งไป ลูกหลานทุกคนกราบยอมรับหลวงปู่เป็นผู้นำโดยแท้จริง เป็นผู้นำทั้งทางโลกทางวิญญาณ หลวงปู่เคยบอกว่า

"ปู่ไม่ต้องการผลงานมากมายนัก หากแต่ต้องการให้ลูกหลาน ได้รู้จักการเสียสละ ความสมัครสมานสามัคคี และมีอะไรดีๆ ติดตัวไว้เป็นทุนสำหรับชีวิตหลังความตาย"

ครับ หลังเสร็จสิ้นงานพัฒนาบนถ้ำไก่หล่นในแต่ละวัน ลูกหลานทุกคนจะใจจดจ่อ พร้อมเพรียงกันนั่งรออย่างเป็นระเบียบ เพื่อฟังหลวงปู่สอนธรรมะและเล่านิทานสมัยดึกดำบรรพ์อย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย หลายครั้งที่ไก่ป่าโก่งคอขันเตือนบอกเวลาใกล้รุ่ง หลวงปู่กับลูกหลานจึงเลิกรา เป็นอยู่เช่นนี้เสมอมา

เสร็จจากสร้างกุฏิให้หลวงปู่แล้ว พวกเราทุกคนก็หันมาจัดการกับก้อนหินน้อยใหญ่ที่วางระเกะระกะไม่เป็นระเบียบบริเวณปากทางเข้าถ้ำ สร้างแหล่งกักเก็บน้ำฝน เพื่อยังความชุ่มชื้นให้กับแมกไม้น้อยใหญ่บริเวณสันเขาและตลอดแนวชายเขา ชมทิวทัศน์รอบๆ บริเวณถ้ำ สร้างเจดีย์เบญจมหาโพธิสัตว์และท้าวจตุโลกบาล ไว้ให้ลูกหลานได้บูชากราบไหว้ เพื่อความร่มเย็นเป็นสิริมงคล และ ด้วยความเมตตาที่เอื้ออาทรต่อคนชรา รวมทั้งเด็กเล็กที่ประสงค์จะขึ้นไปร่วมกิจกรรมประเพณี พิธีสำคัญๆ ต่างๆ ทางพุทธศาสนาบนถ้ำ หลวงปู่ก็ได้จัดสร้างบันไดทางขึ้นลงใหม่ที่สะดวกกว่าเดิมไว้ให้อีก ทั้งนี้โดยอาศัยลัดเลาะไปตามพื้นที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการทำลายธรรมชาติ

งานพัฒนาตกแต่งเขียนคิ้วทาปากบนถ้ำเสร็จแล้ว แต่หน้าที่ของเรายังไม่จบ ปู่เป็นผู้ให้พระธรรมคำสอน เราเป็นผู้ปฏิบัติตามและสนองตอบ (ปู่ให้ธรรม เรามีหน้าที่ทำ) ปู่สอนลูกหลานอยู่เสมอว่า ธรรมะก็คือธรรมชาติและการทำงาน ส่วนงานที่ทำจะบังเกิดผลเอื้อประโยชน์สูงสุดแก่เราก็ต่อเมื่อเรารู้จักเสียสละ แบ่งปัน อุทิศตน ทำงานเพื่อสังคม โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทนใดๆ

งานพัฒนาข้างล่างนอกจากสร้างศาลาโรงครัว ศาลาอเนกประสงค์ ห้องน้ำ ห้องส้วม ซ่อมอ่างกักเก็บน้ำฝน จัดทำสวนหย่อมแล้ว ก็คืองานปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ ในพื้นที่เกือบ ๒๐๐ ไร่ เป็นการปลูกเสริมและทดแทนป่าเสื่อมโทรม คืนความชุ่มชื้นเขียวขจีให้กับธรรมชาติที่เราอนุรักษ์และหวงแหน

หลวงปู่บิน

"เฮ้ย...ไอ้เดิม ทำงาน"...เสียงหลวงปู่ออกคำสั่ง

"ครับ" ผมรีบขานรับ พร้อมทำท่าขยับตัว พอหลวงปู่หันกลับไปงัดก้อนหินต่อ ผมก็ยังยืนมองขอนไม้อยู่ที่เดิมนั่นแหละครับ ไม่ได้ขยับตัวไปไหน สักพักผมได้ยินเสียงบ่นตามมาอีก

"มันเป็นอะไรของมันวะ ไอ้ห่า...ยืนเซ่อไปแล้ว"

"ครับๆ" ผมขยับตัวเดินถอยหลังไป ๑ ก้าว ขณะสายตายังจับจ้องอยู่ที่ขอนไม้เล็กๆ กับโขดหินใหญ่สลับกันไปมา พร้อมนึกคาดคะเนตามประสาคนขี้สงสัย ก็คงจะอีหรอบเดียวกับฝรั่งขี้สงสัยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวแบบประหยัดๆ ในเมืองไทยล่ะครับ เจอสนามหญ้าเขียวขจี มีมะม่วงต้นใหญ่ แผ่ใบปกคลุมกันแดดและฝน แถมมีลูกดกห้อยโตงเตงๆ เมื่อโดนลมพัด แหม...บรรยากาศ ช่างสงบเงียบเหมาะแก่การพักผ่อนเสียเหลือเกิน โอเคสิครับ จะมัวชักช้าอยู่ทำไม รีบปลดเป้ออกจากบ่า หยิบผ้าเต็นท์สนามผืนเล็ก ออกปูนอนทันที พลันสายตาเหลือบไปเห็นมะม่วงพวงใหญ่เข้าพอดี

สมองฝรั่งของผมเริ่มไม่ว่าง มีการบ้านต้องขบคิดหนักเสียแล้วครับ นอนคิดเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย โทษพระเจ้าหาว่าสร้างโลกลำเอียงไปโน่น อะไรกันวะแตงโมเถานิดเดียว พระเจ้าอนุญาตให้ออกลูกได้ใหญ่โตเบ้อเร่อเบ้อร่า ผิดกับต้นมะม่วงที่ทั้งสูงใหญ่ ไหง กลับให้ลูกเล็กนิดเดียว

กำลังคิดการบ้านอยู่เพลินๆ ลมเจ้ากรรมพัดกรรโชกมาอย่างแรง มะม่วงพวงใหญ่แกว่งไกวไร้ที่ยึดเหนี่ยว มันจะไปเหลืออะไร ก็ขาดหลุดลงมาทั้งพวงซีครับ คงเป็นพระเจ้าอีกนั่นแหละที่อนุญาต ให้มะม่วงใหญ่พวงนั้น ลอยละลิ่วลงมาอัดเข้ากับดั้งจมูกโด่งๆ ของผมจนแทบช็อค กระเด้งลุกขึ้นมาเอามือปิดจมูก พลางคิดในใจว่า พระเจ้าคงลงโทษเราเป็นแน่แท้ที่บังอาจคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าพระเจ้าลำเอียง พร้อมกับที่ปากก็พร่ำขอโทษพระเจ้าเป็นการใหญ่ แปลแล้วคงได้ใจความว่า โอ..ขออภัยพระผู้เป็นเจ้า

ถูกครับ พระผู้เป็นเจ้าท่านสร้างโลกได้ถูกต้องแล้ว นี่หากขืนให้มะม่วงลูกใหญ่โตเบ้อเร่อเบ้อร่าสัมพันธ์กับต้นมันแล้วละก็ ป่านนี้ดั้งจมูกคงหัก หน้ายุบ ฝังจมลงไปในดินถึงกับเดดสะมอเร่ไปแล้วครับ

ครับ...ผมพาออกนอกเรื่องไปไกลโข พิจารณาแล้วเห็นว่าเค้าโครงเรื่องคล้ายๆ ใกล้เคียงกัน ยังไงๆ ผมก็เจ็บตัวและถูกพระเจ้าลงโทษผ่านไปแล้วด้วยดี แต่ผมซีครับยังสงสัยและหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ อย่ามัวชักช้าอยู่เลย เรามาคิดการบ้านกันต่อดีกว่า

"เป็นไปได้ยังไงวะ" (นี่คือคำพูดที่รำพึงรำพันหลังจากที่ยืนสับสนอยู่เป็นเวลานาน) จากโขดหินใหญ่ก้อนนั้นมาถึงขอนไม้ท่อนนี้มันไม่ปาเข้าไปร่วมๆ ๑๕ เมตรแล้วเหรอ แล้วปู่ลอยมาได้ยังไง หมวกงอบที่สวมใส่แบบหลวมๆยังคงรูปอยู่ยังไงยังงั้น ไม่มีเสียทรง แถมลงแผ่วเบาและนิ่มนวล พร้อมบรรจงนั่งยองๆบนขอนไม้เล็กระหว่างกึ่งกลางกิ่งกระโดงเล็กๆ ๒ กิ่ง โดยไม่มีพลาดพลั้งหรือเสีย การทรงตัวแม้แต่นิดเดียว ขณะที่ความคิดกำลังล่องลอยไปไกลเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่นั้น พลันผมต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์อีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงหลวงปู่ถามอย่างเอาจริงเอาจัง

"มึงคิดอะไรของมึงอยู่วะไอ้เดิม ภาพที่มึงเห็นเมื่อสักครู่มันเป็นยังไงวะ"

ความรู้สึกของผมในขณะนั้นคงไม่มีคำพูดใดๆ ที่สามารถบรรยายได้ ผมจึงละเมอตอบทั้งๆ ที่ยังยืนซึมแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว

"สุดจะบรรยายครับ"

หลวงปู่เน้นคำถามอีก "มันเป็นยังไงวะ"

"ลำดับภาพเหตุการณ์ไม่ทันครับ" ผมรีบตอบ

"เออ...ไปทำงานได้แล้ว" ผมกลับหลังหันและสลัดความคิดออกจากสมอง เพื่อไม่ให้จิตฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้ พลางมองหาคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยง แต่ไม่มี คู่ต่อสู้ที่ว่าก็คือก้อนหินใหญ่น้อยทั้งหลายบริเวณไหล่เขา เพื่อเตรียมกั้นเป็นทำนบสำหรับกักเก็บน้ำไว้หล่อเลี้ยงต้นไม้ในฤดูแล้ง หลวงปู่กับลูกหลาน ๕-๖ คน กำลังงัดก้อนหินใหญ่อยู่อีกฟากหนึ่ง ห่างจากจุดที่ผมงัดก้อนหินอยู่ประมาณ ๒๕ เมตร ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการกรำงานหนัก ผมจึงถือโอกาสนั่งพัก และเป็นขณะเดียวกับที่หลวงปู่งัดก้อนหินพลาดหรืออย่างไรไม่แน่ชัด เพียงแต่ได้ยินลูกหลานหลายคนร้องตะโกนด้วยความตกใจขึ้นพร้อมกัน

"เฮ้ยระวัง! "

ผมหันไปดูก็เห็นหลวงปู่ลอยละลิ่วออกจากพื้นที่ตรงนั้นแล้ว ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย ต่อจากนั้นไม่นานนักก้อนหินขนาดถัง ๒๐๐ ลิตร ที่ผมได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการงัด เพื่อกลิ้งให้ไปกองรวมกันตรงสันทำนบ ก็เหวี่ยงเอาผมเสียหลัก เท้าเจ้ากรรมก็ดันเหยียบพลาดไปเจอเถาวัลย์ที่กองรวมกันไว้ตรงร่องหุบเขา ด้วยความตกใจผมจึงสละก้อนหินก้อนนั้นแล้วทิ้งตัวหลบให้พ้นทิศทางการบดขยี้ของมันด้วยความรู้สึกราวกับว่าแค้นกันมาหลายชาติ

อนิจจาที่ที่ผมเสียหลักและพุ่งตัวหลบไปนั้น แท้ที่จริงแล้ว มันคือร่องหุบเขาที่สูงชัน เต็มไปด้วยหินดอกจอกอันแหลมคม แต่ด้วยสัญชาตญาณและบารมีหลวงปู่ ผมจึงกลิ้งและม้วนตัวลงไปตาม ร่องหุบเขาที่ยาวไกลโดยเจ็บตัวเพียงเล็กน้อย ซึ่งหลวงปู่ได้มีเมตตาทายาหม่องให้และทำงานได้ต่อจนถึงเวลาเลิกงาน สรุปแล้วคือผมก็หายสงสัยเช่นเดียวกับฝรั่งแต่ยังแปลกใจอยู่หน่อย หินที่ผมกลัว จะหล่นทับถึงกับยอมทิ้งตัวหลบให้พ้นทิศทางนั้น ไม่ได้กลิ้งตามผมลงไปหรอกครับ เพราะปรากฏว่าหินมันกลิ้งลงไปในร่องและสะดุดหยุดนิ่งบนปากหุบเขาชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ลูกหลาน ๕-๖ คนช่วยกันผลัก มันยังไม่ยอมเขยื้อน ต้องช่วยกันอยู่เป็นนานกว่าจะเชิญมันขึ้นจากร่องนั้นได้

หลวงปู่บินตามที่ผมเล่าสู่กันฟังจบไปแล้วนั้น เป็นเหตุการณ์ ที่เกิดระหว่างงานพัฒนาสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำบริเวณไหล่เขา ที่มีลูกหลานร่วมกิจกรรมกว่า ๑๐ คน ข้อเขียนนี้จะเท็จจริงประการใด ได้โปรดใช้วิจารณญาณตามเหตุและผลของท่านเองนะครับ เพราะผมคงสรุปไม่ได้เสียเลยทีเดียวว่าเป็นเหตุโดยบังเอิญหรือเป็นการแสดง กรณีนี้หากเป็นเหตุโดยบังเอิญหลวงปู่กระโดดหลบไปนิดเดียวก็น่าจะพ้นอันตรายจากหินก้อนนั้นได้ คิดว่าคงไม่ถึงกับต้องโดดสูงถึงระยะกว่า ๓ เมตรแล้วลอยไปลงใกล้จุดที่ผมพักอยู่ในท่วงทีที่สง่า สวยงาม พร้อมกับลงนั่งบนขอนไม้เล็กๆ ได้อย่าง นิ่มนวล ซึ่งเป็นระยะทางอันยาวไกลร่วม ๑๕ เมตร

ขณะที่ผมเขียนเรื่องนี้ ภาพหลวงปู่บินยังลอยอยู่ในความทรงจำของผมไม่ลืมเลือน เสมือนหนึ่งเพิ่งเกิดผ่านไปสดๆ ร้อนๆ

ครับ ท้ายข้อเขียนนี้ ผมในนามประธานชมรมธรรมอิสระ ถ้ำไก่หล่น ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้มีอุปการคุณทุกท่าน ที่มีจิตเมตตา เสียสละเวลาอันมีค่า ร่วมบริจาคสิ่งของเงินทองพร้อมอาหาร รวมทั้งสละแรงกาย แรงใจช่วยเหลือเกื้อกูล ในกิจกรรมต่างๆ ของชมรมฯ ด้วยดีเสมอมา ชมรมฯ รู้สึก ซาบซึ้ง และขออนุโมทนาในกุศลเจตนาดีของท่านผู้ใจอารีทั้งหลายไว้ ณ โอกาสนี้
ประเดิมชัย อินทะสิน
๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐

พบหลวงปู่ครั้งแรก

วันเสาร์ประมาณต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ข้าพเจ้าและสามีได้นำอาหารไปถวายพระที่ถ้ำไก่หล่น พระองค์นั้นคือหลวงพ่ออาทิตย์ (มรณภาพไปแล้ว) ข้าพเจ้าเดินไปถึงบันไดถ้ำเกือบขั้นสุดท้าย ครั้งนั้นปากทางเข้าถ้ำ จะมีกุฏิพระหลังเล็กอยู่หลังหนึ่ง ข้าพเจ้ามองเห็นพระรูปหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง ห่มผ้าสบงจีวรเก่าๆ ยืนหันหลังให้ข้าพเจ้า ท่านกำลังยืนอยู่หน้าเตาไฟ (ก้อนหินสามเส้า) และมีหม้อก้นดำปี๋ตั้งอยู่บนเตาไฟ ควันกำลัง พวยพุ่ง ข้าพเจ้ามองดูข้างหลังของท่าน คิดว่าพระองค์นี้มาอยู่ใหม่ ดูท่าทางท่านจะไม่ค่อยสบาย เพราะมองดูได้จากหลังใบหูของท่าน มีลักษณะเป็นร่องลึกทั้งสองข้าง มาทราบภายหลังว่าท่านไม่สบายจริงๆ พูดถึงการไม่สบายของท่าน ทำให้ลูกศิษย์ใจหายหลายครั้ง เพราะท่านไม่สบายบ่อยมาก แต่ท่านไม่ยอมปริปาก

ย้อนกลับมาเล่าต่อ หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เดินผ่านท่านไปอย่างเบาๆ นำอาหารมื้อเพลไปถวายหลวงพ่ออาทิตย์ แล้วเดินลงไปในถ้ำเพื่อไหว้พระ ทางที่จะเดินลงไปถ้ำต้องเดินผ่านท่าน ท่านกำลังนั่งฉันข้าวอยู่ ท่านมองข้าพเจ้าด้วยแววตายิ้มๆ สักพักใหญ่ๆ ข้าพเจ้าเดินขึ้นมาจากปากถ้ำ จะเดินผ่านท่าน จึงลงนั่งยองๆ ไหว้ ท่านถามข้าพเจ้า ๒-๓ ประโยค จึงเลื่อนถาดอาหารให้แก่ข้าพเจ้า พร้อมกับพูดว่า "กับข้าวไม่อร่อยหรอกนะ เพราะทำเองตามมีตามเกิด"

ข้าพเจ้าจำได้ว่าในถาดอาหาร มีข้าวโพดอ่อนต้มน้ำขลุกขลิก หมูเค็ม และกับข้าวอย่างอื่นอีก ๒-๓ อย่าง ข้าพเจ้าจึงยกทั้งถาดไปยังกุฏิหลวงพ่ออาทิตย์ กินเสร็จแล้วแต่กับข้าวยังเหลือ หลวงพ่อบอกข้าพเจ้าว่า กับข้าวที่เหลืออย่าทิ้งนะ เก็บใส่ถุงกลับบ้าน เพราะกับข้าวเหล่านี้เป็นยาเป็นของทิพย์ ข้าพเจ้าก็ทำตาม ส่วนจานชาม ข้าพเจ้านำไปล้างที่โอ่งใกล้ๆ ปากถ้ำ หันซ้ายหันขวาเมื่อหาน้ำยาล้างจานไม่มี แต่ได้ยินเสียงของท่านบอกว่าใช้วิชาลูกเสือ คือเอาขี้เถ้า แทนน้ำยาล้างจาน ก็ปรากฏว่า คราบมันออกจริงๆ

หลวงปู่ท่านคงเห็นเราเป็นคนแปลกหน้า ท่านจึงไม่ค่อยจะคุยด้วย สักพักท่านให้เจ้าตี๋(คุณสมชาย อุเทศ) เอาแกลลอนใส่น้ำดื่มตามท่านขึ้นไปยังต้นไทร บนถ้ำอีกด้านหนึ่ง ท่านหันมาสั่งพวกเราว่า ไม่ต้องตามขึ้นมานะ ในใจของข้าพเจ้าว่า ไม่เห็นจะอยากตามเลย สูงก็สูง รกก็รก มาทราบภายหลังว่า ท่านไปนั่งปั๊มพระสมเด็จปรกโพธิ์ ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่หลวงปู่ทำที่ถ้ำ และข้าพเจ้าก็ภูมิใจมากที่เป็นลูกศิษย์ผู้หญิงคนแรก ในบรรดาลูกศิษย์ผู้หญิงทั้งหมดที่ถ้ำที่ได้รับจากมือของท่าน เพราะพวกเรามาช่วยงาน ที่ถ้ำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ โดยเฉพาะสามีของข้าพเจ้า เขาจะมาทุกวัน ช่วงบ่ายจนถึงเย็นของวันราชการ เพื่อช่วยเหลืองานของท่านเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่จะช่วยเหลือได้ บางวันเขากลับมาเล่าอย่างมีความสุขว่า วันนี้หลวงปู่ทำขนมให้กิน หลวงปู่ทำกับข้าวให้กิน หลวงปู่เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง เรื่องการเล่าเรื่องของหลวงปู่ ลูกศิษย์ทุกคนจะชอบมาก เหมือนผู้ใหญ่เล่านิทานให้เด็กฟัง ลูกศิษย์ทุกคนไม่มีใคร กล้าถามกลางคัน เพราะถ้าถามจะถูกพรรคพวกเขม่น เสียอารมณ์ ในการฟัง ประสบการณ์ของท่านเยอะมาก บางทีพวกเราไม่ได้ไปนั่งฟัง เพราะมัวทำอย่างอื่นอยู่ ก็จะให้เพื่อนๆ ที่ไปฟังกลับมาเล่าให้ฟังต่อ

มีบางเรื่องที่แม่ครัวชาวถ้ำแอบทำ รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองด้วย คือการแอบทิ้งผักที่เน่า ในการทิ้งต้องมีเทคนิค มองซ้าย มองขวาส่งคนไปดูต้นทางที่ปากถ้ำ ถ้าเห็นว่าหลวงปู่กำลังนั่งคุยกับลูกศิษย์ หรือแขกคนอื่นอยู่ ก็มีการส่งสัญญาณให้กันว่าทิ้งได้ สาเหตุที่ต้องทิ้งก็เพราะว่าผักเยอะมาก ทำไม่ทัน โดยเฉพาะผักคะน้า มีกลิ่นเหม็นแรง

มีอยู่วันหนึ่ง แม่ครัวเก็บผักคะน้าที่เน่าใส่ถุงเตรียมจะเอาไปทิ้ง แต่ทำอีท่าไหนไม่รู้กลับแอบนำไปไว้ข้างโอ่งน้ำ กรรมจริงๆ หลวงปู่เดินผ่านมาเห็น ท่านทำตาลุกวาว และว่า "อีพวกนี ไม่รู้จักคุณค่า คนเขาสู้ตะกายเอาขึ้นมาให้ พวกมึงนี่ แหม..จริงๆ เลย" แล้วท่านก็สั่งพวกเราลากถุงผักเน่าๆ ออกมา และเทออกจากถุง ให้พวกเราเลือกเอาก้านคะน้าดี ๆ ตัวท่านเองก็ลงนั่งยอง ๆ เลือกผักคะน้าด้วย ปากท่านก็พร่ำสอนพวกเราไปว่า ให้รู้จักคุณค่า ไม่ฟุ่มเฟือย เงินทั้งนั้น ท่านบอกว่า ก้านผักคะน้า ตัดเป็นท่อนๆ นำไปดองกินกับข้าวต้ม ท่านว่า ท่านเคยไปนั่งขาย ถุงละ ๑ บาท ข้าพเจ้าทำท่า ไม่เชื่อ ท่านว่า "อีอิ๋ว มึงไม่เชื่อกูเหรอ" ...เชื่อค่ะ เชื่อค่ะ

กับข้าวที่ขึ้นชื่อของถ้ำคือ ต้มจับฉ่าย สูตรของท่านจะไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน โดยตัวท่านจะนั่งที่ระเบียงกุฏิ หย่อนขาข้างหนึ่งลงบันได สั่งให้พวกเราทำตามขั้นตอนของท่าน บางทีพวกเราก็จะแย้งท่าน เช่นท่านสั่งให้ใส่เต้าหู้ยี้ พวกเราจะไม่ใส่เพราะกลิ่นแรง ท่านก็บอกว่าใส่ไปเถอะ แล้วมันจะอร่อยเอง ผลออกมาก็อร่อยจริงๆ หมดเกลี้ยง ส่วนขนมก็คือขนมกล้วยห่อใบตอง เพราะมีคนนำกล้วยมาถวายทีละเยอะๆ แรกๆ ท่านก็ลงมือทำเอง หลังๆมาก็ทำตามสูตรของท่านบ้าง ของพวกเราบ้าง เวลาคนถามก็ตอบว่า หลวงปู่ทำค่ะๆ ถ้าไม่พูดอย่างนี้เดี๋ยวขนมไม่หมด

มีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งของหลวงปู่ ที่พวกเราเคยขอซื้อ แต่ท่านไม่ขายคือประโยคที่ว่า

"กูไม่จบป.๔ กูจบป.๒" ซึ่งประโยคนี้ถือเป็นประโยคอมตะ นิรันดร์กาล มาถึงทุกวันนี้

มีอีกหลายเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับได้ประสบมา แต่ไม่สามารถจะ บรรยายในที่นี้ได้ จะขอเก็บไว้ในใจ ถือเป็นความสุข ความภูมิใจ ความเป็นผู้มีบุญของข้าพเจ้า ว่าเกิดชาติใดก็ขอให้เป็นลูกศิษย์ที่ดีของหลวงปู่ตลอดไป

"ขอพลัง อำนาจ ตบะ ชัยชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์ และ ลาภ และเป็นผู้มีความเจริญในธรรมะของพระพุทธเจ้า จงบังเกิด แก่ลูกศิษย์ที่ดีของหลวงปู่ทุกคน ด้วยเทอญ"

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท