เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ได้มีโอกาสไปล่องเรือไหว้พระกับเทศบาลนนทบุรี โดยคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้จัดกิจกรรม พาสมาชิกและผู้ติดตามไปร่วมด้วย
นัดหมายกันว่าให้ไปพร้อมกันหน้าคณะฯ เวลา ๗ นาฬิกา ออกเดินทางไปโดยสะดวก เพราะเป็นเช้าวันเสาร์ รถยังไม่หนาแน่นนัก ไปถึงท่าน้ำนนทบุรี ในเวลาไม่ช้า แต่โอ้โฮ ผู้คนมาจากไหนกันนี่ เต็มลานสำหรับลงทะเบียนเทียว ต้องขอชมคณะผู้จัดของเทศบาลนนทบุรี ที่สามารถรับมือกับประชาชนจำนวนมาก ที่สนใจไปร่วมลงเรือไหว้พระ ทราบว่าจัดมาหลายปีแล้วคงจะมีประสบการณ์ทีเดียว เริ่มจากการจัดลงทะเบียน ให้มีการเข้าแถวใครมาก่อนได้ก่อน จัดเต็นท์มีที่นั่งให้นั่งกันเป็นชุด ๆ เพื่อจัดคนลงเรือได้พอดีแต่ละลำ ไม่ให้ขาดหรือเกิน นับว่าบริหารจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม
เช้าวันเสาร์นี้อากาศเป็นใจมาก มีเมฆครึ้ม แต่ฝนยังไม่ตก ทำให้เย็นสบายมาก เริ่มต้นจากไปไหว้เจ้า คือศาลเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น แล้วเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี ซึ่งใช้ศาลากลางเดิม มาจัด เมื่อเข้าไปข้างในจึงเห็นว่าอาคารไม้ทั้งหมดมีบริเวณใหญ่โตสวยงามมาก เป็นจุดที่ควรมาชมอีกในวันปกติ ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันเว้นวันจันทร์
จุดแรกเมื่อลงเรือไปแวะคือวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นโท สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินีทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ เรียกว่า วัดเขมา ที่วัดนี้มีพระมหาเจดีย์สูง ๓๐ เมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
วัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร เป็นวัดที่สองที่ได้ไปไหว้พระ อุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ ๓ คือศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากจีนมาผสม พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย พระนามว่า "พระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา" และมีศาลาการเปรียญหลวงอาคารแบบผสมทรงไทยและจีน มีพระรูปเหมือนของรัชกาลที่ ๓ ประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัดด้วย
ถึงตอนนี้อากาศที่เย็นสบายหายไปแล้ว เพราะเป็นตอนใกล้เที่ยง ร้อนมากและเริ่มเหนื่อย ก้ได้แต่เดินขึ้นลงเรือตามเขาไปเรื่อย เรือจะแวะแต่ละที่ประมาณ ๔๐ นาที และแต่ละวัดก็มีชาวบ้านบริเวณนั้นนำอาหารและงานฝีมือโอทอปมาวางจำหน่าย เรียกว่าอิ่มหนำสำราญ และชอปปิ้งเรียบร้อยทีเดียว เสียแต่ตัวเองออกจะแพ้แรงสักหน่อย ต้องพักเหนื่อยอยู่เรื่อย ประกอบกับลมริมน้ำก็สดชื่นดี เลยไม่ค่อยจะได้เดินดูจนทั่ว ตามที่เอกสารแนะนำได้แจกไว้ให้
ต่อไปก็จะคัดลอกจากเอกสารมาแนะนำก็แล้วกัน
วัดที่สามคือวัดท้ายเมือง ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นวัดเก่าแก่คู่จังหวัดนนทบุรี สร้างแต่เมื่อไรยังไม่ปรากฏแน่ชัด ที่มีหลักฐานเหลืออยู่ คือศิลาหินอ่อนหน้าพระอุโบสถที่ได้จารึกประวัติความเป็นมาว่าเป็นวัดของเจ้าพระยารัตนาธิเบศ(กุน)มหุหนายกในรัชกาลที่ ๒ อันเป็นต้นสกุลรัตนสกุล เป็นผู้สร้างวัดนี้ จึงจัดว่าเป็นวัดเก่าแก่คู่กับชาวตลาดขวัญ และเป็นวัดคุ่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนนทบุรีวัดหนึ่ง
วัดที่สี่ คือวัดแคนอก สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ เดิมมีชื่อเรียกว่า "วัดแคร่เบ็ญจัน" เป็นวัดที่ชาวรามัญสร้างขึ้น เคยเป็นสถานที่ที่ผู้นำคณะราษฎร์ได้นำคณะมากราบสักการะพระประธานในอุโบสถและอธิฐานจิตถวายต่อพระพุทธศาสนาก่อนทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่อทำการสำเร็จแล้วจึงได้มาสร้างหอระฆังรูปทรงดอกบัวตูมถวาย
จุดที่ห้า คือพุทธสถานเชิงท่า หน้าโบสถ์ เป็นศาสนสถานที่เทศบาลนนทบุรีร่วมกับกรมศิลปากร พัฒนาขึ้นใหม่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยรวมวัดหน้าโบสถ์และวัดเชิงท่าซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง มารวมกัน เรียกว่าพุทธสถานเชิงท่า-หน้าโบสถ์
วัดที่หก คือวัดฉิมพลีสุทธาวาส เดิมเรียกว่าวัดป่าฝ้ายเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๓๑๗ พระเจ้าตากสินทรงโปรดเกล้า ฯ ให้คนมอญที่อพยพหนีพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่เกาะเกร็ดและบูรณะวัดขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาในปีพ.ศ.๒๓๕๘ สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้อีกครั้ง และพระราชทานนามว่า "วัดฉิมพลี"
วัดที่เจ็ด คือวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อวัดปากอ่าว สร้างโดยชาวรามัญที่อพยพมาในสมัยพระเจ้าตากสิน เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๑๗ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕ โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดใหม่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระบรมอัยยิกา
วัดที่หกและวัดที่เจ็ดนี้อยู่บนเกาะเกร็ด เรือจึงส่งให้เราขึ้นที่วัดฉิมพลีสุทธาวาส และให้เดินไปที่วัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร โดยให้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งสำหรับที่นี่ เนื่องจากเป็นแหล่งชอปปิ้งสำคัญ
วัดสุดท้าย คือวัดบางจาก เดิมชื่อวัดบางภูมิ สร้างขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๓๕๖ โดยชาวรามัญอพยพเข้ามาพึ่งใบบุญแผ่นดินสยามในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์
หลังจากนั้นเรือนำส่งพวกเราที่ท่าน้ำนนทบุรี ซึ่งเป็นจุดตั้งต้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ นาฬิกา พวกเราทั้งอิ่มเอมทั้งเหนื่อยอ่อน ถามว่าการจัดครั้งนี้ดีไหม ตอบว่าดีมาก ที่ไม่ดีคงเป็นสุขภาพของเราเองนั่นแล
ไม่มีความเห็น