ห่างหายจากการเขียนบันทึกลงในเว็บบล็อกไปหลายเดือน หลายคนเมล์มาบ้าง คุยมาบ้าง อยากให้เขียนต่อ ก็ขอขอบคุณที่ติดตาม
คืนนี้ ฟ้าใส ดาวสวย และมีเรื่อง “โดนใจ ” ที่น่าจะนำมาบันทึกไว้ และคิดว่ามีนัยยะให้ค้นลึกลงไป ให้ครุ่นคิดกันต่อหากต้องการ และผมคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่ลายคนผ่านมาแล้ว หลายคนกำลังจะผ่าน หลายคนไขว่คว้า ในขณะที่หลายคนปฏิเสธ
นั่นคือ “ความรัก สินสอดและการแต่งงาน”
ชื่อเรื่องวันนี้ดูหวือหวา หากไม่มีอะไรให้วาบหวิว และไม่อยากให้ใครว้าวุ่น เมื่ออ่านจบ
สำหรับชายไทยพื้นราบแล้ว การแต่งงานกับหญิงสาวกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง “ต่ำกว่า”ไม่ใช่เรื่องยาก ผมมักแซวเพื่อนๆผู้ชายที่เลยวัยสามสิบ แต่ยังครองความโสด (แต่ไม่สด) อยู่ว่า ถ้าหาเมียในเมืองมันยาก เลือกเท่าไรก็ไม่ถูกใจ ลองเข้ามาอยู่บนดอยดู แล้วอาจจะเปลี่ยนใจ
จากประสบการณ์ตรงของผม กับการแต่งงานกับภรรยาชาวไทใหญ่ การแต่งงานเป็นเรื่องของการเกี่ยวดองปากท้องอย่างเห็นได้ชัด ไม่อ้อมค้อมอ้อมแอ้ม ผู้ชายประเภท “รักจริงหวังฟัน” หรือ “โลกนี้มีเพียงเธอกับฉัน จะครองรักกันจนวันตาย” คิดอย่างนี้ อย่าได้แอ้ม หรือกว่าจะแอ้มก็ยาก แต่ถ้าพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่พี่น้องญาติโกโหติกาของเขาเห็นว่า เออ นี่เลี้ยงลูกเขาได้ และเป็นคนดี อันนี้มาวิน
นี่ไม่ได้หมายความว่า “ความรัก” ไม่สำคัญ หรือผู้หญิงชนบท “ใจง่าย”นะครับ ถ้ารักกันแบบจับมือเบาๆน่ะพอไหว รักไปเถอะ แต่ถ้าจะ “พราก”ลูกสาวหลานสาวเขาเอาเป็นเมีย “ความรัก” เพียงอย่างเดียวมันไปไม่รอด
ผมใช้คำว่า “พราก” เพราะผู้หญิงสาวโสด ถือเป็นแรงงานสำคัญในครัวเรือนของพ่อแม่ การจะ “ครอบ” ลูกสาวเขาไปอยู่ใน “ครัว” หรือในห้องนอน ก็เหมือนกับทำให้ส่วนแบ่งรายได้ของพ่อแม่และวงศ์ตระกูลเขาลดลงโดยอัตโนมัติ
ผมเข้าใจพฤติกรรมที่ผู้รังเกียจการใช้เท้าเปล่าสัมผัสขี้ดิน มักจะกระดี้กระด้าด่าว่า คนจนบ้านป่าบ้านดอยขายลูกกิน ว่ามันมาจากมุมมองต่างวัฒนธรรม แต่ผมก็งงๆอยู่เหมือนกันว่า ทีคนรวยแต่งกันสินสอดก็ว่ากันเป็นล้าน แล้วเหตุผลล่ะจะว่ายังไง ผมคิดว่า สินสอด มีความหมายที่ซับซ้อน ความหมายของการเรียกสินสอดของเศรษฐีหรือพวก “ผู้ดี” ต่างกับชาวไทใหญ่ที่ผมสัมผัสอย่างมาก
สินสอด ของคนรวยดูจะเป็นเรื่องการอวดอำนาจบารมี หรือการแสดงอำนาจทางการเมืองอย่างชัดเจนกว่าเรื่องปากท้อง เรียกว่าถึงไม่มีเงินค่าสินสอด พ่อแม่ฝ่ายเจ้าสาวก็คงไม่ได้สูญเสียรายได้อะไรมาก เพราะรวยกันอยู่แล้ว อีกทั้งคงหาทางโยกย้ายถ่ายเทกรรมสิทธิ์ต่างๆที่อาจสูญเสียไปหลังเปลี่ยนสถานภาพจาก “นางสาว” เป็น “นาง”ตามกฏหมายไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่สินสอดของคนมีตังค์น่าจะมีเครื่องแสดง “หน้าตา” ถ้าสินสอดน้อย ก็จะรู้สึก “เสียหน้า” มาก และเป็นเรื่องสังคมในระดับปัจเจกและครัวเรือนเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ สินสอดของคนจน เป็นเรื่องปากท้อง คือนำเงินไปใช้จ่ายโดยตรง หรือเป็นเงินไว้ให้เป็นสวัสดิการสังคม เป็นหลักประกันสุขภาพให้พ่อแม่ยามแก่เฒ่า และเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไอ้หมอนี่ มีความสามารถในการหาเงินเลี้ยงดูลูกสาวเขาได้ ซ้ำยังลงลึกไปถึงมิติจิตวิญญาณและกว้างขวางไปถึงชุมชนหมู่บ้าน เช่น ไม่ทำแล้วจะ “ผิดผี” เดี๋ยวป่วยเดี๋ยวซวยกันทั้งตระกูล เป็นต้น
แต่โดยทั่วไป ที่ความรู้ถูกควบคุมโดยชนชั้นนำที่มีอคติต่อคนจน ทำให้เรา (ชนชั้นกลาง ถึงสูง รวมถึงคนรุ่นใหม่ที่นิยมการศึกษาจากซีกโลกตะวันตก) มักจะประทับตรา สินสอดของคนจนด้วยวิธิคิดเชิงเดี่ยว ว่าเป็นเรื่องการขายลูกกินแบบเพียวๆ
โดยภาพรวม จะเห็นว่าสินสอด ไม่ว่าจะยาก ดี มี จน ล้วนมีมิติทางสังคมที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นประวัติศาสตร์ คือเป็นการสร้างการยอมรับนับถือให้เกิดแก่วงศ์ตระกูลและจัดเตรียมที่ทางให้บ่าวสาวและบุตรหลานที่จะเติบโตขึ้นในวันข้างหน้า เรียกว่าจากรุ่นหนึ่ง ไปยังอีกรุ่นหนึ่ง และมีความเชื่อด้านจิตวิญญาณมาเกี่ยวข้อง มากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่กรณี
ความขัดแย้งและการต่อรองเรื่องสินสอดเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่คนจนจะมีความยืดหยุ่นมากกว่า เช่น ถ้าเงินสินสอดไม่พอก็แบ่งจ่ายได้ หรือใช้แรงกายเข้าเป็นแรงงานในไร่นาของพ่อตาแม่ยาย กี่ปีก็ว่ากันไป มีน้อยจ่ายน้อย มีมากก็จ่ายมาก ไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีจ่ายก็ไม่มีใครมายึดเมีย (ถ้าตัวเรายังเป็นคนดีกับภรรยาและญาติพี่น้องของเธออยู่)
เห็นอย่างนี้แล้ว หนุ่มไหนหัวใจยังว่าง หรือกำลังลังเลจะแต่งงาน ก็อาจจะหายกลุ้มกับค่าสินสอดลง
คนอื่นๆที่เคยมองว่า ชาวบ้านขายลูกสาวกิน ก็อาจจะจำแนกได้ว่า เออ แฮะมันก็มีบางบ้านที่ขายลูกสาวจริงๆ คือจิตใจหยาบกระด้างโดยสันดาน หรืออาจจะจนตรอกด้วยเหตุผลต่างๆ แต่ที่ผมกล่าวมา ก็น่าจะได้เห็นแง่มุมที่กว้างขึ้น
สำหรับคนที่กำลังลังเลจะจ่ายค่าสินสอด หรือมีปมเคืองขุ่นกับค่าสินสอดในอดีตก็อาจจะสบายใจขึ้น ส่วนจะเลือกสินสอดแบบไหนนั้น ก็ต้องต่อรองกันเอาเองนะครับ
แต่สำหรับผม หลายๆคนคงพอจะนึกออกแล้วว่าผมเลือกแบบไหน ส่วนตัวผมเห็นว่าแบบไหนก็ดีทั้งนั้นนะครับ ถ้าทำแล้วสบายใจและสุจริตใจ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ขออย่างเดียว..... ชีวิตนี้ ขอจ่ายสินสอดเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายก็พอ
แถมท้ายด้วยภาพการมอบสินสอดตามธรรมเนียมไทใหญ่ ที่เห็นใส่แว่นเป็นเจ้าบ่าว...ไม่ใช่ใครก็ตัวผมเองครับ
คุณยอดดอย...
ครูอ้อยครับ....
คิดต่างเป็นเรื่องปกติ และเงื่อนไขที่จำเป็นของการพัฒนาประชาธิปไตย ไม่แปลกครับ แต่ถ้าคิดต่างแล้วดันไปอยู่ในบริบทที่เอื้อต่อการให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจบังคับหรือใช้ความรุนแรงได้ อันนี้ เหล่าผู้กล้าก็ต้องยอมออกจากที่ซ่อนมาเพื่อผดุงความยุติธรรม อย่างในหนังจีน นี่ใช่เลย
ดูๆไปสังคมไทย ก็นิยมหนังแอ็คชั่นฮีโร่อยู่ไม่ใช่น้อย แต่ชีวิตจริง ทำไม "หงอ" กันนักก็ไม่รู้
อย่างคุณจตุพรไม่เรียกว่าลังเลหรอกครับ นักวิชาการเขาใช้คำว่า "คิดแบบบูรณาการ"
(แซวเล่นนะครับ)
เมียจะเป็นหนูทดลองในงานวิจัยทางชีวิตของคุณ เหมือนครั้งสาวอิวเมี่ยนหรือเปล่าค่ะ
สวัสดีครับคุณเพื่อนกันฯ
ยังหาเมียไม่ใด้คับ อายุเกิน 30 แร้ววว
แถมยังโสดโตครมหาซิง ไม่เคยผ่านมือหญิงใด
เลยยังไม่กลุ้มใจเรื่องสินสอด แต่กลุ้มใจเรื่อง
หาหญิงมาแต่งงนด้วยไม่ใด้แทน 555555555555