.
.
มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ที่ผมจะกลับมาอ่านทุกปี
และทุก ๆ ปีที่กลับมาอ่าน จะสามารถเข้าถึงธรรมเดิม ตัวหนังสือเดิม ได้ลึกซึ้งมากขึ้น ๆ ทุกปี หนอ
.
ใน 3-4 ปีแรกนั้น ผมสังเกตุว่า ผมจะอ่านได้ไม่เกิน "พรรษาที่ ๑๖"
จนทำให้สังเกตุได้ และเกิดความสงสัยว่า ทำไมบังเอิญเช่นนั้นทุกปี
เมื่อนำมาวิเคราะห์หาสาเหตุแล้ว ผมสรุปเองได้ดังนี้
1. ธรรมะนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยเพียงการ "ปริยัติ" จะต้องมีการปฏิบัติให้เห็นได้ด้วยตนเอง
2. ธรรมะขั้นสูงบางอย่างนั้น ยากนักที่จะอธิบายด้วยตัวอักษร หนอ
.
ในปีนี้ก็เช่นเดียวกันครับ หลังจากเพียรภาวนาอย่างเข้มข้นมาตลอดทั้งปี
จึงยกหนังสือ "พ่อแม่ครูอาจารย์" ขึ้นมาอ่านดู ปีนี้ก็เหมือนทุกปี คือ
ทำให้เข้าใจธรรมเดิม ตัวหนังสือเดิม ลึกซึ้งเข้าไปอีก ดังจะได้สาธยายดังต่อไปนี้ หนอ
.
ระหว่างที่กำลังนั่งเขียนอยู่นี้ ก็นั่งฟังเทศน์ท่านหลวงตาไปด้วย
เมื่อสักครู่ท่านเทศน์ประมาณว่า
..ธรรมของพระพุทธเจ้าเมื่ออยู่กับปุถุชน จะกลายเป็นธรรมปลอม
เพราะเป็นธรรมที่เกิดจากความจำ ซึ่งต่างจากความจริง
..ธรรมของพระอรหันต์ เมื่ออยู่กับพระอนาคามีก็เป็นธรรมปลอม ..
.
อือ.. หรือว่า Key เฉลยอาจยังไม่จำเป็น หนอ
.
.
.
.
... ความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี
เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งสิ้น และเป็นอนัตตาทั้งมวล..
(หนังสือพ่อแม่ครูอาจารย์. หน้า 326)
.
.
ขยายความ ธรรมนี้เกิดในพรรษาที่ ๑๖ ที่ท่านได้เพียรภาวนาอย่างหนัก
จนจิตละเอียดมาก และท่านได้สังเกตุเห็นว่า
..ทำไมจิตละเอียดถึงขนาดนี้แล้วจึงยังแสดงอาการต่าง ๆ อยู่ได้..
.
ธรรมตรงนี้ละเอียดมาก ๆ
เพราะเราส่วนใหญ่ (รวมผมด้วย) จะพยายามเพียรภาวนาให้จิตเราสะอาดผ่องใส
ให้งบ สว่าง สะอาด ต่อเนื่องและนานที่สุด
แต่จะยังพบว่า นาน ๆ จิตก็ยังจะเศร้าหมอง จะทุกข์ อยู่
แม้เราจะเพียรพยายามสักเพียงใดก็ตาม
ธรรมตรงนี้ หมายความว่า ที่เป็นเช่นนั้น เพราะจิตและอาการของจิตนั้น
.เป็นอนัตตา เป็นไปตามเหตุปัจจัย
.
จริงอยู่ว่า เป็นหน้าที่เราที่ต้องอบรมบ่มนิสัยจิตให้สงบ สว่าง สะอาด
แต่การทำเช่นนั้น ต้องไม่เป็นไปเพื่อสร้างอัตตาตัวตนให้ละเอียดขึ้น
..
แต่ต้องเป็นไปเพื่อการปล่อยวาง สู่ อนัตตา หนอ
ธรรม..ไหล..สู่ ธรรม..(กระมัง..หนอ)