"เข้าใจหนึ่ง ก็ถึงล้าน"


                                                     

ในโลกแห่งสสารที่เป็นรูปธรรม (สัณฐาน) ที่เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งนั้น ล้วนมาจากจุลสสารที่เรียกว่า "ปรมาณู" (Atom) ที่ประกอบด้วยธาตุโปรตรอนและนิวตรอน โดยมีธาตุอิเล็กตรอนวัฏฏะอยู่รอบๆ เมื่อทำปฏิกิรยาต่อกันจนกลายเป็นพลังงานขึ้นมาเรียกว่า "ไฟฟ้า" (Electric current) ที่จริงจะเรียกว่า พลังงานของสสารก็ได้ เพราะคำว่า "ไฟฟ้า" เป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ ที่เกิดจากการสังเกตุของนักวิทย์จากท้องฟ้า ในเวลาฝนตก เนื่องจากว่า ในท้องฟ้านั้น มีมวลมหาสสารอยู่ก่อน ตั้งแต่ยุคบิ๊กแบงแล้ว เรียกว่า "ฝุ่น" (Dust)

เมื่อฝุ่นที่แช่ในในอวกาศที่เวิ้งว้างเกิดการเคลื่อนตัว อันเนื่องจากพลังงานที่เกิดจากบิ๊กแบงนั้น ทำให้สสารต่างๆ ในอวกาศชนปะทะกันจนสับสนวุ่นวายอย่างไร้ทิศทาง เรียกว่า "โกลาหล" (Chaos) ด้วยพลังงานของแรงเฉื่อยบิ๊กแบงและคุณสมบัติของฝุ่นธุลีในอวกาศ ผนวกกับทิศทางที่อิสระในอวกาศ จนก่อให้เกิดพลังงานแสงหรือไฟขึ้น เมื่อเวลากระทบหรือชนกัน (Clash)

ดังนั้น บรรพบุรุษของสรรพสิ่งคือ "ฝุ่น" นี่เอง ด้วยในฝุ่นนั้น มีโครงสร้างและคุณสมบัติอยู่ในตัวเองทุกอณูหน่วย ฝุ่นมีทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น ทั้งมีรูปทรงใหญ่และเล็ก และพลังงานของฝุ่นที่ซ่อนเร้นพลังลับไว้ในตัวเอง เมื่อมันมีมวลสาร ปริมาณจำนวนมาก มันก็กลายเป็นพลังงานมากขึ้นเท่าตัว บางส่วนของฝุ่นที่รวมตัวกัน กลายเป็นพลังงานที่แผ่ค้ำจุนต่อสิ่งอื่น หรือแปรผันเป็นรูปทรงอย่างอื่น ที่มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นมา เช่น สิ่งมีชีวิต ดวงอาทิตย์ ดวงดาว น้ำ ดิน อากาศ ฯ

นี่คือ ต้นกำเนิดของสรรพสิ่งทั้งปวงในเอกภพนี้ หากเราศึกษาเรียนรู้สิ่งรอบตัวอย่างใส่ใจ และพินิจกับมันใกล้ๆ อย่างชัดลึก ก็จะสามารถเข้าถึงเอกภาพของมันได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วท่านจะอุทานออกมาว่า "อ๋อ!" เพราะทุกสิ่งล้วนเชื่อมโยงกันตลอด หรือล้วนอาศัยอิงกัน สัมพันธ์ทั้งแบบพี่พึ่งน้อง แบบลูกพึ่งพ่อแม่ แบบเพื่อนกับเพื่อน แบบนิเวศสัมพันธ์ หรือแบบเครือช่าย (network) ซึ่งระบบนี้เองที่ทั่วโลกกำลังนิยมกัน

หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตต่อกระบวนการเหล่านี้หรือกฎเหล่านี้คือ ๑) เรียนรู้แล้วปรับตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับสังคมสสารนี้ให้ได้ ๒) ดำเนินตามหน้าที่ของสายพันธุ์ตนให้สอดคล้องกับธรรมชาติให้มาก ๓) ถอดถอนเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากวิถีธรรมชาติให้มาก ทั้งจากตัวเอง (กาย และใจ) และระบบสิ่งแวดล้อม ๔) จากนั้นก็สร้างสรรค์สิ่งดีงามให้แก่ตนเอง และโลกสิ่งแวดล้อมให้มีค่าตลอดไป ๕) ที่สุดก็เตรียมตัวออกจากโลกสิ่งแวดล้อมนี้อย่างอิสระและบริสุทธิ์ในใจอย่ายึดมั่นพันใจในกองกายและสมบัติของโลกนี้ก่อนตายจากไป


ผู้เขียนรู้สึกว่า ปัจจุบันมวลมนุษย์คนไทยกำลังขัดแย้งทั้งตัวเอง ธรรมชาติ และสังคม อันสืบเนื่องมาจากไม่สามารถเข้าถึงความจริงเชิงธรรมชาติอย่างท่วมท้น แต่กำลังสร้างความจริงเฉพาะขึ้นมา เพื่อหลอกลวงตวงเอาผลประโยชน์จากกันและกัน โดยไม่ศึกษากันให้รู้ซึ้งถึงแก่นรากเหง้าขั้วหัวใจ จึงเป็นเหตุให้มวลมนุษย์ยึดเอาตัวตนเป็นฐานตั้งหรือศูนย์กลาง เพื่อถางทางสร้างกลไกมายา เพื่อให้ได้ผลหรือกำไร โดยไม่หวังความสัมพันธ์แบบธรรมชาติที่สอนหรือสร้างให้เรา "เป็น" แต่เรากลับไม่อยากเป็น

ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็อยากและหวังให้คนอื่น "เห็น" และ "มอบ" บางสิ่งให้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งอุบัติมาบนโลกนี้ได้ไม่นาน ไม่รู้เล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์รุ่นพี่ที่ชำนาญการแสดงหรือบทบาทผู้นำ ที่นำเสนอแต่สิ่งสวยงาม สิ่งใหม่ น่าตื่นตา ตื่นใจ หรือเอาสิ่งในตัวมนุษย์รุ่นใหม่ที่มีอยู่ข้างใน นำมาใช้เป็นเครื่องมือหลอกเอาผลกำไร เมื่อพวกเขาอ่อนต่อโลก จึงหลงใหลวัตถุนิยมอย่างง่ายดาย

ด้วยเหตุนี้เอง มนุษย์รุ่นใหม่จึงใช้เครื่องมือสื่อสารผ่านเน็ตเวิร์กเสนอตัวเองผ่านกล้องมือถือ เฟสบุ๊ก และเครื่องมือในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้โลกเห็นและกดคะแนน "ลิเก" (like : อ่านว่า ลิเก) ต่อไปนี้มนุษย์ตัวเล็ก ตัวน้อย (อนุบาล ประถม มัธยม) ต่างก็มีโลกส่วนตัว (private world) เพื่ออวดโอ๋โชว์กิจกรรมส่วนตัวให้ชาวโลกรู้เห็นและกดลิเกให้ นี่เป็นการสะท้อนอะไรลึกๆ ของมนุษย์ในระบบสุริยะนี้หรือไม่ ทำให้ผู้เขียนคิดไปไกลถึงสรรพสิ่งย่อมอยากเสนอตัวเองต่อโลกและอยากอยู่บนโลกนี้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีจุดยืน

ในปฐมภูมิแห่งสายน้ำ อันเป็นแดนปฐมภูมิแห่งการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในทะเลลึก สรรพสัตว์ได้ปรับเปลี่ยนวิถีที่เหมาะสมเพื่อการอยู่รอด เมื่ออยู่รอดได้แล้วขั้นตอนต่อไปคือ ทำอย่างไรจะหาคู่ หาผู้ร่วมสร้างเผ่าพันธุ์ได้ วิธีหนึ่งที่บรรดาสัตว์น้ำใช้กันคือ การสร้างสีสัน เพื่อดึงดูดคนอื่นให้สนใจตน แต่การทำเช่นนี้ ก็อาจเป็นอันตรายได้ เพราะแทนที่จะเรียกคู่ กลับเป็นการเรียกศัตรูมาหาได้ 

"สี" จึงมีนัยสามประการคือ ๑) ดึงดูดคู่ ๒) ป้องปราม ขู่ศัตรู ๓) หลอกลวง อำพราง ล่าเหยื่อ นี่คือ บททดสอบที่ตกผลึกมาแล้วหลายล้านปีในสนามสงครามแห่งน้ำทะเล สัตว์ทั้งหลายจึงอาศัยสี การสร้างสีขึ้นมาเพื่อเหตุผลดังกล่าว แม้ปัจจุบันวิธีนี้ยังคงดำเนินอยู่ในท้องทะเล แสดงว่าทฤษฎีสีนี้ เป็นทางที่ใช้ได้อย่างมีผลชงักนัก จึงทำให้สัตว์อยู่รอดและใช้สีสันมากมายใต้ทะเล แต่ก็น่าคิดว่า ในท้องทะเลไม่ค่อยมีแสงที่จะสะท้อนสีได้ดีเท่าบนบก ทำไมสัตว์จึงปรับสีต่างๆ ได้?

ในขณะเดียวกันบนบกก็มีสีสันเช่นกัน ทั้งพืชและสัตว์ต่างก็อาศัยสีเป็นตัวกำหนดในการปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ได้อย่างกลมกลืน เช่น พืช มีสีต่างๆ ได้ แสดงว่ามันอยู่บนโลกนี้มานาน ย่อมรู้ว่า สีอะไรที่ทำให้สามารถรอดพ้นได้ หรือสถานที่ไหนที่สามารถปรับสีได้ และฤดูใดบ้างที่จะต้องปรับสี สะท้อนลึกๆ ว่า พืชได้เรียนรู้โลกมาแล้วอย่างชำนาญ นี่คือ ผู้มาก่อนอย่างแท้จริง (รุ่นพี่) 

นอกจากนี้ ยังมีบรรดาสัตว์โลกทั้งบนบกและอากาศ ที่ต่างปรับสีสันของตนไปตามสถานที่ แหล่งอาศัย ฤดูกาลได้อย่างชำนาญเช่นกัน อันที่จริงสัตว์นั้น เป็นสิ่งมีชีวิตและเคลื่อนไหวได้ เมื่อหิว เมื่อเจอศัตรู เมื่อเจอภัยมันสามารถหลบหลีกได้ตามปรารถนา สีไม่น่าจะมีอิทธิพลต่อการปรับตัวได้ ไม่เหมือนพืชที่อยู่กับที่ กระนั้น การเปลี่่ยนสีก็ใช่ว่าจะใช้ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ การป้องกันเพื่อรับรองความผิดพลาดย่อมเป็นทางที่รอบคอบ ถี่ถ้วนดีกว่า นี่สะท้อนถึงความรอบรู้ถึงการลองผิด ลองถูกมาแล้วเป็นแน่

ส่วนมนุษย์โลกก็ไม่แตกต่างจากบรรดาสัตว์โลกชนิดอื่นๆ มากนัก ยังคงใช้พื้นฐานการปรับตัวตามธรรมชาติวิถี เหมือนกับสัตว์และพืชเช่นกัน กระนั้น ก็มีจุดต่างจากพืชและสัตว์ตรงที่ มนุษย์มีเจตนาที่แอบแฝง ซ่อนเร้นเจตจำนงเพื่อตัวเองอยู่เบื้องหลัง การหลอก การใช้กลลวง การหลอกล่อ การใช้กโลบาย เพื่อตัวเองนั้น มนุษย์มีเหตุผลหลวมๆ อยู่เบื้องหลัง กล่าวคือ ในทางจิตวิทยา มนุษย์อยากมีพวก อยากมีคู่ อยากมีคนชื่นชม อยากมีคนยกย่อง จ้องดู ให้ความสนใจตัวเอง พื้นฐานข้อนี้ อาจเป็นเหตุผลคือ หาคู่ก็ได้

ในปัจจุบันเราพบว่ามนุษย์คนไทยมีผู้สื่อโชเชี่ยล มีเดียเพิ่มขึ้น และมีอายุน้อยลงด้วย (เด็กอนุบาล ประถม มีเฟสบุ๊กแล้ว) ในการสื่อเหล่านี้ เป็นการสื่อในเรื่อง "ภาพลักษณ์" ที่สื่อล้อเล่น ให้เห็นกิจกรรม เช่น ถ่ายโชว์โซฟี่ตนเอง โดยสื่อไปในทางเนื้อหนัง มากกว่าเนื้อหา เช่น การแต่งตัวเซ็กซี่ (เห็นแล้วก็เซ็กอยู่หรอก แต่ไม่กล้าซี่อิๆๆ) ทำให้เห็นเส้นใยไปถึงสายพันธุ์อื่น เช่น พืชและสัตว์ ที่อวดดอก กลิ่น สี ของตนเองให้สัตว์อื่นเห็น แล้วเข้ามากดลิเกให้ หรือเข้ามาชื่นชมธรรมชาติของตัวเอง ลึกๆ แล้วมนุษย์มีเจตจำนงแอบแฝงโดยไม่รู้ตัว

อริสโตเติ้ลบอกว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องการสังคม เนื่องจากสังคมนั้น ได้ให้ผลประโยชน์หลายอย่าง ด้วยความที่มนุษย์มีสมอง คิดวางแผนเป็น มีกลไกสมองที่ซับซ้อน ที่ซ่อนกลลวงไว้ในต่อมเจตจำนงด้วย ทำให้มวลกิจกรรมทั้งส่วนตัวและสังคม มีสิ่งแอบแฝงไว้เบื้องหลังด้วย มนุษย์ที่เกิดใหม่จึงไม่รู้กระเป๋าลวงนี้จากรุ่นพี่ จึงเป็นไปได้ที่จะถูกโน้มน้าวให้เสียรู้ เสียเงิน เสียท่าและเสียอะไรอื่นๆ ได้

ยิ่งโลกยุคใหม่ ที่แตกต่างจากสังคมในป่าดึกดำบรรพมาก ยิ่งมีสิ่งซ่อนเร้นแอบแฝงในทุกสังคม ชุมชนมากขึ้น และที่เห็นควบคู่กันไปด้วยคือ มนุษย์กลับสูญเสียการเข้าถึงธรรมชาติดั้งเดิมของตนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนเมือง แต่เรากลับมีนักคิด "สวนทาง" สังคมอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นคือ ยิ่งสังคมเสื่อมทราม สูญเสียสายใยธรรมชาติ ความจริง รากเหง้ามนุษย์ตามแบบอุดมคติ (ศีลธรรม จิรยธรรม) เรากลับพบเห็นมนุษย์นักคิด นักปราชญ์ที่เสนอทางออก วิเคราะห์หาทางแก้ไข หรือออกจากหล่มปัญหานั้นๆ จึงไม่แปลกที่เรายังพบนักปราชญ์ นักวิทย์ นักคิด นักเขียน นักการศาสนา ฯ ที่เสนอทางแก้ให้เสมอ

นักคิดเหล่านี้ คือ ผู้เหนี่ยวรั้ง สร้างแรงถ่วงดุลให้กับกระแสสังคม เพื่อมิให้สังคมหลงใหลไปตามกระแสนั้น จนลืมตัวหรือประมาท เป็นผู้สร้างแผนที่ความคิด เป็นผู้เสนอทางรกให้เดิน เป็นผู้สนองเส้นทางตามธรรมชาติ มิให้มนุษย์หลงกลสังคมใหม่ หรือเพื่อให้เข้าถึงธรรมวิถีที่แท้จริงได้ เหมือนเป็นนักออกแบบทัศนศิลปะให้ บุคคลเหล่านี้คือ ครู ปราชญ์ชาวบ้าน นักการศาสนา นักคิด นักเขียน นักพูด นักวิจัย พระราชา ฯ บุคคลเหล่านี้เป็นเหมือนแสงประภาคารให้ผู้เดินทางมองเห็นเป้าหมาย

ขอยกตัวอย่างพระราชาของคนไทย ที่อุทิศพระวรกาย ทุ่มเทพระพลังกาย สติ ปัญญา ของพระองค์ต่อประชาราษฎร์ พระองค์เข้าใจ เข้าถึง จึงพัฒนาวิถีชีวิตให้สอดคล้องวิถีธรรมได้อย่างแนบแน่น เช่น "เศรษฐกิจพอกิน" พระองค์เข้าใจเส้นทางชีวิต พืช สัตว์ สายน้ำ แผ่นดิน และกระแสสังคมว่า จะดำเนินไปอย่างไรและจะทำให้ยั่งยืนถาวรได้อย่างไร การเข้าถึงของพระองค์เพียงผู้เดียวคือ ความหวังและเป็นแสงสว่างให้ผู้คน (ที่เข้าใจ เข้าถึงแล้วทำตาม) อีกหลายล้านชีวิต

ดังนั้น ผู้เขียนจึงพอมองเห็นเส้นด้ายสายยาวที่เชื่อมโยงสรรพสิ่งแบบเป็นเอภาพได้ว่า การเข้าใจธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ สัตว์ พืช ชีวิต และสังคมได้ ย่อมเห็นรอยต่อที่สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง หากจะยึดเอาเป็นหลักในกรอบดังกล่าวนี้ คงพอประมวลได้ดังนี้

๑) "แก่นธรรมชาติ" อันหมายถึง ความจริงของมัน ที่ปรากฎอยู่ ดำรงอยู่ในแบบฉบับของมันอย่างแน่นิ่ง ที่ไม่ได้อ้อนวอนให้ใครมาเรียนรู้ มาสนใจ เป็นอย่างที่มันเป็น เพื่อสื่อสารให้คนที่มีใจรับรู้ได้ เช่น เกิด ดับ แปรเปลี่ยน ฯ ๒) "กฎธรรมชาติ" คือ เป็นกฎที่ผลักดันหรือดึงดูดให้สรรพสิ่งดำเนินไป ไม่หยุดนิ่ง เช่น ดวงอาทิตย์ส่องแสง โลกหมุนโคจรรอบมัน กระแสน้ำขึ้น ลง กาลเวลาที่หมุนไป แรงโน้มถ่วง ๓) "พลังงาน" คือ พลังที่ปรากฎอยู่ในรูปต่างๆ ทั้งมองเห็นและไม่เห็น ที่มีผลต่อสรรพสิ่งให้ดำเนินไปเช่น ภูเขาไฟระเบิด พลังงานลมแสงแดด กระแสน้ำ พลังงานจากสัตว์ เป็นต้น  

๔) "ความสัมพันธ์" คือ ความเกี่ยวโยงสัมพันธ์ เป็นระบบยึดโยงโครงสร้างของทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน แยกกันไม่ได้ จนเกิดความสมดุลหรือระบบนิเวศวิทยา เช่น สังคมสัตว์ สังคมพืช สังคมมนุษย์ ๕) "สังคมสัตว์" หมายถึง วิถีเฉพาะของสิ่งมีชีวิตที่อิงอยู่กับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติของโลก ที่อาศัยธรรมชาติดำรงอยู่ และอยู่ในกรอบของกลุ่มสังคมนั้นๆ จนกลายเป็นแบบแผน วัฒนธรรม กติกา มารยาท กฎหมาย ฯ

กฎทั้งห้านี้ เป็นกฎแม่ของสรรพสิ่งที่พึ่งพิงอย่างขาดไม่ได้ เมื่อเราเข้าใจ เข้าถึงได้ ย่อมจะมองเห็นเยื่อใยอันซับซ้อนและลึกซึ้งถึงจักรวาลได้ และมันอาจเชื่อมโยงไปถึง "ปฐมเหตุคือ ฝุ่น" (Primitive Matter) ดังที่กล่าวแล้วว่า สรรพสิ่งล้วนมีรากเหง้าเค้ามูลมาจากวิวัฒนาการของมวลสสารในจักรวาลตั้งแต่บิ๊กแบงนั่นแล หากเราเจาะสิ่งใด สิ่งหนึ่งที่กำเนิดในระบบเอกภพหรือระบบสุริยะนี้ หรือในโลกใบนี้ได้ถึงปรมาณูของมัน เพียงรู้แค่คนเดียว แต่เกี่ยวก้อยไปถึงขอบเขตจักรวาลทีเดียว


ดังนั้น ในเอภพหรือในระบบสุริยะนี้เพียงเราศึกษาสิ่งต่อไปนี้เพียงสิ่งเดียวอย่างล้ำลึก สุดขั้ว สุดยอด สุดต้นเหตุ ปลายทาง ย่อมจะเห็นดีเอ็นเอของความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องเป็นดองกันอย่างแท้จริง เพราะดังที่กล่าวแล้วว่า ไม่มีสิ่งไหนรอดพ้นความสัมพันธ์ของกันและกันได้ หากเรารู้น้อยไม่ชัดลึก รู้แต่เพียงตื้นๆ และไม่ยาวไกลหลายล้านปีแสง เราอาจแสดงความไม่ฉลาดออกมานอกกรอบกระโหลกที่ห่อหุ้มมันสมองเราได้ นี่คือ เรื่องที่น่าศึกษาหาจุดเชื่อมโยงให้ถึงจุดขยาย สายสร้าง และสายสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง

                              


๑) "เอกภพ" (Universe) คือ จุดกำเนิดของสรรพสิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นปฐมครรภ์ ที่ทุกสิ่งกำนิดมาเป็นรูปธรรม และนามธรรมในระยะเริ่มต้น (Matrix) เอกภพเป็นจุดเริ่มที่นักดาราศาตร์ประเมินว่า เป็นปฐมเหตุของทุกสิ่งตั้งแต่เมื่อครั้งระเบิดบิ๊กแบง ว่าไปแล้วการกำเนิดของเอกภพก็ยากที่จะคำนวณได้เป็นหลักฐานชัดเจน เพราะเป็นเรื่องที่ไกลเกินความจริงที่มนุษย์จะเข้าถึง กระนั้น มนุษย์นี่เองคือ ผู้ที่จะไขจุดกำเนิดของมันว่า เกิดอย่างไร เมื่อนั้นถ้าเรารู้ชัดแจ้ง เราจะพบว่า สรรพสิ่งวิวัฒน์มาจากไหน เมื่อนั้นความเชื่อพระเจ้าอาจกลายเป็นเรื่องตำนานก็ได้

การที่เรารู้ได้ว่า เอกภพ กำเนิดอย่างไร มีองค์ประกอบอะไร มันจะช่วยให้เราไขความลับถึงสรรพสิ่งในอวกาศแลในระบบสุริยะของเราได้ เมื่อนั้นเราก็จะเข้าใจ ดวงดาว แร่ธาตุต่างๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตในเวลาต่อมา จากนั้นเราก็จะเข้าใจที่มาของการกำเนิดสิ่งมีชีวิตได้ เมื่อเราเข้าใจสิ่งมีชีวิตได้ เราก็จะเห็นองค์ประกอบร่างกายที่มีสสารของเอกภพได้ด้วย ที่สุดคือ เราก็จะสามารถเจาะลึกเข้าไปในร่างกายของสิ่งมีชีวิตว่ามีองค์ประกอบอะไรอีก สิ่งนั้นคือ "ฝุ่น" หรืออะตอมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่อวกาศในจักวาลเมื่อครั้งบิ๊กแบงนั่นเอง


๒) "ดวงอาทิตย์"  (sun) การระบิดแบบบิ๊กแบงนั้นคือ แรงผลักให้สรรพอะตอมแก๊สฝุ่นไหลไปชน กระทบกันเป็นลูกโซ่ และสร้างธุลีฝุ่นแก๊สมากมายขึ้น จนกลุ่มแก๊สฝุ่นรวมกันเป็นกาแล็กซี่มากมาย และเป็นผลมาจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวาในกาแล็กซี่ต่างๆ จนอาจทำให้แรงระเบิดนี้สร้างแก๊สฝุ่นไฟจนไปกระทบกันและเกาะกุมเป็นกาแล็กซี่ใหม่ๆ ในแต่ละกาแล็กซี่ก็จะมีระบบสุริยะของตนเองอีกชั้นหนึ่ง ในระบบสุริยะนั้นก็มีดวงดาวมากมายเป็นกลุ่มเฉพาะอีก

ในท้องฟ้ามหานภากาศ ล้วนเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ในความว่างนี้ก็มีฝุ่นธุลี แก๊ส น้ำ แร่ธาตุต่างๆ อุกาบาต เทหวัตถุ ดวงดาวทั้งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์คือ ดาวที่มีแสงในตัวเอง การเกิดแสงนั้นหมายถึงไฟ ซึ่งเป็นไฟเมื่อครั้งการระเบิดทั้งบิ๊กแบงและซุปเปอร์โนวา ทำให้ฝุ่นแก๊สไฟที่ปะทะกอดเกาะกันเป็นก้อนจนกลายเป็นดวงไฟที่ใหญ่โต จนแผ่รังสี ความร้อนออกไปในขอบเขตรัศมีของแรงดึงดูดของตน จนเกิดดวงดาวบริวารขึ้น 

การศึกษาเรียนรู้มวลสารหรือพฤติกรรมของดวงอาทิตย์ ย่อมจะเห็นร่องรอยกำเนิดของมันมาจากแรกเริ่มในเอกภพ เห็นอายุของมัน และเห็นอิทธิพลที่มีต่อสรรพสิ่งรอบรัศมีของมันเช่น โลกที่เป็นบ้านของเรา ที่โลกอยู่กึ่งกลางแห่งความสมดุลทั้งแรงดึงดูดและมวลแสง ย่อมเอื้อให้สิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นได้ จึงพอกล่าวได้ว่า สิ่งมีชีวิตมีความเป็นไปได้ในภาวะความสมดุล ไม่สุดโต่ง และสิ่งที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตคือ "แสง" (Light) นั่นเอง


๓) "โลก" (Earth) คือ ดาวเคราะห์ที่พิเศษจากดาวเคราะห์ทั้งหมดในระบบสุริยะ เพราะโลกอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและสมดุลที่สุด ด้วยเหตุนี้ โลกจึงเอื้อให้สรรพชีพดำรงอยู่ได้อย่างดี ในมวลสารของโลกก็ไม่ต่างจากดาวอื่นๆ ในระยะแรก แต่เพราะมีน้ำและมีแสงที่สมส่วนกัน กอปรแผ่นดินที่มีแร่ธาตุที่เกื้อกูลต่อสรรพชีพได้ จึงทำให้เชื้อจุลินทรีย์กำเนิดขึ้นมาอย่าางหลากหลายในท้องทะเล

กระนั้นโลกก็มิได้ตัดขาดจากดวงดาวอื่นหรือเทหวัตถุจากอวกาศ เพราะยังมีฝุ่นธุลี อุกาบาต น้ำ ลอยหล่นลงมาสู่พื้นโลกอยู่เรื่อยๆ ทำให้อาจเป็นไปได้ที่จะเกิดเชื้อจุลินทรีย์จากที่อื่นและนำน้ำมาด้วย จนเติมเต็มให้โลกเกิดความสมบูรณ์พร้อมที่จะผลิตมวลชีพได้ แหละด้วยวิวัฒนาการของกาลเวลาและสรรพสิ่งปรับตัว ตกผลึกอยู่โลกได้ จึงเกิดปฏิกิริยาต่อมวลสารของโลกได้อย่างมหัศจรรย์ขึ้น สิ่งมหัศจรรย์นั่นคือ "สิ่งมีชีวิต" (Beings) หากเราเจาะองค์ประกอบสิ่งมีชีวิต ก็จะพบสสารต้นกำเนิดของเอกภพที่เรียกว่า อะตอมของฝุ่นธุลีได้


๔) "สสาร" (Matter) เป็นองค์ประกอบย่อยของสรรพสิ่งที่เกิดมาจากเอกภพ ที่ลอยแขวนอยู่ในอวกาศที่เวิ้งว้างที่มืดมิด บางทีอาจเรียกว่า "พลังมืด" (Dark energy) ในทุกๆ สรรพสิ่งล้วนประกอบด้วยสสารนี้ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นปฐมธาตุของสิ่งทั้งปวง นักสสารนิยมกล่าวยืนยันว่า ทุกอย่างล้วนเกิดมาจากสสาร รวมทั้งจิตด้วย ไม่มีสิ่งไหนรอดพ้นไปได้ สสารเป็นรูปแบบที่ต้องการที่อยู่ และมีคุณสมบัติในตัวเอง เช่น เป็นของแข็ง เหลว ร้อน เย็น เป็นกรด เป็นเบส มีสี มีกลิ่น ฯ ซึ่งอนุภาคของสสารมี ๓ ชนิดคือ อะตอม โมเลกุลและไอออน เช่น น้ำ ประกอบด้วยอนุภาคของอากาศและน้ำ

สรรพสิ่งประกอบมาจากสสารหรืออะตอมที่เหมือนกัน แต่ต่างกันในคุณสมบัติและหน้าที่ เช่น น้ำ เป็นสสารชนิดเหลวหล็กเป็นสสารชนิดแข็ง โดยรวมแล้วสสารที่เกิดขึ้นในโลกถูกเรียกว่า "ธาตุ" (Elements) ปัจจุบันมีธาตุที่ถูกค้นพบแล้ว ๑๑๘ ชนิด สำหรับสิ่งมีชีวิต มีธาตุพื้นฐานสำคัญในการกำเนิดอยู่ ๔ ชนิดคือ ดิน น้ำ อากาศ และไฟ นี่คือ ธาตุหลักในรา่งกายของเรา เมื่อมันหลอมรวมกัน ก็จะเกิดคุณสมบัติพิเศษขึ้นเรียกว่า "ชีวิต" ในชีวิตก็จะเกิดพลังงานเฉพาะที่เรียกว่า "จิต" (Mind) ในมนุษย์และระบบประสาทในสัตว์ จนมนุษย์เกิดการคิดสร้างสรรค์ กลั่นกรองพฤติกรรม ความคิด ในสมอง จนตกผลึกเป็นจิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนาต่อมา


๕) "ศาสนา" (Religion) คือ ผลผลิตของสมองของมนุษย์ที่สร้างขึ้นมาจากความไม่เข้าใจ ไม่รู้ในกฎธรรมชาติและจากความหวาดกลัว ความไม่มั่นใจในตนเองว่า ปรากฏการณ์ต่างๆ สิ่งลี้ลับที่พบเห็นในแต่ละวัน จึงมโนเอาว่า น่าจะมีอำนาจลับหรืออำนาจเหนือวิสัยของมนุษย์ จึงเกิดความกลัว ความกลัวนี้เองทำให้เรา สร้างสรรค์หลักการหรือกฏเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับผู้เป็นเจ้านั้น เพื่อขอทางหรือแสงนำทางในการแสดงออก เพื่อมิให้ผู้มีอำนาจนั้นโกรธกริ้ว จึงเกิดพิธีกรรมขอ อ้อนวอน เพื่อให้อำนาจลดความเกรี้ยวกราดลง

การแสดงออกเช่นนั้น เหมือนเป็นการสื่อสารกับผู้มีอำนาจได้ โดยเฉพาะเจ้าพิธีกรรม พอนานไป เจ้าพิธีก็เทคโอเวอร์เอาพิธีกรรมมาไว้ในตัวเองและเขียนพิธีกรรมเป็นคัมภีร์ขึ้นมา เพื่อเป็นสื่อตัวแทนผู้มีอำนาจ เมื่อมนุษย์เจ้าพิธีมีประสบการณ์นั้น ก็รู้ทางได้ ทางหนี จึงเหมาพิธีกรรมเป็นของตนไป จึงเกิดกฏ กติกา ระเบียบ คำสอน เทววจนะขึ้น จนผู้ตามก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อเข้าถึงผู้เป็นเจ้าได้ 

ในสมัยสังคมนิยมมองศาสนาเป็นยาเสพติด ที่มอมเมาประชาชน ศาสนาในโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีสองชนิดคือ ชนิดตายแล้วและชนิดที่ยังนิยมอยู่ ปัจจุบันศาสนาต่างๆ ได้ผ่านการขัดเกลาจากมนุษย์มาแล้วหลายยุค จึงสามารถกล่าวได้ว่า มีเหตุมีผล ที่อ้างอิงกฎธรรมชาติหรือหลักสากลธรรมได้ มองในแง่ประวัติศาสตร์ ศาสนาเองได้สะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ไว้ตั้งแต่ต้น และได้พัฒนามุมมองให้น่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ที่สอนเรื่องความจริงของมนุษย์ ในตัวมนุษย์ มิได้กล่าวเน้นที่ไกลตัวหรือนอกตัวมนุษย์

ในที่นี่ขอให้เครดิตพุทธศาสนา เนื่องจากมีหลักการเรื่อง "กรรม" (Action) เพราะกรรมคือ จุดเปลี่ยนของชีวิตเหมือนเป็นทางแยกที่จะไปซ้ายหรือขวา ซึ่งกรรม (การแสดงออก) เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งในแง่ปัจเจกบุคคลและองค์กร (สังคม) เมื่อแสดงออกหรือลงมือกระทำย่อมส่งผลต่อตนเองและสังคมสิ่งแวดล้อม การกระทำนั้น จะวัดได้ด้วยเจตจำนงของมนุษย์เอง เช่น ถ้ามีเจตนาไปฆ่าคนอื่น ผลนั้นย่อมส่งผลถึงกาลของชีวิตทั้งในปัจจุบัน (ถูกจับ ถูกแก้แค้น) และอนาคต (ใจตกอบาย เป็นทุกข์ที่จิตจนวันตาย) จนกลายเป็นภพ เป็นชาติ ไม่รู้จบ แล้วก็จะเกิด ดับ เกิดดับ---> เช่นนี้ตลอดไปจนกว่าจะพ้นวัฏฏะ

                                                       


๖) "เกิด" (Birth) คือ การผันแปรแร่ธาตุไปเป็นรูปทรง รูปสัณฐานของเชื้อมนุษย์ หรือสัตว์ การเกิดเป็นกระบวนของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยองค์ประกอบทั้งเชื้อสสารจากพ่อแม่คือจากโลกและจากจิตวิญญาณ (ของตน) หากจะถามว่าเราเกิดมาจากไหน อย่างไร คำตอบจะไปสะท้อนที่พ่อแม่ ถามต่อไปอีกก็จะได้คำตอบว่า พ่อแม่ของพ่อแม่>> ไม่รู้จบ ฝรั่งเรียกว่า "infinite regress" แปลว่า ปัญหาไก่กับไข่ กระนั้น เราก็สามารถสืบค้นได้จากหลักฐานเชิงฟิสิกส์ คือ ร่างกาย

ร่างกายคือ ผลผลิตของอะตอมที่กำเนิดมาตั้งแต่บิ๊กแบงโน้น หากไล่เลียงย้อนหลังไปก็จะพบเส้นทางไปที่เอกภพได้ เพราะร่างกายประกอบมาจากสสาร โมเลกุล อะตอม ที่ประกอบมาจากธาตุเดิมของโลก ซึ่งโลกได้มาจากการเกาะกอดของสรรพธุลีละอองจากฟากฟ้านภากาศ ที่เกิดขึ้นเมื่อแรกกำเนิดเอกภพนั่นเอง และเมื่อธาตุหรือะตอมหลอมรวมเป็นร่างกายแล้ว ก็เกิดปฏิกิริยาพลังงานแห่งจิตสสารหรือวิญญาณธาตุขึ้น วิญญาณธาตุนี้มีคุณสมบัติที่คิดได้ รู้สึกได้ รับรู้สื่อสาร ตอบโต้ได้ จึงเกิดรักชอบ โกรธ หลง อารมณ์ต่างๆ ทั้งดี ไม่ดี ทั้งหมดของร่างกายก็ไม่รอดพ้นกฎแห่งธรรมชาติคือ เกิด แปรและสลาย เรียกภาพนี้ว่า "สภาวทุกข์" (State of Suffering)

๗) "ทุกข์" (Suffering) คือ สภาวแอบแฝงที่ฝังอยู่ในร่างกายของสัตว์ โดยเฉพาะมนุษย์ เหตุที่บอกว่า "แอบแฝง" (Hiding) เพราะว่า มันไม่โดดเด่นสำหรับคนทั่วไป หรือมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่า ตนเองมีสภาวะอ่อนแอในลักษณะนี้ แต่ความจริงตามหลักธรรมชาติมันดำเนินไปตามทางนั้นแน่นอน ส่วนที่เรียกว่า ทุกข์นั้น ก็เนื่องจากว่า มนุษย์ทุกรูป ทุกนาม มีร่างกายที่เป็นที่รองรับประสาทไว้ ประสาทคือ ระบบความรู้สึกหนาว ร้อน เจ็บ ปวด กลัว หิว ฯ จึงทำให้มนุษย์มีอาการเหล่านี้อยู่ทุกวันเรียกว่า ทุกข์จร ทุกข์อีกชนิดหนึ่งคือ ทุกข์ที่ฝังอยู่อย่างถาวร ตราบใดที่ยังมีกาย มีลมหายใจคือ ทุกข์อันเกิดจากการเกิด แก่ เจ็บ ป่วย ตาย

จุดเริ่มที่เราจะเข้าใจชีวิตได้ดีคือ เริ่มที่ตัวทุกข์นี่เอง ซึ่งต้องอาศัยจิตปัญญาเป็นเครื่องกำกับในการเรียนรู้ว่า ชีวิตนี้มิได้เกิดมาเพื่อตอบสนองเจ้าของ (ตนเรา) อย่างเดียว แต่มันเป็น มันอยู่ มันมีอยู่ ตามกลกาลเวลา กรรม แรงกระตุ้น แรงแห่งเจตจำนงของเรา และอนึ่ง ในการดำรงชีพอยู่นี่ เรามีชีวิตเหมือนอยู่บนเส้นด้ายบางๆ ไม่รู้โชคชะตา มรณภัยจะพรัดพรากเราไปวันไหน เวลาใด นี่คือ ความจริงที่แอบแฝงอยู่ด้วย 

๘) "ภาษา" (Language) คือ สื่อที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลาง ในการแสดงความต้องการ หรือสื่อเจตจำนงของตนข้างในออกไป และสื่อเอาสิ่งข้างนอกเข้าไปข้างในด้วย ในชีวิตของมนุษย์เราไม่อาจหนีภาษาได้เลย เพราะนี่คือ กุญแจที่จะไขความลับของคนอื่นหรือตัวเองให้คนอื่นรู้เข้าใจ และเมื่อมนุษย์รู้และเข้าใจอะไร มักจะใช้ภาษาเป็นสื่อกลางบันทึก จดไว้เป็นหลักฐานการเรียนรู้

ในสมัยก่อนเรายังไม่รู้ภาษาชัดเจนนัก ก็จะใช้วิธีการเขียนรูปภาพเช่นชาวอิยิปต์ ต่อมาเมื่อสร้างอักษรขึ้นมา เราก็อาศัยมันเป็นที่รองรับความคิด ประวัติศาสตร์ พฤติกรรม ความรู้ ฯ บันทึกเป็นหลักฐาน นอกจากนี้ เมื่อเรารู้อะไรมากขึ้น เราก็สื่อด้วยภาษาออกมาให้คนอื่นรู้ด้วย ฉะนั้น ภาษาใดๆ ก็จะถูกกลุ่มชนนั้น บันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้ เช่น ประวัติศาสตร์ ดาราศาสตร์ ชีววิทยา ศาสนา ปรัชญา ฯ จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้อดีตได้ดี 

ชีวิต การกำเนิด โลก จักรวาล สสาร ฯ ทั้งหมดนี้ ถูกภาษาบันทึกไว้หมด โดยเฉพาะสังคมยุคโชเชียลมิเดียนี้ ล้วนจุด้วยอักษร ข้อความทั้งสิ้น มาจากไหน ก็มาจากแต่ละคนของมนุษย์ที่บันทึก ขีดเขียนออกมาจากประสบการณ์ การคิด การวิเคราะห์จากสมองนั่นเอง ถ้าิยากรู้เรื่องใดก็แสวงหาจากภาษานี้ได้ รวมทั้งสรรพสิ่งในจักรวาลเน็ต (อินเตอร์เน๊ต) ด้วย

                                                                                   

๙) "น้ำ" (Water) คือ หน่วยอะตอมที่เกิดมาจากอวกาศ ซึ่งลอยล่องอยู่กับฝุ่นธุลี และน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิต เช่น พืช สัตว์ในโลก โลกมีน้ำถึง ๗๐ ส่วน ซึ่งสะท้อนให้เห็นในอวกาศย่อมมีมากแน่นอน หลักฐานจากดาวเคราะห์อื่นๆ เช่น พลูโต ยูเรนัส ดาวอังคาร ฯ แสดงให้เห็นว่า จักวาลนี้ล้วนท่วมท้นไปด้วยน้ำทั้งสิ้น 

สิ่งมีชีวิตอาศัยน้ำเป็นสิ่งรองรับความเจริญเติบโต เพื่อมิให้สรรพสิ่งตัดขาดจากธาตุน้ำ น้ำจึงฝังอยู่ในสรรพสิ่งทั้งหมด หากเราจะศึกษาจักวาลว่ามีน้ำขนาดไหน จงศึกษาจากร่างกายของเราเถิด ในร่างกายของเราล้วนมีน้ำหล่อเลี้ยงทั้งสิ้น และน้ำยังมีสายใยเชื่อมโยงสรรพสิ่งอย่างแนบแน่น ทุกเม็ดของหยดน้ำล้วนเป็นญาติกัน และเลือดเราก็ล้วนเป็นญาติของน้ำในอวกาศจักวาลเช่นกัน เพราะน้ำเป็นสภาวะที่เที่ยงตรงไม่ลำเอียง และแทรกอยู่ทุกอณูพื้นที่ หากรู้น้ำได้ละเอียดลึก อาจรู้ไปถึงจิตใจ และสายน้ำของจักรวาลได้ครับ

๑๐) "จิต" (Mind) คือ ส่วนเฉพาะของมนุษย์ที่มีคุณสมบัติโอบอุ้มเอาความรู้สึก ความรู้ สภาวการณ์ต่างๆ ของตนเองและโลกไว้ข้างใน จนกลายเป็นข้อมูลของโลก ที่จะสื่อสารออกมา หรือมองเห็นกรอบขององคาพยพทั้งหมดของตนเองและสรรพสิ่งได้ จิตคือรังไหม ที่นอน ธนาคาร แก้วน้ำ ถ้ำพิลึก ที่เราเอาความรู้สึกต่างๆ เก็บไว้ ซ่อนไว้ นี่คือ ที่จำเพาะของแต่ละคน (ปัจเจกบุคคล)

ว่ากันว่า "จิต" คือ อาณาบริเวณจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่มิอาจวัดได้ จึงยากที่ใครจะวัดหยั่งรากได้ ในขณะเดียวกัน จิตก็มีพลังงานที่จะสามารถถ่ายเทไปยังเป้าหมายที่ใดก็ได้ เป็นที่จะสร้างพลังจิตให้เกิดเป็นคุณต่อตนเองและคนอื่นได้ นอกจากนั้น จิตยังซ่อนลักษณะไม่ดีแอบแฝงไว้ด้วย เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะ และเข้าถึงได้ยาก เพราะจิต มีคุณลักษณ์พิเศษที่เหนือเครื่องมือใดๆ จะสอดรู้ได้ 

ดังนั้น หากอยากเข้าใจคนอื่นและจักรวาล จงหาทางเข้าหาจิตตนเองให้ได้ เพราะจิตคือ "เอกภพ" ของสิ่งมีชีวิต ที่เรายังตามไม่ทัน เพราะมันพัฒนาก้าวหน้าไปไกลมากแล้ว ด้วยเหตุที่เรียกว่า รู้คนเดียว ก็รู้คนอีกเป็นล้านครับ แหละนี่คือ ข้อคิดบันทึกที่ต้องการจะเน้นว่า สรรพสิ่งในโลก จักรวาล ไม่เหนือเกินความใฝ่รู้ ใฝ่สืบค้นของเรา แค่เราค้นแค่หนึ่ง (เดียว) ก็ถึงคน สรรพสิ่ง อีกหลายล้านได้ เหมือนพระพุทธเจ้าบอกว่า "ใบไม้ในกำมือกับในป่า แค่รู้หนึ่งใบ ก็สามารถรู้ทั้งหมดได้ เพราะสรรพสิ่งคือ อันเดียวกันหมดนั่นคือ สสาร" ครับ

                                         ----------------------(๒๖/๑๐/๕๗)---------------------

หมายเลขบันทึก: 579313เขียนเมื่อ 27 ตุลาคม 2014 00:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2014 10:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ขอบคุณข้อคิดดีๆ ค่ะท่าน

<p>มีใบไม้หนึ่งใบ..มาฝากเจ้าค่ะ</p>

อ่านแล้วคิดถึงพระเทศน์เรื่อง

ใบไม้ในกำมือ จังครับ

ชอบวรรคทองนี้มากครับ

ส่วนมนุษย์โลกก็ไม่แตกต่างจากบรรดาสัตว์โลกชนิดอื่นๆ มากนัก ยังคงใช้พื้นฐานการปรับตัวตามธรรมชาติวิถี เหมือนกับสัตว์และพืชเช่นกัน กระนั้น ก็มีจุดต่างจากพืชและสัตว์ตรงที่ มนุษย์มีเจตนาที่แอบแฝง ซ่อนเร้นเจตจำนงเพื่อตัวเองอยู่เบื้องหลัง

ขอบพระคุณครับ

ได้แนวคิดดีเลยครับ

ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างเป็นอิทัปปัจจัยตานะครับ

ขอบคุณมากครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท