ศิวาเมษฐ์ แข่งเพ็ญแข : พร้อมแล้ว


“หมอต้องรักษาพี่ให้หายนะ พี่มีภาระเยอะ แม่พี่ก็แก่แล้ว ไม่มีคนดูแล พี่ยังตายไม่ได้หรอกหมอ”  เสียงขอร้องกึ่งๆ บังคับของคนไข้ผู้หญิงบอกกับผมด้วยน้ําเสียงเด็ดขาด

พี่ไพจิตรเป็นคนไข้มะเร็งเต้านมระยะลุกลาม เธอหอบฟิล์มเอ็กซเรย์ของหลายโรงพยาบาล ซึ่งผลแสดงว่าเป็นมะเร็งเต้านมข้างซ้าย แต่ฟิล์มทั้งหมดเป็นของปีที่แล้ว

“อ้าว ทําไมเพิ่งมาล่ะครับพี่ คุณหมอไม่ได้บอกหรือว่าเป็นมะเร็ง?”  ผมถามด้วยความสงสัย

“คุณหมอบอกแล้วหล่ะ แต่พี่ไม่มีเวลา งานเยอะ”  เธอตอบแบบรําคาญ

“อีกอย่างมันไม่เจ็บอะไร ก็เลยรอดูเผื่อจะหายไปเอง”

“มีคนแนะนําให้มาหาคุณหมอ บอกคุณหมอรักษาได้”

“ก็พอรักษาได้ แต่คงต้องตัดเต้านมทิ้งนะครับ”

“ได้เลย ทํายังไงก็ได้ ขอให้หายเร็วๆ พี่จะได้รีบกลับไปทํางานต่อ”

ครับ เรื่องของผมกับพี่ไพจิตรก็เริ่มต้นตั้งแต่วันนั้นนั่นเอง

.. ..  ..

พี่ไพจิตรอายุ 50 ปีเป็นโสด อยู่กับแม่และน้องสาว ทํางานเป็นผู้บริหารของบริษัทประกันชีวิต อัธยาศัยดีรักแม่มาก แต่ออกจะมั่นใจในตัวเองมากสักหน่อย ตามประสาผู้หญิงเก่ง หน้าที่การงานของเธอก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทําให้เธอไม่มีเวลาดูแลสุขภาพหรือแม้แต่เวลาพักผ่อน เธอเคยบอกผมว่า “การพักผ่อนของพี่ คือการทํางานค่ะหมอ” 

ผมได้แต่แนะนําเธอ แต่ก็รู้ว่าเธอคงไม่ฟังผมหรอก ผมเริ่มต้นการรักษาด้วยการผ่าตัด ต่อด้วยเคมีบําบัดและรังสีรักษา เธอเป็นคนไข้ที่ดีทีเดียว มารักษาตามนัดทุกครั้ง ผมรู้สึกมีความหวังว่าผลการรักษาคงจะได้ผลดีตามที่หวัง แต่เมื่อเริ่มการรักษาด้วยยาฮอร์โมนเธอก็เริ่มผิดนัดบ่อย จนสุดท้ายก็หายไปเลย เมื่อทีมงานโทรตามเธอก็บอกว่าติดงาน

“พี่ว่าพี่หายแล้วล่ะหมอ ขอบคุณหมอมาก” “ถ้าพี่มีปัญหาจะไปหาหมอเอง”

ผมได้แต่หวังว่าเธอจะหายจริงๆ

เรื่องของผมกับพี่ไพจิตรเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว ผมเริ่มลืมเลือนเธอไปทีละน้อย จนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งมีโทรศัพท์ตามตัวผมจากห้องฉุกเฉิน บอกว่ามีคนไข้มะเร็งเต้านมหอบเหนื่อยมาก และคนไข้ต้องการพบผม เป็นพี่ไพจิตรนั่นเอง เธอมีมะเร็งขึ้นอีกข้างของเต้านม แต่ครั้งนี้เป็นมากกว่าครั้งก่อนมาก

“ก้อนนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ครับพี่” ผมถามแบบเซ็งสุดขีด

“ขึ้นมาหลายเดือนแล้วล่ะหมอ แต่ไม่มีเวลาจริงๆ งานยุ่งมาก”

“แต่พี่มั่นใจว่า หมอต้องรักษาพี่ได้เหมือนครั้งที่แล้ว” เธอตอบแบบมีความหวังเต็มเปี่ยม

แต่เมื่อตรวจร่างกายและเอ็กซเรย์อย่างละเอียด พบว่ามีก้อนในปอดและตับหลายก้อน ซึ่งแสดงว่าเธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย เมื่อผมบอกความรุนแรง การพยากรณ์โรค และแผนการรักษา เธอตอบผมว่า “หมอทํายังไงก็ได้ ขอให้พี่หายเหมือนครั้งก่อน“ “พี่ยังตายไม่ได้พี่ยังไม่พร้อมจะตาย พี่มีแม่ต้องดูแล”

“พี่ครับ ครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนนะครับ มันอาจจะไม่ดีเหมือนครั้งก่อนก็ได้นะครับ”

“ยังไง พี่เผื่อใจไว้หน่อยนะครับ”

“พี่ยังไม่พร้อมจะตาย หมอต้องรักษาพี่ให้หาย” เธอบอกผมเสียงกร้าว

ไม่ว่าผมจะอธิบายอย่างไรดูเหมือนเธอจะไม่ยอมรับ เธอบอกแต่ว่าเธอยังตายไม่ได้ 

ผมเริ่มต้นรักษาเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนครั้งที่แล้ว ต้องเจาะปอดเพื่อระบายน้ําที่เกิดจากมะเร็ง และให้ยาเคมีบําบัด ครั้งนี้เธอตอบสนองต่อการรักษาน้อยลง และน้ําที่ออกจากช่องปอดดูเหมือนจะมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามพูดคุยกับเธอถึงการเตรียมตัวเมื่อต้องจากโลกนี้ไป แต่เมื่อผมพูดถึงเรื่องนี้ครั้งใด เธอก็จะหันหน้าหนีและไม่ฟังไม่พูดกับผมอีกเลย ผมและทีมงาน 'ใส่ใจ ใจใส' ก็ได้แต่จนปัญญา อีกไม่นานเธอเริ่มมีปัญหาเรื่องการหายใจ จนต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และต้องเจาะคอใส่ท่อหายใจที่คอ สุดท้ายเธอต้องใช่เครื่องช่วยหายใจเพราะมะเร็งได้กระจายไปจนเต็มปอดทั้งสองข้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังสมบูรณ์ท่ามกลางความเสื่อมถอยของสังขารก็คือ สติ

การรับรู้ของเธอยังดีเยี่ยม ฟังได้เขียนตอบได้ เพียงแต่หายใจและพูดไม่ได้เท่านั้น และอีกสิ่งหนึ่งที่ยังอยู่ในใจของเธอคือ เธอมั่นใจว่าเธอต้องหายและกลับมาทํางานได้เหมือนเดิม

และอีกหลายๆครั้งเมื่อผมและทีมงาน “ใส่ใจ ใจใส”พยายามพูดถึงการเตรียมตัวตายอย่างมีสติ เธอก็จะทําเหมือนเดิมคือหันหน้าหนีและไม่รับฟังใดๆทั้งสิ้น พวกเราได้แต่ถอนหายใจ แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนฝนโปรยมาในยามที่ผืนดินแตกระแหงที่สุด พระอาจารย์ไพศาล วิศาโล มาจัดอบรมการเตรียมตัวตายอย่างมีสติที่สุรินทร์ พวกเรานิมนต์พระอาจารย์มาเทศน์สอนเธอเป็นการส่วนตัว

เหมือนเดิม เธอเบือนหน้าหนีและบอกเหมือนเดิมว่าเธอยังตายไม่ได้ พระอาจารย์แนะนําและสอนเธออย่างใจเย็นและมีเมตตา ท่านเทศน์อยู่นานกว่าชั่วโมง สุดท้ายผมก็เห็นน้ําตาของเธอไหลอาบแก้ม แต่สงบเยือกเย็นแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน 

หลังพระอาจารย์กลับไปแล้ว อาการเธอเริ่มทรุดลง สติของเธอเริ่มหายไปเป็นช่วงๆ ความดันเธอเริ่มลดต่ําลง ผมได้แต่กังวลว่าเธอจะจากไปสู่สุคติได้อย่างไร ในเมื่อใจของเธอยังไม่ปล่อยวางอะไรเลย

เช้าวันต่อมาพยาบาลโทรตามผมตั้งแต่เช้า ผมนึกในใจว่าเธอคงจะจากไปแล้วกระมัง แต่เปล่าเลย สติของเธอเริ่มดีขึ้น ความดันเริ่มดีขึ้น และเธอเขียนบอกว่าอยากพบผมและทีมงาน เมื่อไปถึง เธอจับมือและบีบมือผมแน่น แล้วเธอก็เริ่มเขียน เขียนอย่างยากเย็น ตัวหนังสือแทบอ่านไม่ออก แต่ผมรู้สึกได้ว่า เป็นตัวอักษรที่สวยที่สุดในชีวิตของการเป็นแพทย์

บรรทัดแรกเธอเขียนว่า “ขอบคุณ”

บรรทัดที่สองเธอเขียนว่า “พร้อมแล้ว”

เธอพยายามยิ้มให้พวกเราอย่างยากเย็น เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่เคยลืม ผมแทบกลั้นน้ําตาไม่อยู่ ทีมงานหลายคนน้ําตาไหลโดยไม่รู้ตัว ผมได้แต่พูดกับเธอว่า “เราคงได้พบกันอีกนะครับพี่”

อีกไม่นานเธอก็จากไปสู่ภพภูมิใหม่ เมื่อผมมาลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย ผมคิดว่าผมเห็นรอยยิ้มของเธอนะ

ผมบอกกับตัวเองว่า “เธอพร้อมแล้วจริงๆ”

นพ.ศิวาเมษฐ์ แข่งเพ็ญแข และทีมงาน ใส่ใจ ใจใส

หมายเลขบันทึก: 578471เขียนเมื่อ 8 ตุลาคม 2014 21:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 ตุลาคม 2014 21:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท