กลับตาลปัตรในพจนานุกรมแปลว่า ผิดความคาดหมายอย่างตรงกันข้ามแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ ในที่นี้ขอใช้ในความหมายที่ต่างไปเล็กน้อย
การกลับตาลปัตร คือการพลิกตาลปัตรเอาด้านหลังมาไว้ด้านหน้า ด้านหน้าจึงกลายเป็นด้านหลัง การกลับตาลปัตรจึงง่ายมาก
วิธีแก้ปัญหาการจ้างทำการบ้าน ทำได้ด้วย การจัดการเรียนการสอนแบบกลับตาลปัตร คือ การเอาส่วนที่เคยเป็น "การบ้าน" มาทำใน "ชั้นเรียน" และเอาส่วนที่เคยเป็นเรื่องใน "ชั้นเรียน" ไปทำเป็น "การบ้าน" ที่จริงแล้วข้อเสนอนี้มีเจตนาที่จะแก้ปัญหาเรื่องการให้การบ้านนักเรียนแบบม้วนเดียวจบ การแก้ปัญหาเรื่องการจ้างทำการบ้านเป็นเพียงผลพลอยได้เล็กๆน้อยๆ
"การบ้าน" ส่วนใหญ่เป็นแบบฝึกหัด เป็นโจทย์ปัญหา หรือเป็นงานอื่นๆที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำ โดยหลักการก็เพื่อให้ได้ฝึกใช้ความรู้ที่เรียนไปแล้วในชั้นเรียน จึงเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญคือ การฝึกการนำความรู้ไปใช้ ซึ่งเป็นความรู้ในระดับสูง
โปรดสังเกตว่า วัตถุประสงค์การศึกษาในด้านเนื้อหาวิชา แบ่งออกเป็น 6 ระดับคือ 1) จำได้ 2) เข้าใจ 3) นำไปใช้ 4) วิเคราะห์ 5) ประเมิน 6) สร้างสรรค์
ในทางปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนในระดับ 4, 5, 6 ทำรวมกันไปกับระดับ 3 ดังนั้น จึงอาจแบ่งการจัดการเรียนการสอนเป็นแค่สามระดับคือ 1 จำได้ 2 เข้าใจ และ 3 นำความรู้ไปใช้ได้
ถ้าหยุดคิดสักนิดจะเห็นได้ว่า "เป็นเรื่องแปลก ที่ครูให้การบ้านนักเรียนในเรื่องที่ยาก ส่วนการเรียนการสอนในชั้นเรียนกลับเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า"
ในทางที่ถูกที่ควร (ถ้าใช้การเรียนรู้ของนักเรียนเป็นตัวตั้ง เป็นหลักในการคิด) เวลาในชั้นเรียนควรเก็บไว้ใช้กับการเรียนรู้ที่ยาก (ระดับ 3) เพราะต้องอาศัยครูคอยดูแล ให้ความช่วยเหลือ ส่วนการเรียนรู้ที่ง่ายกว่า (ระดับ 1, 2) อาจมอบหมายให้นักเรียนไปเรียนเองนอกชั้นเรียนได้สะดวก
นั่นคือ ควรเอา "การบ้าน" ที่เป็นแบบฝึกหัด เป็นโจทย์ปัญหา หรือเป็นงานที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำ มาทำใน "ชั้นเรียน" เพราะเป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนต้องลงมือทำจึงจะเกิดการเรียนรู้ (มีคนอื่นทำแทนหรือรับจ้างไปทำ ไม่เกิดการเรียนรู้) และเป็นการเรียนรู้ที่ค่อนข้างยาก อาจต้องอาศัยการชี้แนะจากครู เพราะเป็นความรู้ในระดับสูง ครูต้องคอยดูแลให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้จริง ส่วนการเรียนรู้เนื้อหาวิชาในระดับจำได้ เข้าใจ เป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ง่ายกว่า ในยุคปัจจุบันซึ่งมีแบบเรียนดีๆให้ใช้กันแพร่หลายแล้ว ครูอาจนำมาใช้มอบหมายเป็น "การบ้าน" ให้นักเรียนอ่านโดยกำหนดเป็นบทหรือเป็นจำนวนหน้า (ใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ได้ว่าครูให้การบ้านมากไปหรือไม่ และนักเรียนไม่สามารถจ้างคนทำการบ้านแทนได้ และยังเป็นการฝึกนิสัยการอ่านอีกด้วย) ในเนื้อหาวิชาที่จะนำมาใช้ในชั้นเรียนวันต่อไป ครูสามารถตรวจสอบว่านักเรียน "ทำการบ้าน" มาหรือไม่ ด้วยการให้นักเรียนทำแบบทดสอบ (ไม่เกิน 10 ข้อ เน้นประเด็นที่ต้องนำไปใช้ ขออภัยที่ทำให้ครูเหนื่อยขึ้นเล็กน้อย) โดยมีการเก็บคะแนนด้วย (ทำให้นักเรียนต้องเข้าเรียนตรงเวลา มิฉะนั้นจะพลาดการทดสอบ) ผลการตอบจะทำให้ครูทราบด้วยว่าเนื้อหาส่วนใดนักเรียนไม่เข้าใจ หลังการเฉลยคำตอบครูสามารถอธิบายส่วนที่นักเรียนไม่เข้าใจ เรื่องที่ครูบรรยายก็จะเป็นเรื่องที่เข้มข้นน่าสนใจกว่าการบรรยายโดยทั่วไป เวลาส่วนใหญ่ในชั้นเรียน ควรใช้กับการทำแบบฝึกหัดหรืองานที่เคยเป็นการบ้าน แต่ปรับให้เหมาะสมกับเวลาในชั้นเรียน และให้สามารถเฉลยคำตอบได้สะดวก (ครูเหนื่อยขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่จะหายเหนื่อยเมื่อผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้นกว่าเดิม)
การจัดการเรียนการสอนแบบกลับตาลปัตรนี้ มิใช่เรื่องที่ผมเพ้อฝันไปเอง แต่เป็นแนวคิดที่มีการใช้กันแพร่หลายพอสมควรแล้วในวงการอุดมศึกษา ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะนำมาใช้ไม่ได้กับประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษา ของแถมคือ หากมีการใช้กันแพร่หลายพอ คะแนน
ที่สำคัญกว่า เบื้องหลังของแนวคิดนี้คือ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการเรียนการสอน ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา
อำนาจ ศรีรัตนบัลล์
6 กันยายน 2557
กราบคารวะครูครับ สุดยอดข้อเสนอแนะครับ จาก MD26 ครับ
ดีใจที่อาจารย์กลับมาเขียนอีกครั้งค่ะ รออ่านทุกๆเรื่องจากมุมมองของอาจารย์ค่ะ