ในชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ๆ นั้น ความทุกข์จริง ๆ
ดูเหมือนว่าจะมีไม่มากเท่าความทุกข์อันเกิดจากอุปาทาน
ความทุกข์จริง ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่าสภาวทุกข์
เช่น แก่ เจ็บ ตาย อันนี้พระอรหันต์ก็ยังต้องตกอยู่ภายใต้
อำนาจของมัน เราหลีกไม่พ้นแน่
แต่ถ้าไม่มีอุปาทานเพิ่มลงไป
ความทุกข์นั้นก็จะเป็นความทุกข์ตามสภาวะล้วน ๆ
แต่พออุปาทานเพิ่มลงไปด้วย ความทุกข์ก็จะเพิ่มกำลังมากขึ้น
เช่น ความแก่ ถ้าเราปล่อยให้แก่ไปตามธรรมดาของสังขาร
ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่พออุปาทานเข้าไปเพิ่มคือกลัวแก่แล้ว
จะไม่สวยเหมือนเมื่อสาว ๆ ความทุกข์ก็เกิดมากขึ้นทันที
นอกจากนี้ ยังมีความทุกข์อันเกิดจากอุปาทานล้วน ๆ อีก
เช่น ยึดถือว่าเขาด่าเรา เขานินทาเรา
เขาเคยยกย่องสรรเสริญเรา เวลานี้ทำไมเขาจึงเมินเฉยไป
แล้วก็เกิดทุกข์ใจขึ้น ความทุกข์อย่างนี้ถ้าไม่คิดก็ไม่ทุกข์
พอคิดเข้าก็ทุกข์ ยิ่งคิดมากก็ทุกข์มาก
พอเลิกคิด ความทุกข์ก็ดับไป อย่างนี้เรียกว่าทุกข์ เพราะอุปาทาน
เมื่อวิเคราะห์ได้แล้วว่า อันใดเป็นทุกข์ เพราะอุปาทาน
พอละอุปาทานหรือถอนอุปาทานเสียได้ ความทุกข์ก็ดับไปทันที
Cr. Facebook "อาจารย์วศิน อินทสระ" [https://www.facebook.com/W.Indhasara?fref=nf]. วันพุธที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๗
ไม่มีความเห็น