ความเป็นผู้ทรงสิทธิของเด็กชายหม่อง ทองดี ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙
: ผูกพันประเทศไทยในสถานะของกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ? อย่างไร ?
โดย รองศาสตราจารย์ ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
ข้อสอบในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง สาขานิติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ปีการศึกษา ๒๕๕๓ ภาคที่ ๑
-----------
ข้อเท็จจริง
-----------
ในการพิจารณาของคณะอนุกรรมการด้านสิทธิและสถานะบุคคลของผู้ไร้สัญชาติ ไทยพลัดถิ่น ผู้อพยพ และชนพื้นเมืองเพื่อพิจารณาประเด็นความเป็นผู้ทรงสิทธิของเด็กชายหม่อง ทองดี ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ นั้น มีการพิจารณาถึงสัมพันธภาพของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ กับประเทศไทย
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้มีมติยอมรับอนุสัญญานี้และเปิดให้ลงนามตั้งแต่วันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๘๙ ณ กรุงนิวยอร์ค และอนุสัญญานี้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ค.ศ.๑๙๙๐ หลังจากมีรัฐที่ลงนามให้สัตยาบันครบ ๒๐ รัฐ
จนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.๒๐๐๙/พ.ศ.๒๕๕๒ มี ๑๙๔ รัฐในประชาคมระหว่างประเทศได้ให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติอนุสัญญานี้ บางประเทศมีข้อสงวนต่ออนุสัญญานี้
ประเทศไทยได้ภาคยานุวัติเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๕ อันทำให้อนุสัญญานี้มีผลในประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๕
ข้อ ๑ แห่ง อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ บัญญัติว่า “เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งอนุสัญญานี้ เด็กหมายถึง มนุษย์ทุกคนที่อายุต่ำกว่าสิบแปดปีเว้นแต่จะบรรลุนิติภาวะก่อนหน้านั้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่เด็กนั้น”
------
คำถาม
------
ในฐานะที่ท่านทำหน้าที่นิติกรประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จงตอบคำถามของคณอนุกรรมการข้างต้นที่มีต่อท่านว่า อนุสัญญานี้ผูกพันประเทศไทยในสถานะของกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ? อย่างไร ?
------------
แนวคำตอบ
------------
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง สนธิสัญญาระหว่างรัฐไม่ว่าจะใช้ชื่อว่าอะไรก็ตาม อาจผูกพันรัฐใน ๒ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) สนธิสัญญาที่ทำหน้าที่สัญญาระหว่างรัฐ และ (๒) สนธิสัญญาที่ทำหน้าที่ก่อตั้งกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ ทำหน้าที่ของบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ
นอกจากนั้น โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ บ่อเกิดดังกล่าวอาจมีได้ใน ๓ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) บ่อเกิดอันดับแรกซึ่งเป็นกฎหมายซึ่งศาลใช้ในการตัดสินคดี ซึ่งอาจจะเป็นกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ ก็ได้ (๒) บ่อเกิดอับดับรองซึ่งหมายถึงคำสอนและคำตัดสินของศาลซึ่งใช้ในการอธิบายหลักกฎหมาย และ (๓) บ่อเกิดตามเจตนาของคู่ความ อันได้แก่ ความยุติธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
โดยข้อกฎหมายดังกล่าว เราอาจจำแนกสนธิสัญญาที่ทำหน้าที่บ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศออกเป็น ๒ ลักษณะ กล่าวคือ
ลักษณะแรก ก็คือ สนธิสัญญาซึ่งประมวลกฎหมายระหว่างประเทศที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศและหลักกฎหมายทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาประเภทนี้ย่อมผูกพันรัฐ แม้รัฐจะไม่ได้ลงนามและให้สัตยาบัน หรือภาคยานุวัติต่อสนธิสัญญา อาทิ อนุสัญญาแห่งกรุงเวียนนา ค.ศ.๑๙๖๐ ว่าด้วยความสัมพันธ์ทางทูต หรืออนุสัญญาแห่งกรุงเวียนนา ค.ศ.๑๙๖๙ ว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา
ลักษณะที่สอง ก็คือ สนธิสัญญาซึ่งก่อตั้งกฎเกณฑ์ที่เป็นพัฒนาการใหม่ของประชาคมระหว่างประเทศ กล่าวคือ เป็นกฎเกณฑ์ที่ยังไม่ได้รับการยอมรับในสถานะ กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศและหลักกฎหมายทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ โดยหลัก สนธิสัญญาประเภทนี้ย่อมไม่อาจผูกพันรัฐ หากรัฐยังมิได้ลงนามและให้สัตยาบัน หรือภาคยานุวัติ อาทิ สนธิสัญญาห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในลักษณะทั่วไป (The Comprehensive Nuclear-Test-Ban Treaty - CTBT) ซึ่งห้ามการทำให้เกิดการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในสภาวะแวดล้อมทั้งมวลทั้งเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารและพลเมือง สนธิสัญญานี้ได้รับการยอมรับโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ค.ศ.๑๙๙๖/พ.ศ.๒๕๓๙ แต่ในปัจจุบัน ยังไม่มีผลบังคับ เพราะยังไม่มีรัฐภาคีให้สัตยาบันหรือภาคยานุวัติครบจำนวนตามที่สนธิสัญญากำหนด
เมื่อกลับมาพิจารณากรณีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ นั้น หากจะพิจารณาว่า เรื่องของสิทธิเด็กเป็นเรื่องหนึ่งในกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งเริ่มได้รับการยอมรับจากประชาคมนานารัฐ ในสถานะของกฎฆมายจารีตประเพณี
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการโต้แย้งความเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ ก็ตาม อนุสัญญานี้ก็ยังผูกพันประเทศไทยในสถานะของบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เพราะประเทศไทยได้ภาคยานุวัติอนุสัญญานี้แล้ว ดังนั้น โดยกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสนธิสัญญา อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ จึงผูกพันประเทศไทยแล้ว ยกเว้นในกรณีที่ประเทศไทยตั้งข้อสงวน
ดังนั้น การละเมิดอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.๑๙๘๙ ก็คือ การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
----------------------------------------------
ไม่มีความเห็น