วันนี้ครูอ้อยกลับบ้านเย็นกว่าปกติ เดินสำรวจโรงเรียนเสร็จแล้ว ก็เดินเอาสิ่งของมาเก็บในรถ เห็นนักเรียนยังเหลืออีกหลายคนก็ทักทายไปเรื่อยๆ บางคนเป็นเด็กชั้นอนุบาล พ่อแม่มารับกลับบ้านจนมึดก็มี ปล่อยให้อยู่กับภารโรงหรือยามก็มี นี่ล่ะชีวิตคนในเมืองใหญ่
ครูอ้อยมองไปเรื่อยๆ เห็นครกใบใหญ่ น่ากินส้มตำ จึงสั่งว่า ทุกอย่างไม่ใส่ปูไม่ใส่ผงชูรส ใส่พริก 5 เม็ด
แล้วครูอ้อยก็มาทักทายแม่ค้าขายหมูปิ้ง ว่าขายดีหรือไม่ แล้วเล่าให้ฟังว่า เมื่อวานนี้พ่อบ้านไปซื้อหมูสะเต๊ะมาจากตลาด เขาเสียบหมูด้วยความชำนาญมาก เนื้อหมูชิ้นเล็กนิดเดียวก็เสียบไม้ปิ้งได้
คราวนี้มองเห็นมะละกอที่ขูดไว้หมดแล้ว คนเป็นภรรยาก็เรียกพ่อบ้านให้มาช่วยทำมาหากิน ครูอ้อยเห็นน่ารักดี สามีภรรยาช่วยกันทำมาหากิน แบบนี้ควรยกย่อง
ครูอ้อยก็เลยถือโอกาสสัมภาษณ์และถ่ายภาพ และขอนุญาตนำมาลงเว็บไซต์ด้วย เธอก็ยอมทั้งคู่
ครูอ้อยค่อยๆถาม " วันหนึ่งเจ้าตำได้จั๊กครกหล่า " ครูอ้อยรู้ว่าเธอเป็นคนอีสาน ก็เลยเว่าลาวไปเลย
เธอตอบเสียงอ้อมแอ้ม " ไม่หู้ครู บางเวนก็พอได้ค่ากั๊บข่าวให้ลูกไปโฮ่งเฮี่ยน " ครูอ้อยยิ้ม
" ลูกเจ้ายู้ชั่นใดเล่าหล่า อายุซักเท่าใดแล่ว " ครูอ้อยกระซั้นเข้าไป
" ป.ซี้ ครูอ่อยก็ได้สอนดา เด้กหญิง.....ครูอ่อยจำได้บ่ "
" บ่ บ่ ไผซิจำได้ นักเรียนข่อยตั้งหลายเติบ "
จากนั้นพอทักทายพอหอมปากหอมคอ ครูอ้อยก็เลยชมเชยทั้งสามีภรรยาว่า ขยันดีเนอะ ไม่อยู่เฉยๆ มาช่วยแม่บ้านขายด้วย หายากนะ คนสมัยนี้ แสดงว่า เธอทั้งคู่เป็นดี ขยันทำมาหากินในทางสุจริต
ครูอ้อยก็เลยบอกว่า ให้อดทน อย่าเล่นการพนัน มีน้อยใช้น้อย ให้ยึดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง อะไรไม่พอจ่ายก็อย่าไปจ่าย ไม่นานหรอกเธอทั้งคู่....ก็จะมีเงินเก็บ