เรื่องจำปาสี่ต้นมาจากอินเดีย


เรื่องจำปาสี่ต้น มาจากอินเดีย

มีเรื่องต้นจำปาร้องเพลงได้ในอินเดีย เนื้อเรื่องคล้ายกับเรื่อง จันทรนลาฏ ของเบงกอล หรือ ไชยเชษฐ์ ของไทย ที่ว่า

พระราชาองค์หนึ่งในอินเดีย มีมเหสี หกเอง ต่อมาทรงรับมเหสีองค์ที่เจ็ด คือนางกันจาลดา มาเป็นชายาเนื่องจากทรงไม่มีโอรส และมเหสีองค์ที่เจ็ดก็มีครรภ์เป็นที่โสมนัสแก่พระองค์ยิ่งนัก ต่อมาพระองค์มีธุระไปต่างแคว้น ในเวลานั้นนางกันจาลดาได้ให้กำเนิดพระโอรสเจ็ดคนและพระธิดาองค์ที่แปด นางมเหสีเอก นางเสนลดา มีความริษยาจึงร่วมมือกับมเหสีอื่น ให้ทหารนำลูกทั้งหมดไปฝังทิ้งในพระอุทยาน และก็ให้นำลูกสุนัขมาไว้แทนขณะที่นางกันจาลดาไม่ได้สติ เมื่อกษัตริย์กลับมา ก็คิดว่ามเหสีที่เจ็ดคลอดลูกเป็นสุนัขจึงไล่ออกไปจากวัง 

ต่อมาหลายปีก็ได้มีต้นจำปาขึ้นที่พระอุทยาน มีดอกจำปางดงามมากแปดดอก ขณะที่คนดูแลสวนจะไปเด็ดนั้น ต้นจำปาได้ร้องเพลง มีความหมายว่า จะไม่มีใครสามารเด็ดดอกจำปาได้จนกว่าพระราชาจะเสด็จมา คนดูแลสวนกลัวมากไปทูลเรื่องนี้กับพระราชา พระราชาจึงเสด็จมา และจะเด็ดดอกจำปา แต่กิ่งดอกจำปาก็เลื่อนลอยสูงขึ้นไปพ้นมือ และร้องเพลงว่า จะไม่มีใครเด็ดดอกจำปาได้ จนกว่ามเหสีเอกจะเสด็จมา หลังจากนั้นพระราชาจึงให้ไปตามมเหสีเอกมาเด็ด แต่ต้นจำปาก็ร้องเพลงเรียกมเหสีลำดับต่อๆไป จนไปถึงมเหสีองค์ที่เจ็ด พระราชาจึงให้่ทหารไปตามมเหสีที่เจ็ด ที่ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทเป็นหญิงเลี้ยงโค และทำเนยขายด้วยความยากลำบาก เมื่อมเหสีที่เจ็ดจะเอื้อมมีไปเด็ดดอกจำปาทั้งแปดก็กลับกลายเป็นพระโอรสทั้งเจ็ด และพระธิดาที่แปด และเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดว่า ขณะที่พวกเขาถูำกฝังลงในดินอย่างไม่เป็นธรรมนั้น เทวดาอารักษ์ได้สงสารจึงนิมิตรต้นจำปานี้ขึ้นและเลี้ยงดูพวกเขาในรูปของดอกจำปา เมื่อใดที่แม่แท้จริงของเขามาเด็ดนั้น พวกเขาจึงได้กลับกลายเป็นคน มเหสีที่เจ็ดและพระราชาได้ร้องไห้ด้วยความดีใจระคนความทุกข์หลังจากนั้น พระราชาก็รับมเหสีที่เจ็ดกลับอยู่ในวัง และให้ขุดหลุมใหญ่ที่ท้ายอุทยานนั้น และพระองค์ก็ถีบมเหสีที่หนึ่งถึงที่หกลงไปในหลุมให้และให้กลบหลุมนั้น หลังจากนั้นพระราชาและมเหสีที่เจ็ดก็อยู่อย่างมีความสุขกับพระโอรสทั้งเจ็ด และพระธิดาที่แปด

เรื่องพลอต plot เรื่องของจำปาร้องเพลงได้นี้คล้ายคลึงกับเรื่องจำปาสี่ต้นนั้น แต่จำนวนต้นจำปานั้นมีต้นเดียว และบุตรธิดาที่มีถึงแปดนั้น เป็นจำปาแปดดอกแทน

ซึ่งแต่เดินเรื่องจำปาสี่ต้นนั้นคงจะจบลงแต่เมื่อพระราชารับพระโอรส(หรือและพระธิดา) เข้ามาอยู่ในวัง และลงโทษมหิษีเอกและบริวาร แต่ในสำนวนภาคกลางของไทย มีเรื่องเติมไปอีก ว่าพระโอรสทั้งสี่นั้นได้ อาวุธจากพระอินทร์คือ ตรี คธา จักร และสังข์ คือเรื่องสี่ยอดกุมาร ในสำนวนของหนังจักรวงค์ ซึ่งเรื่องที่โอรสทั้งสี่นั้นมีอาวุธเป็น ตรี คธา จักร และสังข์ เหล่านี้ก็คืออาวุธของพระวิษณุและพระศิวะ ที่อาวตารมาช่วยโลก โดยอาวุธของพระวิษณุมี คธา จักร สังข์ และดอกบัว แต่ที่นี้ดอกบัวกลายเป็นตรี ซึ่่งเป็นอาวุธสำคัญของพระศิวะ ซึ่งก็จะอาวตารมาปราบพระวิษณุอีกที่ เพราะบางครั้งเมื่อพระวิษณุปราบอสูรเสร็จแล้ว ก็จะลืมตัวอาละวาทเสียเอง ทำให้พระศิวะต้องมาปราบเช่นกัน 

ส่วนที่ว่ามเหษีที่เจ็ดนั้นมีโอรสเจ็ดคนและมีธิดาที่แปดนั้น ไปคล้ายกับเรื่องของตอนกำเหนิดของพระกฤษณะ ที่ว่าโยคีนิทรา หรือทุรคา แปลงมาเป็นธิดาที่แปด แทนพระกฤษณะ แต่ในเรื่องพระกฤษณะนั้น มีแต่พระกฤษณะ และพลรามเท่านั้นที่รอดส่วน พี่น้องอื่นนั้นตายหมด ส่วนนางโยคีนิทราเหาะกลับไปสวรรค์ทันที่ที่ท้าวกังสะ จับฟาดกับหิน

ส่วนสี่ยอดกุมารนั้นก็เที่ยบได้กับ บุคคลทั้งสี่เป็นกษัตริย์รูปหล่อ มีเรื่องเป็นนิทานชิงรักหักสวาทได้นางฆ่ายักษ์ ในรูปแบบจักรวงค์ของนิทานสันสกฤตเอง เช่น 

พระกฤษณะ มีอาวุธเป็นจักร 

พลราม มีอาวุธเป็นคธา (และคันไถ )

ปรัชทยุท(พ่ออนิรุทธ) (กามเทพ ผู้ถูกศิวะผู้มีอาวุธเป็นตรีศูลเผา)

พระอนิรุทธ (อาจจะเป็นตัวแทนของสังข์ในภาคสี่ยอดกุมารของไทย)

ซึ่งสององค์สุดท้ายก็ถือว่าเป็นอวตารของกามเทพ และพระวิษณุตามลำดับ เช่นกัน

ซึ่งนี่ก็เป็นความละม้ายคล้ายคลึ่งของนิทานอินเดียและนิทานไทย ซึ่งจะว่าเราเอามาจากเขาก็เพียงแต่พรอตเรื่องเล็ก และเราเอาเรื่องของเขานิดน้อยหลากหลายมาผสมเล็กผสมน้อยและก็แต่งใหม่เป็นเรื่องใหม่แท้แขกเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องมาจากส่วนไหนของเขา ก็อันที่จริงคนฉลาดนั้นก็คือต้องรู้จักประยุกษ์ใช่สิ่งที่มีอยู่ หากเราจะสร้างเรือรบแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไม่เริ่มจะการหาสูตรเคมีโครงสร้างของเหล็กที่เดียว แต่เราต้องรู้จักเลือกซื้อเหล็กที่ดี และศึกษากลไก ของเรือรบต่างหาก แม้แต่ไอสไตร์เอง ก็ไม่ได้ประดิษฐ์สูตรฟิสิกส์ทั้งหมดขึ้นเอง และศึกษาของนักวิทยาคนก่อนที่เคยคิดไว้และคิดได้สูตรนิวเครียของตัวเองขึ้นมา ซึ่งแต่เดินเรื่องจำปาสี่ต้นนั้นคงจะจบลงแต่เมื่อพระราชารับพระโอรส(หรือและพระธิดา) เข้ามาอยู่ในวัง และลงโทษมเหสีเอกและบริวาร แต่ในสำนวนภาคกลางของไทย มีเรื่องเติมไปอีก ว่าพระโอรสทั้งสี่นั้นได้ อาวุธจากพระอินทร์คือ ตรี คธา จักร และสังข์ คือเรื่องสี่ยอดกุมาร ในสำนวนของหนังจักรวงค์ ซึ่งเรื่องที่โอรสทั้งสี่นั้นมีอาวุธเป็น ตรี คธา จักร และสังข์ เหล่านี้ก็คืออาวุธของพระวิษณุและพระศิวะ ที่อาวตารมาช่วยโลก โดยอาวุธของพระวิษณุมี คธา จักร สังข์ และดอกบัว แต่ที่นี้ดอกบัวกลายเป็นตรี ซึ่่งเป็นอาวุธสำคัญของพระศิวะ ซึ่งก็จะอาวตารมาปราบพระวิษณุอีกที่ เพราะบางครั้งเมื่อพระวิษณุปราบอสูรเสร็จแล้ว ก็จะลืมตัวอาละวาทเสียเอง ทำให้พระศิวะต้องมาปราบเช่นกัน 

ส่วนที่ว่ามเหษีที่เจ็ดนั้นมีโอรสเจ็ดคนและมีธิดาที่แปดนั้น ไปคล้ายกับเรื่องของตอนกำเหนิดของพระกฤษณะ ที่ว่าโยคีนิทรา หรือทุรคา แปลงมาเป็นธิดาที่แปด แทนพระกฤษณะ แต่ในเรื่องพระกฤษณะนั้น มีแต่พระกฤษณะ และพลรามเท่านั้นที่รอดส่วน พี่น้องอื่นนั้นตายหมด ส่วนนางโยคีนิทราเหาะกลับไปสวรรค์ทันที่ที่ท้าวกังสะ จับฟาดกับหิน

ส่วนสี่ยอดกุมารนั้นก็เที่ยบได้กับ บุคคลทั้งสี่เป็นกษัตริย์รูปหล่อ มีเรื่องเป็นนิทานชิงรักหักสวาทได้นางฆ่ายักษ์ ในรูปแบบจักรวงค์ของนิทานสันสกฤษเอง เช่น 

พระกฤษณะ มีอาวุธเป็นจักร 

พลราม มีอาวุธเป็นคธา (และคันไถ )

ปรัชทยุท(พ่ออนิรุทธ) (กามเทพ ผู้ถูกศิวะผู้มีอาวุธเป็นตรีศูลเผา)

พระอนิรุทธ (อาจจะเป็นตัวแทนของสังข์ในภาคสี่ยอดกุมารของไทย)

ซึ่งสององค์สุดท้ายก็ถือว่าเป็นอวตารของกามเทพ และพระวิษณุตามลำดับ เช่นกัน

ซึ่งนี่ก็เป็นความละม้ายคล้ายคลึ่งของนิทานอินเดียและนิทานไทย ซึ่งจะว่าเราเอามาจากเขาก็เพียงแต่พลอตเรื่องเล็ก และเราเอาเรื่องของเขานิดน้อยหลากหลายมาผสมเล็กผสมน้อยและก็แต่งใหม่เป็นเรื่องใหม่แท้แขกเองก็จำไม่ได้ว่าเป็นเรื่องมาจากส่วนไหนของเขา ก็อันที่จริงคนฉลาดนั้นก็คือต้องรู้จักประยุกษ์ใช่สิ่งที่มีอยู่ หากเราจะสร้างเรือรบแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไม่เริ่มจะการหาสูตรเคมีโครงสร้างของเหล็กที่เดียว แต่เราต้องรู้จักเลือกซื้อเหล็กที่ดี และศึกษากลไก ของเรือรบต่างหาก แม้แต่ไอสไตร์เอง ก็ไม่ได้ประดิษฐ์สูตรฟิสิกส์ทั้งหมดขึ้นเอง และศึกษาของนักวิทยาคนก่อนที่เคยคิดไว้และคิดได้สูตรนิวเครียของตัวเองขึ้นมา

ต้น ลีลาวดี หรือลั่นทม บางครั้งเรียกว่า จำปาลาว อินเดีย เรียกว่า จมฺปา चम्पा

โดย เอ็มรุทรกุล เขียนไว้ตั้งแต่ จันทร์ 28 เดือน มีนาคม ..2554 23:51:56 :

อาจจะพิมพ์ผิดมากเพราะไม่มีแป้นพิมพ์ภาษาไทยในอินเดียสมัยนั้น

หมายเลขบันทึก: 574641เขียนเมื่อ 16 สิงหาคม 2014 04:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม 2014 04:32 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท