ผู้ป่วยชายไทย อายุ 48 ปี ศาสนาอิสลาม อาชีพ รับจ้างประมง (คุณบัง นามสมมติ) ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่มีการแพร่กระจายไปสมองและกระดูก รักษาด้วยการให้ยาเคมีบำบัด และฉายรังสี
วันแรกที่คุณบังมาปรึกษาการฉายรังสี ฉันสังเกตเห็นคุณบังจะซึมเศร้านิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา ถามคำตอบคำ ส่วนคุณนา(นามสมมติภรรยาคุณบัง) น้ำตาคลอเบ้าตลอด ดูกระสับกระส่าย
ฉันเข้าไปสร้างสัมพันธภาพโดยการเข้าไปทักทาย “สวัสดีค่ะ คุณบังคุณหมอนัดมาฉายรังสีเมื่อไหร่ค่ะ”
คุณบังนิ่งเงียบไม่ตอบแต่ยื่นบัตรนัดให้ดู ส่วนคุณนาก็พูดด้วยเสียงเครือว่า “ไม่รู้ว่าจะมาได้ไหม” พูดเสร็จแล้วร้องไห้
“มีปัญหาอะไรหรือ พอจะบอกได้ไหมค่ะ” ฉันเองก็ตกใจ
“เราไม่มีค่าเดินทางมารักษาที่รพ.มอ.” คุณนายังคงร้องไห้สะอื้น
“ค่ะ เดี๋ยวจะประสานงานกับงานสิทธิประโยชน์ให้ และประสานกับรพ.ชุมชนที่ส่งตัวมา คิดว่าเรื่องนี้คงได้รับการช่วยเหลือ ส่วนช่วงที่มารับการฉายรังสีจะให้พักที่อาคารเย็นศิระ(วัดโคกนาว) ค่าใช้จ่ายค่าที่พักคืนละ 5 บาทต่อคน ส่วนผู้ป่วยจะได้รับคูปองอาหารวันละ 30 บาท”
ในที่สุดผู้ป่วยก็ได้รับการช่วยเหลือจากสิทธิประโยชน์ในเรื่องที่พัก คูปองอาหาร และค่าครองชีพ ประมาณ 300 บาท ต่อสัปดาห์ ส่วนรพ.ชุมชนใกล้บ้านช่วยค่ารถจากสตูลมารพ.มอ. จนกระทั่งฉายรังสีครบแต่ต้องมารับเคมีบำบัดเดือนละครั้ง ประมาณ 6ครั้ง ทุกครั้งที่มารับเคมีบำบัด คุณนาและคุณบังจะมาหาทุกครั้ง ช่วงหลังฉันสังเกตเห็นคุณบังเปลี่ยนไปคือ การแต่งตัวจะเปลี่ยนจากใส่เสื้อผ้าแบบชายไทยทั่วๆไปเป็นแบบชายมุสลิมที่มีหมวกสีขาวครอบศรีษะ ฉันถามคุณบังด้วยความสงสัยว่า “มีอะไรเหรอค่ะ ที่ทำให้คุณบังแต่งตัวเปลี่ยนไปเป็นแบบชายมุสลิมที่เคร่งครัดต่อศาสนา”
“เป็นเพราะชีวิตผมมีคนดีๆ เข้ามาช่วยเหลือ อัลเลาะห์คงให้พร และผมต้องปฏิบัติศาสนกิจเพิ่มขึ้น ทำความดีเพิ่มขึ้น ” คุณบัง ตอบด้วยความภาคภูมิใจ
วันหนึ่งคุณนาบอกว่า “อาการของคุณบังไม่ดีขึ้นเลย บ่นว่านอนตายตาไม่หลับเป็นห่วงเรื่องลูกและหนี้สิน”
“ไหนลองเล่าให้ฟังซิค่ะ ว่าสภาพครอบครัวตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ลูกคุณนาอายุเท่าไหร่ เรียนอยู่ชั้นไหนค่ะ” ฉันถาม
“ตั้งแต่คุณบังป่วยก็ไม่สามารถไปทำอาชีพประมงได้ ส่วนฉันเองก็ไม่เคยไปทำงานนอกบ้าน ลูกสาวอายุ 13 ปี อยู่ม. 2 ตอนนี้ไม่มีเงินส่งให้เรียนหนังสือต่อ ช่วงเจ็บป่วยก็มีหนี้สิน” พูดเสร็จคุณนาร้องไห้โฮ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แต่จะลองประสานกับคุณนิด (พยาบาลรพ.ชุมชนที่ส่งตัวมา) ดูว่ามีช่องทางไหนจะช่วยได้บ้าง” ฉันตอบหลังจากให้คุณนาหยุดร้องไห้
คุณนิตย์เป็นพยาบาลที่มีจิตใจเมตตา กรุณา คุณนิตย์ประสานกับนายอำเภอ อบต. อสม. และชาวบ้าน ในที่สุดปัญหาต่างๆของคุณบังและคุณนาได้รับการช่วยเหลือ คือ ลูกสาวได้รับเข้าเรียนในโรงเรียนประชานุเคราะห์ นายอำเภอและสภากาชาด อบต. เข้าไปช่วยเหลือครอบครัวคุณบัง ส่วนอสม. และชาวบ้านร่วมใจจัดเลี้ยงน้ำชาเพื่อปลดหนี้สหกรณ์หมู่บ้าน และคุณนาก็ได้งานโดยรับเย็บผ้าของรพ.อยู่ที่บ้าน อนาคตถ้าคุณบังเสียชีวิตก็จะไปทำงานแม่บ้านนายอำเภอ
1 เดือนก่อนเสียชีวิต คุณบังและคุณนามาลาฉัน เพราะแพทย์บอกว่ายาเคมีที่ให้ไม่ได้ผล คุณบังบอกฉันว่า “ขอบคุณครับสำหรับการช่วยเหลือทุกอย่าง ผมพร้อมแล้ว...ที่จะเดินทางไปหาพระอัลเลาะห์ผมไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว”
บางครั้งการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวเกิดสุขจากทุกข์ได้จำเป็นที่จะต้องมีการดูแลประสานกับเครือข่ายในชุมชน/สังคมเพราะบางเรื่องราวมีประเด็นที่ยุ่งยากและซับซ้อน
ไม่มีความเห็น