“ลาตายฉุกเฉิน...”


          หลังเลิกงานขณะที่ฉันรอลิฟต์เพื่อไปเยี่ยมผู้ป่วยระยะสุดท้ายรายหนึ่งที่หอผู้ป่วยพอประตูลิฟต์เปิดออก   ฉันได้ยินเสียงเรียกจากคุณโอ๋ (นามสมมติ ฉันรู้จักคุณโอ๋มาประมาณ  1  ปี   จากการอบรมเผชิญความตายอย่างสงบที่นครปฐมพร้อมกับคุณแม่)  “พี่ฟ่ง...พี่ฟ่ง”

ฉันถามว่า   “โอ๋ใช่ไหม”

คุณโอ๋   “ใช่ครับ”

ฉันถามด้วยความสงสัย   “มาทำอะไรที่นี่ค่ะ  โอ๋ทำงานอยู่กรุงเทพฯไม่ใช่เหรอ”

คุณโอ๋ตอบด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอเบ้า   “ป๊ากับม๊าโดนรถกะบะชน  ขณะนี้พ่ออยู่ ICU  ส่วนแม่อยู่ที่ตึกกระดูกหญิง”

“งั้นพาพี่ไปเยี่ยมป๊ากับม๊าของโอ๋”   ฉันเสนอตัวเพราะเห็นสภาพน้องโอ๋ 

คุณโอ๋ตอบด้วยเสียงที่แสดงความดีใจ    “ครับ...ขอบคุณมากครับ   ไปเยี่ยมป๊าที่  ICU  ก่อน”

“อาการของป๊าเป็นอย่างไรบ้าง”  ฉันถาม

“ยังไม่รู้สึกตัว อาการไม่ค่อยดี”  คุณโอ๋ตอบ

“ม๊ารู้แล้วยังว่าป๊าอาการไม่ค่อยดี”  ฉันถามต่อ

“ยังไม่กล้าบอก  เพราะกลัวม๊ารับไม่ได้"   โอ๋พูดเสียงเครือ

“ค่ะพี่เข้าใจ   แต่ถ้าเกิดป๊าเป็นอะไรไป   ม๊าคงรับไม่ได้และเสียโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆให้กับป๊า   แต่ยังไงพี่มีวิธีการประเมินและเตรียม  หลังจากเยี่ยมป๊าแล้วค่อยไปเยี่ยมม๊าด้วยกัน”   ฉันเสนอความคิดเห็น

            สภาพป๊าใน  ICU   ไม่รู้สึกตัวกระสับกระส่าย  ใส่ท่อช่วยหายใจ  มีสายต่างๆออกจากร่างกาย   เช่น   สายจากการเจาะปอด 2 ข้าง   สายน้ำเกลือ/เลือด   สายปัสสาวะ   เป็นต้น   สัญญาณชีพไม่คงที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา   ประเมินดูแล้วอาการไม่ค่อยดี   หลังจากเยี่ยมป๊า   ฉันบอกกับคุณโอ๋ว่า  "ไปเยี่ยมม๊ากันเถอะ"

            ม๊าจำฉันได้จากการที่เคยเข้าอบรมการเผชิญความตายอย่างสงบ    ม๊าบอกอย่างภูมิใจว่า   "หลังอบรมก็ฝึกมรณานุสติทุกคืนก่อนนอนและได้เอามาใช้ตอนเกิดอุบัติเหตุ   เช่น   เป็นคนโทรศัพท์เรียกรถมารับทั้งๆที่ตัวเองตกลงไปในคูน้ำข้างทาง  ขาทั้ง 2 ข้างหักและชาเดินไม่ได้    บอกความต้องการว่าจะมาโรงพยาบาลมอ".  

 ฉันยกย่องว่า   "ม๊าเก่งมากเลยค่ะและสามารถนำมาใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ"  แล้วถามต่อว่า  “แล้วป๊าละเป็นอย่างไรบ้างค่ะ”

เดี๋ยวก็คงออกจาก  ICU   ม๊าตอบ

“การที่คุณหมอยังไม่ให้ป๊าออกจาก  ICU  น่าอาจเกิดจากอาการและสัญญาณชีพยังไม่คงที่   ไม่ทราบว่าม๊าคิดอย่างไรบ้างค่ะ”  ฉันลองประเมินความรู้สึก

“แล้วแต่เวรกรรม  เป็นเรื่องธรรมดาอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”  ม๊าตอบ

             ในขณะนั้นโอ๋และฉันเริ่มรับรู้ว่าม๊ารับได้กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น    ต่อมาในคืนนั้นรับแจ้งจาก  ICU  ว่าอาการป๊าไม่ดี  ความดันลดลงเหลือ  40/-   แพทย์เจ้าของไข้ของป๊าและม๊าอนุญาตให้ม๊าซึ่งนอนอยู่บนเตียงที่มีลูกตุ้มน้ำหนักถ่วงอยู่เข้าไปเยี่ยมป๊าใน ICU  โดยให้เตียงม๊าไปชิดกับเตียงป๊าเพื่อร่ำลา   โอ๋นิมนต์พระมาสวดพร้อมถวายสังฆทานหลังจากนั้น   ม๊าเอามือไปกุมมือป๊าแล้วพูดว่า  “ป๊าไปอยู่บ้านใหม่ที่สะอาด  สว่าง   สงบ   ไม่ต้องห่วงม๊าและลูกๆ   ม๊าดูแลได้และลูกๆก็โตหมดแล้ว”

              ส่วนลูกๆ บอกกับป๊าว่า  “สิ่งใดที่ได้ล่วงเกิน ขออโหสิกรรมขอขมา   ป๊าไม่ต้องห่วงพวกเราจะดูแลม๊าและจะสามัคคีกัน   ลูกทุกคนภูมิใจที่เกิดเป็นลูกป๊า   ป๊าเป็นแบบอย่างให้กับพวกเรา  ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาป๊าได้ดูแลศาลแปะกง  ให้ป๊าน้อมใจถึงสิ่งดีๆที่ได้ทำมา”

            สิ่งที่ทุกคนสังเกตเห็น  สีหน้าของป๊าจากรอยย่นบนหน้าผากคลายออก    มีรอยยิ้มที่ใบหน้า  และในที่สุดก็จากไปอย่างสงบ

หมายเลขบันทึก: 573264เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2014 11:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 กรกฎาคม 2014 12:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

บางครั้งญาติก็คิดว่า อีกคนจะรับไม่ได้โดยไม่มีวิธีประเมิน

ทำให้ขาดโอกาสดีดีที่ควรทำ

พี่ฟ่งเพียงประเมินให้ถูกวิธีทำให้ มา๊ได้สั่งลากันและทำให้คนที่กำลังจะจากไป

ไปอย่างอบอุ่นท่ามกลางลูกหลาน

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท