เส้นบางๆ กั้นระหว่างการวางแผนอนาคต กับการกังวลกับอนาคต
ขอพระอาจารย์เมตตาแนะนำว่าอะไรคือความพอดีระหว่างสองสิ่งนี้
...
อยู่ที่ความตั้งใจ เช่น
พระพุทธเจ้าบอกว่าบุคคลไม่ควรตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัย และไม่พึงพะวงในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
คือเราเกี่ยวข้องกับอดีต อนาคต เกี่ยวข้องอย่างไร เกี่ยวข้องด้วยความรู้สึกอะไร คร่ำครวญก็ไม่ถูก
แต่ถ้าคุณมองอดีตเพื่อใคร่ครวญอันนี้ถูก
คุณมองอดีตด้วยสติและปัญญานั่นคือการใคร่ครวญ ถ้าไม่มีสติและปัญญานั่นคือการคร่ำครวญ
อนาคตก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณมองอนาคตโดยปราศจากสติและปัญญาคุณก็พะวง กังวล เครียด
แต่ถ้าคุณมองอนาคตเพื่อกระตุ้นไม่ให้เกิดความประมาท อันนั้นดี
เช่น ปีหน้าเศรษฐกิจจะแย่กว่านี้นะ เราต้องประหยัดการใช้เงินให้มากขึ้น เราต้องมองหาลู่ทางใหม่ในการสร้างรายได้ หรืออนาคตเราอาจจะเจ็บป่วยนะ วันนี้เราจะต้องดูแลร่างกาย ออกกำลังกาย เตรียมตัว เตรียมใจ นี่คือการวางแผน เป็นการพิจารณาอนาคตเพื่อที่จะไม่ประมาท อันนี้ดี พระพุทธเจ้าสนับสนุน
แต่ถ้าคุณไม่ใช้สติ ไม่ใช้ปัญญา เวลาคุณมองอนาคตก็กังวล เครียด นอนไม่หลับ มันอยู่ที่ว่าคุณใช้สติและปัญญาในการเกี่ยวข้องกับอดีตและอนาคตมากน้อยแค่ไหน...
คัดลอกจากคำสอนของพระไพศาล วิสาโล ที่นี่ค่ะ ขอขอบคุณ
ปกติต้องอยู่กับปัจจุบันครับ
ขอบคุณมากครับ
ต้องฝึกเหมือนกันนะคะ
ทำปัจจุบันให้ดี และมั่นคง อนาคตก็จะแข็งแรงไปเองจ้ะ .... นี่คือคติประจำใจของคุณมะเดื่อ
ต้นยา..จ้ะ..ลบไม่ออก..
กังวลกับอนาคตที่ ไม่อยากให้เกิดขึ้น. ทำให้ เป็นทุกข์ จริงๆ ค่ะ