การพัฒนานิสิตผ่านกิจกรรมนอกชั้นเรียน มิได้จำเพาะจงจงแต่เฉพาะโครงการที่จัดขึ้นโดยนิสิต หรือองค์กรนิสิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิจกรรมที่จัดขึ้นโดย “มหาวิทยาลัย" หรือ “หน่วยงานในมหาวิทยาลัย" ด้วยเช่นกัน
โครงการ “เยือนสิมชมศิลป์อีสาน ท่องถิ่นฐานอารยธรรมนครจำปาศรี" เป็นอีกหนึ่งโครงการฯ ที่ขับเคลื่อนบนฐานคิดและครรลองข้างต้น
โครงการดังกล่าว เป็นหนึ่งในแผนงานพัฒนานิสิตของกลุ่มงานกิจกรรมนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยมีนายจิรัฏฐ์ อภิวิชญ์ทีปกร (นักวิชาการศึกษา) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๖ ณ มหาวิทยาลัยมหาสารคามและชุมชนในเขตอำเภอนาดูนและอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม
การมีโอกาสได้ร่วมสังเกตการณ์แบบห่างๆ ในโครงการนี้ พลอยให้ผมได้หวนคิดถึง “วาทกรรม" ที่ผมเคยได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนกระบวนการเรียนรู้ของนิสิตร่วมๆ จะ ๑๐ ปีก่อน นั่นก็คือ “... ไม่มีที่ใดปราศจากเรื่องเล่า..."
ครับ-วาทกรรมที่ว่านี้ถูกนำมาขับเคลื่อนบนฐานคิดส่วนตัวของผมเองจริงๆ เป็นความเชื่อความศรัทธาในทำนองเดียวกับ “ไม่มีที่ใดปราศจากความรู้" (เว้นแต่เราจะไม่เปิดใจเรียนรู้)
ก็ด้วยความเชื่อเช่นนั้นเอง เมื่อนิสิตต้องลงพื้นที่ไปจัดค่ายอาสาพัฒนา ผมจึงต้องเคี่ยวเข็ญให้นิสิตใส่ใจกับวาทกรรมข้างต้น ถึงขั้นกำหนดเป็นแบบแผนว่าเมื่อกลับออกมาจากค่ายต้องตอบให้ได้ว่าในชุมชนนั้นๆ มีเรื่องราว หรือตำนานใดบ้าง ถ้าตอบไม่ได้ ให้ถือว่าการเรียนรู้ในวิถีค่ายอาสายังไม่บรรลุผล...
ครับ-ถึงแม้จะสร้างอาคารเรียน เทพื้นสนาม ซ่อมห้องสุขา จัดห้องสมุดเสร็จสิ้นก็เถอะ หากตอบไม่ได้ว่าชุมชนนั้นๆ มีเรื่องราวใดบ้าง ผมถือว่าไปไม่ถึงดวงดาวแห่งการเรียนรู้
ด้วยเหตุนี้นิสิต “ชาวค่าย มมส" (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) จึงจำต้องออกแบบกระบวนการไปสู่การเรียนรู้บริบทชุมชนไปในตัว ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาทำงานเชิงเดี่ยวแข่งกับเวลาจนหลงลืมที่จะเรียนรู้เรื่องราวอันเป็น “ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม" หรือ “มรดกทางสังคม" ในชุมชนนั้นๆ
สำหรับโครงการนี้ ผมถือว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจไม่ใช่ย่อย เป็นการจัดในแบบ “บันเทิงเริงปัญญา" พาเที่ยวท่อง (ทัวร์วัฒนธรรม) โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้นำนิสิตจากแต่ละองค์กร
ผมมองว่าโครงการนี้ จะก่อเกิดอานิสงส์แก่นิสิตในหลายประเด็น เป็นต้นว่าสร้างกระบวนการบ่มเพาะเรื่องคุณธรรมจริยธรรมแก่นิสิตในอีกช่องทางหนึ่ง ยึดโยงเรื่องจิตสาธารณะ รวมถึงการช่วยให้นิสิตได้ฝึกทักษะในการเก็บข้อมูลชุมชน ศึกษาชุมชน เคารพต่อภูมิปัญญาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เมื่อถึงคราวต้อง "ออกค่าย" จริงๆ ย่อมสามารถประยุกต์ใช้ หรือเข้าใจในบริบทแห่งการเรียนรู้ชุมชนได้อย่างไม่เคอะเขิน
เช่นเดียวกับนิสิตที่เข้าร่วมโครงการ เมื่อได้พบเห็นสัมผัสกับความงดงามและยิ่งใหญ่ในเชิง "เรื่องเล่า" ในชุมชนนั้นๆ ย่อมสะกิดให้หวนคิดคำนึงถึงเรื่องราวในบ้านเกิดตัวเองได้ไม่มากก็น้อย เป็นการทบทวนความทรงจำที่มีต่อบ้านเกิด (จิตสำนึกรักบ้านเกิด) ผ่านสถานการณ์อันแปลกใหม่ในต่างถิ่น
นอกจากนั้นยังช่วยทำให้นิสิตได้รู้เรื่องราวของ "ความเป็นจังหวัดมหาสารคาม" มากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เรียนจบจากที่นี่ แต่กลับไม่รู้ว่าเมืองมหาสารคาม มีเรื่องราวประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอย่างไร...
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผมถือว่าเป็นอีกหนึ่งในชะตากรรมที่นิสิตไม่สามารถเดินทางไปถึงดวงดาวแห่งการเรียนรู้
กรณีเช่นนี้ ไม่เพียงนิสิตเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากกิจกรรมดังกล่าว ผมเชื่อว่า "บุคลากร" ที่เกี่ยวข้องย่อมได้ประโยชน์จากโครงการนี้ไม่แพ้กัน ยิ่งในช่วงต้นน้ำก่อนสัญจรไปสู่พื้นที่นั้น ผศ.สมชาย นิลอาธิ ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา (มหาวิทยาลัยมหาสารคาม) ได้มาบรรยายปูพื้นความรู้เกี่ยวกับอารยธรรมนครจำปาศรี และ “สิมโบราณ" ซึ่งเป็นพื้นที่หลักของการเรียนรู้ ยิ่งทำให้นิสิตและเจ้าหน้าที่เกิดแรงบันดาลใจ ตื่นตัวที่จะไปสัมผัสจริง..
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้ว ผมมองว่าโครงการดังกล่าวยังเป็นกลยุทธหนึ่งในการบ่มเพาะเรื่องของการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมอันดีงามในมิติต่างๆ แก่นิสิตอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำนึกรักษ์ การรู้สึกรักหวงแหนและศรัทธาต่อศิลปะแขนงต่างๆ ที่มีในท้องถิ่น รักและศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา การเคารพต่อภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน ฯลฯ
การได้ไปสัมผัสกับ “สิมโบราณ" พร้อมๆ กับการสัมผัสถึงเรื่องราวอันเป็น “จิตรกรรมฝาผนัง" ในตัวอาคารของสิม ที่มีทั้งวิถีพุทธ วิถีพราหมณ์ วิถีสามัญชน ล้วนย่อมสามารถเป็นแรงบันดาลใจอันดี หรือการเป็นสายลมสะกิดและกระตุ้นเตือนให้นิสิตได้เกิดการทบทวนถึงความเป็นชีวิต และจุดหมายของการใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องกังขา
โครงการดังกล่าวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกระบวนการเรียนรู้บนฐานคิดของการใช้ "ชุมชนเป็นห้องเรียน" หากสามารถบรรจุเป็น "แผนพัฒนานิสิต" อย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อว่าจะเป็นโครงการแห่งการเรียนรู้ที่ทรงพลังสำหรับนิสิต พอถึงคราวต้องจัดกิจกรรม อาจเชื่อมโยงกับนิสิตในคณะต่างๆ ทั้งคณะที่มีวิชาชีพเกี่ยวข้อง และการเปิดรับให้ผู้นำนิสิตจากองค์กรต่างๆ ได้เข้ามาร่วมกิจกรรม
ขณะเดียวกันหากสามารถกำหนดเป็นกิจกรรมหลักให้นิสิตในรายวิชา “พัฒนานิสิต" ได้เรียนรู้ ยิ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งในกระบวนการสร้างการเรียนรู้ที่ทรงพลังได้ในอนาคต
เหนือสิ่งอื่นใด ไม่แต่เฉพาะนิสิตเท่านั้นที่ผมมองว่าได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ฯ สิ่งหนึ่งที่ผมแลกเปลี่ยนกับทีมทำงานก็คือการมีโครงการได้จัดทำเอง ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะแต่ละคน (เจ้าหน้าที่) จะได้พัฒนาระบบความคิด กลยุทธ หรือกระบวนการจัดการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะการบริหารโครงการตนเองไปในตัว ไม่ใช่ก้มๆ เงยๆ ทำหน้าที่แค่กลั่นกรองให้คำปรึกษาโครงการแก่นิสิตไปวันๆ ดีไม่ดี อาจเฉื่อยชา เย็นชา และขาดแรงบันดาลใจไปในที่สุด
ครับ-ชีวิตควรต้องค้นหาแรงบันดาลใจไปเรื่อยๆ ค้นหาและสร้างแนวทางใหม่ๆ การเรียนรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง ไม่ใช่จ่อมจมวันต่อวัน ชามต่อชาม เฉกเช่นที่เห็นดาษดื่นทั่วทุกองค์กร
หมายเหตุ
1.สถานที่การศึกษาเรียนรู้
1.1 วัดโพธาราม,วัดป่าเลไลย์ พระธานตุนาดูน อ.นาดูน จ.มหาสารคาม
1.2 วัดยางทวงวราราม อ.บรบือ จ.มหาสารคาม
2.ภาพโดย นิสิตจิตอาสาและงานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ กองกิจการนิสิต มมส.
สวัสดีค่ะ (ค้่) คุณ แผ่นดิน..(ยายธี..แวะมาคุย)..อยากไปเที่ยว..จ.มหาสารคาม..เคยผ่านไป..ก็นานๆๆๆมาแล้ว...
บังเอิญมี อ.จากมหาสารคาม..มาทำ..ดร.ทางประวัติ..ศาตร์ไทย..ที่นี่..ม.ฮัมบอรก...ชื่อ..อ. อุศนา นาศรีเคน..อาจารย์แผ่นดิน..รู้จักกันไหม..เจ้าคะ..(เธอพักอยู่กับ..ยายธี..น่ะค่ะ)...
(เห็นรูปเขียนบนผนัง..สวยมาก..ฝีมือ..ทีเขียนดูแปลกๆๆผิดไปจากที่เคยเห็นมา..เป็นภาพวาดสมัยใด..เคยถูกลบแล้วเขียนใหม่รึเปล่า..คะ..)...
สวัสดีค่ะ เห็นภาพเขียนบนผนัง สวยงามมากนะคะ แต่เห็นอยู่ในอาคารที่ไม่มีผนังล้อมรอบ จึงเกิดความเป็นห่วงว่าภาพจะเสียหายเสื่อมโทรมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น เพราะลมฟ้าอากาศ แสงแดด และอุณหภูมิ รวมทั้งฝนจะสาดหรือไม่ มือคนที่จะไปสัมผัสก็เป็นตัวทำลายได้เช่นกัน เสาโดยรอบแสดงว่าอาคารหลังนี้เป็นของเก่า น่าจะอนุรักษ์โดยใช้ความรู้สมัยใหม่ การทำผนังปิดส้อมและควบคุมอุณหภูมิน่าจะยืดอายุภาพออกไปได้นานให้อยู่ได้ชั่วลูกชั่วหลาน ภาครัฐและศรัทธาประชาชนน่าจะช่วยกันได้นะคะ
นี้
น่าชื่นชม...น่าสนับสนุนมากๆต่ะ..
น่าศึกษามากทั้งสองแห่งค่ะ ภาพฝาผนังสวยงามมาก เป็นห่วงเช่นเดียวกับอาจารย์กัลยา GD กลัวจะเสียหายไปกับสายลมและแสงแดด
เจดีย์พระธาตุก็งดงามมาก ที่บ้านมีพระกรุนาดูนอยู่องค์หนึ่ง และหลวงพ่อนาคปรกนครจำปาศรี พระธาตุนาดูนอีกองค์หนึ่ง ซึ่งชาวมหาสารคามท่านหนึ่งให้มาไว้บูชาเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ขอพระธาตุนาดูนปกป้องคุ้มครองอาจารย์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ