สมาชิก Pantip 1451102 : 10 สิ่งที่ผมเรียนรู้เกี่ยวกับความสุขในชีวิต จากการเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะ 4


Life is ………….

ผมเชื่อว่าคำตอบของคำถามนี้แต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผม คำตอบ ณ วันนี้มันชัดเจน และ เต็มไปด้วย ความรู้สึกดีใจที่หาคำตอบของคำถามนี้ได้ แม้ว่าต้นทุนในการตอบคำถามมันจะสูงมากก็ตาม

“Life is Miracle”

นั้นคือคำตอบของผม

ผมได้ยินคำนี้ครั้งแรกมาจากพี่ท่านหนึ่ง พร้อมกับคำพูดปลอบใจจากเพื่อนๆ พี่ๆ ท่านอื่นๆ ต่างๆมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้ผมเลือกคำนี้ขึ้นมา ส่วนหนึ่งคงมาจากสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังข้างล่างนี้

โดยเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย เพียงแต่เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผมเชื่อว่า

ส่วนมากของผู้ที่กำลังอ่านอยู่เข้าใจ แต่ทำไม่ได้ซักที

ดังนั้นลองมาอ่านมันผ่านประสบการณ์ของคนที่ขาข้างหนึ่งอยู่บนความตายตลอดเวลาอย่างผมกันครับ

ผมเชื่อว่ามันจะทำให้คุณนำไปปฏิบัติมันได้เร็วขึ้น ที่สำคัญเรื่องนี้ฟรีครับ ไม่ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงเอง ใช้เวลาไม่นาน

ผ่านประสบการณ์ที่ผมใช้เวลาปีครึ่งแลกมา ลองเอาไปปรับใช้กันนะครับ แต่ละคนก็มีปัญหารูปแบบของชีวิตต่างกันไป เรื่องราวของผมคงเป็นได้เพียงไกด์ลาย บางคนทำให้มันเป็นความเคยชินได้เร็ว บางคนอาจจะช้าหน่อย

แต่ผมเชื่อว่าทุกคนทำให้เคยชินได้นะครับ และสำหรับผมใช้เวลาประมาณปีครึ่ง คุณอาจจะเร็วกว่าผมก็ได้ครับ

ซึ่งในแต่ละข้อ ผมจะแทรกมุมมองของผู้ป่วยที่ต้องเจอในเหตุการณ์ต่างๆลงไปนะครับ

ส่วนใครมีมุมมองเพิ่มเติม ลองแชร์กันออกมาครับ หลายๆความคิดย่อมดีกว่าความคิดเดียว

ขอย้อนกลับไปที่ ข้อมูลพื้นฐานคร่าวๆ เกี่ยวกับตัวผมสักนิดนะครับ เพื่อให้เข้าใจทัศนคติของผม ที่มองชีวิต ทั้งก่อนเป็น กับ หลังเป็นมะเร็ง ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร ส่วนเรื่องเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษา ผมจะเขียนแชร์แยกต่างหากนะครับ (คือเรื่องของขั้นตอนการรักษามันเยอะมากตามแบบของมะเร็ง ผมอยากเขียนให้ละเอียดๆจะได้มีประโยชน์แก่คนที่เป็นท่านอื่น)

รับรองว่ามีครบทุกรสเลยครับตอนรักษา ระยะสี่นี้รักษากันสนุกมากครับ

โดยมะเร็งชนิดที่ผมเป็นเรียกว่า มะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal carcinoma) โดยอยู่ระดับ stage 4b ( T1N3M0 ) (การจัด stage ของ มะเร็งหลังโพรงจมูกต่างกับมะเร็งชนิดอื่นหน่อยตรงที่ 4 ของชนิดที่ผมเป็นยังไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่น)

ซึ่งปัจจุบันนี้ผมอายุประมาณ 30 ปีนิดๆ เป็นช่วงชีวิตที่โบราณบอกว่า เป็นหนึ่งในช่วงรอยต่อในชีวิตที่สำคัญ (ซึ่งผมคิดว่ามันก็จริงนะ) ชีวิตผมตั้งแต่เด็กจนถึงมหาลัยก็ถูกสั่งสอนเหมือนเด็กทั่วๆ ไป คือ พยายามเรียนให้เก่ง พยายามสอบให้ได้ที่ดีๆ เข้ามหาลัยดีๆ ให้ได้ ซึ่งหลังจากที่เข้าเรียนที่จุฬาได้แล้วชีวิตผมก็ค่อยเปลี่ยนไป อิสระในชีวิตเยอะขึ้น

จนหลังจากจบมาซักพัก ชีวิตผมก็เริ่มหมุนไปสู่อีกด้านของเหรียญเต็มตัว ผมออกมาใช้ชีวิตแบบที่ผมอยากใช้

โดยไม่สนอย่างอื่นรอบตัวเลยจริงๆ ยิ่งช่วงสามสี่ปีหลังๆ ที่หันมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกลางคืน

ทำให้ชีวิตส่วนใหญ่ตื่นในเวลากลางคืน นอนกลางวัน สังคมก็เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่ง จนอายุ 29 เกือบหนึ่งปีก่อนที่จะตรวจพบ

ผมตัดสินใจเปลี่ยนมาทำงานกลางวัน เพราะความรู้สึกช่วงที่ก่อนออกมา มันเป็นอารมณ์รู้สึกรับไม่ไหวกับชีวิตแบบนี้แล้ว สิ่งที่เคยสนุกมันไม่สนุกอีกต่อไป งานที่ทำก็ส่งล่าช้า ซึ่งมันจะกลายเป็นภาระให้ตัวผมเอง ให้หัวหน้า ให้บริษัท เลยตัดสินใจลาออกมาตั้งหลักใหม่

ช่วงหลังจากออกมานั้น เป็นหนึ่งปีที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสับสน จนถามตัวเองหลายครั้งว่า ต้องการอะไรจากชีวิตจริงๆ

เพราะชีวิตสองแบบทั้งสองขั้วที่ผมเจอมามันก็ไม่ใช่ทั้งคู่ และก็เหมือนชีวิตจะรู้ว่าผมต้องการหาคำตอบอะไรซักอย่าง

เลยจัดการให้โจทย์ใหม่มา โจทย์ที่ให้สติมาเป็นเครื่องมือ แต่ผมต้องใช้ ปัญญา (Wisdom ) กับความเพียร (Grit ) (ซึ่งทั้งสองอย่าง ผมมีน้อยมากๆๆ) หาคำตอบออกมาให้ได้ จริงๆ มันมีองค์ประกอบมากกว่านี้ แต่ในส่วนนี้ผมขอเน้นไปที่สองตัวนี้ก่อน

และคำตอบที่ว่านั้นคือ ความสุข (Happiness) ในแบบที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ครับ

1. เริ่มหันมามีความสุขกับสิ่งเล็กๆ รอบตัว

ผมอยากจะบอกว่า ไม่ว่าคุณจะใช้ชีวิตในรูปแบบไหน ชีวิตมีรูปแบบอื่นๆ ซ่อนไว้ให้คุณค้นหามันเสมอ มุมเหล่านั้นในชีวิต คุณจะไม่มีทางมองเห็นเลย ถ้าคุณไม่เปิดใจกับมัน ....ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้ล่ะกัน ......ช่วงที่รักษาตัว ถ้าไม่อยู่บ้านก็โรงพยาบาล เป็นอย่างนี้อยู่นานมาก ลองนึกตามว่า จากคนที่แทบไม่ค่อยอยู่บ้าน กลับต้องมาทำอะไรแบบนี้ หนทางเดียวที่จะทำชีวิตให้มีความสุขกับมันได้ คือ วิธีมองโลกใบเดิมในมุมมองที่ต่างไป ผมจำความรู้สึกของข้าวต้มหมูหยอง ชามแรก หลังจากที่ต่อมรับรสกลับมาทำงานอีกครั้งได้เลยครับ มันคือ รสชาติ ที่ไม่ได้ขึ้นกับความรู้สึกที่ว่า มันอร่อยหรือไม่อร่อย แต่มันเป็นการรับรู้ในรูปแบบของการได้กลับมารับรู้รสชาติอาหารอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกพิเศษ ที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อนในตลอดสามสิบปี ทั้งที่ข้าวต้มแบบนี้ ผมเคยกินมาเป็นพันครั้ง หามันให้เจอครับ ความรู้สึก รูปแบบในชีวิตที่ซ่อนอยู่ อย่างละนิดละน้อย ผสมๆ กันไป มันจะออกมาเป็นวันที่สุดแสนพิเศษได้เสมอ

2. สุขภาพดีกับครอบครัว (รวมถึงทุกคนบนโลกที่คุณรักและรักคุณนะครับ) ที่อบอุ่น เป็นต้นทุนของฟรี ที่บางคนไม่ค่อยจะเห็นค่ากัน

มีเรื่องจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเกิดขึ้นกับทุกครอบครัวเลย คือ เวลามีคนใดคนหนึ่งเป็นมะเร็ง คนทั้งครอบครัวก็เหมือนจะเป็นไปด้วย ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันเท่าไร ยิ่งแสดงออกมามากเท่านั้น…… ในกรณีของผม ช่วงวันแรกๆ ที่หมอบอกว่า ผลออกมา สิ่งหนึ่งที่ยากสุดๆ เลย คือ ผมจะหาวิธีการบอกกับที่บ้านอย่างไร ความรู้สึกที่ว่า ต้องเดินไปบอกกับที่บ้านว่า ผมกำลังจะตาย ความรู้สึกตอนนั้นมันผสมระหว่างความกังวลกับเสียใจ อารมณ์ตอนนั้น มันออกแนวตื้อๆ ยิ่งคุณลุงของผมเคยเสียด้วยมะเร็งด้วยแล้ว การที่ผมจะบอกกับป้าที่เลี้ยงผมมาอย่างไร แกก็อายุมากแล้ว ที่บ้านเลยกลัวเรื่องสภาพจิตใจของแกจะแย่ลงไปอีก.... ดังนั้น เวลาเกิดเรื่องประเภทแบบนี้ ผมแนะนำเลยว่าหาคนที่มีสติ พอจะรับมือกับปัญหาได้พูดคุยเป็นคนแรกจะง่ายและดีที่สุด รวมถึงความรู้สึกของคนอื่นๆในบ้าน หลังจากที่ผมตัดสินใจบอกไป บรรยากาศผมสัมผัสได้ทันทีถึงความตึงเครียดที่เข้ามา ถึงแม้ทุกคนจะพยายามยิ้มแล้วก็ตาม

3. รับมือกับอดีตด้วยการยอมรับความจริงในปัจจุบัน หนึ่งข้อเท็จจริงในชีวิต

คือคุณไม่สามารถแก้ไขอดีตได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดไปแล้ว มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว อย่าปล่อยให้เรื่องในอดีตมารบกวนจิตใจ จนชีวิตในปัจจุบันแย่ไปด้วย

4. อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

เชื่อเถอะว่าทุกคนมีปัญหา มีรูปแบบของชีวิตที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าใครก็ตาม ความทุกข์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นความสุขของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เชื่อผมเถอะครับ ไม่ว่าคุณเป็นใครในโลกใบนี้ จะรวยหรือจน จะสวย จะหล่อ หรือรูปร่างหน้าตาไม่ดี ถ้าเอาชีวิตไปเทียบกับคนอื่น มันไม่มีความสุขหรอก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ มักมองหาความสมบูรณ์แบบ เวลาคุณเอาตัวไปเทียบกับคนอื่นแล้วเจอ ความไม่สมบูรณ์ในตัวคุณ มันจะเป็นจุดกำเนิดของความทุกข์ หันมามองสิ่งที่จะสร้างความสุขให้ตัวคุณเองจริงๆ ดีกว่า เช่น เรื่อง The Bucket List ที่ผมจะเขียนไว้ข้างล่าง

5. รู้ถึงคุณค่าของตัวเอง

แต่อย่ามองตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง เริ่มมองหาคุณค่าของตัวเอง มันจะมีมุมหนึ่งในชีวิตคุณที่มีค่าควรแก่การมีชีวิต คุณเชื่อผมเถอะว่า ตัวคุณมีค่าแก่ใครคนหนึ่งบนโลกนี้เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็กับตัวคุณเองนั้นแหละครับ

6. หาความฝันจริงๆ ให้เจอ

มันควรจะเป็นความฝันของคุณเอง ไม่ใช่ความฝันของคนอื่น หรือสิ่งที่สังคมคาดหวัง เพราะตอนคุณจะตาย ความฝันจะเป็นสิ่งที่คุณนึกถึงอย่างแรกๆ ไม่ใช่เงินทอง ฐานะทางสังคมอะไรพวกนั้นเลย และรู้ไว้เถอะว่า คนเรามีความฝันได้มากกว่าหนึ่งอย่าง วิธีที่ผมจะแนะนำง่ายๆคือ เขียน list มันออกมาใส่กระดาษ เพราะความฝันบางอย่าง แก่แล้วก็ทำไม่ได้ บางอย่างอาจต้องใช้เงินทองสูง ผมเลยอยากให้เริ่มเขียน list มันออกมาครับ คุณจะเห็นภาพและวางแผนถูก นั้นคือ ประเด็นที่สำคัญ เพราะเมื่อเริ่มเขียนมันออกมา คุณจะเห็นภาพความฝันของคุณชัดเจนขึ้น คุณจะเริ่มแยกออกว่าสิ่งไหนคือความฝันจริงๆ สิ่งไหนเป็นมายาคติ ที่เกิดจากการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณ......

7. ความกังวล การคิดมากจนเกินไป ไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ต่างๆออกมาดีขึ้น

มีแต่จะคอยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาแย่ลง บางทีคำว่า รู้จักพอ ก็เหมาะกับหลายๆ สถานการณ์ เช่น ในกรณีของผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่เล่นอินเตอร์เน็ตเป็น เวลาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งร้อยทั้งร้อยมักจะ Google หาว่าชนิดที่ตัวเองเป็น มีโอกาสรอดมากไหม มีคนเป็นเยอะไหม รักษาที่ไหน ต้องกินอาหารอะไร ทำตัวเป็นแก้วก้นรั่ว ที่หาข้อมูลเท่าไรก็ไม่พอ ซึ่งมันจะทำให้ความคิดในแง่ลบเข้ามามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราส่งผลให้จิตตก เครียด ขาดสติ ร่างกายแย่ตามไปด้วย ยิ่งข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ณ ปัจจุบัน คุณจะเจอข้อมูลเชิงลบเยอะไปหมด (อารมณ์ประมาณว่า ไม่เคยมีใครรอดจากมะเร็งเลย เป็นแล้วตายหมด) เชื่อผมเถอะอ่านพวกนี้มากๆ แล้วจิตตก ผมผ่านมาแล้ว รวมถึง คำแนะนำที่ไม่ได้มาจากผู้รู้ที่ศึกษามันจริงๆจังๆ ยาวิเศษ อาหารมหัศจรรย์ ที่ถูกแชร์กัน จนการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันกลายเป็นทางเลือกรอง (ผมไม่ได้การต่อต้านการขายอาหารเสริมนะครับ แต่ผมต่อต้านคนที่เอามันไปใช้ผิดๆ) ซึ่งนั้น คือ หนึ่งในเหตุผลหลักที่ผมอยากเขียนแชร์มุมมองในด้านนี้เกี่ยวกับมะเร็งขึ้นมา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมหลายๆ อย่างในช่วงรักษา มันเป็นผลสะท้อนมาจากการที่สังคมเรามองเรื่องเกี่ยวกับมะเร็งคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มันส่งผลให้หลายอย่างคลาดเคลื่อนตามกันไปหมดครับ เช่น เรามองศาสนาเป็นเครื่องมือรักษาที่ตัวโรคที่เป็นเลย ไม่ได้มองในมุมของการปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตใจให้มีสติ และ ปัญญาในการรับมือกับสิ่งที่เกิดได้อย่างถูกต้อง ผลเสียในเรื่องนี้มันเกิดขึ้นทั้งระดับจิตใจ (อย่างน้อยที่สุดก็เกิด Paradox of choice ขึ้นล่ะ) และในระดับของตัวโรคเองที่การรักษาที่ถูกต้องจะช้าออกไป ซึ่งเวลา 1 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน นั้นอาจหมายถึงชีวิตของคนๆ หนึ่งทีเดียว ซึ่งเรื่องแบบนี้ผมเจอกับตัวเองเลย เรื่องที่ถูกส่งไปรักษาด้วยพลังมหัศจรรย์นี้ เขียนได้เป็นฉากเลย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ ส่วนที่บอกว่า ถ้าไม่อยากให้กังวลมากไปควรทำไง ทำอย่างไรให้มีความพอดี อ่านข้อข้างล่างต่อเลยครับ

8. สติ

ควรอยู่กับติดกับตัวให้เป็นความเคยชิน คือเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงรู้ว่ามันสำคัญยังไง แต่หลายๆครั้งในสังคมเรา ที่สิ่งนี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ อารมณ์กลัว อารมณ์เศร้า คำแนะนำง่ายๆ ของผม ที่จะทำให้อารมณ์เหล่านี้ลดลง คือ หมั่นฝึกการเจริญสติบ่อยๆ บางคนทำสมาธิ บางคนเน้นสวดมนต์ แต่ในกรณีของผมคือ ผสมๆ กันไป ถ้ารู้ว่าจิตจะตก ให้เริ่มฟังเพลงคลาสสิคพวก Mozart, Chopin อะไรพวกนั้น (ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยฟังเลย) รวมถึงเย็นๆ เดินจงกรม (แต่ไม่เต็มรูปแบบ) เพราะเนื่องจากมันเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ก่อนนอนนั่งสมาธิ สวดมนต์ซักหน่อย (ผมทำเพื่อมีสตินะครับ ไม่เกี่ยวกับปาฎิหารย์อะไรทั้งนั้น) พร้อมทั้งให้เชื่อผมเถอะว่า ชีวิตเกิดมาเพื่อถูกทดสอบตลอดเวลา ตราบที่คุณยังมีลมหายใจ ซึ่งสติจะช่วยให้คุณผ่านบททดสอบไปได้อย่างไม่ยากเย็นในทุกๆครั้ง ยิ่งในผู้ป่วยมะเร็งด้วยแล้ว สิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่คาดฝันเสมอ อย่างเช่น ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนปกติง่ายๆวันหนึ่ง ผมนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านดีๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่เกิดจามแค่ทีเดียว เลือดก็ไหลออกจากจมูกไม่หยุด ต้องไปที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเลยทีเดียว ( ส่วนสาเหตุ เนื่องมาจากช่วงที่ผมรับการฉายแสง เนื้อเยื้อบริเวณจมูกเปราะบางมากกว่าปกติ) เรียกได้ว่าช่วงนั้น ร่างกายพร้อมจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้เสมอ ค่าตัวเลขต่างๆ ของร่างกายแย่กว่ามาตรฐานคนปกติทุกอย่าง ซึ่งสวนทางกับอารมณ์ของผู้ป่วยที่รับคีโม ที่มักจะอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าคนปกติ (ผมรับทั้งคีโมและฉายแสงพร้อมกัน) สติเลยต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา เพราะนอกจากมันจะส่งส่งต่อชีวิตเราแล้ว มันยังส่งผลต่อคนรอบข้างเราด้วย และเวลามีสติรอยยิ้มกับอารมณ์ขันมันมักจะตามออกมา

9. ความหวังเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่คุณควรเตรียมวิธีรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วย

ในผู้ป่วยมะเร็งทุกคน หรือแม้แต่มนุษย์บนโลกเราทุกชีวิต ความหวังเป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยทำให้ความทุกข์ถูกลืมออกไปจากชีวิต ดังนั้นถ้าเราพัฒนา ฝึกรับมือกับความผิดหวังไว้ด้วยแล้ว เราจะสามารถใช้ชีวิตบนความหวังได้อย่างไม่มีคำว่าสะดุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น............... ในกรณีของผม ในช่วงการรักษาหลายๆครั้ง การที่ต้องเดินเข้าไปในห้องตรวจ แล้วคุณหมอมองผลตรวจ ทำสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี พร้อมบอกว่า ผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่หวัง ตัวรอยโรคยังคงไม่หายไป (ทุกครั้งหมายถึงเวลาบนโลกของผมเหลือน้อยลงไปทุกที) เกิดขึ้นหลายครั้งมาก แต่สิ่งที่ต่างกันออกไประหว่างครั้งแรกๆกั บครั้งหลังๆ คือ ความสุขของชีวิตผมไม่เคยสะดุดลงไปด้วย กลับกัน ที่ความหวังมันกลับโตมากขึ้นทุกครั้ง บรรยากาศที่ควรจะเต็มไปด้วยความตึงเครียด ถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่าย คำพูดพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ที่บอกว่า “อย่าเพิ่งเบื่อหน้าผมนะครับ”

10. ออกจากเงื่อนไขของ “เวลา” ..........

ข้อนี้เป็นข้อที่ผมมองว่าสำคัญมากที่สุด เพราะถ้าทำข้อนี้ได้ 9 ข้อข้างบนก็จะทำง่ายตามไปด้วย รวมถึงเป็นเหมือนเสาหลักที่ยึดโยงแนวคิดด้านบน ที่ผมเขียนมายาวๆเข้าด้วยกัน เป็นรูปแบบการใช้ชีวิตเฉพาะตัวของแต่ละคนขึ้นมา ............โดยในกรณีของผมและผู้ป่วยมะเร็งหลายๆคน โชคดีที่ถูกบังคับด้วยตัวโรค ที่เป็นทำให้เริ่มมองเห็นความสำคัญของข้อนี้แบบจริงจัง ถ้ากำลังงงว่า ผมกำลังพูดถึงอะไร ผมขออธิบายแบบนี้ละกัน.............. คุณอาจเคยได้ยินคำพูดประมาณว่า “จงใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย” พวกนั้นบ่อยๆ ซึ่งในผู้ป่วยมะเร็ง คำพูดประมาณนี้ มันเปลี่ยนจากคำคมบนหน้าเฟซบุ๊คมาเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงทุกๆวัน คำพูดต่างๆที่ชอบพูดในอดีต เช่น วันนี้ไม่มีเวลา หรือ เดี๋ยวค่อยทำ เวลาเหลือเฟือ กลายเป็นภาพสะท้อนของการใช้ชีวิตบนเงื่อนไขของเวลา จนลืมมองหารูปแบบชีวิต ที่สามารถมีความสุขได้โดยการปฏิบัติที่ไม่จำกัดเวลา ไม่ถูกยึดโยงกับเวลา ส่งผลแห่งความสุขทุกครั้งที่ปฏิบัติ ได้ทันที ซึ่งนั้นจะทำให้ทั้งคุณและครอบครัวมีความสุข ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร

และนั้นคือ 10 สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มา หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยแก่ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ

“ Once cancer happens it changes the way you live for the rest of your life ”

----Hayley Mills----

เพิ่มเติมนิดหนึ่ง

ในบทความนี้ผมพยายามเขียนให้กระชับ และพยายามตัดเนื้อเรื่องที่ดูเศร้าออก เพื่อที่จะได้ส่งใจความหลักได้ครบถ้วน ไม่ถูกความรู้สึกหรืออารมณ์กลบไป แต่ถ้าท่านใดสนใจเนื้อเรื่องแบบเต็มๆ เชิญที่เพจนี้ดีกว่าครับ บทความจะค่อยๆถูกเขียน เป็นตอนๆสั้นๆ เพื่อที่จะได้คอยฝึกเจริญสติในแต่ละวันไปด้วยกัน ( ตัวผมเองก็ต้องทำไปด้วย เพราะเวลาเขียนเรื่องพวกนี้ออกมา มันเป็นการเตือนสติตัวเองชั้นดีทีเดียว) รวมถึงสามารถแลกเปลี่ยนเรื่องราวของแต่ละคนที่ต้องเจอได้เต็มที่ เพราะสิ่งที่ผมเผชิญมา มันทำให้ผมเชื่ออย่างหมดใจเลยว่า คนส่วนใหญ่ของสังคมเรายังใช้ชุดความคิดเดิมเกี่ยวกับมะเร็งเมื่อ 30 ปีก่อน มาใช้กับผู้ป่วยมะเร็ง ณ ปัจจุบัน ผมจึงคิดว่าบทความต่างๆที่ผมจะเขียนขึ้นมาจะเป็นอีกหนึ่งชุดความคิดเกี่ยวกับมะเร็งที่จะเสนอให้สังคมได้เลือก ( ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนควรได้รับรู้ในอีกชุดความคิดหนึ่งแล้ว ให้ทุกคนตัดสินกันเอง)

อ้างอิง :  http://pantip.com/topic/32137686

facebook : https://www.facebook.com/Aboutlifethailand

หมายเลขบันทึก: 570072เขียนเมื่อ 9 มิถุนายน 2014 10:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 มิถุนายน 2014 06:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ความสุข คือ ยารักษาโรค เป็นกำลังใจให้ค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท