ชมนาด ออกดอกหอมรวยริน หอมชื่นใจทีละน้อย ๆ แต่หอมนาน
จดหมายถึงลูก_๒ กตัญญูกตเวที คือเครื่องหมายของคนดี
(บันทึกนี้เคยลงไว้แล้ว เรียบเรียงเพิ่มเติมและนำมารวบรวมไว้เพื่อต่อเนื่องกันค่ะ)
ลูกรัก
จดหมายฉบับก่อน แม่คุยกับลูกเรื่อง พระไพศาล วิสาโล ท่านสอนว่าการเรียน และการทำงาน คือสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อย ๆ คือการปฎิบัติธรรมอย่างหนึ่ง และเราได้คุยกันเรื่องสติ อันเป็นหัวข้อธรรมข้อหนึ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นลูก แม่ หรือใคร ๆ ก็ตามควรได้ระลึกถึงเสมอ สติจะช่วยเตือนรั้งหรือเหนี่ยวนำให้เรามีความมุ่งมั่น มีความเพียร ไม่ละทิ้งการเรียนการงาน ไม่หลงทางหรือเฉไฉจนเสียเวลา
วันนี้แม่นึกถึงพุทธธรรมข้อนี้ กตัญญูกตเวทีคือเครื่องหมายของคนดี เป็นธรรมข้อหนึ่งในมงคลแห่งชีวิต ๓๘ประการ แม่ขอคัดลอกพุทธชาดกเรื่องหนึ่งให้ลูกลองอ่านดู
ชมนาด บานสลอน ออกดอกดกมาก หอมมาก
วัวดำยอดกตัญญู
พุทธชาดก ความกตัญญูของวัวดำ
----------------------------------------------------------------------
ที่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ในรัชกาลของพระเจ้าพรหมทัต มีวัวดำตัวหนึ่งถูกเจ้าของทอดทิ้ง
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็นวัวดำ ส่วนพระอุบลวรรณาเถรีเกิดเป็นหญิงแก่ผู้รับเลี้ยงวัวดำ
วัวดำนั้นมีสีดำปลอดมาตั้งแต่เกิด พอโตเป็นวัวหนุ่ม เจ้าของกลัวว่าจะไม่เป็นมงคล จึงจูงไปมอบให้หญิงแก่คนหนึ่งช่วยเลี้ยงดู นางเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เพราะเหตุที่นางรักวัวดำนั้นมากนั่นเอง คนเลยเรียกวัวดำนั้นว่า “อัยยิกากาฬก” แปลว่า “เจ้าดำของคุณยาย”
วัวดำนั้นยิ่งโต ยิ่งมีสีดำเข้ม ออกไปหากินกับวัวของชาวบ้านอยู่ทุกวัน และได้ยกย่องจากพวกวัวด้วยกันให้เป็นจ่าฝูงนำพวกตนออกหากิน
“อย่าแตกฝูงไปไกลนะพวกเรา เดี๋ยวจะเป็นอันตราย” วัวดำจะบอกเพื่อนวัวด้วยกันเสมอๆ ก่อนออกหากิน “ในป่าทึบนั้นมักมีสัตว์ป่าดุร้ายอย่างเสือและราชสีห์อาศัยอยู่ สัตว์พวกนี้จะคอยกินพวกเราเป็นอาหาร ขอให้ระวังตัวไว้ด้วย”
นอกจากมีความรักต่อบรรดาเพื่อนวัวด้วยกันแล้ว วัวดำยังมีความรักต่อบรรดาเด็กเล็กๆลูกชาวบ้านด้วย พวกเด็กเองก็รักวัวดำด้วยเช่นกัน เวลาที่วัวดำมาเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้าน พวกเด็กๆก็จะพากันมารุมล้อมและเล่นกับวัวดำ บ้างก็จับเขาโหน บ้างก็จับหูดึง บ้างก็จับคอโหน บ้างก็จับหางดึง บ้างก็ขึ้นขี่หลัง วัวดำเองก็จะเล่นกับเด็กพวกนั้นอย่างสนุกสนานเหมือนกับว่าเป็นคนหรือวัวด้วยกัน
วัวดำเป็นวัวยอดกตัญญู ยายที่เลี้ยงดูเขาเป็นคนยากจน เขาเห็นยายเป็นอยู่อย่างลำบากแล้วให้รู้สึกสงสาร และยิ่งเห็นยายรักเขาจริง เลี้ยงดูเป็นอย่างดีก็ยิ่งคิดถึงพระคุณของยายมากยิ่งขึ้น และคิดหาทางตอบแทนอยู่ตลอดเวลา “แม่ของเรายากจน แต่ก็สู้อุตส่าห์เลี้ยงเรามาเหมือนลูก เราควรจะรับจ้างหารายได้มาช่วยเหลือแม่ให้พ้นจากความยากจนให้ได้”
ตั้งแต่นั้นมา วัวดำออกหากินหรือเดินผ่านไปทางไหนก็จะคอยดูงานจ้างไปด้วย ซึ่งก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถึงได้มาก็มีรายได้เพียงนิดหน่อย ยังไม่พอถึงขั้นที่จะช่วยให้หญิงแก่พ้นจากความยากจนไปได้
วัวดำยังหางานจ้างไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็ได้งานใหญ่ ค่าจ้างแพง เพราะเกวียน ๕๐๐ เล่ม บรรทุกสินค้าเต็มมาติดหล่มอยู่ใกล้ๆหมู่บ้าน หัวหน้ากองเกวียนซึ่งเป็นชายหนุ่มลูกชายเจ้าของกองเกวียน สั่งการให้บริวารพยายามหาทางเอาเกวียนขึ้นจากหล่มให้ได้
“เอ้า...พวกเรา ช่วยกันหน่อย” เขาสั่งการอย่างแข็งขัน
“ช่วยแล้วเจ้านาย แต่ว่าวัวของเราแรงไม่พอที่จะลากเกวียนขึ้นมาได้” บริวารร้องบอก “หล่มมันลึกมาก อีกทั้งเกวียนก็หนัก มีสินค้าอยู่เต็ม”
“แล้วจะทำอย่างไรกันดี” หัวหน้ากองเกวียนถามอย่างท้อแท้
“ถ่ายสินค้าลงก่อน” บริวารคนหนึ่งเสนอ
“เป็นความคิดที่ดี” หัวหน้ากองเกวียนพยักหน้ารับ “แต่ว่ามันจะช้ากันใหญ่ เอาไว้เป็นวิธีสุดท้ายก็แล้วกัน ลองหาวิธีอื่นดูก่อน”
พวกบริวารต่างช่วยกันคิดหาวิธีลากเกวียนขึ้นจากหล่มด้วยวิธีต่างๆ นับตั้งแต่ตัดกิ่งไม้ใส่ลงไปในหล่มและเปลี่ยนวัวลากเกวียน ผลก็คือ เกวียนยังติดหล่มลึกอยู่เหมือนเดิม
ตะวันเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกขณะ ทุกคนเริ่มท้อแท้
ขณะนั้นเอง วัวดำกับบรรดาเพื่อนวัวเริ่มออกหากิน หัวหน้ากองเกวียนเห็นวัวดำแล้วเกิดความหวังขึ้นมาทันที
“วัวตัวนี้ร่างกายใหญ่โต ดูท่าจะแข็งแรงพอที่จะลากเกวียนขึ้นมาจากหล่มได้” เขาคิดพร้อมกับร้องถามเด็กเลี้ยงวัว “เฮ้ย...ไอ้หนู วัวตัวนี้ของใครวะ”
“ของยายในหมู่บ้าน” พวกเด็กตอบ “ถามทำไมล่ะ น้า”
“เกวียนข้าทั้งหมดนี้ติดหล่ม” หัวหน้ากองเกวียนตอบ
“อยากได้วัวแรงดีมาช่วยลาก ข้าเห็นวัวตัวนี้แข็งแรงดีเลยถามหาเจ้าของ เพื่อว่าจะจ้างมาช่วยลาก”
“เอาเลยนาย เอามันไปใช้ได้ ตอนนี้มันไม่มีเจ้าของหรอก” พวกเด็กร้องบอกหัวหน้ากองเกวียนด้วยความหวังดี
ฝ่ายวัวดำได้ยินเรื่องที่หัวหน้ากองเกวียนกับพวกเด็กเลี้ยงวัวพูดกันตลอด และรู้สึกดีใจที่ได้ยินหัวหน้ากองเกวียนบอกว่าจ้าง
“แม่จ๋า...” เขาคิด “คราวนี้แม่คงไม่จนต่อไปอีกแล้ว ลูกจะได้ลากเกวียนตั้งห้าร้อยเล่ม ค่าจ้างครั้งนี้คงจะงามทีเดียว”
หัวหน้ากองเกวียน ครั้นได้ยินพวกเด็กร้องบอกเช่นนั้นก็ดีใจ รีบเดินเอาเชือกมาสนตะพายวัวดำแล้วจูง ด้วยหมายจะให้มาลากเกวียน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะวัวดำไม่ยอมขยับเท้าก้าวเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่ได้ตกลงเรื่องค่าจ้าง เราก็ไม่ไป” วัวดำยืนคิดนิ่งอยู่ในใจ
หัวหน้ากองเกวียนทราบความต้องการของวัวดำเป็นอย่างดี จึงเข้าไปใกล้ๆ แล้วบอกว่า “เจ้าวัวดำ ขอให้เจ้าช่วยข้าหน่อยเถอะ ช่วยลากเกวียน ๕๐๐ เล่มขึ้นจากหล่ม แล้วข้าจะให้ค่าจ้างเล่มละสองกหาปณะ รวมทั้งหมดก็หนึ่งพันกหาปณะ”
วัวดำพอใจมากต่อราคาที่หัวหน้ากองเกวียนเสนอ ดังนั้น เขาจึงตอบตกลงและเดินไปที่เกวียนเล่มแรกทันที พวกบริวารของนายเกวียนก็จับเทียมเกวียนเล่มแรก จากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของวัวดำลาก แล้วชั่วอึดใจเดียว วัวดำก็ลากเกวียนเล่มแรกนั้น ขึ้นมาจากหล่มได้สำเร็จ หัวหน้ากองเกวียนและบริวารต่างดีใจมาก
วัวดำลากเกวียนขึ้นจากหล่มได้ตามลำดับ แม้จะเหน็ดเหนื่อยบ้างแต่ก็ไม่อ่อนล้า เพราะมีความหวังอยู่ที่ค่าจ้าง ๑,๐๐๐ กหาปณะ ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าจะสามารถช่วยให้แม่พ้นจากความยากจนได้ วัวดำลากเกวียนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางพ่อค้าเกวียนที่มองดูด้วยความชื่นชม จนกระทั่งสามารถลากได้หมดทั้ง ๕๐๐ เล่ม
หัวหน้ากองเกวียนรีบนับเงินแล้วห่อเป็นมัดไปคล้องคอวัวดำ แต่แทนที่วัวดำจะออกเดินทางไปบ้านหรือออกหากินต่อ เขากลับไปยืนขวางหน้ากองเกวียนของหัวหน้ากองเกวียนไว้ ทำให้ไม่สามารถออกเดินทางได้
เหตุที่วัวดำไปยืนขวางทางเช่นนั้นก็เพราะรู้ว่าหัวหน้ากองเกวียนให้ค่าจ้างไม่ครบตามที่ตกลงไว้ตอนแรก คือ ตกลงไว้ ๑,๐๐๐ กหาปณะ แต่ให้จริงเพียงแค่ ๕๐๐ กหาปณะ ฝ่ายหัวหน้ากองเกวียนก็เข้าใจได้ดีถึงกิริยาอาการของวัวดำ จึงยอมให้เพิ่มอีก ๕๐๐ กหาปณะ รวมเป็นเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ
ครั้นได้ค่าจ้างครบแล้ว วัวดำก็หลีกทางให้เกวียนของนายกองเกวียนไปได้ แล้วตนเองก็รีบนำห่อกหาปณะ (ห่อเงิน) กลับมาให้หญิงแก่ผู้เป็นเสมือนแม่ของตนที่กระท่อมในหมู่บ้าน หญิงแก่ดีใจมากที่ได้เห็นเงินจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารวัวดำที่มาทำงานหนักเพื่อตน
“ยาย... เจ้าดำมันเก่งมาก มันรับจ้างลากเกวียนขึ้นจากหล่มตั้ง ๕๐๐ เล่มเกวียน พอได้ค่าจ้างมันก็รีบนำมาให้ยายเลย มันดีนะเจ้านี่”
หญิงแก่น้ำตาไหลพรากทันทีที่ได้ยินพวกเด็กเล่าเรื่องราวของวัวดำให้ฟัง นางเดินไปลูบหัวนายดำซึ่งบัดนี้นอนอยู่ใกล้ๆ เพราะความอ่อนเพลีย นางจึงเอาน้ำอุ่นมาลูบตัวและทาน้ำมันให้บรรเทาความปวดเมื่อย จากนั้นก็หาน้ำ หญ้าที่มีรสอร่อยมาให้วัวดำกิน
วัวดำกับหญิงแก่อยู่ด้วยกันจนถึงวันตายอย่างมีความสุข เพราะเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะที่วัวดำหามาให้นั้นมากพอที่จะเลี้ยงดูกันไปได้ตลอดชีวิต
นิทานธรรมเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความกตัญญู เป็นคุณธรรมสำคัญที่ทำให้คนเข้มแข็งและอดทน เหมือนวัวดำมีความกตัญญูต่อหญิงแก่ แล้วยอมทำงานหนักเพื่อตอบแทนพระคุณของนางฉะนั้น
----------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่มา : นิทานธรรม ฉบับพิเศษ จัดพิมพ์โดย ธรรมสภา
ลูกอ่านแล้วคงคิดอย่างไรบ้าง
ความกตัญญูไม่ได้เป็นเพียงเรื่องระหว่าง พ่อแม่ผู้เลี้ยงดูเรากับเรา
ความกตัญญูครอบคลุมไปทั่วถึงทุก ๆ คนรายรอบตัวเรา
พี่ ๆ หรือผู้ปกครอง ผู้มีพระคุณที่ช่วยดูแลเรามาแทนพ่อและแม่ เช่นกู๋เจริญผู้ส่งเสียเลี้ยงดูแม่แทนก๋งและอาม่า หลังจากที่อากู๋เรียนจบ
หลอดผู้ช่วยเลี้ยงดูลูกยามแม่ติดการงานในวัยที่ลูกยังเล็ก
พระอาจารย์ที่วัดญาณเวศกวัน วัดใหญ่ หรือแม้กระทั่งพระอาจารย์ที่เขียนหนังสือธรรม เทศน์สอนเรื่องหัวข้อธรรม
คุณครูทั้งหลายที่สอนสั่งอบรมเราตั้งแต่เล็กจนโต ครูของแม่ ครูของลูก ครูสอนหนังสือหรือครูบุญเกิดครูสอนดนตรี
พี่หน่อยแม่บ้านของเรา ลุงไชยา ป้านา พี่สุ ทุกคนที่ช่วยทำงานให้เรา
ถ้าไม่มีเขา เราไม่สามารถดำเนินกิจการงานเราได้ราบรื่น
ลูกไปอยู่ต่างแดน อย่าลืมระลึกถึงพระคุณหรือบุญคุณของครูและผู้คนรายรอบเรา
และเช่นเดียวกัน คุณครูที่ลูกพบเจอใหม่ คุณแม่บ้าน พ่อบ้าน คุณบรรณารักษ์ของห้องสมุดที่ลูกมักไปสิงสถิตย์
เขาเหล่านี้คือผู้มี พระคุณ แก่เรา
ประเทศไทย แม่หมายรวมทั้งแผ่นดินไทยและพ่อของแผ่นดิน ในหลวงซึ่งทรงเป็นองค์พระมิ่งขวัญของไทย
และแผ่นดินไทยที่ที่เราปลูกบ้านของเรา
อย่าลืมบุญคุณแผ่นดินและประเทศไทย
แม่ดีใจที่ลูกเล่าให้ฟังถึงแผนการเรียน และแผนชีวิตคร่าว ๆ ของลูก
แม่ดีใจที่ลูกสนใจวิชา การเกษตร การกสิกรรม การประมง
เพราะประเทศที่ลูกกำลังเรียนหนังสืออยู่ มีความแข็งแกร่งในด้านนี้
แม่และพ่อสนับสนุนลูกเสมอ
สิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้กับลูกก็คือ ลูกมีผู้คน ญาติมิตร เพื่อน อยู่ที่นี่
ลูกมีแผ่นดินไทย
เรามีบ้านของเรา
ทุกคนยังรอลูกเสมอ อย่าลืมนะครับ
ลั่นทมหรือลีลาวดี(แม่ชอบชื่อเดิมมากกว่า) คนเก่ง ออกดอกตลอดปีแต่ร้อนนี้เธอแข่งกับชมนาด ออกมากกว่าเคย
ช่วงนี้อากาศที่ไทยร้อนอบอ้าวมาก คนร้อนจนเพลีย หากดอกไม้สีขาวที่บ้าน ทั้งดอกชมนาด ขาวพวงของลีลาวดี ที่รั้วหน้าบ้านแข่งกันออกดอกสะพรั่ง แข่งกันบานเบ่งรับลมร้อน
กลิ่นหอมอ่อน ๆ รวยรินทั้งกลางวันกลางคืน
แม่เดินและวิ่งออกกำลังกายตอนค่ำ สายลมโชยพัดพากลิ่นหอมนี้มาให้แม่ชื่นใจ สมกับที่ปลูกด้วยมือและทนุถนอมเฝ้ารอ
ดอกไม้ขาวคงชอบลมร้อนมากกว่าเจ้าดอกไม้ม่วงสาวสวย พวงครามขวัญใจของแม่ เพราะเธอไม่ออกดอกพราวเหมือนหนาวที่ผ่านมา
พวงครามวันนี้
พวงครามเมื่อต้นปี ช่วงหนาวที่เธอชอบ
แม่ขอยกเรื่อง กตเวที ไว้คุยกันอีกในฉบับต่อจ้ะ
รักลูกมาก รักเยอะ
แม่เอง
ภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ค่ะ จำผิดว่าหนาว เป็นต้น ๆ ของฤดูร้อนค่ะ
เรื่องราวก็ดีมาก ดอกไม้ประกอบยิ่งสวยมากค่ะ
อ่านแล้วประทับใจ เนื้อเรื่องก็งดงาม ดอกไม้ก็สวยงาม ขอบคุณมากๆครับ
เป็นจดหมายที่น่าอ่านมาก
ส่วนตัว แม่เขียนหนังสือไทยไม่ได้ เวลาที่ได้คุยกันคือเวลาก่อนนอนและช่วงวันหยุด ก่อนแม่จะจากไปเพียง 3 เดือน เกิดความคิดว่าควรจะสัมผัสและอัดเสียงแม่ไว้ แต่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้น...เสียดายจังค่ะ
พิมพ์เพลิน "สัมภาษณ์" ไม่ใช่ "สัมผัส" ค่ะ ขอโทษค่ะ
เข้ามาอ่าน ความกตัญญูของวัวดำ...ครับ
ขอบคุณค่ะที่มาเยี่ยมชมบันทึกและต้นไม้
ต้นไม้ที่รายล้อมบ้านคุณหมออ้อดูร่มรื่นกว่ามาก พืชผักสวนครัวก็น่าเก็บกิน คิดว่าจะเลียนแบบบ้าง ปลูกให้รายรอบเลยค่ะ
ดอกสวยและหอมอ่อน ๆ ค่ะ ชมนาด..
จริงด้วยน้องโหล สมัยพ่อและแม่พี่ป่วย เราพี่น้องยุ่งและกังวลเรื่องรักษาพยาบาล ลืมคิดเรื่องอัดเสียง อย่างไรก็ตาม เราทุกคน รวมถึงน้องโหลด้วย จำเสียงและเรื่องราวของพ่อและแม่ได้เสมอ นะคะ
ขอบคุณครับ จะขอจดจำและจะพยายามทดแทนบุญคุณบุพพการี ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ และแผ่นดินเกิดนี้ตลอดไปครับ
เหมือนพวงครามจะได้ยินคำนินทาว่าออกดอกน้อย สองวันนี้แข่งกันบานสลอน สวยมากจนต้องเอาภาพมาฝาก
ได้ข้อคิดจากบันทึกนี้ค่ะ กตัญญูไม่เพียงกับพ่อแม่นะคะ เราสามารถรู้คุณทุกคนที่ช่วยเหลือเรา และประเทศชาติ
พวงคราม...พี่ได้รู้จักชื่อดอกไม้ที่ลืมไปแล้วค่ะ