หนังสือเปลี่ยนชีวิต :12 Years a Slave หนังสือว่าด้วยการปฏิรูปคน


หนังสือเปลี่ยนชีวิต :12 Years a Slave หนังสือว่าด้วยการปฏิรูปคน

-ครูพีร์-

ชุมชน100เล่มเกวียนเปลี่ยนชีวิต

 

        12 Years a Slave หรือที่แปลเป็นไทยในชื่อว่า“ฤาสิ้นสุดมนุษยภาพ” เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นจากเรื่องราวของทาสผิวสี โซโลม่อน นอร์ธอัพ ที่ถูกจับไปเป็นทาสนานถึง 12 ปี  ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีในอดีตจนถูกนำไปสร้างเป็นหนัง และดังเป็นพลุแตกเมื่อได้รับรางวัลออสก้าสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2014 ที่ผ่านมา

         เรื่องราวของ นอร์อัพ เกิดขึ้นในช่วงยุค 1840 ซึ่งเป็นยุคที่อเมริกายังไม่ได้ปลอดปล่อยทาส ทาสจึงเป็นสมบัติอย่างหนึ่งของนายทาสผิวขาว อย่างไรก็ตามแม้นอร์อัพ จะมีพรรพบุรุษเป็นนิโกรผิวดำแต่เขากลับขึ้นมาเป็นไทในยุคนั้นเพราะปลอดพ้นจากพันธนาการความเป็นทาสที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ทำให้เขาใช้ชีวิตดังสามัญชนทั่วไปจนเมื่อถูกหลอกและจับไปขายเป็นทาสเรื่องราวของเขาจึงเริ่มขึ้น

         ในหนังสือ 12 Years a Slave นอร์ธอัพ ได้ฉายภาพความเป็นทาสของยุคนั้นที่มีความเป็นอยู่ด้วยความยากลำบาก ต้องทำงานอย่างหนักและมีสถานเป็นเพียงแค่สมบัติของนายทาส และทำงานไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยง ความเป็นทาสไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่น ปฏิเสธ หรือเรียกร้องใดๆ จากนายทาส และนายทาสมีสิทธิที่จะขายทาสให้ใครก็ได้ หน้าที่ของทาสคือทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้น ดังนั้นความโชคดีของทาสเพียงหนึ่งเดียวคือการได้นายทาสที่ดี

         เรื่องราวของนอร์ธอัพ สะท้อนภาพของสังคมยุคนั้นเป็นอย่างมาก ยุคของทาสคือยุคของความไม่เทียมกันของมนุษย์อย่างแท้จริง นายทาสเชื่อย่างแท้จริงว่า ตนเองมีกรรมสิทธิ์เหนือความเป็นมนุษย์ของคนอื่นรวมทั้งชีวิตอื่นๆ ด้วย และที่น่าหดหู่คือเหล่าทาสด้วยกันเองก็สำนึกได้เพียงตนเองเกิดมาเป็นสมบัติของคนอื่น(นายทาส)ที่มีสิทธิจะลงโทษ กระทำอาชญากรรมกับตนเองอย่างไรก็ย่อมได้

 

ภาพสะท้อนหนังสือ 12 Years a Slave

          ภาพสะท้อนจากหนังสือดังกล่าวทำให้เราได้เรียนว่า

          - ยุคสมัยหนึ่ง มนุษย์ได้มองความเป็นคนของคนไม่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง และมนุษย์ได้เรียนรู้ผ่านยุคนั้นมาอย่างเจ็บปวดรวมกันโดยเฉพาะสังคมอเมริกาจนนำไปสู่การเลิกทาสในที่สุด  (อับราฮัม ลินคอล์น ประกาศเลิกทาสเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1863)

          - ธรรมชาติของมนุษย์เมื่ออยู่ร่วมกลุ่มกันมักจะมองและให้ความสำคัญกับกลุ่มของตนเองเป็นอันดับแรกจนลืมความเป็นคนของมนุษย์กลุ่มอื่นและเชื่อว่าความเชื่อ/ความเห็น/กลุ่มของตัวเองเท่านั้นที่ถูก ดังที่คนผิวขาวกระทำต่อคนผิวสีในอเมริกาในยุคดังกล่าว

          - ในสภาพแวดล้อมที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีบทบาทนำและแม้นจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องแต่เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกลับกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องไป ดังเช่น การค้าทาส การคอบครองทาส แม้นายทาสหลายคนจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าถูกต้องและปฏิบัติต่อทาสด้วยความเข้าใจและเลี้ยงดูอย่างดี (เช่น นายทาสคนแรกของ นอร์ธอัพ) แต่ด้วยสภาพสังคมดังกล่าวก็ใช่ว่าคนดีๆ จะหาทางช่วยทาสให้พ้นพันธนาการจากความเป็นทาสได้

 

คุณค่าของหนังสือเมื่อทำเป็นหนัง

          โดยส่วนใหญ่แล้วหากให้เลือกระหว่างดูหนังกับอ่านหนังสือแล้วเชื่อแน่ว่าคนส่วนใหญ่คงเลือกดูหนังมากกว่าที่จะเลือกอ่านหนังสือซึ่งต้องใช้พลังมากมาย การดูหนังเป็นเรื่องของการพักผ่อนมากกว่าจะเป็นเรื่องจริงจัง นั่งตีความว่าสิ่งที่ดูไปนั้นหมายถึงอะไร สัญญะบ้างอะไรที่ปรากฏในหนัง ขณะที่การอ่านหนังสือต้องใช้เวลา ใช้สมาธิ จินตนการ รวมถึงการตีความอีกมากหมายกว่าที่จะย่อยสลายละลายในสมองเป็นความรู้ ความเข้าใจ และลึกซึ้งในสิ่งที่อ่าน ดังนั้นการอ่านหนังสือจึงเป็นอะไรที่เหนื่อย(สำหรับคนชอบดูหนัง)

สำหรับผู้เขียนแล้วโดยความชอบส่วนตัวกลับเห็นว่าหนังสือใดๆ ก็แล้วแต่เมื่อไปทำเป็นหนังแม้นจะสร้างได้ยิ่งใหญ่ล้ำจินตนาการจนไม่น่าเชื่อผู้กำกับกับทีมงานจะทำได้อลังการปานนั้น แต่หนังก็คือหนังแม้จะทำได้อลังการยิ่งแต่สิ่งที่ขาดอย่างยิ่งคือจินตนาการ และมโนภาพที่เราจะซึมซาบได้ ซึ่งอาจจะเป็นขอเสียของพวกนักอ่านทั้งหลายก็ได้นะครับ เพราะพวกนักอ่านส่วนใหญ่เป็นพวกมโน...ก็ว่าได้ ดังจะเห็นจากหนังสือหลายเรื่องที่เมื่อเอาไปทำเป็นหนังแล้วทำให้พลอยเสียอารมณ์ (ถ้าอยากรู้ว่าหนังสือ(นิยายาย)เรื่องไหนบ้าง ท่านผู้อ่านต้องลองหาหนังสือมาอ่านแล้วลองดูหนังที่สร้างจากหนังสือเล่มนั้นดูนะครับ-แต่ก็อย่างที่บอกครับนี้ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ ถ้าใครชอบดูหนังมากกว่าก็ไม่ว่ากัน ทั้งสองอย่างมีส่วนเสริมความบันเทิง และจินตนาของเราได้ทั้งนั้นครับผม)

 

ข้อแนะนำหนังสือ : เหมาะอย่างยิ่งสำหรับทำความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมโลกมากขึ้น บางที่หากเราอยากจะให้สังคมดีขึ้นอาจจะเริ่มที่ตัวเราก่อนก็ได้ บางทีก่อนจะปฏิรูปสังคมเราอาจจะต้องตั้งคำถามว่า เราได้ปฏิรูปตัวเองหรือยัง ปฏิรูปตัวเองด้วยการเข้าอกเข้าใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้นหรือยัง

ปกหนังสือ 12 YEARS A SLAVE ฉบับแปลเป็นไทย

12 YEARS A SLAVE - Official Trailer

หมายเลขบันทึก: 566021เขียนเมื่อ 14 เมษายน 2014 16:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 เมษายน 2014 16:07 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

น่าสนใจมาก

ต้องไปหามาอ่านแล้ว

ขอบคุณที่แนะนำหนังสือดีๆนะครับ

หนังก็คือหนังแม้จะทำได้อลังการยิ่งแต่สิ่งที่ขาดอย่างยิ่งคือจินตนาการ และมโนภาพที่เราจะซึมซาบได้

สิ่งนี้ตือ สิ่งที่มีในหนังสือทุกเล่ม

ขอบคุณอาาจรย์มากนะครับ

มีความสุขในวันแห่งความครัวนะครับ

ครูนกได้มาแล้วค่ะ.....เพิ่งจะเริ่มอ่านเช่นกันค่ะ

สวัสดีค่ะครูพีร์ ยินดีที่ได้รู้จักคนรักการอ่านค่ะ

ขอบคุณที่เขียนแนะนำหนังสือนี้ ดิฉันหาอ่านอยู่หลังจากดูหนังจบ พรุ่งนี้จะไปหามาอ่าน

หนังเรื่องนี้ไม่น่าผิดหวังค่ะ

ดิฉันชอบทั้งดูหนัง และอ่านหนังสือ

เป็นคนละอรรถรสกัน หนังสือหลายเล่มถ่ายทอดออกมาเป็นหนังได้งดงามค่ะ ขึ้นอยู่กับคนเขียนบทกับผู้กำกับที่เก็บสาระสำคัญมาสื่อกับผู้ชมได้ดีแค่ไหน อ่านหนังสือต้องใช้สมาธิและจินตนาการเป็นภาพของตัวเอง หนังเป็นการรวมมวลหมู่ศิลปะเพื่อสื่อสารกับผู้ชม ดูแล้วต้องใช้จินตนาการและการคิดตามเพื่อหา "สัญญะ" ที่ครูพีร์ว่า สนุกไปอีกแบบค่ะ

ยิ่งถ้าได้อ่านทั้งหนังสือ และ ดูหนัง เรื่องเดียวกันแล้ว ขอบอกว่าเยี่ยมค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท