บรรยากาศการเรียนรู้ในช่วงบ่าย หากเป็นวิชาที่ต้องอธิบาย หรืออยู่กับที่ นี่ สามารถฆ่าครูให้ตายได้จริง ๆ วันนี้ในคาบ ๕ คือช่วง ๑๒.๒๐ – ๑๓.๒๐ น. ครูสอนชั้น ม.๒ การเรียนการสอนยังสามารถดำเนินไปตามแผนการสอนที่กำหนดไว้ได้ แม้ว่านักเรียนจะเพิ่งมาจากทานข้าว ที่การเรียนการสอนเป็นไปตามแผนได้นั้นไม่ใช่เพราะฝีมือครู แต่เป็นเพราะมีตัวแปรแทรกเข้ามา คือหัวหน้าห้องของห้อง ๒ จะต้องไปเรียนที่สิงคโปร์ เขาขอให้ครูเขียนอะไรให้เขาหน่อยประกอบกับนักเรียนที่แต่งกลอนดอกสร้อยมาเพื่อขอปรับคะแนน ยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องกลอนดอกสร้อย เมื่อครูสอนและสาธิตการเขียน นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับพวกเขาและออกตลก ๆ บรรยากาศจึงสนุกครื้นเครงและครูก็สามารถนำดำเนินการสอนต่อไปได้
แต่พอถึงคาบ ๖ เวลา ๑๓.๒๐ – ๑๔.๒๐ น. นี่สิ ขณะที่ครูไปถึงห้องนักเรียนมีอยู่เกือบครึ่งห้องสอบถามทราบว่า คาบก่อนหน้าครูเป็นคาบศึกษาค้นคว้าอิสระ นักเรียนจึงแยกย้ายไปตามความสนใจ เมื่อนักเรียนมาครบได้สนทนาซักถาม และทบทวนความรู้เดิมแล้ว ครูก็เริ่มให้นักเรียนอ่านบทโคลงสุภาษิตพร้อมกับครูอธิบาย ครูสังเกตว่า บางคนพยายามขยี้ตา บางคนตาแดง บางคนหาว ท่ามกลางอากาศร้อนนั้น บางคนยุ่งอยู่กับการจัดการพัดลมให้หันส่ายมาด้านตนมากที่สุด การดำเนินการสอนมันกำลังไม่เป็นไปตามแผน ถ้านักเรียนง่วงขนาดนี้ อากาศร้อนอย่างนี้ จะเรียนรู้เรื่องได้อย่างไร สอนคาบลูกคาบดอกก็เถอะน่า บางคนฟุบไปแล้ว จะดุด่าว่ากล่าวหรือ ครูเองก็เคยง่วงมากจนปากกาตกจากโต๊ะ หรือเขียนหนังสือไม่เป็นตัวนี่นา เมื่อคนง่วงจริง ๆ มีสิ่งเดียวคือฟุบงีบไปสัก 2-3 นาที แต่จะให้นักเรียนฟุบหลับขณะที่ครูสอนหรือ ใครผ่านมาเห็นตายแน่เลย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องธรรมชาตินะ อย่างนั้นก็ “ทั้งหมดยืน รีบวิ่งไปล้างหน้า ดื่มน้ำภายในเวลา ๕ นาที” หลายคนยิ้มอย่างยอมรับว่าครูรู้ว่าเขาง่วง ต่างวิ่งออกไปบางกลุ่มยังนั่งอยู่บอกว่าหนูเพิ่งจะล้างหน้ามาก่อนคาบครูค่ะ เจ้าอ้วนดำแก้มป่อง แอบนำแป้งเด็กของเพื่อนหญิงออกมากระมิดกระเมี้ยนทาแก้ม มองแล้วนึกถึง “หมาหมีคลุกนุ่น” นัก แต่ก็ดีนะ อย่างน้อย ๆ เขาก็สดชื่นขึ้นมาบ้าง
เมื่อนักเรียนกลับมาบางคนมาหน้าตา หัวหูเปียกโชก บ้างก็ซื้อน้ำมาคนละขวด ๒ ขวด ครูเคยอ่านงานวิจัยมาพบว่า การดื่มน้ำในห้องเรียนบ่อย ๆ เป็นสิ่งดี จึงได้บอกให้นักเรียนมีน้ำดื่มประจำ อย่างน้อยที่สุดน้ำก็ทำให้ไม่ง่วงนอน เมื่อทุกคนกลับมาพร้อมจึงได้ดำเนินการสอนต่อ แต่เนื่องจากภาษาในโคลงสุภาษิตเป็นภาษาโบราณ แม้ครูจะอธิบายและเชื่อมโยงไปสู่เรื่องราวประจำวันแล้ว แต่ครูสังเกตท่าทางนักเรียนแล้วยังไม่ค่อยจะเข้าใจหรือตระหนักต่อคำสอนนัก ครูมองว่านักเรียนในยุคนี้ไม่ค่อยจะซาบซึ้งกับคำสอนที่สื่อด้วยภาษาที่กลั่นกรองอย่างสละสลวยนักหรอก เพราะนักเรียนชินต่อการโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อด้านเทคโนโลยีมากกว่า นักเรียนพร้อมจะรับและปฏิบัติตามสื่อโฆษณาทั้งหลาย โดยไม่ต้องไตร่ตรอง จึงมองคำสอนจากโคลงสุภาษิตเหมือนเป็นอะไรสักอย่างที่ต้องเรียนเพื่อสอบเอาคะแนน บรรยากาศยังไม่เป็นที่ต้องใจของครูนัก แต่ยังไม่ถึงทางตันหรอกน่า ครูรู้นี่นาว่า นักเรียนชอบอะไร ถ้าอย่างนั้นก็........
ครูแจกกระดาษซึ่งเป็นกระดาษหน้าเดียวที่ยังสามารถนำมาใช้ได้อีก ๑ หน้า ให้นักเรียน ๒ คน / ครึ่งแผ่น เขียนชื่อเลขที่ของทั้ง ๒ คน โดยยังไม่บอกว่าให้ทำอะไรกับกระดาษแผ่นนั้น บอกเพียงแต่ว่าจะเก็บคะแนน ๑ คะแนน (เพียง ๑ คะแนน จริง ๆ ) แล้วให้นักเรียนอ่านเนื้อหาส่วนที่เหลือในใจจำนวน ๒ หน้า ในเวลา ๑๐ นาที นักเรียนก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านเต็มที่เพราะยังไม่ทราบว่าครูจะให้ทำอะไร เมื่อครบ ๑๐ นาที ครูให้นักเรียนตั้งคำถามพร้อมกับคำตอบ นักเรียนทุกคนต่างมุ่งมั่นในการทำงาน แต่ละคู่ปรึกษากัน “ถามตรงนี้ดีกว่านะ” “ตอบอย่างนี้นะ” ไม่นานทุกคู่ก็ทำสำเร็จ
เย้ ! ครูแก้ปัญหาไปได้อีกครั้งแล้วล่ะ
ขอชื่นชมคุณครูท่านนั้นด้วยนะคะ
เช่นเดียวกับคุณครูระเบียบ เหล่านาคที่สอนดิฉัน
ท่านสอนสนุกมาก ทำให้โลกแห่งการเรียนรู้ภาษาไทยกว้างและเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ตัวดิฉันเอง ชอบให้เด็กเรียนรู้อย่างมีความสุข
แต่มันไม่สามารถทำให้เกิดได้ในทุกคาบ ดังนั้นเมื่อไร
ที่ดิฉันสังเกตสีหน้าเด็กแล้ว บางคนมีสีหน้าเบื่อ หรือง่วง ดิฉันมีความรู้สึกว่ากำลังล้มเหลวในการสอน
ก็ต้องหาวิธีการแก้ปัญหาในขณะนั้นค่ะ
ขอบคุณค่ะ